สิวารมณ์ หุ้นน้องใหม่อสังหาฯ จ่อเข้าเทรด mai 8 ก.พ.
สิวารมณ์ (SVR) หุ้นอสังหาฯ น้องใหม่ เคาะราคา IPO 2.20 บาท หวังระดุมทุน 286 ล้านบาท ขยายธุรกิจโครงการบ้านจัดสรร เปิดจองซื้อ 31 ม.ค. และวันที่ 1-2 ก.พ.นี้ พร้อมทั้งเข้าเทรดตลาด mai 8 ก.พ.นี้
บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ “SVR” หุ้นอสังหาฯน้องใหม่ล่าสุด แจ้งว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น ที่ระดับราคาหุ้นละ 2.20 บาท โดยกำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้น ระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2566, วันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2566
คาดว่าหุ้น SVR จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 หมวดกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ใช้ชื่อย่อ “SVR ”
โบรกประเมินน่าจับตา
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินว่า หุ้น SVR เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ที่น่าจับตา เนื่องจาก ประเมินศักยภาพความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถาการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
สะท้อนให้เห็นถึงอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตผลการดำเนินงานของ SVR ที่มีโอกาสก้าวสู่ระดับ High Growth อย่างต่อเนื่องในอนาคต
มีแผนการขยายการลงทุนต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางการดำเนินงาน พบว่า มีแผนการขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจากการวางกลยุทธ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อที่อยู่อาศัยแนวราบทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาท เป็นการสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง
พร้อมทั้งพัฒนาที่อยู่อาศัยบนพื้นที่ขนาดที่ดิน ต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ เพื่อให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน
ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงมั่นใจว่าหากเปิดให้มีการจองซื้อหุ้น SVR จะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี
ดันโครงการออกมาแล้ว 9 โครงการ
ขณะบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า SVR เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์แนวราบน้องใหม่ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาบริหารงานอย่างมืออาชีพ โดยมุ่นเน้นจุดขายภายใต้แนวคิด Best Smart Living ที่เป็นจุดแข็ง ทั้งแบบบ้าน ทำเลที่มีศักยภาพการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในราคาขายที่คุ้มค่า
โดยนับตั้งแต่ปี 2019 – ปัจจุบัน มีการพัฒนาโครงการแล้ว 9 โครงการ แบ่งเป็น ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ, อยู่ระหว่างขาย 6 โครงการ และอยู่ระหว่างพัฒนา 1 โครงการ ซึ่งแต่ละทำเลที่ตั้งจะหลากหลายในทุกพื้นที่ อาทิ จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู, ทำเลนิคมอุตสาหกรรม อย่างชลบุรีและระยอง รวมถึงอยู่ระหว่างการขยายไปในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้น
ลุยระดมทุน 286 ล้าน
นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “SVR” เปิดเผยว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในการนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ สำหรับเงินที่ SVR ระดมทุนได้ในครั้งนี้ คิดเป็นจำนวน 286 ล้านบาท ของมูลค่าหุ้นที่เสนอขาย
โดยบริษัทฯจะนำไปลงทุน เพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการในอนาคตให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อขับเคลื่อนทุกโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในขณะนี้สู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ภายใต้การวางยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ ให้สอดรับกับแนวคิด “Best Smart Living”
1. ทำเลที่ตั้งต้องเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้า (Smart Location)
2. การออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่นำเอาความต้องการของผู้อยู่อาศัยมาเป็นที่ตั้ง เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้พื้นที่ภายในบ้านได้อย่างคุ้มค่าและลงตัว (Smart Space)
3. ราคาบ้านที่ลูกบ้านจ่ายไปต้องได้รับความคุ้มค่าอย่างสูงสุด (Smart Value)
4. นวัตกรรมต่าง ๆ (Smart Home) ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ Lifestyle ทุก Generation เพื่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
จากปัจจัยในข้างต้น ทำให้ทุกโครงการของสิวารมณ์ “SVR” สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว ส่งผลให้วันนี้ SVR เป็นบริษัทฯพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มีอัตราการเติบโตในการก้าวเข้าสู่ระดับ High Growth และพร้อมมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กลุ่ม ‘สิงห์’ เดิมพันสูงเปิดเกมรบ ‘อสังหา’ ปั้นบ้านหรู เจาะเศรษฐี อีกหมื่นล.
จาก ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’ และ ‘ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32’ สู่แผนเดิมพันใหญ่ ปั้นบ้านหรู มูลค่ารวมเหยียบ 1 หมื่นล้านบาท ของ สิงห์ เอสเตท เมื่อเศรษฐีไทยรวยทั่วกรุง
27 ม.ค.2566 – เกมการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะตลาดบ้านระดับอัลตราลักชัวรี หรือ คฤหาสน์หรู ราคาขายเริ่มต้น ไล่ตั้งแต่หลัก 80 ล้านบาท ไปจนถึงเริ่ม 100 ล้านบาทต่อหลัง เพื่อเจาะเศรษฐีคนไทย รวยกระฉูดช่วงโควิด ได้ส่งสัญญาณน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้แผนธุรกิจของนักพัฒนาที่ดินรายต่างๆทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์
เริ่มตั้งแต่ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ปลุกย่านบางนา ปล่อยหมัดเด็ด โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดขาย ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า’ บ้านคลัสเตอร์หลังใหญ่ สนนราคา 185-310 ล้านบาท ทิ้งทวนปี 2565
“อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” ปลุกบ้านหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เทียบเมืองร่ำรวยต่างประเทศ พัฒนาโครงการ “เดอะ คอลเลคชั่น ริเวอร์ฟรอนท์ บาย อัลติจูด’’ บ้านเดี่ยวแฟลกชิป 11 ยูนิต บนทำเลท้องมังกร ‘เจริญนคร’ ด้วยราคาขาย 115-515 ล้านบาท
ขณะ กลุ่ม ‘พูลวรลักษณ์’ งัดที่ดินกลางเมืองย่านเอกมัย พัฒนาโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” ขายเริ่มต้น 80 ล้านบาท รวมถึง บมจ.โนเบิล เปิดแผนใหญ่ วางเกมบุกเซกเมนท์อัลตราลักชัวรีเต็มสูบ เปิดไฮไลท์ โครงการโนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ บ้านเดี่ยวติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา แพงสุด 100 ล้านบาท และ โครงการ โนเบิล เทอร์รา พระราม 9 กลางทำเล CBD แพงแตะ 80 ล้านบาท ส่วนเนอวานาฯ ปล่อยของ โครงการ เนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา บ้านใหญ่กว่า 1,000 ตร.ม. กับ ราคาเริ่ม 120 ล้านบาท
อีกทั้งยังต้องรอจับตา การเปิดราคาของโครงการ ‘เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์ ‘ จากผู้พัฒนากลุ่มทุนใหญ่ อย่าง เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) และ บิ๊กมูฟสำคัญของขาใหญ่ บมจ. แสนสิริ ,บมจ.เอสซี และ บมจ.แลนด์แอนเฮ้าส์ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้!! สะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงความหอมหวานของดีมานด์ จนทำให้ผู้พัฒนาทั้งรายเก่าในตลาด และ หน้าใหม่ในวงการเข้ามากระโดดโลดแล่นเข้ามาชิงส่วนแบ่งของตลาด
จุดเริ่มต้น ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’
อย่างไรก็ดี สปอตไลท์ ยังถูกส่องไปยังกลุ่มทุนใหญ่ ในฐานะเจ้าของแฟล็กชิพโปรเจค ผู้ปลุกปั้นมาตรฐานโครงการบ้านหรู ให้เศรษฐีไทย ภายใต้ชื่อ ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’ (SANTIBURI The Residences) บนเนื้อที่รวม 45 ไร่ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม กับบ้านสั่งสร้าง 25 หลัง โดยมีราคาขาย 250 – 360 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งเป็นโครงการที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหลังแพงที่สุดในประเทศไทย มูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านบาท ทำการเปิดเมื่อปี 2561 ก่อนปิดการขายทั้งหมดในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยการพัฒนาของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เครือ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ซึ่งล่าสุด ส่งสัญญาณ เตรียมสร้างตำนานบทใหม่ให้กับตลาดอีกครั้ง
ย้อนไปช่วงปี 2565 สิงห์ เอสเตท ประกาศว่า นับหลังจากนี้บริษัท จะปลุกปั้น ธุรกิจที่อยู่อาศัย ชูเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลัก นอกเหนือจากธุรกิจ กลุ่มโรงแรม และ อาคารสำนักงาน หลังได้รับบทเรียนครั้งใหญ่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก
ซึ่งภายหลังโบกมือลา ขายหุ้นกลุ่ม ‘เนอวานา ไดอิ’ ซึ่งเคยเป็นหลักในการพัฒนาโครงการแนวราบให้กับบริษัทออกไปแล้ว ก็มีแผนที่จะเจาะตลาดกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์อย่างเต็มที พร้อมงบลงทุนเบื้องต้นที่วางไว้กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับแผนในระยะ 5 ปี เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2569 สัดส่วนแนวราบต่อแนวสูงที่ 75% และ 25%
คอนโดฯยังเสี่ยง ‘บ้านหรู’ โอกาสใหญ่
สัญญาณของตลาดคอนโดมิเนียมที่ยังไม่มีภาพฟื้นชัดเจนในทุกระดับราคามากนัก นับตั้งแต่เข้าศักราชใหม่ปี 2566 แม้ขณะนี้ ‘ชาวต่างชาติ’ ขุมกำลังซื้อสำคัญในการช้อปอสังหาฯไทย จะเริ่มทยอยกลับเข้ามาแล้ว
แต่อสังหาฯใหญ่รายนี้ ประเมิน ยังไม่ใช่จังหวะในการเข้าไปลุยไฟ แม้ก่อนหน้า มีผลงานการันตี การตอบรับของลูกค้าระดับบน ในโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ ดิ เอส อโศก ก็ตาม ฉะนั้น แผนเป้าหมาย 1 หมื่นล้าน ที่เริ่มขยับได้ อย่าง ‘บ้านหรู’ จึงยังเป็นเกมรุกที่สำคัญ
ระหว่างการแถลงข่าวเปิดให้ชมโฉมเป็นครั้งแรก ของโครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32” บ้านเดี่ยวหรูสุดอลังการ แผนพัฒนาลำดับที่ 2 ของสิงห์ เอสเตท ที่สร้างปรากฎการณ์ความปังไว้ไม่แตกต่างจาก ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’ เพราะไม่ทันเปิดขายอย่างเป็นการ และถูกเลื่อนการเปิดตัวออกมาในช่วงโควิด แต่ผลตอบรับดีเยี่ยม โดยล่าสุด บ้านทั้ง28 หลัง บนพื้นที่ 23 ไร่ ในราคาขาย 80– 180 ล้านบาท มียอดจองสั่งสร้างไปแล้ว 95% หรือ เกือบปิดโครงการ ภายใต้มูลค่าบ้านทั้งหมด 2.9 พันล้านบาท พร้อม มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 830 ล้านบาท
ปรากฎการณ์ความว้าวดังกล่าว ถูกถอดถ่ายออกมาจาก นาย ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย สิงห์ เอสเตท โดยระบุว่า ยอดจองสั่งสร้าง และ ยอดโอนจริงที่เกิดขึ้น สะท้อนได้ว่า ลูกค้ามีความเชื่อมั่นต่อบ้านของสิงห์ เอสเตท แค่ไหน
อีกทั้งกล่าวว่า “การทำตลาดในกลุ่ม Super Luxury นั้น เป็นผลต่อเนื่องจากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการระดับ Ultra Luxury อย่างสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส หลังจากปิดการขายสำเร็จด้วยราคาขายที่แพงสุดในประเทศได้สำเร็จ สะท้อนว่าความเชื่อมั่นในแบรนด์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
สิ่งที่บริษัทพยายามก็คือ การพัฒนาบ้านแบบ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย แต่ก็สร้างความสมดุล และลงตัวสำหรับการพักอาศัย เพื่อให้บ้านเปรียบเสมือนมรดกที่สามารถส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่น และยังทรงคุณค่า”
ขณะนาย ณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงเกมเดิมพันสำคัญในปีนี้ ว่า โครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญของการขยายตลาดเข้าสู่เซ็กเมนท์ใหม่ของสิงห์ เอสเตท โดยในปีนี้เรามีแผนจะขยายตลาดเข้าไปในอีกอย่างน้อย 2-3 เซ็กเมนท์ ด้วยโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยทั้งหมดจะถูกส่งผ่านมาตรฐานสิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องคือ คุณภาพ, ความสุขของครอบครัว และความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน
แม้ความชัดเจนของแผนข้างต้นจะไม่ได้ถูกลงรายละเอียดมากนัก แต่วิเคราะห์ต่อได้ว่า สิงห์ เอสเตท กำลังแสวงหาโอกาสจากฐานลูกค้าเก่า และ ผู้ติดต่อเข้าเยี่ยมชมโครงการที่เข้ามาติดต่อก่อนหน้า ทั้งจากโครงการ ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’ และ ‘ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส’
โดย 5 โครงการใหม่ มูลค่าเหยียบ 10,000 ล้านบาทของสิงห์เอสเตท จะถูกแบ่งลงลึกไปในแต่ละเซกเม้นท์สำคัญ ตั้งแต่กลุ่มบ้านพรีเมียม 10-20 ล้านบาท ,บ้านลักชัวรี 20-50 ล้านบาท , บ้านระดับซูปเปอร์ลักชัวรี 50 ล้านบาทขึ้นไป และ บ้านอัลตราลักชัวรี ด้วยราคาขายเริ่มต้น 80 ล้านบาท ไปจนถึงเริ่ม 100 ล้านบาท เป็นต้น
ขณะทำเลที่ตั้งนั้น ผู้บริหารคนเดิม แย้มว่า ทั้ง 5 โครงการ จะถูกกระจายครอบคลุมหลายพื้นที่ เน้นโซนตะวันออก ,ตะวันตก ของกทม. โดยโครงการแรกจะเปิดตัวช่วง มี.ค. นี้ ที่สำคัญอยากให้จับตาดู เพราะบางโครงการนั้น อาจมีราคาขายต่อหลัง ทำสถิติใหม่มากกว่า 260 ล้านบาทอีกครั้ง
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัย สิงห์ เอสเตท เอาความมั่นใจมากจากไหน ? ถึงกล้าเตรียมดันโครงการระดับ TOP ราคาขายหลักร้อยล้านบาทต่อหลัง มาเดิมพันกับทิศทางเศรษฐกิจ ที่กำลังจะเข้าถึงความถดถอยและไม่แน่นอนไปทั่้วโลก
ตลาดบ้านระดับบ้าน ตอบรับ ดีมานด์กลุ่มคนรวยขึ้น
ประเด็นดังกล่าว นายณัฐวุฒิ ให้เหตุผลว่า แม้ปีนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังอยู่ในความไม่แน่นอน เพราะปัจจัยที่เอื้อต่อการขายบ้านใหม่ แทบไม่มีเลยในปี 2566 เนื่องจากดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่มนุษย์เงินเดือน รายได้ไม่ได้ไต่ระดับตาม ทำให้การกู้ การผ่อนชำระค่างวดยาวนานขึ้น อีกทั้งสถาบันการเงินมีแนวโน้ม เพิ่มเกณฑ์ที่เข้มงวด เพื่อป้องกันความเสี่ยง
แต่เมื่อพิจารณาถึงการฟื้นตัวของตลาดในรูปแบบ ‘K-Shaped’ (มีทั้งการฟื้นตัวกลับมาเร็ว และ แย่ลงเรื่อยๆ) ตลาดบนจึงเป็นโอกาส เพราะเป็นตลาดที่อยู่บน K ขาบน
สิงห์ เอสเตท ยังให้มุมมองเพิ่มเติมว่า ตลาดบ้านราคามากกว่า 10 ล้านบาท ไม่ใช่เพียงแต่จะเติบโตได้ในโอกาสที่ปัจจัยเอื้อมีไม่มากนัก แต่ จากเดิม ตลาดนี้มีสัดส่วนลูกค้า – ดีมานด์ความต้องการที่น้อย ฉะนั้น ยังมีช่วงที่จะโตได้ต่อเนื่อง โดยมีกลุ่มคนรวย รายได้สูง กระจุกตัวอยู่ ในกทม.เป็นหลัก เป็นแรงหนุน ซึ่งน่าแปลกที่สถานการณ์โควิด19 ทำให้คนกลุ่มนี้ มีกำลังซื้อมากขึ้นด้วยซ้ำ
“ความน่าสนใจของลูกค้ากลุ่มนี้ คือ กำลังซื้อเพิ่มหรือลด ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วย ดอกเบี้ย เหมือนตลาดล่าง-กลาง แต่เป็นภาวะเศรษฐกิจที่เอื้อต่อธุรกิจเขา จะเห็นได้ว่า เมื่อเศรษฐกิจขยับดี คนกลุ่มนี้ที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็จะมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ๆที่เหมาะสมกับฐานะตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ”
ทั้งนี้ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด เคยให้ข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับตลาดบ้านระดับดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ ‘สิงห์เอสเตท’ ประเมิน ว่า เป็นตลาดที่มีความเฉพาะ และมักถูกตอบสนองโดยผู้มีกำลังซื้อสูง ซึ่งแม้ไม่ได้มีสัดส่วนสูงในตลาดรวมมากนัก แต่เป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุด และ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยราว 30-40% ต่อปี โดยกลุ่มลูกค้าครอบครัวสมัยใหม่ กลายเป็นตลาดที่ผู้พัฒนาฯเห็นโอกาส และมีแนวโน้มเข้ามาเจาะความต้องการมากขึ้น จากคนรุ่นใหม่มีธุรกิจ – รวยเร็ว และเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังคงเคลื่อนไหว Sideways แต่อาจผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หากตลาดปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้(30ม.ค.2566) ที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ความหวังเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและรายงานผลประกอบการโดยรวมที่ดีกว่าคาด ได้หนุนให้ตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือความผันผวนในสัปดาห์ที่จะมีการประชุมธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึงรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – เราคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงต่อเนื่องจะหนุนให้เฟดอาจตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง +0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ (รอผลการประชุมช่วง 2.00 น. วันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย)
อย่างไรก็ดี แม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2.00% พอสมควร อีกทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อจากภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง (เราคงมองว่าจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Terminal Rate ในครั้งนี้ จะอยู่ที่ระดับ 5.25%)
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เรามองว่า ธีมหลักของตลาดการเงินอาจเป็น “Good/Upbeat Data = Bad News for Market” หรือ
รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด อาจทำให้ตลาดกังวลว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่า Terminal Rate 5.00% ที่ตลาดคาดหรือเฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปีอย่างที่ตลาดคาดหวัง โดยสัปดาห์นี้ ตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนมกราคมอาจเพิ่มขึ้นราว 185,000 ราย ทำให้อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 3.6%
ทั้งนี้ ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและยังคงตึงตัวจะส่งผลให้ ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ย (Average Hourly Earnings) เพิ่มขึ้น +0.3%m/m หรือ +4.3%y/y และนอกเหนือจากผลการประชุมเฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Alphabet, Amazon และ Apple เป็นต้น ซึ่งหากผลประกอบการรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้
▪ ฝั่งยุโรป – เราประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ดีขึ้นกว่าคาด หลังวิกฤตพลังงานไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยกังวล (สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนที่ออกมาดีกว่าคาด)
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนและอังกฤษยังอยู่ในระดับที่สูงมาก ทำให้ทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ของ ECB ปรับขึ้นสู่ระดับ 2.50% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ของ BOE จะปรับขึ้นสู่ระดับที่สูงถึง 4.00%
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตามุมมองของทั้ง ECB และ BOE ต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะในประเด็นอัตราการขึ้นดอกเบี้ย ว่าจะมีการชะลอลงหรือไม่ และ Terminal Rate จะอยู่ที่ระดับใด
▪ ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคมจะขยายตัวราว +0.8%m/m ท่ามกลางอานิสงส์จากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของครัวเรือนที่คึกคักในช่วงปลายปี
ส่วนในฝั่งจีน การทยอยผ่อนคลายมาตรการคุมการระบาด COVID จะช่วยหนุนให้ทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมเดือนมกราคมที่ระดับ 49.9 จุด (จาก 47 จุด ในเดือนก่อนหน้า) และดัชนี PMI ภาคการบริการที่ระดับ 51.5 จุด (จาก 41.6 จุด ในเดือนก่อนหน้า)
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่าภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทย สอดคล้องกับการชะลอตัวลงที่ชัดเจนของภาคการส่งออก โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมกราคมอาจลดลงสู่ระดับ 51 จุด
อย่างไรก็ดี ความหวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน อาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ (Business Sentiment) ในเดือนมกราคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50 จุดได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหว Sideways แต่อาจผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หากตลาดปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (ราคาทองคำมีโอกาสย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับได้) รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยในส่วนฟันด์โฟลว์นั้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นมากขึ้น หลังรับรู้ผลการประชุม กนง. ส่วนในฝั่งหุ้นก็มีทิศทางที่ไม่ได้ชัดเจนนัก
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ควรระวัง ตลาด “Sell on Fact” หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย +0.25% ตามคาด แต่ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งหากเกิดขึ้นในจังหวะที่ตลาดผิดหวังกับผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ก็อาจทำให้ตลาดปิดรับความเสี่ยง หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้น
อย่างไรก็ดี หาก ECB และ BOE ขึ้นดอกเบี้ย +0.50% มากกว่าเฟด พร้อมทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้เช่นกัน
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.10 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.85 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแข็งค่ามาที่ระดับ 32.74-32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียแข็งค่าขึ้นตามทิศทางเงินหยวน อย่างไรก็ดีช่วงบวกของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด (ตามสัญญาณขายสุทธิของต่างชาติในตลาดพันธบัตร)
เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากผลการประชุมเฟดช่วงกลางสัปดาห์อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.65-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของเงินหยวนและสกุลเงินเอเชีย
รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ อาทิ จีดีพีไตรมาส 4/65 ของเยอรมนี และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“จอชชัว” สร้างประวัติศาสตร์! ทุบสถิติประเทศไทย รอบ28 ปี วิ่ง 800 ม. ที่ออสเตรเลีย
จอชชัว โรเบิร์ต แอทคินสัน นักวิ่งระยะกลางชาวไทยลูกครึ่งออสเตรเลีย เจ้าของ 4 เหรียญทอง ซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม เมื่อปีที่แล้ว สร้างวีรกรรมที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง ด้วยการทำลายสถิติประเทศไทย ในการวิ่ง 800 เมตร ระหว่างการแข่งขันรายการเอเอซีที ยู-20 แอนด์โอเพ่น แชมเปี้ยนชิพ 2023 ที่ประเทศออสเตรเลียในอีเวนต์วิ่ง 800 เมตรรุ่นทั่วไปชาย
โดย จอชชัว โรเบิร์ต แอทคินสัน ที่ลงแข่งขันในนามทีมนิวเซาธ์เวลส์ จะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 5 จนไม่อาจคว้าเหรียญรางวัลมาครองได้ก็ตาม ทว่าสถิติที่ทำได้ 1.48.27 น. ได้ทำให้เจ้าตัว สร้างสถิติประเทศไทยขึ้นมาใหม่ โดยทำลายสถิติเดิมของ เชือน ศรีจุดานุ ที่เคยทำไว้ 1.48.48 น. ในระหว่างกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2538 หรือ 28 ปีที่แล้ว ได้สำเร็จ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 สัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังเครียดจนเกินรับมือไหว
เมื่อเราต้องอยู่ในสังคมที่เพิ่มความเคร่งเครียดขึ้นทุกวัน เพราะต่างก็ต้องต่อสู้ เพื่อความอยู่รอด จนกระทั่งมีประโยคแห่งยุคสมัยที่ว่า “อ่อนแอ ก็แพ้ไป” ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตทุกวันนี้ คนที่ไม่พร้อมจะต่อสู้ หรือไม่กล้าที่จะตอบโต้ กลายเป็นคนอ่อนแอ และต้องถูกย่ำยีตลอดเวลา จนกระทั่งเกิดคำขึ้นอีกคำที่ว่า “โลกทำให้ฉันร้าย” ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจของคนในสังคม ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา และบางคนนั้นอาจมากจนเกินรับมือไหว ดังนั้น คงจะดีกว่าถ้าเราสังเกตตนเอง แล้วดูว่า ความเครียดของเราในเวลานี้ อยู่ในระดับเกินจะทนหรือยัง
- วัดความเครียดของคุณจากการนอน
โดยปกติแล้วมนุษย์ต้องการการพักผ่อน 7-8 ชั่วโมง/วัน คนที่ไม่มีความเครียดอะไร ก็สามารถนอนหลับพักผ่อนได้เป็นปกติ แต่สำหรับคนที่มีความเครียด หรือมีความกังวลใจ หรืออยู่ในอาการซึมเศร้าจนเกินรับมือไหวนั้น มักจะนอนไม่ค่อยหลับ พลิกตัวไปมาตลอดเวลานอน ถ้าวันนี้ คุณรู้สึกว่า การนอนของคุณผิดปกติกว่าที่เคย ลองสำรวจดูหน่อยว่า มีความเครียดใดคั่งค้างอยู่ในใจ ลองหาทางรับมือกับเรื่องดังกล่าว และทางที่ดีที่สุด คือ การเดินเข้าไปขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ความเครียดทำให้การกินของคุณเปลี่ยนไป
คนที่สุขภาพดี ร่างกายไม่มีโรคภัย สภาพจิตใจก็จะดีตาม และเหนืออื่นใด พวกเขาก็จะเลือกกินแต่ของที่ดีและมีประโยชน์ต่อตนเอง แต่คนที่ต้องอยู่ภายใต้ความกดดัน ทุกอย่างรอบตัวเร่งรีบไปหมด พวกเขาจะชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพราะต้องการความเร็ว หรือไม่ก็กินของหวานมากจนเกินไป เพราะความเครียด หรือการนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายต้องการน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น เมื่อคุณรู้สึกว่า วิถีการกินของตนเองเปลี่ยนไป ลองหยุดคิดสักนิด แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ กับการรักษาสุขภาพการกินของตนเอง เพื่อทำให้สุขภาพกายดี และแน่นอนว่า สุขภาพใจ ก็จะดีตามไปด้วยเช่นกัน
- คุณรู้สึกหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่า จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหน คุณก็สามารถหงุดหงิดได้ตลอดเวลา แม้จะไม่ใช่วันนั้นของเดือน คุณรู้สึกว่าโลกทั้งโลกไม่มีความยุติธรรมให้กับคุณเลย ทั้งหมดเป็นความเครียดที่สะสมจากการทำงาน จากคนในครอบครัว ทำให้คุณหงุดหงิดไปกับทุกสิ่ง กลายเป็นคนที่เกรี้ยวกราดได้ง่าย ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ขอให้ลองปรึกษาจิตแพทย์ เพราะปัญหาทางด้านอารมณ์นั้น ส่งผลต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
- คุณเริ่มข้องเกี่ยวหรือใช้สารเสพติด
สารเสพติดในที่นี้ หมายถึง การเริ่มต้นจากบุหรี่ เหล้า แล้วค่อยเพิ่มความรุนแรงไปถึงสารเสพติดชนิดอื่น ที่คุณต้องพึ่งพาสิ่งเสพติด หรือสารเสพติดเหล่านี้ เป็นเพราะคุณต้องการจะหนีจากความเครียด หรือความเจ็บปวดที่คุณต้องเจอ ซึ่งวิธีการนี้ ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาของคุณบรรเทาลง แต่จะทำให้คุณแย่ยิ่งกว่าเดิม ดังนั้น เมื่อเริ่มรู้ว่า ตนเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับสารเสพติด หรือสิ่งเสพติด คุณคงต้องหยุดคิด และหาทางแก้ปัญหา ด้วยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า
- คุณเริ่มมีอาการเซื่องซึม
อาการเซื่องซึมของคุณนั้น เริ่มจากน้อยไปหามาก จากที่เศร้า ๆ ซึม ๆ บางวัน กลายเป็นเกิดขึ้นทุกวัน เมื่อตื่นนอน ความรู้สึกท้อแท้ห่อเหี่ยว จนทำให้คุณไม่สามารถทำกิจกรรมใด ๆ ได้ อย่างที่คุณเคยทำ สิ่งเดียวที่คุณอยากทำ คือ นอนเฉย ๆ อยู่มุมมืด ๆ ของห้อง ถ้ามีความรู้สึกเช่นนี้แสดงว่า ความเครียดในตัวคุณนั้น มีมากจนเกินจะรับมือไหวแล้ว
- คุณไม่ดูแลตัวเอง
ถ้าคุณเริ่มที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่สนใจว่า รูปร่างหน้าตาจะเป็นเช่นไร สภาพของคุณเปลี่ยนไปจนคนรอบข้างสังเกตเห็น ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกเบื่อหน่าย และความเครียดรอบ ๆ ตัว ทำให้คุณไม่อยากจะสนใจตัวเอง ลองหันกลับมามองตัวคุณในเวลานี้ ถ้าคุณเริ่มเห็นคนที่ไม่ใช่คุณในกระจก เป็นคนแปลกหน้าที่ อ้วนฉุ หรือผมเผ้ารุงรัง ไม่ดูแลหน้าตา เนื้อตัวของตัวเองเลย คงถึงเวลาที่คุณจะต้องสำรวจภายในใจของตัวเองแล้วว่า ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่หรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิธีต่างๆที่ใช้พูดว่า “หนาวมากๆ” ในภาษาอังกฤษ
1. Freezing เย็นจัด
After walking through the snow, my feet were freezing.
= หลังจากเดินผ่านหิมะแล้ว เท้าของฉันก็เย็นจัด
It’s freezing outside, let’s go back home.
= ข้างนอกเย็นมาก กลับบ้านกันดีกว่า
2. Chilly เย็น
I felt a bit chilly so I put on a jacket.
= ฉันรู้สึกเย็นเล็กน้อยดังนั้นฉันจึงสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ต
In spite of the sunny weather, the air was rather chilly.
= แม้ว่าจะมีแดด อากาศก็ค่อนข้างเย็น
3. Bitter หนาวมาก
Wrap up warmly – it’s bitter outside.
= สวมเสื้อผ้าหนาๆล่ะ อากาศข้างนอกหนาวมาก
A bitter wind blew from the north-east.
= ลมหนาวพัดจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ
4. Frosty เย็นจัด
It was a cold and frosty morning.
= มันเป็นยามเช้าที่หนาวและเย็นจัด
The frosty air stung my cheeks.
= อากาศที่เย็นจัดกัดแก้มของฉัน
5. Icy เหมือนน้ำแข็ง
She opened the window and I was hit by an icy blast of air.
= เธอได้เปิดหน้าต่างและฉันก็ประทะกับลมหนาวเหมือนน้ำแข็งเข้าอย่างจัง
He fell into the icy waters of the Moscow River.
= เขาตกลงไปในน้ำที่เย็นเหมือนน้ำแข็งของแม่น้ำมอสโก
6. Wintry คล้ายฤดูหนาว
It looks like this wintry weather is here to stay.
= ดูเหมือนว่าสภาพอากาศที่หนาวนี้จะอยู่ที่นี่
Wintry conditions are making roads hazardous for drivers.
= สภาพอากาศหนาวเย็นทำให้ถนนเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
แถบฟุตบาทสีเหลือง-แดง-ดำ สีไหนจอดได้ สีไหนห้ามจอด?
ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนคงเคยเห็นแถบสีบนฟุตบาท ทั้งสีดำ-ขาว สีเหลือง-ขาว สีแดง-ขาว หรืออาจไม่ทาสีใดๆ เลยก็มี แล้วทราบหรือไม่ว่าความหมายของฟุตบาทแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร สีไหนสามารถจอดรถได้ สีไหนจอดรถไม่ได้ วันนี้ Sanook Auto จะพาไปหาคำตอบกันครับ
ฟุตบาทสีดำ-ขาว
ฟุตบาทสีดำขาวจะมีลักษณะเป็นสีดำสลับกับสีขาว จะถูกแสดงหรือทำให้ปรากฏบนขอบคันหินหรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถมองเห็นขอบคันหินหรือสิ่งกีดขวางนั้นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยผู้ขับขี่สามารถจอดรถได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย เว้นที่พื้นที่ดังกล่าวถูกกำหนดเงื่อนไขการจอดเป็นอย่างอื่น เช่น จอดได้เฉพาะวันคู่-วันคี่ หรือจอดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้ หากฟุตบาทสีดำสลับขาวปรากฏอยู่บนขอบทางสะพานหรืออุโมงค์ ไม่ได้แปลว่าผู้ขับขี่สามารถจอดรถได้แต่อย่างใด เนื่องจากการจอดรถบนสะพานหรืออุโมงค์ เป็นการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.บ จราจรทางบก พ.ศ.2522 มีความผิดตามกฎหมายนั่นเอง
ฟุตบาทสีเหลือง-ขาว
ฟุตบาทสีเหลืองสลับขาว หมายความว่า ห้ามจอดรถทุกชนิดระหว่างแนวเขตที่กำหนด ยกเว้นการหยุดรับส่งคนหรือสิ่งของเพียงชั่วขณะ ซึ่งจะต้องกระทำโดยไม่ชักช้า เมื่อเสร็จแล้วต้องรีบขยับรถออกทันที
ฟุตบาทสีแดง-ขาว
ฟุตบาทสีแดงสลับขาว หมายความว่า ห้ามหยุดรถหรือจอดรถทุกชนิดระหว่างแนวเขตที่กำหนดเป็นอันขาด ซึ่งส่วนมากจะพบได้บริเวณทางแยก และปากทางเข้าตรอกซอกซอย มิเช่นนั้นแล้วอาจเป็นการกีดขวางจราจร ทำให้รถคันอื่นไม่สามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก ก่อให้เกิดปัญหาจราจรตามมาได้
รู้แบบนี้แล้วก็ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่จอดรถในพื้นที่ที่มีแถบฟุตบาทสีเหลืองสลับขาว หรือสีแดงสลับขาวอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้ใช้ทางคนอื่นๆ ได้ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“กล้วยปิ้ง” กับประโยชน์ต่อสุขภาพที่มากกว่ากล้วยธรรมดา
กล้วยที่คนญี่ปุ่นนิยมนำมารับประทานส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีราคาถูกและหาซื้อมารับประทานได้ตลอดทั้งปี นอกเหนือจากประโยชน์ของกล้วยสุกแล้ว กล้วยปิ้งยังเป็นอีกทางเลือกของการนำมารับประทานที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย มารู้ประโยชน์ของกล้วยสุก กล้วยปิ้ง และวิธีการปิ้งกล้วยของคนญี่ปุ่นกัน
ประโยชน์ของกล้วยสุก
กล้วย 1 ผลมีพลังงานเพียง 86 กิโลแคลอรี่ แต่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามิน B1, B2, ไนอะซิน (B3), วิตามินบี B6 และกรดโฟลิก ซึ่งช่วยเสริมการเผาผลาญพลังงานในร่างกายและช่วยให้สุขภาพผิว ผมและเล็บดี เส้นใยอาหารซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูก ป้องกันการเพิ่มของระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยกดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย โพแทสเซียมซึ่งช่วยขับเกลือออกจากร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตและช่วยลดอาการบวมของร่างกาย โพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอความแก่และป้องกันโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน กรดอะมิโนทริปโตเฟนซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญในการสร้างสารสื่อประสาทเซโรโทนินที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยลดอาการหงุดหงิดและช่วยให้นอนหลับดี นอกจากนี้กล้วยยังมีแมกนีเซียมสูงซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีจิตใจเบิกบาน
ประโยชน์ของกล้วยปิ้ง
กล้วยปิ้งมีประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากกล้วยสุก ดังนี้
- ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
การปิ้งกล้วยจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตาลโอลิโกแซคคาไรด์ ซึ่งจะเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ทำให้สิ่งแวดล้อมในลำไส้ดีขึ้น และส่งผลในการป้องกันท้องผูกได้ดี
- ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
ร้อยละประมาณ 70 ของภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกสร้างที่ลำไส้ เมื่อสภาพแวดล้อมในลำไส้ดีจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น อีกทั้งกล้วยร้อนๆ จะช่วยทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย
- มีผลในด้านการลดน้ำหนัก
หากสภาพแวดล้อมในลำไส้ไม่ดี จะทำให้มีแก๊สสะสมอยู่ในลำไส้สูง และส่งผลในการลดการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำให้อ้วนได้ง่าย การรับประทานกล้วยปิ้งที่มีน้ำตาลโอลิโกแซคคาไรด์ในปริมาณสูงจะช่วยให้สภาพแวดล้อมในลำไส้ดี ส่งผลในการขับถ่ายที่เป็นปกติ และช่วยเสริมการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ดี จึงเป็นวิธีที่ดีในการลดน้ำหนักจากภายใน
วิธีการทำกล้วยปิ้ง
ปิ้งในกระทะ
วิธีทำ
- ปอกเปลือกกล้วยและหั่นให้มีขนาดพอคำ
- ใส่น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว หรือเนยลงไปเล็กน้อยลงในกระทะ นำกล้วยลงไปปิ้งด้วยไฟอ่อน จนทั้งสองด้านเป็นสีน้ำตาล แล้วจึงนำมารับประทานได้ตามชอบ
- ปิ้งด้วยเตาปิ้งขนมปัง
วิธีทำ
นำกล้วยทั้งเปลือกวางบนอลูมิเนียมฟอยล์ และนำไปปิ้งในเตาปิ้งขนมปังด้านละ 7-8 นาที จนเปลือกกล้วยดำ แล้วจึงนำมารับประทานได้ตามชอบ
ปิ้งด้วยไมโครเวฟ
วิธีทำ
- ใช้ปลายมีดกรีดด้านใดด้านหนึ่งของเปลือกกล้วยตามความยาวของกล้วย
- นำใส่ภาชนะทนร้อน และนำเข้าไมโครเวฟที่ 600 วัตต์ เป็นเวลา 1-2 นาที หรือจนเปลือกกล้วยมีสีดำ
- นำกล้วยมาปอกรับประทานได้ตามชอบ
นอกจากนี้ก็มีวิธีการปิ้งบนเตาถ่านหรืออบด้วยหม้ออบลมร้อน เป็นต้น
เวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานกล้วยปิ้ง
เวลาที่ดีในการรับประทานกล้วยปิ้ง คือ มื้ออาหารเช้า เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมอื่นๆ ตลอดทั้งวัน ในวันที่ยุ่ง กล้วยปิ้งและนมอุ่น ก็ทำให้ร่างกายรับพลังงานที่เพียงพอเพื่อการเรียนหนังสือหรือการทำงาน อย่างไรก็ดี หากรับประทานกล้วยอปิ้งเดียวสามารถรับประทานได้ถึงวันละ 2 ผล แต่หากรับประทานผลไม้อื่นด้วยก็แนะนำให้รับประทานวันละ 1 ผล
บ้านเรามีกล้วยหลากหลายชนิดที่สามารถนำมาปิ้งรับประทานได้ง่าย อย่างไรก็ดี ก็ควรระวังไม่รับประทานในปริมาณที่มากเกินไป และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกับซอสที่มีความหวานจัด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/01/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,800.00 | 29,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,930.00 | 29,258.80 | 30,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,737.00 | 26,332.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,544.00 | 23,407.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 869.00 | 13,174.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 676.00 | 10,248.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,000.00 | 30,320.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/01/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.65 | 36.65 | 37.55 | 36.85 | 36.85 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 36.85 | 36.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.38 | 36.38 | 37.28 | 36.58 | 36.58 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 36.58 | 36.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.74 | 34.74 | 35.64 | 34.94 | 34.94 | – | 34.74 | 34.74 | 34.94 | 34.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.19 | 35.19 | – | – | – | – | – | – | – | 35.19 |
เบนซิน 95 | 44.06 | – | – | – | 44.71 | – | 44.56 | 44.51 | – | 44.06 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.84 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.84 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.84 | – | 34.94 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 45.86 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |