สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 กันยายน 2564

คนโอนบ้าน-ภาษีที่ดินเฮ กรมธนารักษ์ ยืดใช้ราคาประเมินเก่าถึงปี67

คนโอนบ้าน-ภาษีที่ดินเฮ กรมธนารักษ์ ยืดใช้ราคาประเมินเก่าถึงปี67

คนโอนบ้าน-จ่ายภาษีที่ดินเฮ กรมธนารักษ์ เตรียมประกาศขยายใช้ราคาประเมินที่ดินเก่าปี 59-62 ออกไปถึงปี 67 ช่วยบรรเทาภาระประชาชนช่วงสถานการณ์โควิด-19 กระตุ้นตลาดอสังหาฯ

สถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์-จดจำนองซื้อที่อยู่อาศัย ตลอดจน ลด ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง 90% พร้อมทั้งขยายเวลาการใช้ราคาประเมินทรัพย์สิน เดิมออกไป

นางสาววิลาวัลย์ วีระกุล รองอธิบดีกรมธนารักษ์ด้านประเมินราคาทรัพย์สินเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าต้นเดือนกันยายนนี้ กรมธนารักษ์ ประกาศขยายรอบบัญชีราคาประเมินทรัพย์สิน ปี2559-2562 ที่จะสิ้นสุดปี2564 ให้ใช้ต่อไปถึงปี 2567 

วิลาวัลย์ วีระกุล รองอธิบดีกรมธนารักษ์

ทั้งนี้เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนสำหรับ ผู้ซื้อบ้าน เรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง กระตุ้นตลาดอสังหา ริมทรัพย์ ตลอดจนลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะราคาประเมินทรัพย์สินใหม่ที่เคยจะนำออกประกาศใช้ตามรอบบัญชีปกติในทุก4ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2563 นั้น ราคาประเมินจะปรับขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครราว 10-15 % ทำเลกลางเมืองราคาสูงสุดอยู่ที่ 1ล้านบาทต่อตารางวา อย่างเช่น

  • ถนนวิทยุ ปรับขึ้นจากราคาตารางวาละ 7.5 แสนบาทเป็น 1 ล้านบาทต่อตารางวา
  • สีลม 7-7.5 แสน บาทต่อตารางวาเป็น 1 ล้านบาท ต่อตารางวา

นอกจากนี้ ยังมีทำเลที่รัฐบาลลงทุนรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่ปรับสูงซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลที่ดินช่วงก่อนโควิด

สำหรับบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ ปี 2564-2567 ซึ่งเป็นบัญชีรอบที่ 1 ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) การประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐพ.ศ.2562 ที่ยังคงใช้ราคาประเมินฯปี 2559 ไปก่อนจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น และ บัญชีรอบที่ 2

ตั้งแต่ปี 2567-2568 จะพิจารณาปรับราคาประเมินใหม่ให้สะท้อนราคาตลาดหรือใกล้เคียง โดยอาศัยกฎหมาย การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ดังกล่าว แต่จะต้องพิจารณาว่า ราคาซื้อขายอสังหาฯ หลังโควิดลดลงต่ำลงกว่าราคาประเมินฯ เหมือนช่วง ต้มยำกุ้งหรือไม่ ทั้งนี้เท่าที่สำรวจช้อมูลเบื้องต้น จากกรมที่ดินพบว่าราคาอสังหาฯยังสูงกว่าราคาประเมิน ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงไม่ใช่การเก็งกำไร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าแนวโน้มราคาประเมินฯช่วงหลังวิกฤติโควิดอาจจะปรับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์โควิดดีขึ้น ก่อนปีที่ประกาศใช้ บัญชีราคาประเมินฯเก่า กรมจะพิจารณาปรับราคาประเมินขึ้นได้ ก่อนเช่นกันเช่น ปี 2566 เป็นต้น

“วันนี้ได้นำข้อมูลที่มีการสำรวจการซื้อ-ขาย จากกรมที่ดิน เพื่อที่กรมธนารักษ์จะนำมาจัดทำเป็นข้อมูล ประกอบกับ กฎหมายใหม่ การประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐพ.ศ.2562 บังคับใช้ เปิด ช่องทางให้ใช้ ข้อมูลจากแหล่งต่างๆได้มากขึ้น โดยเฉพาะราคาตลาด อีกทั้งสามารถหาข้อมูลประกอบในภาพกว้างขึ้น ซึ่งกรมมีการนำ BigData มาใช้ ดังนั้นจะทำการประเมินราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดมากขึ้น ปัจจุบันห่างกันถึง 3เท่า แต่อนาคตจะใกล้เคียง จากการนำเทคโนโลยีมาช่วย น่าจะปรับเกินกว่า 10% ขึ้นไป”

ด้านนายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด ในฐานะอุปนายกสมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย (TVA: Thai Valuer Association) สะท้อนว่า กำลังซื้อคนไทยหายไปเกือบหมด ขณะการพัฒนาของผู้ประกอบการลดลง 50% สถาบันการเงินมีความระมัดระวัง ตลาดแนวราบเติบโตขึ้น จึงไม่ถึงขั้นวิกฤติเหมือนช่วงต้มย้ำกุ้ง ปี 2540

วสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากรมธนารักษ์ เตรียมประกาศขยายใช้ราคาประเมินเก่าออกไปเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ในอนาคต ราคาประเมินฯ น่าจะปรับขึ้นเพราะกรมธนารักษ์ไม่ได้ปรับราคา 10 ปี หากนับตั้งแต่ช่วงจัดเก็บข้อมูลก่อนประกาศใช้ปี 2559 เพราะราคาสูงสุดคือสีลม 1 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะทำเล ถนนวิทยุมีความเคลื่อนไหวมากจากการพัฒนาและซื้อขาย ส่วนหลายพื้นที่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี ) อย่างสีลม สุขุมวิท เพลินจิต มีเคลื่อนไหวแต่ไม่มาก เพราะที่ดินหากยาก และมีราคาแพง

สำหรับราคาประเมินที่ดินใหม่ ในเขตกทม.ที่เลื่อนบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2563 เรื่อยมาจากสถานการณ์โควิด เฉลี่ยทั้งประเทศปรับเพิ่ม 7-8 % กทม.เฉลี่ยปรับเพิ่ม 10-15% เมื่อเทียบราคาประเมินเดิมปี 2559-2562 ย่านกลางเมือง ศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ อย่างเช่น

  • สีลม จากราคา 7-7.5 แสนบาทต่อตารางวา ปรับเป็น 1 ล้านบาทต่อตารางวา
  • เพลินจิต จาก 9 แสนบาทต่อตารางวา เป็น 1 ล้านบาทต่อตารางวา
  • พระราม 1 จาก 4 แสนบาทต่อตารางวา เป็น 1 ล้านบาทต่อตารางวา
  • วิทยุ จาก 5 -7.5 แสนบาทต่อตารางวา เป็น 1 ล้านบาทต่อตารางวา
  • สาทร จาก 4.5-7.5 แสนบาทต่อตารางวา เป็น 4.5-8 แสนบาทต่อตารางวา
  • สุขุมวิท จาก 2.1-6.5 แสนบาท ต่อตารางวา เป็น 2.3-7.5 แสนบาทต่อตารางวา
  • พหลโยธิน จาก 1-4 แสนบาทต่อตารางวา เป็น 1.3-5 แสนบาทต่อตารางวา
  • รามอินทรา 8.5 หมื่น -1.5 แสนบาทต่อตารางวา เป็น 1-1.7 แสนบาทต่อตารางวา เป็นต้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บางขุนนนท์” ฮับใหญ่รถไฟฟ้า3สาย ดึงบิ๊กทุนเข้าพื้นที่  

 “บางขุนนนท์” ฮับใหญ่รถไฟฟ้า3สาย ดึงบิ๊กทุนเข้าพื้นที่  

รถไฟฟ้า3สายจุดพลุ บางขุนนนท์ ฮับใหญ่เชื่อมการเดินทาง  สายสี น้ำเงิน สายสีส้ม- สายสีแดง ผังเมืองรวมกทม.ใหม่เปิดทางขึ้นตึกสูงพัฒนาเชิงพาณิชย์ ดึงบิ๊กทุนเข้าพื้นที่

“บางขุนนนท์” กลายเป็นทำเลทองใหม่ย่านฝั่งธนบุรี ที่มีบริษัทพัฒนาที่ดินให้ความสนใจปักหมุดขึ้นตึกสูงกันมาก เพราะนอกจากผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่จะให้ความสำคัญเปิดพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์ ได้มากแล้ว ยังเป็นจุดตัดรถไฟฟ้ามากถึง3สาย 

 แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานครระบุว่า นอกจาก มีนบุรีแล้ว อนาคตสถานีบางขุนนนท์จะเป็น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายการเดินทางที่สำคัญ ย่านอยู่อาศัยแนวสูง  ย่านเศรษฐกิจการค้าพาณิชยกรรมขนาดใหญ่แหล่งรวมของความเจริญ เพราะมีรถไฟฟ้าเชื่อมถึง3สาย ได้แก่สายสีส้ม น้ำเงิน และสายสีแดง  ผังเมืองกทม.ใหม่ เปิดให้พัฒนาเต็มศักยภาพ  เพื่อสร้างแหล่งงาน ที่อยู่อาศัยไว้ในที่เดียวกัน

ขณะปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมตึกสูงเกิดขึ้นอย่างมากบนถนนจรัญสนิทวงศ์ จากอานิสงค์รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สร้างความเจริญเข้าสู่พื้นที่ พลิกจาก ชุมชนอยู่อาศัยเก่าแก่ ตึกแถวอาคารพาณิชย์ ขึ้นตึกสูงตลอดแนว  หากย้อนไปในอดีตย่านนี้ห่างไกลความเจริญมาก การเดินทางใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน เพราะการเดินทางค่อนข้างลำบาก

ส่วนที่ดิน ราคา 3-4แสนบาทต่อตารางวาและมีแนวโน้มขยับขึ้น อนาคตจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเข้าสู่กลางใจเมือง ออกนอกเมืองสามารถ เชื่อมโยงถึงกันเพียงไม่กี่นาที

 “บางขุนนนท์” ฮับใหญ่รถไฟฟ้า3สาย ดึงบิ๊กทุนเข้าพื้นที่  

โดยสถานี บางขุนนนท์ มีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย เปิดให้บริการรออยู่แล้ว บริเวณแยกบางขุนนนท์  และอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี)  วิ่งใต้ดินโผล่ เหนือพื้นดิน เชื่อมเข้ากับ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่วิ่งลอยฟ้า รับส่งผู้โดยสาร 

 อีกเส้นทางที่เชื่อมเป็นสถานีร่วม คือรถไฟฟ้าสายสีแดง หรือรถไฟชานเมืองสายสีแดง (ศิริราช – ตลิ่งชัน) ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)จะเปิดประมูลอย่างช้าปลายปีนี้อย่างเร็วต้นปีหน้า อีกด้วย

“ บางขุนนนท์เป็นสถานีร่วมของรถไฟฟ้าถึง 3 สาย จึงทำให้สถานีนี้เป็นจุดสำคัญที่คนที่ใช้บริการตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์จะมาเปลี่ยนสายที่นี่เพื่อต่อสายสีส้มเข้าเมือง หรือต่อสายสีแดงออกนอกเมืองได้สะดวก”

สำหรับ สถานีบางขุนนนท์เป็นสถานีร่วมระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน กับ  สายสีส้ม ส่วน สถานีจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งอยู่พื้นที่บริเวณเดียวกัน เป็นของรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงสำหรับสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม ตัวสถานีอยู่คนละชั้นกัน สายสีน้ำเงินอยู่ลอยฟ้า แต่สายสีส้มอยู่ใต้ดิน ทำให้การเชื่อมต่อต้องมีการแตะบัตรออกก่อน แล้วจึงแตะบัตรเข้าใหม่ แต่จะสามารถใช้บัตรของทางรฟม.โดยสารข้ามกันได้ 

แหล่งข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า สำหรับ บิ๊กเนมที่ปักหมุดบนถนนจริญสนิทวงศ์แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน  มีทุกแบรนด์ เพราะศักยภาพของทำเลที่เติบโตสูง อีกทั้งมีถนนเลียบทางรถไฟตลิ่งชันที่เชื่อมสู่ถนนสายหลักทั้งถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี ถนนราชพฤกษ์ได้สะดวก

ขณะสถานีบางขุนนนท์  ปัจจุบัน มีคอนโดฯปักหมุดจำนวนมากไม่แพ้กัน เพราะทั้งผู้บริโภคและ ผู้ประกอบการต่าง รอจุดเชื่อมต่อแห่งอนาคตของรถไฟฟ้า 3 สายที่กำลังจะมาถึงนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แนวโน้มหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ

แนวโน้มหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ

แนวโน้มหุ้นไทย 30 ส.ค.64 คาดดัชนีปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้น 50 บาท

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 64 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ดีดขึ้นราว 0.2-0.3% ตามตลาดสหรัฐฯ หลังจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันเฟดไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปีนี้ก็ตาม

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังจากวิตกภาวะตึงตัวจากการที่บริษัทน้ำมันหลายแห่งพากันยุติการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ก่อนพายุเฮอริเคนจะเข้าถล่มในช่วงสุดสัปดาห์นี้

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศดูดีขึ้น และจะมีการทยอยคลายล็อกดาวน์ในวันที่ 1 ก.ย.นี้

อย่างไรก็ดี วันนี้ให้ติดตามผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทย, ในวันที่ 31 ส.ค.ให้ติดตาม MSCI Rebalance และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ, การชุมนุมใหญ่ทางการเมืองวันที่ 2 ก.ย.นี้ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจก็ให้ติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการของทั่วโลกจะทยอยออกมา รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ

พร้อมให้แนวรับ 1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620-1,625 จุด

ด้าน สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทองคำประจำวัน เปิดตลาดปรับขึ้น 50 บาท ทองแท่ง รับซื้อ 27,900 บาท ขายออก 28,000 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อ 27,394.12 บาท ขายออก 28,500 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


กระหึ่ม “สุนิสา ลี” ยิมนาสติกเชื้อสายม้ง คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2020

กระหึ่ม “สุนิสา ลี” ยิมนาสติกเชื้อสายม้ง คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2020

สุนิสา ลี นักกีฬายิมนาสติกเชื้อสายม้ง คว้าเหรียญทองยิมนาสติกในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ให้กับทีมชาติสหรัฐอเมริกา

วันที่ 29 ก.ค. 64 การแข่งขันยิมนาสติก ประเภทบุคคล รวมอุปกรณ์ ในศึกโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

ผลปรากฏว่า สุนิสา ลี นักยิมนาสติกสาวเชื้อสายม้ง วัย 18 ปี คว้าเหรียญทองมาให้ทีมชาติสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ หลังทำคะแนนรวม 57.433 คะแนน รวมทั้ง 4 อุปกรณ์

ส่วนเหรียญเงินได้แก่ รีเบกา อัลดราเด จากบราซิล 57.298 คะแนน และเหรียญทองแดง ตกเป็นของ แองเจลินา เมลนิโควา จากโอลิมปิกรัสเซีย 57.199 คะแนน

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


7 วิธีแก้ความอ่อนเพลีย ให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน

7 วิธีแก้ความอ่อนเพลีย ให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน

คุณเคยรู้สึกว่าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่สดชื่นบ้างหรือไม่ วันๆ คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรง เหมือนมีแต่กายหยาบไร้จิตวิญญาณ ไร้สติ ซึ่งคงจะลำบากน่าดูที่ต้องทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันด้วยสภาพนั้น เพราะมันอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง และโหยหาเตียงนอนมากกว่าใดๆ ทั้งหมด ยิ่งถ้าคุณ Work from Home ด้วยแล้วล่ะก็ ไม่น่ารอด ที่คุณจะแอบอู้งานไปนอนจนงานไม่เสร็จ

จริงๆ แล้วเราทุกคนต่างเคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วทั้งนั้น ส่วนใหญ่เราจะเรียกมันว่า “น้ำตาลตก” คุณจะไม่มีแรงทำงาน หรือทำอะไรแบบซังกะตาย โดยในช่วงนี้ คือช่วงที่ร่างกายของคุณเริ่มหมดพลังงาน จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงและรู้สึกอ่อนเพลีย ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงออกทางร่างกายเท่านั้น จิตใจคุณก็ห่อเหี่ยวตามไปด้วย

Elizabeth DeRobertis นักโภชนาการและผู้อำนวยการศูนย์โภชนาการ Scarsdale Medical Group ประจำโรงพยาบาลไวท์เพลนส์ กล่าวว่า “มีหลายวิธีที่เราสามารถเพิ่มพลังงานระหว่างวันได้ โดยเน้นไปที่การกินอาหารที่เหมาะสม และจังหวะเวลาของมื้ออาหารและช่วงของว่าง” เพื่อให้ร่างกายรักษาระดับพลังงานในการดำเนินชีวิตได้คงที่ตลอดวัน ซึ่งวิธีเหล่านี้คนส่วนใหญ่รู้ดีว่ามีผลดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังเลือกที่จะทำตรงกันข้าม

อย่างไรก็ดี Yasi Ansari นักโภชนาการสถาบันโภชนาการและการควบคุมอาหาร ยังบอกอีกว่า “เพื่อผลที่ดีที่สุด คุณต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยอื่นๆ ที่จะบั่นทอนพลังงานของคุณด้วย เช่น การอดนอนและความเครียด”

  1. ว่าด้วยเรื่องการกิน

อาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย เมื่อคุณกินอาหารเข้าไป จะผ่านกระบวนการย่อยและเผาผลาญ เปลี่ยนเป็นสารอาหารและพลังงานให้ร่างกาย อย่างไรก็ดี คุณจำเป็นต้องควบคุมการกินอาหารด้วย ไม่ใช่ว่าจะตามใจปากกินตามใจชอบ ซึ่งถ้าคุณต้องการให้ร่างกายกระฉับกระเฉงตลอดทั้งวัน คุณควรวางแผนการกินดังนี้

  • กินทุกๆ 3-4 ชั่วโมง เพื่อรักษาพลังงานให้คงที่ตลอดทั้งวัน การทิ้งช่วงมื้ออาหารนานเกินไปทำให้พลังงานตก ร่างกายจะเตือนให้คุณรู้เมื่อคุณรู้สึกหิว และระหว่างนั้นอาจทำให้คุณกินจุบกินจิบ ดังนั้น คุณควรกินอาหารให้ถี่ขึ้นทุกๆ 3-4 ชั่วโมง (เมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าหิว) โดยกินทีละน้อยๆ เน้นบ่อยๆ และไม่ใช่ว่าจะกินอะไรก็ได้ เลือกที่มีประโยชน์ด้วย
  • เน้นโปรตีน โปรตีนเป็นสารอาหารที่อยู่ท้อง อิ่มนาน เพราะใช้เวลาย่อยนานกว่าสารอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้ โปรตีนยังช่วยเพิ่มรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างในมื้ออาหารด้วย
  • คาร์โบไฮเดรต เน้นอาหารที่ใยอาหารสูง เช่น ผลไม้และธัญพืชไม่ขัดสี โดยคาร์โบไฮเดรตจะเป็นสารอาหารที่ร่างกายใช้เวลาย่อยเร็วที่สุด เพิ่มพลังงานให้ร่างกายเร็วกว่าสารอาหารชนิดอื่นๆ แต่ใยอาหารจะทำให้การลำเลียงคาร์โบไฮเดรตช้าลง อิ่มนานขึ้น รักษาพลังงานไว้ได้นานขึ้น ภาวะน้ำตาลตกก็จะช้าลงตาม เมื่อระดับพลังงานคงที่ คุณก็จะไม่หิว ไม่อยากอาหารบ่อยๆ นั่นเอง
  • ขนมกินได้แต่ต้องเลือก ไม่ได้แปลว่าคุณจะกินขนมไม่ได้ แต่คุณอาจต้องเลือกกิน ซึ่งขนมที่อุดมด้วยสารอาหาร จะช่วยรักษาระดับพลังงานของคุณให้คงที่ หากมีขนม 2 อย่างที่แคลอรีเท่ากัน การเลือกขนมที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์กว่าก็ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าเช่นกัน ได้พลังงานและได้ประโยชน์ ดีกว่าขนมที่กินแล้วได้แต่แคลอรีอย่างเดียวแน่นอน
  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายของคุณขาดน้ำหรือได้รับน้ำที่ไม่เพียงพอ หัวใจของคุณจะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด เนื่องจากเลือดคุณข้นหนืด ไหลเวียนไม่สะดวก ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียได้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญและการลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนล้าไม่มีแรง เพราะได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอ คุณสามารถเช็กการดื่มน้ำของตัวเองจากการปัสสาวะ หากคุณดื่มน้ำเพียงพอ คุณจะรู้สึกว่าต้องปัสสาวะทุกๆ 2-3 ชั่วโมงระหว่างวัน นอกจากนี้ให้สังเกตสีของปัสสาวะ หากสีเข้มมากคุณก็ดื่มน้ำน้อยเกินไป

  1. นอนหลับอย่างมีคุณภาพ

การที่คุณนอนหลายชั่วโมง ไม่ได้แปลว่าคุณพักผ่อนเพียงพอถ้าการนอนนั้นไม่มีคุณภาพ สังเกตได้จากคุณยังรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนทั้งวันทั้งที่เข้านอนเร็วและ (คิดว่า) นอนหลายชั่วโมง การนอนหลับที่มีคุณภาพมีผลต่อระดับพลังงานในแต่ละวัน มีงานวิจัยบางชิ้นที่สนับสนุนว่าเมื่อคุณนอนหลับไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายดื้ออินซูลิน มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาล แต่ที่แน่ๆ ถ้าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง เมื่อพลังงานไม่พอ คุณก็มีแนวโน้มจะกินมากขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงาน กินเท่าไรก็ไม่พอเพราะระบบเผาผลาญทำงานไม่ดี

  1. อย่าใช้คาเฟอีนเพื่อเพิ่มพลัง

คาเฟอีนช่วยกระตุ้นพลังได้ในระยะสั้นเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป พลังงานของคุณก็จะค่อยๆ ผ่อนลง แต่ไม่ได้หมายความคุณจะดื่มกาแฟไม่ได้ เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณคาเฟอีนให้ได้วันละ 200 ถึง 300 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งปริมาณจะเท่ากับกาแฟที่ชงแล้วประมาณ 2 แก้ว ฉะนั้น คุณสามารถดื่มกาแฟในตอนเช้าได้ตามปกติ ขอแค่อย่าดื่มมากจนเกินไป และต้องเว้นระยะห่างต่อแก้วให้พอดี สมดุลกับการกินอาหารและการดื่มน้ำเปล่า

  1. เพิ่มการออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย นอกจากจะมีผลให้ร่างกายของคุณแข็งแรงแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉงได้ดีทีเดียว การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน หรือฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับเลือดอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีผลต่อการควบคุมอินซูลิน ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ เมื่อไม่รู้สึกว่าน้ำตาลตก คุณก็จะไม่รู้สึกเพลียหรืออ่อนล้าหมดแรง

  1. ควบคุมความเครียด

หากคุณเครียดมากเกินไป จะทำให้คุณรู้สึกอ่อนล้าและหมดพลังงานได้ ไม่เพียงเท่านั้น ความเครียดยังส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ เมื่อคุณรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ก็ทำให้ยิ่งเหนื่อยและหงุดหงิด แล้วก็จะเครียดหนักกว่าเดิม ดังนั้น คุณจะต้องควบคุมระดับความเครียดของตนเองไม่ให้มีมากเกินไปจนรบกวนการใช้ชีวิต ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น การทำงานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ฟังเพลง นอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง จะช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและความเครียดได้ แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่คุณต้องเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเอง

  1. ดูแลตัวเอง

ร่างกายของคุณ ถ้าคุณไม่ดูแลแล้วจะหวังให้ใครมาดูแล สุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณจะดีหรือแย่อยู่ที่การดูแลตัวเอง พลังงานที่ทำให้เราดำรงชีวิตได้มาจาก 2 ส่วน คือ พลังทางกายและพลังทางจิตใจ หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มล้า คุณต้องระบุให้ได้ว่าต้องการเพิ่มพลังกายหรือพลังใจ หากต้องการพลังงานกายเพราะหิว คุณก็ไปหาอะไร (ที่มีประโยชน์) กิน ง่วงก็ไปงีบ เหนื่อยก็ดื่มน้ำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย แต่ถ้าต้องการพลังใจ คุณต้องหากิจกรรมที่ช่วยกำจัดพลังงานลบ ลองออกไปเดินรับอากาศบริสุทธิ์ หรือทำอะไรที่ออกแรงกายมากๆ เพื่อผ่อนความตึงเครียดลง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


จัดอันดับ 10 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่จดจำความหมายได้ยากที่สุด

เพื่อนๆหลายคนคงจะทราบดีกว่า หนึ่งในเคล็ดลับการท่องจำคำศัพท์ให้ได้ผลนั่นก็คือ การเข้าใจส่วนประกอบของคำ ไม่ว่าจะเป็นรากศัพท์ (root) รวมไปถึง prefix หรือ suffix นั่นเอง

แต่ในบทความนี้ ผมก็มี 10 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ถูกจัดอันดับโดย mentalfloss.com ให้เป็น “10 คำศัพท์ที่จดจำความหมายยากที่สุด” มาฝากให้เพื่อนๆได้เอาไปฝึกจำกันครับ

เนื่องจาก 10 คำต่อไปนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยคำที่ดูเหมือนว่าจะเป็น suffix แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ รวมไปถึงรากศัพท์ที่จะสร้างความสับสน เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับคำศัพท์อื่น หรือไม่เคยมีรากศัพท์นั้นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ จนทำให้เราเกิดความสับสนในการจำได้นั่นเองครับ

เอาเป็นว่าเราลองไปดูกันดีกว่าว่า 10 คำนี้จะมีคำว่าอะไรกันบ้าง ทั้งนี้เพื่อนๆสามารถคลิกเข้าไปที่ลิ้งค์คำศัพท์ เพื่อดูความหมายอย่างละเอียดของคำนั้นได้เลยครับ

1. NONPLUSSED – filled with bewilderment
2. INCHOATE – only partly in existence; imperfectly formed
3. CACHET – an indication of approved or superior status;
4. PANACHE – distinctive and stylish elegance
5. INDEFATIGABLE – showing sustained enthusiastic action with unflagging vitality
6. UNCANNY – surpassing the ordinary or normal
7. UNABASHED – not embarrassed
8. DILATORY – wasting time
9. MARTINET – someone who demands exact conformity to rules and forms
10. HOI POLLOI – the common people generally

ขอบคุณข้อมูลจาก wegointer.com


เมื่อแฮกเกอร์ได้เงินรางวัล 5 แสน แถมได้รับเชิญเข้าร่วมงาน กับบริษัทที่ตัวเองแฮก

มีข่าวที่สร้างความฮือฮาในโลกคริปโตอยู่ไม่ใช่น้อย เมื่อบริษัท Poly Network ได้คืนเงินมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ใน crypto ที่ถูกแฮกเกอร์ขโมยไปก่อนหน้า ซึ่งรวมถึง Ethereum, Binance tokens และ Dogecoin.สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แฮกเกอร์ที่ขโมยเงินไปกล่าวว่า นี่เป็นการขโมยเพื่อทำให้ Poly Network นั้นปลอดภัย เพราะระบบของบริษัทนั้นมีช่องโหว่.เมื่อแฮกเกอร์คืนเงินคริปให้ Poly Network ให้รางวัลเป็นเงิน 5 แสนดอลล่าห์ซึ่งเป็นค่าค้นหาความบกพร่องภายในบริษัท รวมทั้งได้เชื้อเชิญแฮ็กเกอร์ให้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของบริษัท ซึ่งแฮ็กเกอร์ยอมรับข้อตกลงดังกล่าวด้วย.เหตุผลหนึ่งที่แฮกเกอร์คืนหนึ่ง มีการวิเคราะห์กันว่า ความโปร่งใสของเทคโนโลยีบล็อคเชนทำให้ยากต่อการหลบหนี หากเอาเงินถูกขโมยไปใช้จ่ายครับ.ก่อนหน้านี้ มีการวิเคราะห์กันว่า แฮกเกอร์นั้นเหมือนจะได้รับคีย์ของ Poly Network แต่ไม่ใช่ครับ เหมือนกับว่า แฮกเกอร์นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยในเครือข่าย Poly Network ซึ่งทำให้เขาสามารถทำธุรกรรมที่เขาไม่ควรจะทำได้.เหตุการณ์แฮกบรรลือโลกนี้ก็ทำให้ Poly Network คว้าโอกาสบางอย่างไว้ โดยบริษัทได้เปิดโครงการหาบัคภายในระบบเครือข่ายของตน โดยมีเงินรางวัลสูงสุดคือ 100,000 ดอลลาร์ ครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก techhub.in.th


ข้าวโพด ประโยชน์เต็มฝัก กับข้อมูลโภชนาการที่สำคัญ

ข้าวโพด

ข้าวโพด ธัญพืชรสหวานอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี แร่ธาตุ เส้นใยอาหาร และเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ เชื่อกันว่าการรับประทานข้าวโพดมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ เช่น ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ เป็นต้น

ข้าวโพดกับข้อมูลทางโภชนาการ

ข้าวโพดเป็นธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งชนิดที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมารับประทาน คือ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดคั่ว และข้าวโพดข้าวเหนียวหรือข้าวสาลี โดยนำมาต้มสุกรับประทาน ใช้ประกอบอาหารหรือทำขนมหวาน แต่นอกจากรสชาติหวานอร่อยแล้ว ข้าวโพดยังประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ดังนี้

  • คาร์โบไฮเดรต ข้าวโพดมีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบหลักเช่นเดียวกับธัญพืชชนิดอื่น ๆ โดยข้าวโพดต้ม 1 ฝัก ที่หนักประมาณ 100 กรัม จะมีแป้ง 21 กรัม และน้ำตาล 4.5 กรัม ซึ่งข้าวโพดเพียงครึ่งฝักให้คาร์โบไฮเดรตเทียบเท่ากับข้าวสวย 1 ทัพพี แพทย์จึงไม่แนะนำให้รับประทานข้าวโพดและข้าวสวยในมื้อเดียวกัน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็น
  • เส้นใยอาหาร ข้าวโพดมีเส้นใยอาหารสูง โดยข้าวโพดหวานที่ต้มแล้ว 1 ฝัก จะมีเส้นใยอาหารประมาณ 2.4 กรัม ส่วนข้าวโพดคั่ว 1 ถุง ที่หนักประมาณ 112 กรัม จะมีเส้นใยอาหารประมาน 16 กรัม ซึ่งคิดเป็น 42 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายผู้ชายต้องการ/วัน และ 64 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายผู้หญิงต้องการ/วัน
  • วิตามินและแร่ธาตุ ข้าวโพดแต่ละชนิดประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุแตกต่างกันไป โดยข้าวโพดหวานอุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายนำสารอาหารประเภทไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ส่วนข้าวโพดคั่วนั้นเป็นแหล่งอาหารสำคัญของแร่ธาตุหลายชนิด เช่น ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส สังกะสี และทองแดง แต่ข้าวโพดคั่วที่จำหน่ายตามท้องตลาดมักมีน้ำมัน เนย เกลือ หรือน้ำตาลเป็นส่วนผสม หากรับประทานมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

สารต้านอนุมูลอิสระ ข้าวโพดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยป้องกันหรือยับยั้งความเสียหายของเซลล์ที่เกิดขึ้นจากอนุมูลอิสระ อันเป็นปัจจัยก่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือด เป็นต้น โดยข้าวโพดหวานที่คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานประกอบด้วยกรดเฟอรูลิก (Ferulic Acid) และสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งเป็นสารสีที่ให้สีเหลือง สีส้ม และสีแดงแก่พืชที่ได้พบในข้าวโพด เช่น ซีแซนทิน (Zeaxanthin) ลูทีน (Lutein) คริปโตแซนทิน (Cryptoxanthin) และเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)

สารโภชนาการเหล่านี้ที่พบในข้าวโพดทำให้เชื่อว่าข้าวโพดอาจดีต่อสุขภาพร่างกายด้านต่าง ๆ และอาจมีประสิทธิภาพป้องกันการเกิดโรคบางอย่างได้ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางส่วนค้นคว้าเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของข้าวโพดในแง่มุมต่าง ๆ ไว้ ดังนี้

บำรุงสายตา ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่มีวิตามินเอค่อนข้างสูง ซึ่งจำเป็นต่อสุขภาพของดวงตาและช่วยให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นดีขึ้น โดยข้าวโพดมีวิตามินเอสูงกว่าธัญพืชชนิดอื่นถึง 10 เท่า และยังมีสารคริปโตแซนทินและเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้เด็กอายุ 4-8 ปี จำนวน 1,024 คน ที่เสี่ยงต่อภาวะขาดวิตามินเอหรือป่วยเป็นภาวะนี้รับประทานข้าวโพดวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 200 กรัม เป็นเวลา 6 วัน/สัปดาห์ ติดต่อกัน 6 เดือน และเปรียบเทียบการตอบสนองต่อแสงของรูม่านตาทั้งก่อนและหลังการทดลอง พบว่าเด็กที่รับการทดลองมีระดับการตอบสนองต่อแสงของรูม่านตาดีขึ้น แต่ข้าวโพดที่ใช้ในงานวิจัยเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าสายพันธุ์ทั่วไป โดยมีปริมาณเบต้าแคโรทีนอยู่ที่ 15 ไมโครกรัม/น้ำหนัก 1 กรัม จึงไม่สามารถนำงานวิจัยนี้มายืนยันประสิทธิภาพของข้าวโพดที่ไม่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ได้จนกว่าจะมีการทดลองที่แน่ชัดต่อไป

นอกจากวิตามินเอ สารซีแซนทินและลูทีนในข้าวโพดอาจมีประโยชน์ต่อดวงตาเช่นกัน เพราะมีสารทั้ง 2 ชนิดนี้สะสมอยู่บริเวณจอประสาทตาในปริมาณสูง และเชื่อว่าโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุอาจเกี่ยวข้องกับการได้รับสารซีแซนทินและลูทีนไม่เพียงพอ โดยมีงานวิจัยที่เก็บข้อมูลการรับประทานอาหารของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมอายุระหว่าง 55-80 ปี จำนวน 356 คน พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานอาหารซึ่งมีสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ โดยเฉพาะสารซีแซนทินและลูทีนในปริมาณมากที่สุด มีความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมต่ำกว่ากลุ่มที่รับประทานซีแซนทินและลูทีนในปริมาณน้อยที่สุดถึง 43 เปอร์เซ็นต์ จึงอาจกล่าวได้ว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยซีแซนทินและลูทีนอย่างข้าวโพดมีแนวโน้มช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ แต่งานวิจัยดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานข้าวโพดเพียงอย่างเดียว จึงควรค้นคว้าวิจัยในด้านนี้ต่อไปโดยเจาะจงที่การบริโภคข้าวโพดเพียงอย่างเดียว เพื่อยืนยันประสิทธิผลของข้าวโพดซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันหรือรักษาโรคตาในอนาคต

ส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ข้าวโพดอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารในปริมาณสูง และส่วนใหญ่เป็นเส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีการบีบตัวได้ดี และช่วยบรรเทาอาการผิดปกติทางลำไส้ เช่น ท้องผูก ริดสีดวง และภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้ เป็นต้น การรับประทานข้าวโพดจึงอาจช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และอาจช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหารได้ด้วย

มีงานวิจัยหนึ่งทดสอบคุณสมบัติของรำข้าวโพดในการบรรเทาอาการท้องผูก โดยให้ผู้ทดลองเพศหญิงที่มีสุขภาพแข็งแรงแต่ท้องผูกจำนวน 10 คน รับประทานรำข้าวโพด 20 กรัม/วัน พบว่ารำข้าวโพดช่วยให้กากอาหารเคลื่อนตัวในลำไส้ได้เร็วขึ้น ลำไส้บีบตัวถี่ขึ้น อุจจาระนุ่มขึ้น และช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานข้าวโพดคั่วกับการเกิดโรคถุงผนังลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดถุงโป่งพองขนาดต่าง ๆ ขึ้นตามผนังลำไส้ใหญ่ และอาจทำให้ลำไส้อักเสบหรือมีเลือดออกในลำไส้ได้ โดยงานค้นคว้านี้ให้เพศชายอายุ 40-75 ปี ที่ไม่ป่วยเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารจำนวน 47,228 คน ตอบแบบสอบถามเพื่อประเมินความถี่ในการรับประทานข้าวโพดคั่วอย่างต่อเนื่อง 18 ปี พบว่ากลุ่มที่รับประทานข้าวโพดคั่วในปริมาณมากที่สุดมีความเสี่ยงต่อโรคถุงผนังลำไส้ใหญ่ต่ำกว่ากลุ่มที่รับประทานในปริมาณน้อยที่สุดถึง 28 เปอร์เซ็นต์

แม้งานวิจัยข้างต้นแสดงผลลัพธ์ในทิศทางที่ดีถึงคุณประโยชน์ของข้าวโพดต่อระบบย่อยอาหาร แต่ปัจจุบันยังมีหลักฐานทางการแพทย์จำนวนน้อยและไม่ชัดเจนเพียงพอ จึงควรศึกษาทดลองเพื่อพิสูจน์คุณสมบัติของข้าวโพดในด้านนี้ต่อไป ส่วนผู้ที่เจ็บป่วยหรือมีปัญหาในระบบย่อยอาหารควรเข้ารับการรักษาและปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการบริโภคอาหารอย่างเหมาะสม

ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันไม่ดีในเลือด (Low Density Lipoprotein: LDL) จนอาจเกิดคราบไขมันตามผนังหลอดเลือดหัวใจซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตันได้ การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงโดยเฉพาะธัญพืชอย่างข้าวโพดอาจช่วยลดระดับไขมันในเลือดซึ่งช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ โดยมีงานค้นคว้าจำนวนหนึ่งศึกษาสรรพคุณของธัญพืชที่มีผลต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ พบว่าการบริโภคธัญพืชชนิดต่าง ๆ รวมถึงข้าวโพดอาจช่วยลดระดับไขมันชนิดไม่ดีและไขมันคอเลสเตอรอลรวมในผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงเผชิญโรคหลอดเลือดหัวใจได้ แต่ควรศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจโดยเจาะจงใช้ข้าวโพดเพียงอย่างเดียวในกลุ่มทดลองขนาดใหญ่ต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ในอนาคต

การรับประทานข้าวโพดอย่างปลอดภัย

โดยทั่วไปการรับประทานข้าวโพดหรือผลิตภัณฑ์ข้าวโพดแปรูป มักไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างไรก็ตาม แม้ข้าวโพดมีสารโภชนาการที่เป็นประโยชน์มากมายและสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ ทว่าการรับประทานข้าวโพดร่วมกับน้ำตาล เนย หรือเกลือเป็นประจำอาจทำให้เสี่ยงเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคอ้วน และโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้น ข้าวโพดยังมีคาร์โบไฮเดรตสูงซึ่งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในภายหลัง หากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้หลอดเลือดอักเสบได้ และยังมีกรดไฟติก (Phytic Acid) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสีในอาหารได้ลดลง ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรรับประทานข้าวโพดในปริมาณที่พอดีเสมอ และควรปรึกษาแพทย์รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษหากกำลังมีปัญหาสุขภาพใด ๆ อยู่

นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรรับประทานข้าวโพดให้หมดภายในครั้งเดียว หรือเก็บรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม เพราะอาจเสี่ยงเกิดการปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อรา โดยเฉพาะเมื่อเก็บข้าวโพดไว้ในบริเวณที่มีอากาศร้อนอบอ้าวหรือมีความชื้นสูง ซึ่งสารพิษชนิดนี้เป็นตัวการก่อโรคต่าง ๆ ได้ทั้งในคนและสัตว์ และอาจเป็นอันตรายรุนแรงถึงชีวิต ส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวโพดนั้น ควรเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีการใช้สารฆ่าเชื้อราและผ่านการอบแห้งก่อนบรรจุลงบรรจุภัณฑ์เสมอ และควรเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างถูกต้อง

ขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/08/2564

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a27,850.0027,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,804.0027,348.6428,450.00
ทองรูปพรรณ 90%1,623.6024,613.78n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,443.2021,878.91n/a
ทองรูปพรรณ 50%812.0012,309.92n/a
ทองรูปพรรณ 40%631.009,565.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,869.0028,334.04n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/08/2564


ปตท.
ราคาน้ำมัน บางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9529.2529.2529.4529.2529.2529.2529.2529.2529.2529.25
แก๊สโซฮอล์ 9128.9828.9829.1828.9828.9828.9828.9828.9828.9828.98
แก๊สโซฮอล์ E2027.7427.7427.9427.7427.7427.7427.7427.7427.74
แก๊สโซฮอล์ E8522.4422.4422.44
เบนซิน 9536.6637.1137.1636.6636.66
ดีเซล B728.7928.7928.9928.7928.7928.7928.7928.7928.7928.79
ดีเซล25.7925.7925.9925.7925.7925.7925.7925.7925.7925.79
ดีเซล B2025.5425.5425.9425.5425.5425.5425.54
ดีเซลพรีเมี่ยม33.5633.5635.4434.9633.56
แก๊ส NGV15.4815.4815.48

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า