สุดอั้น”เดลต้า”ขยับราคา6-12%หวังฟื้นมาร์จิ้นดันเป้าโต
นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) เผยถึง ทิศทางธุรกิจปี 2565 ว่า บริษัทจะรุกตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ด้วยสินค้าที่พัฒนาโดยใช้นวัตนกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสีทาอาคาร ล่าสุด ได้เปิดตัว 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่จับกลุ่มเซกเมนต์พรีเมียม เจาะกลุ่มตลาดผู้รับเหมา และช่างสี เพื่อรองรับการใช้งานที่สะดวกและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น
ได้แก่ DELTA GRYPTO 5 IN 1 เป็นสีน้ำมันเคลือบผสมรองพื้นกันสนิม สำหรับทาพื้นผิวเหล็ก และ DELTA PRECAST SOLUTIONS ซึ่งเป็นกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้าง อาทิ เป็นผลิตภัณฑ์ทาทับกันซึม ทนต่อแสงแดด รังสียูวี, ยาแนวรอยต่อปิดรอยแตกร้าวของผนัง , ปูนสำเร็จรูปชนิดไม่หดตัว ทนต่อแรงสั่นสะเทือน , ปูนฉาบชนิดเนื้อบางปิดรอยแตกร้าวของผนัง , ปูนซีเมนต์ชนิดใช้ทากันซึม , ปูนชนิดปรับระดับด้วยตนเอง ช่วยปรับระดับพื้นให้เรียบเนียน และ ปูนฉาบผนังชนิดแห้งไว ยึดเกาะได้ดี ปลอดภัยไร้สารอันตราย
ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นในการเติบโตด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รวมถึงการแสวงหาพันธมิตรใหม่เพื่อสร้างแบรนด์ต่อยอดธุรกิจ และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังได้เปิดดำเนินการโรงงานแห่งที่ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น50% เป็นกำลังการผลิตรวม 4.8 ล้านแกลลอนต่อปี
โดยโรงงานใหม่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Slurry แทนระบบ Co-Grind เพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดขั้นตอนและลดการสูญเสียจากสารเคมีที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการผลิตได้มากขึ้น
นายอรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบัญชีและการเงิน บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัท มีรายได้รวม 218 ล้านบาท เติบโต 28 ล้านบาท หรือ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก กำไรสุทธิในไตรมาส 4/2564 ที่ 10.5 ล้านบาท แต่ลดลงจากกำไรสุทธิ 21 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในปีก่อน
ทั้งนี้มีปัจจัยหลักมาจาก “ราคา” น้ำมันและราคาปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตสีทั่วโลกในไตรมาสนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้รวมทั้ง“ค่าเงิน”บาทที่อ่อนค่าทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรข้างต้นของบริษัท
และสภาวะอัตรา“เงินเฟ้อ”ที่สูงขึ้นส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจและกำลังซื้อฟื้นตัวช้าอีกทั้ง มาตรการ Zero Covid ในจีนส่งผลให้เกิดความขาดแคลนของวัตถุดิบ และความล่าช้าในขนส่ง
ส่งผลให้บริษัทปรับราคาสินค้าขึ้น 6%-12% ซึ่งมีผลในไตรมาส 2 เพื่อรักษาอัตรากำไรและสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงลดต้นทุนวัตถุดิบ และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีกด้วย
คาดว่าบริษัทฯ จะลดต้นทุนการผลิตลงได้ประมาณ 3% -5% ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป จึงมั่นใจว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นสู่สภาวะปกติ คาดว่าปีนี้ จะสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 25-30% ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าส่งออกสีทาอาคารใน CLMV ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นนวัตกรรม “VAKUUM Technology” จากประเทศเยอรมนี และรุกตลาด Blue Ocean มากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ขยายกลุ่มเซ็กเมนท์พรีเมียม เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของ DPAINT มีสัดส่วนสีคุณภาพพิเศษ 40% สีคุณภาพสูง 30% และสีคุณภาพคุ้มค่า 30% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ โดยจำหน่ายผ่านช่องทางการจำหน่ายรวมกันมากกว่า 1,500 สาขา เกือบทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านโมเดิร์นเทรด ร้านค้าปลีก และงานโครงการ รวมทั้ง การบริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทมีเครื่องผสมสีทั้งหมด 505 เครื่อง โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 600 เครื่อง ภายในสิ้นปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการขยายช่องทางในการจัดจำหน่ายที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น และจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
สิงห์เอสเตทต่อจิ๊กซอว์เอส อ่างทองปั้นนิคมฯอาหารเสริมแกร่ง3ธุรกิจหลัก
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขยายการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอาหาร “เอส อ่างทอง” สานนโบายภาครัฐมุ่งส่งเสริมธุรกิจอาหารและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นครัวโลก โดยทำเลที่ตั้งของนิคมฯ “เอส อ่างทอง” บนพื้นที่ 1,776 ไร่ ริมถนนสายเอเชีย กม.63 ต.ไชยภูมิ อ.ไชโย จ.อ่างทอง นับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญใจกลางใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหารและวัตถุดิบของประเทศ ทั้งเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา
“เมื่อเปิดประเทศถือเป็นประโยชน์ต่อนิคมอุตสาหกรรมฯ เอส อ่างทอง ที่กำลังเปิดตัวทำให้มีโอกาสชักชวนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน นอกเหนือจากผู้ประกอบการไทย ซึ่งพบว่ามีนักลงทุนต่างๆ ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เข้ามาดูนิคมฯ และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องอาหาร”
ภายใต้แนวคิด Enriching Tomorrow ของ สิงห์ เอสเตท ที่เน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน เป็นแนวทางและเป้าหมายของ “เอส อ่างทอง” มุ่งสู่ “เวิลด์ ฟู้ด วัลเลย์” สอดคล้องนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางครัวโลก เพราะหัวใจสำคัญคือการส่งออก ที่สำคัญการเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ประกอบการอาหารขนาดกลางและเล็ก เพื่อให้สามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดโลกได้
โครงการ เอส อ่างทอง นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศสำหรับอาหาร และโครงสร้างพื้นฐาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานครอบคลุมธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และ ธุรกิจบริการรวมถึงนวัตกรรมต่างๆ 2.ธุรกิจโรงไฟฟ้าในลักษณะการร่วมทุนเพื่อดำเนินงานโรงไฟฟ้า จำนวน 3 โรง ขนาดกำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ ซึ่งมีสัญญาซื้อขายกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้วราว 70% เป็นเวลา 25 ปี โดยบริษัทจะมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของธุรกิจผ่านส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจร่วมค้า และ 3.นิคมอุตสาหกรรม
“เรามีจุดเด่นที่แตกต่าง คือ เป็นนิคมอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีนิคมฯ อาหารเฉพาะ ขณะที่ผู้ประกอบการอาหารส่วนใหญ่เป็นรายใหญ่ที่ทำธุรกิจมานานและมีโรงงานผลิตเป็นของตนเอง และปัจจุบันมีผู้ประกอบการขนาดกลางที่ผลิตอาหารส่งออกมากขึ้น ต่างมองหานิคมฯ ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติ ทั้งเชิงนิเวศและการทำงานร่วมกับภาครัฐที่มีอำนาจควบคุมกฏระเบียบ เช่น การนิคมอุตสาหกรรม การได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ฉะนั้นการเข้ามาอยู่ในพื้นที่นิคมฯ จะตอบโจทย์ผู้ประกอบการ”
ในแง่กายภาพนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง มีจุดเด่นและความแตกต่างคือ ราคาที่ดินที่ถูกกว่า ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นประโยชน์ทางด้นการเงินในระยะยาวให้กับผู้ประกอบการจากต้นทุนโรงงานที่ต่ำกว่า
“เอส อ่างทอง เป็นรอยต่อ Climate change ซึ่งเป็น 3 องค์ประกอบที่สร้างความโดดเด่นตอบโจทย์ตลาดในปัจจุบันและอนาคต เป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ 3 ธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม สำนักงานให้เช่าและพื้นที่ค้าปลีกของสิงห์ เอสเตท”
กำจร ลีประพันธ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส. ไอเอฟ. จำกัด กล่าวเสริมว่า เอส อ่างทอง เน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางเล็กได้มีพื้นที่เพื่อผลิตอาหาร โดยปีแรกนี้ (2565) ตั้งเป้ายอดขาย 15% ของพื้นที่ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งยอดขายส่วนหนึ่งมาจากโรงไฟฟ้า 2 โรง รับรู้รายได้ไตรมาส 3 ปี 2565 ส่วนที่เหลือจะทยอยขายตามแผนในปีถัดๆไป
ในส่วนด้านหน้าโครงการมีพื้นที่ 30 ไร่ ทำคอมเมอร์เชียล คาดมียอดรับรู้รายได้จากรีเทลในพื้นที่ 10 ล้านบาทต่อปี หรืออาจมากกว่านั้น รวมทั้งรายได้ประจำ (Recurring income ) ที่เกิดจากการใช้สาธารณูปโภคในนิคมฯ เช่น น้ำประปา การบำบัดน้ำทิ้ง ราว 150 ล้านบาท ต่อปี
แผนต่อไป จะเปิดตัวนิคมฯ ให้กับธุรกิจอาหารภายใต้สภาอุตสาหกรรมและหอการค้า ที่ต้องการขยายโรงงาน หรือสร้างใหม่ คาดว่าภายใน 5 ปี จะปิดการขายพื้นที่ได้หมด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.16 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.16 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเทขายสินทรัพย์เสี่ยง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักหรือถดถอย จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งสะท้อนผ่าน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนมิถุนายน ที่ดิ่งลงแตะระดับ 98.7 จุด แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ระดับ 100 จุด และนับเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่ต้นปี 2021 ซึ่งความกังวลดังกล่าวทำให้ ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเทขายสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อย่าง Amazon -5.1%, Meta (Facebook) -5.2%, Tesla -5.0% กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.98% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -2.01%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 สามารถปรับตัวขึ้น +0.27% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดย Total Energies +1.3%, BP +1.3% ที่ได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมันตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังมองว่าตลาดน้ำมันจะยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว นอกจากนี้ ความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากที่ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ ก็ได้หนุนให้ หุ้นกลุ่มการเงินที่เน้นธุรกิจในฝั่งเอเชียและหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวสูงขึ้น อาทิ HSBC +1.3%, Dior +0.7%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักหรือถดถอย ยังคงกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ แม้ว่าระหว่างวันจะมีการปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.25% ก็ตาม เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนก็รอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นในการเข้าซื้อ (Buy on Dip) กอปรกับภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงกลับสู่ระดับ 3.18% อีกครั้ง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้กลับมาหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 104.5 จุด อีกครั้ง นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงเป็นอุปสรรคต่อราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำยังคงปรับตัวลดลง แม้ว่าตลาดจะพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงก็ตาม โดยล่าสุดราคาทองคำแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำย่อตัวลงต่อ แต่ไม่หลุดโซนแนวรับสำคัญแถว 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เราคาดว่าจะมีแรงซื้อ Buy on Dip ทองคำกลับเข้ามาช่วยพยุงราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง รายงาน GDP ไตรมาสแรก นอกจากนี้ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในงานสัมมนา ECB Forum in Sintra เพื่อประเมินมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักหรือถดถอย และทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ตลาดการเงินยังคงมีความผันผวนอยู่สูง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนักหรือเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอย ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยังคงหนุนความต้องการเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดดภัย และเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดเริ่มมีความหวังต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยมากขึ้น หลังทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการกักตัว ทำให้ผู้เล่นบางส่วนเริ่มคาดหวังว่า นักท่องเที่ยวจีนอาจเริ่มกลับมาประเทศไทยได้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว คือ สิ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในวันก่อน
ทั้งนี้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในวันก่อนหน้า ซึ่งมาจากความหวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจากผู้เล่นที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่า อาจรอจังหวะทยอยขายทำกำไรเงินบาท หากเงินบาทแข็งค่าแตะโซนแนวรับแถว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้ง เราประเมินว่า ยังเร็วเกินไปที่ทางการจีนจะเปิดให้ชาวจีนสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างสะดวก (เราประเมินว่า การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนอาจเกิดขึ้นได้ หลังการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงปลายปี)
อนึ่ง ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.05-35.25 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“เมย์” เซฟ 2 แมตช์พ้อยต์ เร่งแซงท้ายเกม ลิ่วรอบ 2 ศึกมาเลเซีย โอเพ่น
แบดมินตัน มาเลเซีย โอเพ่น 2022 รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ที่ประเทศมาเลเซีย วันนี้เป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทหญิงเดี่ยว “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือ 8 ของโลก ซิม ยูจิน มือ 46 ของโลกจากเกาหลีใต้ เกมนี้ รัชนก พลาดแท้แพ้ดิวส์ในเกมแรก 24-26 แต่ว่าในเกมที่ 2 เรียกเข้าฟอร์มเก่งเอาชนะไปแบบสบาย 21-4 ต้องตัดสินในเกมสุดท้าย โดยเกมที่ 3 รัชนก หลังพิงฝา แต้มตามหลัง 2 แมตช์พ้อยช์ 18-20 คะแนน อย่างไรก็ตาม รัชนก เรียกสมาธิกลับมาได้ก่อนจะเก็บไป 4 คะแนนรวด พลิกกลับมาชนะไปได้ 2-1 เกม 24-26, 21-4 และ 22-20 ผ่านเข้ารอบ 2 ไปพบกับ จาง ไป่ เหวิน มือ 16 ของโลกจากสหรัฐฯ
ประเภทคู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือ 2 โลก คืนฟอร์มเก่ง ตบเอาชนะ มาร์ก แลมส์ฟุสส์ กับ อิซาเบล โลฮาว คู่มือ 12 โลกจากเยอรมนี ไป 2-0 เกม 21-17, 21-7 ผ่านเข้ารอบ 2 ไปพบกับ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ และ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือ 22 ของโลก ที่เอาชนะ เคียวเฮอิ ยามาชิตะ กับ นารุ ชิโนย่า มือ 30 ของโลกจากญี่ปุ่น 2-1 เกม 21-8, 11-21 และ 24-22
ประเภทหญิงคู่ “มูนา” เบญญาภา กับ “อันนา” นันทกาญจน์ เอี่ยมสอาด คู่มือ 28 ของโลก ต้านความแกร่งคู่ เฉิน ยิงเฉิน กับ เจีย ยี่ฟาน คู่มือ 1 ของโลกจากจีน ไม่ไหวแพ้ไป 0-2 เกม 17-21, 8-21
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ระวัง! เป็นโรคกระเพาะอาหาร เสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย
สาเหตุการเกิดโรคกระเพาะอาหารที่หลายคนทราบดี คือการทานอาหารไม่ตรงเวลา ปล่อยให้ท้องว่างจนกระเพาะอาหารเสียสมดุลของกรดภายในกระเพาะอาหารนำไปสู่การทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร แต่อีกสาเหตุหลักที่เป็นตัวการให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ นั่นก็คือ เชื้อเอชไพโลไร หรือ H.Pylori (Helicobacter Pylori)
รู้จักเชื้อ H.Pylori แบคทีเรียตัวร้าย สาเหตุโรคกระเพาะอาหาร
นายแพทย์ วชิรพงศ์ เอกไพบูลย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) ระบุว่า เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) คือเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ จากการใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารร่วมกัน การบริโภคอาหารและน้ำที่มีการปนเปื้อน และการปรุงอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้นเหตุให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
อาการของผู้ติดเชื้อ H.Pylori
โดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้
- ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือ
- ปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- จุกเสียดลิ้นปี่
- ท้องอืด เรอบ่อย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนจะมีอาการ ดังนี้
- ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือด และกลิ่นรุนแรง
- ปวดท้องรุนแรง เรื้อรัง
- อาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ
H.Pylori คือแบคทีเรียทีมีความสามารถในการสร้างด่างเพื่อป้องกันตนเองจากกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายในนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
วิธีตรวจหาเชื้อ H.Pylori
การตรวจหาเชื้อ H.Pylori จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี โดยการตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กลุ่มคำที่ขึ้นต้นด้วย “Get” ออก TOEIC บ่อย!
วันนี้เราจะมาเรียนรู้สำนวนภาษาอังกฤษ ที่ขึ้นต้นด้วย “Get” กันค่ะ ซึ่ง Get เป็นกริยาวลี ที่เมื่อไปรวมกับคำอื่นแล้วความหมายจะเปลี่ยนไปค่ะ ในบางคำจะเห็นได้บ่อยๆ ในข้อสอบภาษาอังกฤษอย่าง TOEIC เดี๋ยวเราไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
Get lost – ไปให้พ้น, หลงทาง
Get fired – ถูกไล่ออก, ตกงาน
Get a job – หางาน, ได้งาน
Get a life – ใช้ชีวิต, ทำให้ชีวิตมีความสุข
Get home – ถึงบ้าน
Get ready – เตรียมตัว, เตรียมพร้อม
Get started – เริ่ม, เริ่มต้น
Get married – แต่งงาน
Get permission – ได้รับอนุญาต
Get well – ดีขึ้น
Get over – ทำใจ
Get out – ออกไป, ไปให้พ้น
Get up – ตื่นนอน
Get off – ลง (จากรถ เครื่องบิน)
Get along with – เข้ากันได้
Get a promotion – ได้เลื่อนตำแหน่ง
Get a message – ได้รับข้อความ
Get a taxi – เรียกแท็กซี่
Get a phone – ได้รับโทรศัพท์
Get attention – ได้รับความสนใจ
คุณสามารถลองแต่งประโยคจากคำพวกนี้ดูได้นะคะ ตัวอย่างเช่น:
- She got a phone call from her sister.
= เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว - Did you get my message?
= คุณได้รับข้อความของฉันมั้ย? - You need to get your mother’s permission to go.
= คุณต้องได้รับอนุญาตจากแม่ของคุณก่อน จึงจะไปได้ - She hasn’t been able to get a job.
= เธอหางานไม่ได้ - Anna is trying to get over her ex boyfriend.
= แอนนาพยายามที่จะทำใจให้ลืมแฟนเก่าของเธอ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ปังไม่ไหวจ้า! Elon Musk มีผู้ติดตาม Twitter มากกว่า 100 ล้านคนแล้ว
Elon Musk กลายเป็นผู้ใช้คนที่ 6 บนแพลตฟอร์มนกสีฟ้าอย่าง Twitter ที่มีผู้ติดตามถึงเก้าหลัก หลังวันนี้บัญชี Twitter ของเขามีผู้ติดตาม 100 ล้านคน ตามรายงานของ SocialBlade โดยยอดผู้ติดตาม 100 ล้านคนของมัสค์นั้นประสบความสำเร็จในช่วงระหว่างวันที่ 26 ถึง 27 มิถุนายน โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 150,000 คนในสองวันนี้ ในขณะที่เขียนนี้ Musk มีผู้ติดตาม 100,059,886 คนแล้ว
โดยการบรรลุเป้าหมายครั้งนี้แรกก็มีเรื่องที่น่าสนใจ 2 ประการนั่นคือ
ประการแรก ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าขณะนี้ Musk อยู่ในกระบวนการซื้อ Twitter ในราคา 44 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในการเป็นผู้นำเพียงคนเดียวของเครือข่ายโซเชียลมีเดียรายใหญ่ที่ใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดียได้ดี ในทางตรงกันข้าม หน้า Facebook ของ Mark Zuckerberg CEO ของ Meta เป็นฟีดข่าวประชาสัมพันธ์อย่างกว้างๆ ในขณะที่ Adam Mosseri หัวหน้าของ Instagram มีสถานะเช่นเดียวกันบนแพลตฟอร์มที่เขาจัดการ
และ ประการที่สอง ก็คือคำถาม: มีกี่บัญชีที่เป็นของจริงและมีกี่บัญชีที่เป็นของปลอม Twitter ประเมินอย่างสม่ำเสมอว่าบัญชีน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์บนแพลตฟอร์มเป็นบอท แต่ Musk ได้แสดงความกังวลว่าจำนวนดังกล่าวอาจสูงขึ้นมากและขู่ว่าจะเดินออกจากข้อตกลงที่จะซื้อ Twitter หาก บริษัทไม่ยินยอมมอบหลักฐานเพิ่มเติมสำหรับตัวเลขของมัน
คำถามยังคงมีอยู่ว่าจริง ๆ แล้ว Musk ยังมีความกังวลเกี่ยวกับบอทสแปมของ Twitter หรือเป็นแค่การอ้างเพื่อต่อรองราคาให้ซื้อ Twitter ในราคาที่ต่ำลงจากความเป็นจริง
หลังจากที่ทวีตเตอร์ของมัสค์ได้บรรลุเป้าหมาย 100 ล้านคนติดตาม เราได้มองย้อนหลังกลับไป มัสค์ไม่ได้ทวีตมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ โพสต์ล่าสุดของเขาที่ไม่ได้ตอบกลับใครคือตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน และเห็นได้ชัดว่าราคาน้ำมันอยู่ที่ 7.11 ดอลลาร์ที่ 7-Eleven Snopes รายงานว่าจริง ๆ แล้วภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และแสดงราคาทดสอบเพื่อส่งเสริมการเปิดร้านใหม่ แทนที่จะเป็นภาพสะท้อนของราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในปีนี้
สำหรับคนที่ยอดติดตามสูงส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเล่น Barack Obama, Rihanna, Katy Perry และ Cristiano Ronaldo เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ลูกเนียง ไม่ใช่ฆาตกร วิธีทานปลอดภัยง่ายๆ ลดพิษได้ แถมช่วยคุมเบาหวาน
ลูกเนียง ไม่ใช่ฆาตกร แนะวิธีทานปลอดภัย ลดพิษได้ แค่ต้มสุก หรือ หั่นบาง ตากแดด แพทย์ชี้ ยังคงสรรพคุณช่วยควบคุมเบาหวาน ขับปัสสาวะ แค่อย่าทานมากไป
จากข่าวผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทาน “ลูกเนียง” ดิบปริมาณมากจิ้มน้ำพริก ในพื้นที่จังหวัดตาก จนเกิดกระแสข่าว ลูกเนียง เป็นพิษ ทั้งที่ ลูกเนียง ไม่ใช่ฆาตกร แต่การทานมากเกินไป จะส่งผลให้เสี่ยงอันตรายจากสารพิษ “กรดเจงโคลิค” ในลูกเนียง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ทานอย่างไรให้ปลอดภัย และเกิดประโยชน์ ไม่ใช่เกิดโทษ
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดี กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (ปี 2559-2563) พบเหตุการณ์อาหารเป็นพิษจากการรับประทานพืชทุกปี รวม 7 เหตุการณ์ จำแนกเป็น พิษจากกลอย 3 เหตุการณ์ พบผู้ป่วยรวม 65 คน มีผู้เสียชีวิต 2 คน พิษจากสบู่ดำ 1 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย 5 คน พิษจากว่านจักจั่น 2 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย 2 คน และล่าสุด พบจากพิษลูกเนียง 1 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย 1 คน
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ล่าสุด ที่พบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีรายงานผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทาน “ลูกเนียง” ดิบปริมาณมากจิ้มน้ำพริก ในพื้นที่จังหวัดตาก โดยมีอาการปวดหน่วงท้องน้อย ปัสสาวะลำบากมาก เป็นเลือดแดงสด และไม่กี่ชั่วโมงต่อมาปัสสาวะไม่ออก ผลตรวจปัสสาวะพบตะกอนเหลืองขุ่น เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์พบผลึกรูปเข็มของกรดอะมิโนชื่อ กรดเจงโคลิก จากการตรวจเลือดพบว่ามีภาวะไตวายเฉียบพลัน
ทั้งนี้ การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่า ในช่วงนี้มีโอกาสจะพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ จากการรับประทาน “ลูกเนียง” ได้ เนื่องจากช่วงนี้ของทุกปีเป็นฤดูกาล ที่ต้นลูกเนียงเริ่มให้ผลผลิต และ ออกสู่ตลาด ทำให้ประชาชนเก็บ หรือ ซื้อมารับประทาน ซึ่งการรับประทานในปริมาณที่มาก จะทำให้เกิดอาการป่วยจากอาหารเป็นพิษได้
อย่างไรก็ตาม ลูกเนียง ประกอบด้วยแป้งร้อยละ 70 โปรตีนร้อยละ 15 นอกจากนี้ประกอบด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 1 บี 12 วิตามินซี ฟอสฟอรัส กำมะถัน กรดโฟลิค กรดอะมิโน 12 ชนิด มีสรรพคุณช่วยควบคุมเบาหวาน และขับปัสสาวะ ซึ่ง ประชาชนภาคใต้นิยมกินกับน้ำพริกหรือแกงพุงปลา หรือนำมาต้มทำของหวาน ส่วนที่นำไปกินคือ เมล็ดข้างในเปลือก มีกลิ่นฉุน รสชาติมัน อร่อย กินได้ทั้งผลอ่อนและแก่
อย่างไรก็ตาม ลูกเนียง มีด้านความเป็นพิษ โดยพบว่า มีสารพิษที่เรียกว่า “กรดเจงโคลิค” ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ที่มีกรดกำมะถันสูงมาก สารพิษชนิดนี้จะทำลายระบบประสาทของไตให้เสื่อมลง หากอาการรุนแรงจะทำให้ไตล้มเหลวจนถึงเสียชีวิตได้ แต่อาหารเป็นพิษจากลูกเนียงโดยทั่วไปพบได้น้อย
กรมควบคุมโรค จึงขอเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังในการกินพืชที่เข้าใจว่ากินได้ ซึ่งหากกินในปริมาณมากเกินไปหรือไม่ทำให้พิษในพืชน้อยลงหรือหมดไป อาจทำให้เป็นอันตรายได้ จึงควรสืบค้นหรือถามข้อมูลก่อน
นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ยังแนะนำ วิธีทาน ลูกเนียง ให้ปลอดภัย และลดพิษในลูกเนียงให้น้อยลง ด้วยการนำเมล็ดไปเพาะในทราย ให้มีหน่อต้นอ่อนงอกออกมา หรือนำเมล็ดไปต้มให้สุก หรือหั่นชิ้นบางๆ แล้วนำไปตากแดดก่อน
สำหรับวิธีสงสัยอาหารเป็นพิษจาก ลูกเนียง หากกินลูกเนียงดิบปริมาณมาก แล้ว 2-14 ชั่วโมงต่อมา จะมีอาการทางไต ปวดบริเวณขาหนีบ ปัสสาวะลำบากและปวดปัสสาวะมาก น้ำปัสสาวะขุ่นข้นเป็นสีน้ำนม และอาจปัสสาวะเป็นเลือด บางรายมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน
ทั้งนี้ ในรายที่รุนแรงขึ้นอาจปัสสาวะไม่ออก และอาจเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองใน 3-4 วัน บางรายมีไข้ต่ำ ปัสสาวะน้อยและมีความดันโลหิตสูงได้ และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
ดังนั้น จึงฝากแจ้งเตือนถึงพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังในการกินลูกเนียง โดยในคนปกติให้กินแต่น้อย และผู้ป่วยในกลุ่มโรคนิ่วในไต, ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะลำบาก หรือผู้ป่วยไตเสื่อมทุกระยะ ไม่ควรกินลูกเนียง เนื่องจากอาจเกิดอันตราย และก่อให้เกิดอาการป่วยรุนแรงได้
ขณะที่ ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา ให้ความรู้เกี่ยวกับ ลูกเนียง หรือ ชะเนียง ว่า เป็นพืชตระกูลถั่ว พันธ์ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลเป็นฝักใหญ่ ในหนึ่งฝักอาจมี 10-14 เมล็ด เนื้อในเมล็ดใช้บริโภค เมื่อแก่จัดเป็นสีเหลืองนวล มีรสมันกรอบ กลิ่นฉุนฃฃ
ด้าน กรดแจงโคลิค ที่พบในลูกเนียง เป็นกรดอะมิโนที่มีกรดกำมะถันสูงมาก และเป็นพิษต่อร่างกาย สารเป็นพิษชนิดนี้จะทำลายระบบประสาทของไตให้เสื่อมลง ถ้ารับประทานลูกเนียงดิบเป็นจำนวนมาก ทำให้ปัสสาวะไม่ออก หรือปัสสาวะไม่สะดวก ปัสสาวะขุ่นขาวเป็นสีน้ำนม อาจมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก thebangkokinsight.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/06/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,150.00 | 30,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,953.00 | 29,607.48 | 30,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,757.70 | 26,646.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,562.40 | 23,685.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 879.00 | 13,325.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 684.00 | 10,369.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,024.00 | 30,683.84 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/06/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 45.15 | 45.15 | 46.15 | 45.85 | 46.05 | 45.15 | 45.15 | 45.15 | 45.85 | 45.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 44.88 | 44.88 | 45.88 | 45.58 | 45.78 | 44.88 | 44.88 | 44.88 | 45.58 | 44.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 44.04 | 44.04 | 45.04 | 44.74 | 44.94 | – | 44.04 | 44.04 | 44.74 | 44.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.54 | 37.54 | – | – | – | – | – | – | – | 37.54 |
เบนซิน 95 | 52.56 | – | – | – | 53.91 | – | 53.06 | 53.66 | – | 52.56 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.24 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 46.36 | 49.36 | 51.69 | 50.56 | 50.59 | – | – | – | – | 46.36 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |