สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566

คนรุ่นใหม่นิยมเช่ามากกว่าซื้อหนุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์บูมรับดิจิทัลโนแมด

เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจนหลังโควิด-19 จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลให้พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ทั่วโลกหันมานิยมเช่ามากกว่าซื้อ โดยเฉพาะดิจิทัลโนแมดกลายเป็นโอกาสของ “เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์” ในภูเก็ต ระยอง พัทยา กรุงเทพฯ

ลูก้า ดอตติ  ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ โครงการอพาร์ตเมนต์ ภายใต้แบรนด์ โฮม่า (HOMA) กล่าวว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่สร้างประสบการณ์มากขึ้น ความต้องการเป็นเจ้าของลดลง สังเกตได้จากข้อมูลการสำรวจในสหรัฐ พบว่าการซื้อบ้านลดลงต่อเนื่องในทุกเจนเนอเรชั่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กรุ่นใหม่ต้องการหาประสบการณ์ด้วยการลองเช่าอยู่มากกว่าซื้อ ในช่วงระยะเวลา 10-15ปี จึงเป็นแนวคิดในการพัฒนาอพาร์ตเมนต์ โฮม่า

“คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคมมากขึ้นหลังโควิด หลายคนทำงานที่บ้าน หรือทำงานที่ไหนก็ได้โดยเฉพาะกลุ่มดิจิทัลโนแมดเพิ่มขึ้นถึง 112% แม้สถานการณ์จะกลับมาปกติแล้ว”

โดย โฮม่า ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเช่าเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่แตกต่างจากคอนโดมิเนียม หรือ โรงแรม ด้วยการแก้ “Pain Point” ของลูกค้า ให้บริการ 2 รูปแบบ คือ ให้เช่าระยะยาว และเปิดให้เช่ารายวัน เหมือนโรงแแรมแต่ราคาถูกกว่าโรงแรมเพื่อดึงคนเข้ามาทดลองใช้บริการ ซึ่งมีบริการเหมือนกับโรงแรม ใน “ราคาที่จับต้องได้” ค่าเช่าเริ่มต้น 17,000 บาทต่อเดือนเทียบกับคอนโดมิเนียมเริ่มต้นถูกกว่า 1,000 บาท แต่ต้องจ่ายทุกอย่างทั้งบิลค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าส่วนกลาง ฯลฯ เฉลี่ยต่างกัน 25%

สำหรับโปรเจกต์แรกของโฮม่าอยู่ที่ “ภูเก็ต ทาวน์” ปรากฏอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 87% มีทั้งกลุ่มชาวต่างชาติและคนไทยที่อยู่นอกพื้นที่ภูเก็ตเข้ามาทดลองเช่าพัก 3-6 เดือน หลังจากนั้นเปลี่ยนมาเช่ารายปี ปัจจุบันในพอร์ตของโฮม่ามีลูกค้าสัญญาเช่ารายปี 70% และสัญญารายเดือน 10-15% ส่วนที่เหลือจะเป็นการเช่ารายวัน โดยลูกค้าที่เข้ามาพัก มีทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ยุโรป

ส่วนโครงการโฮม่า “ศรีราชา” มีลูกค้าญี่ปุ่นเป็นหลักจะมีบริการ ออนเซ็น กอล์ฟส่วนโฮม่า“เชิงทะเล” ที่ภูเก็ตกำลังจะเปิดจะมี โค-เวิร์กกิ้งสเปซ ที่ใหญ่กว่าภูเก็ตทาวน์ แล้วยังมี Pickleball และ Barbecue area เพื่อรองรับลูกค้าชาวยุโรป ซึ่งแต่ละโครงการจะมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน

ปัจจุบันโฮม่าประเทศไทยมี 4 โครงการที่สร้างแล้วเสร็จและกำลังก่อสร้าง ประกอบด้วย โฮม่า “ภูเก็ตทาวน์” จำนวน 505 ยูนิตลงทุน 1,400 ล้านบาท เปิดบริการตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 โครงการโฮม่า “ศรีราชา” จำนวน 100 ยูนิต ลงทุนรีโนเวท 371 ล้านบาท เปิดบริการไตรมาส 4 ปี 2565 โครงการโฮม่า “เชิงทะเล” จำนวน 423 ยูนิต ลงทุน 1,500 ล้านบาท คาดเปิดบริการเดือน ม.ค.2567 และ โครงการโฮม่า “ฉลอง เบย์” ภูเก็ต จำนวน 104 ยูนิต ลงทุน 479 ล้านบาท รวม 4 โครงการ มีมูลค่า 2,600 ล้านบาท

ดอตติ ระบุว่า ในภูเก็ต โฮม่า มี 3 โครงการถือว่าครอบคลุมความต้องการในพื้นที่แล้วจึงวางแผนขยายธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2 โครงการ จำนวน 730 ยูนิต ในกรุงเทพฯ อนาคตขยายเพิ่มอีก 3 โครงการ รองรับกลุ่มดิจิทัลโนแมดจากต่างประเทศที่เข้ามาเพราะประเทศไทย ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่ดิจิทัลโนแมดทั่วโลกเลือกไทยเป็นจุดหมาย เป็นอันดับ 2 รองจากเม็กซิโก 

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนในจังหวัดระยอง ต่อยอดจาก “ศรีราชา” รวมทั้งแผนเข้าไปลงทุนในเอเชียแปซิฟิก ทั้ง อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ ภายใต้แบรนด์โฮม่าในอนาคต

โฮม่า เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2564 ตั้งเป้าหมายเฟสแรกสิ้นสุดปี 2568 จะมีห้องเช่า 1,132 ยูนิต และภายในปี 2571 จะเพิ่มขึ้นอีก 1,000 ยูนิต และอีก 3 ปีถัดไปจะมีเพิ่ม 1,000 ยูนิต  ระยะยาวจะมีทั้งหมด 5,000 ยูนิต โดยใช้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการในกรุงเทพฯจะใช้วิธี Take Over เพราะต้องการโลเคชั่นที่ตอบโจทย์ผู้เช่า

“ไม่จำเป็นต้องเป็น ไพร์ม โลเคชั่น หรือ ซีบีดี กลางใจเมือง แต่ต้องเดินทางสะดวก เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มยังเจนเนอเรชั่น เริ่มทำงานครั้งแรก ซึ่งอาจไม่ได้ใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง หากเป็นที่ดินเปล่าจะมีราคาแพงและอาจติดเงื่อนไขในการก่อสร้าง แต่หากเป็นการซื้อโครงการที่มีใบอนุญาตเดิมมาจะง่ายและเร็วกว่า คาดว่า 5 ปีต่อจากนี้จะสามารถนำโฮม่าเข้ากอง REITs ได้”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ปัดฝุ่นสาขาพัทยารับดีมานด์อสังหาฯ – ท่องเที่ยวฟื้น

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ทุ่มงบ50 ล้านบาทรีโนเวทสาขาพัทยาครั้งใหญ่ขานรับอสังหาฯ – ท่องเที่ยวโซนอีอีซีฟื้น หนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ขยายตัวชูศักยภาพผู้นำสินค้าไลฟ์สไตล์เรื่องบ้านใหญ่สุดแห่งภาคตะวันออกคาดผลักดันยอดขายแต่ละเดือนโต15%

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ได้วางกลยุทธ์การขับเคลื่อน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อมุ่งสู่ Lifestyle Mall ตอบโจทย์ความต้องการด้านสินค้า บริการ ควบคู่ การมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งทุกมิติ ซึ่งการรีโนเวทสาขาและปรับโฉมสโตร์ใหม่เพื่อสร้าง EXPERIENCE ให้ทุกการช้อปของลูกค้า เพื่อมุ่งโฟกัส Tourist stores เนื่องจากกำลังซื้อมีศักยภาพที่จะเติบโต 

ล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท ปรับโฉมอินเด็กซ์  ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทใจกลางเมืองพัทยา ภายใต้แนวคิด “The New Experience in Pattaya” สู่การเป็น “The Biggest furniture store in pattaya”…ครบ จบที่เดียว มอบความครบครันทุกไลฟ์สไตล์โซลูชั่นเพื่อการอยู่อาศัย โดยขยายกลุ่มสินค้าพร้อมเพิ่มโซนใหม่ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อเป็นที่สุดของเฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 แห่งภูมิภาคตะวันออก จุดหมายใหม่ของคนรักบ้านและกลุ่มธุรกิจที่ชื่นชอบการตกแต่ง รับการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา เป็นสาขาที่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยจากกลุ่มนักท่องเที่ยวทุกชาติที่เพิ่มขึ้น จากข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังพัทยาจำนวน 2.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีราว 1.5 ล้านคน โดยมีปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการเปิดประเทศ 

อีกทั้งภาครัฐฯ มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งการพัฒนาโครงการ EEC โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อสามสนามบิน และมอเตอร์เวย์สายพัทยา-มาบตาพุด ส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ เป็นผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 คอนโดมิเนียมมีผู้ซื้อมากที่สุด คิดเป็น 55% ของยอดขายทั้งหมด รองลงมาคือโครงการบ้านจัดสรร มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 20%  วิลล่าและทาวน์เฮาส์ มีส่วนแบ่งทางตลาด 15% และ 10% ตามลำดับ

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยาโฉมใหม่ มอบประสบการณ์ช้อปใหม่สุดพิเศษ…ดังนี้ 1. IDEA INSPIRE  ดีไซน์คอนเซ็ปต์สโตร์ในสไตล์ Modernism & Cozy เพิ่มอินสไปร์ทุกการช้อปด้วยการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และดิสเพลย์หลากสไตล์อย่างลงตัว และแยกกลุ่มสินค้าในแต่ละโซน&ฟังก์ชัน  2.EXPERIENCE TOUCH เปิดเอ็กซ์คลูซีฟโซนดับเบิ้ลความเป็นที่สุดของสินค้าไลฟ์สไตล์แห่งภูมิภาคตะวันออก ได้แก่ โซน Sofa เลือกได้หลายดีไซน์ สี วัสดุ และฟังก์ชันให้ตอบโจทย์ลงตัวทุกไลฟ์สไตล์, โซน Mattress รวมที่นอนนับ 10 แบรนด์ดังและชุดเครื่องนอนพรีเมี่ยม  

3.INDEX EXCLUSIVITY เปิดประสบการณ์เหนือระดับกับโซน “Design Studio” ดีไซน์ให้เป็นแกลอรี่ Designer  บริการให้คำแนะนำ และออกแบบห้องเสมือนจริงด้วยโปรแกรมทันสมัย              4. MADE YOUR HOME PERFECT  “Everything you need customize your home” สร้างแรงบันดาลใจให้บ้านในฝันเป็นจริงด้วย “Personalized Furniture” ในกลุ่มสินค้า Ital Smart – Italiving, The Sofa Studio – The Bed Studio (ตู้เสื้อผ้า, เตียงนอน, ชุดโฮมเอ็นเตอร์ฯ, โซฟา) ที่สามารถเลือกดีไซน์ตามต้องการ

5. ONE MEMBER MORE  PRIVILEGES  พบกับโปรฯ ฉลองเปิดโฉมใหม่สาขาพัทยา…สมาชิกใหม่ Joy Card รับส่วนลด!! 300บาท หรือช้อปรับคะแนนสูงสุด 3 เท่า พร้อมรับสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการและสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 66  –  3 ม.ค. 67 เฉพาะที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา เท่านั้น

นางสาวกฤษชนก กล่าวว่า โฉมใหม่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา ได้เสริมทัพด้วยการเพิ่มพื้นที่ 100% สำหรับสินค้ากลุ่ม Personalized Furniture ให้ตอบโจทย์การเลือกดีไซน์ได้ด้วยตัวเอง และขยายพื้นที่โซน Kitchen เพิ่มอีก 50% ด้วยชุดครัวตัวอย่างและวัสดุต่างๆ เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น พร้อมเพิ่มโซน Design Studio ส่งมอบบริการด้านดีไซน์ระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าของใช้ ของแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ BANANA ให้ช้อปครบ จบที่เดียว  และต้อนรับ High-season ด้วยเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีกับ “Gift of Happiness” ด้วยMagic X’mas Tree & Ornament  

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา ถือเป็นสาขาที่มีกลุ่มลูกค้าหลากหลายทั้งคนในพื้นที่ ผู้ประกอบการอสังหาฯ-,ภาคการท่องเที่ยว  และยังรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลายประเทศ ทั้งชาวยุโรป รัสเซีย จีน เวียดนาม อินเดีย ฯลฯ ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวที่หลากหลายในเมืองพัทยาและละแวกใกล้เคียง โดยเรามีฐานลูกค้าสมาชิก Joy Card ที่กลับมาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่เติบโตสูงถึง 38%เกินคาด”

  โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้าประเทศสะดวกขึ้น หลังรัฐบาลขยายระยะเวลาพำนักในไทยจาก 30 วัน เป็น 90 วัน (1พ.ย.66 – 30 เม.ย.67) จากเดิมให้วีซ่าฟรีอยู่แล้ว  ก็เป็นปัจจัยเอื้อให้ดีมานด์นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นการปรับโฉมใหม่ของสาขาพัทยา  จะสามารถผลักดันยอดขายแต่ละเดือนเติบโต ราว 15% หลังจากการปรับโฉมสโตร์

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 30 พ.ย. ที่ระดับ 34.82 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเริ่มมีความเสี่ยงที่จะเคลื่อนไหวแบบ two-way เริ่มเห็นความเสี่ยงด้านอ่อนค่า มากกว่าการแข็งค่า มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ34.70-34.95 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 30 พ.ย.2566 ที่ระดับ  34.82 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทเริ่มมีความเสี่ยงที่จะเคลื่อนไหวแบบ two-way ซึ่งจะขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยเราเริ่มเห็นความเสี่ยงด้านอ่อนค่า มากกว่าการแข็งค่า หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้ราว -1.25% ในปีหน้า

และเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมีนาคม ทว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ก็ยังไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนมากนัก ทำให้มีความเสี่ยงที่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ PCE ในคืนนี้ ออกมาดีกว่าคาด

และยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งอยู่ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ เงินบาทและราคาทองคำย่อตัวลงได้

อย่างไรก็ดี หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจหนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่เงินบาทก็อาจยังติดโซนแนวรับแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่เรายังคงเห็นโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศจากบรรดาผู้ประกอบการในช่วงปลายเดือน

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงิน ในช่วงทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ของจีน เพราะหากออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้ เงินหยวนจีนทยอยแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้

ในทางกลับกัน ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่แย่กว่าคาด ก็อาจกดดันเงินหยวนจีนและสกุลเงินฝั่งเอเชียให้อ่อนค่าลง โดยในกรณีดังกล่าว เงินบาทก็อาจอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ง่ายนัก

ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ34.70-34.95 บาทต่อดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหว sideway (แกว่งตัวในช่วง 34.75-34.92 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ แต่เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ และจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในช่วงหลัง

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความไม่มั่นใจต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ไม่สอดคล้องกันเกี่ยวกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

โดยมีเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่ยังคงสนับสนุนการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดจำนวนหนึ่งก็ออกมาสนับสนุนแนวโน้มเฟดทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า โดยภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.09%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.45% หนุนโดยความหวังว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า ตามภาพเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงมากขึ้น ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ฝั่งยุโรปต่างย่อตัวลงและช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML +1.5%, SAP +1.4%

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 จะมีการปรับดีขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนและดีกว่าที่ตลาดคาดเป็น +5.2% จากไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบเป็นรายปี และ

เจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนจะยังคงออกมาสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อของเฟด ก็ยังไม่สามารถทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4.30% ไปได้ ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงเล็กน้อย และแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.26%

ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้ราว -1.25% ในปีหน้า และอาจเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการปรับมุมมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นและลึกขึ้นจากที่ผู้เล่นในตลาดเคยมองไว้

อย่างไรก็ดี การปรับมุมมองใหม่ของบรรดาผู้เล่นในตลาดังกล่าว ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด ยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้นาน ทั้งนี้ เรายังมองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ดังกล่าวก็จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideway และแกว่งตัวไปตามทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 102.8 จุด (กรอบ 102.6-103 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังว่า เฟดรวมถึง ECB จะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถทรงตัวเหนือระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของจีน ในเดือนพฤศจิกายน

โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการบริการที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.1 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ขณะที่ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีน อาจยังอยู่ในภาวะหดตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิต จะยังคงต่ำกว่าระดับ 50 จุด

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน รวมถึง ถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างก็คาดหวังว่า ECB จะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE รวมถึง รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บีดีเอ็มเอส จูเนียร์ กอล์ฟ คลินิก 2023-2024” ดึง “โปรฟลุ๊ค รฐนน” ต่อยอดเยาวชนไทย

“บีดีเอ็มเอส จูเนียร์ กอล์ฟ คลินิก 2023-2024” (BDMS Junior Golf Clinic) ครั้งที่ 2  โดย บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ร่วมกับ พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 จัดกิจกรรมให้ความรู้และส่งเสริมเยาวชนไทยอายุระหว่าง 6-16 ปี ที่มีความสามารถด้านการเล่นกีฬากอล์ฟระดับพื้นฐานได้เข้าร่วมเรียนรู้ และฝึกฝนทักษะกอล์ฟ

โดยได้นักกอล์ฟอาชีพระดับแถวหน้าของเอเชียน ทัวร์ อย่าง “โปรฟลุ๊ค” รฐนน วรรณศรีจันทร์ อดีตแชมป์ Thailand PGA Tour 1 แชมป์ All Thailand Golf Tour 3 แชมป์ Asian Tour 1 ที่มาในฐานะโปรผู้ฝึกสอนพิเศษ ร่วมด้วยพิธีกรชื่อดัง “หนุ่ม” คงกระพัน แสงสุริยะ มารับหน้าที่พิธีกร พร้อมส่งลูกชาย น้องภัทร แสงสุริยะ สมัครเข้าร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในกิจกรรมครั้งนี้ ณ สนามกอล์ฟบางปะกง ริเวอร์ไซด์ คันทรี คลับ จ.ฉะเชิงเทรา

เปิดตัวกิจกรรมช่วงเช้าด้วยการชวนทุกคนเตรียมความพร้อมอบอุ่นร่างกายประมาณ 10 – 15 นาที โดยมี ผศ.ดร.เบญจพล เบญจพลากร ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และการออกกำลังกายของ Sport & Orthopedic Center โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท มาช่วยแนะนำการวอร์มอัพอย่างถูกวิธี เพื่อลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ

จากนั้นก็เข้าสู่ช่วง โปรฟลุ๊ค สอน 50 เยาวชนในคลาสพัตต์กอล์ฟระยะสั้น พร้อมสอนเทคนิคเล่นลูกสั้นให้มีความแม่นยำ รวมถึงการอ่านไลน์จากลักษณะของหญ้าบนกรีนจากตำแหน่งของลูกกอล์ฟจนถึงหลุม และระยะการออกแรงพัตต์ให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากไลน์ในสนามกอล์ฟประเทศไทยจะมีความแตกต่างจากสนามต่างประเทศ ตามด้วยวิธีเล่นลูกชิพแอนด์รันให้มีประสิทธิภาพ

และช่วงบ่ายของกิจกรรมได้จัดแบ่งกลุ่มให้ทุกคนได้ออกรอบเก็บคะแนนจำนวน 9 หลุม โดยเยาวชนที่ทำคะแนนการแข่งขันดีที่สุด ในประเภทชาย คือ ด.ช.อจลวิชญ์ อนันตะเศรษฐกูล อายุ 14 ปี ทำสกอร์รวม 31  5 อันเดอร์ ส่วนประเภทหญิง ได้แก่ ด.ญ.ภัสธนมนท์ สุทธิรักษ์พงศ์ อายุ 11  ปี ทำอีเวนท์พาร์ได้ 36 โดยทั้งสองคนจะได้เป็นตัวแทนร่วมแข่งขันกอล์ฟเยาวชนในรายการ SINGHA – SAT Future Junior Golf Tournament 2024 ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมปี 2567

นอกจากน้อง ๆ จะได้เรียนรู้ทักษะกีฬากอล์ฟจากโปรผู้ฝึกสอนพิเศษ และทีมโปรผู้ร่วมฝึกสอนจาก FJGT แล้ว ยังมี คุณวัฒนา เอี่ยมรักษา ที่ปรึกษาฝ่ายกีฬา จาก The Agency College Recruit ที่มาแนะแนวทางต่อยอดการเล่นกีฬากับการศึกษาให้กับกลุ่มผู้ปกครอง ในการใช้ความโดดเด่นด้านกีฬาเพื่อนำพาเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำ

สำหรับกิจกรรม BDMS Junior Golf Clinic 2023-2024 ครั้งต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ทางหน้าจอพีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 หรือทางแพลตฟอร์มออนไลน์ PPTV HD 36 ได้ทุกช่องทาง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 วิธีง่ายๆ เพิ่มพลัง “ภูมิคุ้มกันโรค” ให้กับร่างกาย

โดนฝนโดนแดดนิดเดียวก็เป็นหวัด อากาศเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยก็เป็นหวัด หรือแค่เดินจากห้องแอร์ออกไปเผชิญอากาศร้อนข้างนอกแป๊บเดียวก็น้ำมูกไหล ในขณะที่คนรอบข้างแข็งแรงปกติดีไม่เป็นอะไร นั่นอาจเป็นเพราะ “ระบบภูมิคุ้มกัน” ของเราทำงานได้ไม่ดีเหมือนคนอื่นๆ ถ้าอยากเสริมกำลังให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มที่ เราก็ต้องช่วยด้วยอีกแรง

10 วิธีง่ายๆ เพิ่มพลัง “ภูมิคุ้มกันโรค” ให้กับร่างกาย

  1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันเลวมากๆ

ดร. Simin Nikbin Meydani รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยด้านโภชนาการเพื่อความอ่อนเยาว์ของ Jean Mayer USDA มหาวิทยาลัย Tufts ในเมืองบอสตัน ระบุว่า อาหารที่มีไขมันเลวสูง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานด้อยประสิทธิภาพลง และยังทำงานได้เชื่องช้าลงกว่าปกติด้วย จากผลการทดลองระหว่างกลุ่มที่ทานอาหารสไตล์ตะวันตกที่มีปริมาณไขมันราว 38% กับกลุ่มที่ทานอาหารไขมัน (คอเลสเตอรอล) ต่ำราว 28% ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานอาหารไขมันต่ำมีระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ T lymphocytes หรือเม็ดเลือดขาวชนิดที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อโรคในร่างกาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงแนะนำให้ลดการทานไขมันทรานส์ ที่พบในน้ำมันสัตว์ที่ใช้ซ้ำๆ เนยเทียม มาการีน และเพิ่มไขมันดีอย่าง น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน อะโวคาโด ฯลฯ ให้กับร่างกายแทน

  1. ทานโปรตีนให้มากๆ

ความรู้ตอนประถมของทุกคนบอกเอาไว้แล้วว่า โปรตีนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย นอกจากจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อแล้ว ยังช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอีกด้วย เพราะในโปรตีนมีกรดอะมิโนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกันในการต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ไม่ให้เข้ามาทำร้ายร่างกาย ผู้หญิงควรทานโปรตีนราว 50 กรัมต่อวัน (หากกำลังตั้งครรภ์ควรทานโปรตีนราว 60-75 กรัมต่อวัน) ผู้ชายสามารถทานได้มากกว่านี้อีกเล็กน้อย แต่อย่าลืมเลือกโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ไก่ ปลา ไข่ ถั่ว เนื้อวัวที่เป็นส่วนมีไขมันน้อย และผลิตภัณฑ์ที่มาจากถั่วเหลือง เป็นต้น

  1. เคลื่อนไหวตัวอยู่เรื่อยๆ

การอยู่กับที่นานๆ ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเลย จะทำให้ร่างกายอยู่ในโหมดนิ่ง เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าสู่โหมดนิ่ง ไม่ทำงาน หรือโหมด sleep ด้วยเช่นกัน ถ้าอยากให้ร่างกายตื่นตัว ต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกายอยู่เรื่อยๆ เราก็ต้องปลุกร่างกายของเราให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยการขยับร่างกายเรื่อยๆ นั่งทำงานอยู่ก็ลุกขึ้นเดินบ้าง ออกกำลังกายบ้าง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเลือกที่จะวิ่งขึ้นบันไดในช่วงสั้นๆ เท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่จริงๆ ต้องออกกำลังกายแนวคาร์ดิโอ คือออกกำลังกายให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เหงื่อออกทั่วร่างกาย ในระยะเวลาอย่างน้อย 30 นาที เป็นเวลา 3-5 วันต่อสัปดาห์ รับรองว่าระบบภูมิคุ้มกันโรคของคุณจะอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้กับเชื้อโรคตลอดเวลาแน่นอน

  1. ลดน้ำหนัก

สำหรับใครที่อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน หากได้ลดน้ำหนักลงเล็กน้อย เราจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และแข็งแรงขึ้นทันตา จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tufts ที่ให้คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานทานอาหารไขมันต่ำ เมื่อผ่านไป 12 สัปดาห์ นอกจากกลุ่มคนเหล่านั้นจะลดน้ำหนักลงได้แล้ว ระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ T lymphocytes (T-cell) หรือเม็ดเลือดขาวชนิดที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อโรคในร่างกาย ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นมาตั้งใจลดน้ำหนักกันดีกว่า

  1. เล่นดนตรี

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเล่นดนตรีจะส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกายได้ด้วย จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Johann Wolfgang Goethe ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ระบุว่า การร้องเพลงช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้น และยังช่วยเพิ่มระดับแอนติบอดีที่ช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ นอกจากนี้จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Willamette ในเมืองซาเล็ม รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า คนที่เล่นเครื่องดนตรีแบบเคาะจังหวะอย่าง กลอง และร้องเพลงตามไปด้วย ร่างกายจะผลิตแอนติบอดีในปริมาณที่เข้มข้นกว่าคนที่ฟังเพลงเฉยๆ ดังนั้นลองหันมาเป็นนักดนตรีมือสมัครเล่นกันดีกว่า

  1. เลี้ยงสัตว์เลี้ยงขนนุ่มๆ

แปลกแต่จริง เมื่องานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Wilkes ที่เมืองวิลก์ส-แบร์ รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พบว่า หากคุณได้ลูบขนสุนัขราว 18 นาที จะทำให้สารภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ดร. Carl Charnetski อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Wilkes กล่าวว่า พลังจากความผ่อนคลายของร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้สารเคมีในสมองหลั่งออกมา เพื่อช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายได้ แต่หากใครไม่ชอบสัตว์ เรามีอีกหนึ่งทางออกให้ ผลจากการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Zurich ระบุว่า การสัมผัสอย่างนุ่มนวลจากคนรัก ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส หรือนวดบ่า ไหล่ คอของคนรัก ก็ช่วยให้ผลเหมือนกับการลูบขนสัตว์เลี้ยงที่รักได้เหมือนกัน ผลทั้งหมดมาจากการที่เราได้ลดความเครียดลง จนทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง

  1. ทานอาหารให้ได้ 3 สีใน 1 มื้อ

การทานอาหารให้หลากหลาย ช่วยให้เราได้สารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วนตามไปด้วย ดังนั้นการเลือกทานผักที่มีสีเขียว แดง เหลือง ขาว โดยเฉพาะผักสีส้ม เหลือง แดง ที่มีแคโรทีนอยด์อยู่มาก จะช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น หากไม่สามารถทานอาหารที่มีสีมากมายใน 1 มื้อได้ ให้เลือกทานเป็นมื้อๆ ไปก็ได้

  1. กินแบคทีเรียที่ดีเข้าไปในร่างกาย

อาจจะงงๆ ว่าแบคทีเรียที่ดีมีด้วยเหรอ ดร. Gregor Reid นักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันวิจัยสุขภาพ Lawson ในลอนดอน และแคนาดา กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพอย่าง พรีไบโอติกส์ ช่วยป้องกัน และลดปัญหาที่อาจเกิดในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ และโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากระบบทางเดินหายใจได้ พรีไบโอติกส์สามารถหาได้ใน โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ เป็นต้น ดังนั้นอย่าลืมทานอาหารเหล่านี้กันด้วย

  1. นอนอย่างมีคุณภาพ

ผลการวิจัยจาก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Mount Sinai ในเมืองนิวยอร์ก ระบุว่า ผู้หญิงที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ (ใช้เวลานอนราวๆ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน) จะมีเซลล์ภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงพร้อมทำงาน มากกว่าผู้หญิงที่รู้สึกเพลียจากการพักผ่อนน้อย หากอยากจะนอนให้ได้เร็วๆ และหลับสนิทตลอดคืน อย่าลืมหรี่ไฟในห้องลงเล็กน้อย (หรืออาจปิดไฟนอนเลยก็ได้) เปิดแอร์หรือพัดลมไม่ให้ร้อนเกินไป และให้ห้องอยู่ในความเงียบสงบตลอดทั้งคืนด้วย

  1. อย่าเครียด

พูดแบบนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ยากสำหรับหลายๆ คนที่ชอบคิดนู่นคิดนี่ไม่หยุดตอนก่อนนอน หรือตลอดทั้งวัน หากลองหาเวลาว่างผ่อนคลายจิตใจโดยไม่คิดอะไรที่ฟุ้งซ่านสักพัก จะทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ลดความตึงเครียดลง จนระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายหันมาสตาร์ทเครื่องยนต์กันอีกครั้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ ลองอ่านหนังสือที่ชอบ นั่งสมาธิ ออกกำลังกายด้วยโยคะ ต่อจิ๊กซอว์ วาดรูป หากิจกรรมที่ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ เท่านี้ก็ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของคุณทำงานได้อย่างเต็มที่ได้แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


หลักการใช้ Punctuation และ Capitalization

Punctuation (เครื่องหมายวรรคตอน)

  • Full stop (.) – ใช้ปิดท้ายประโยค ในภาษาอังกฤษเมื่อจบประโยคแล้วต้องตามด้วย full stop ไม่มีข้อยกเว้น
  • Comma (,) – ใช้คั่นสิ่งที่จะแจกแจงเป็นลำดับ / ใช้คั่นระหว่างชื่อเฉพาะ / คั่นระหว่างประโยค
  • Colon (:) – ใช้ก่อนที่จะแจกแจงลำดับรายการ เช่น the following words are animals: bird, cow, lion เป็นต้น
  • Semicolon (;) – ใช้เชื่อมสองประโยค (คล้ายๆ จุด full stop) / ใช้แทน comma
  • Hyphen (-) – ใช้เชื่อม compound word และคำที่ต้องเติม prefix / ใช้เพื่อแยกพยางค์หรือต่อประโยคที่ไม่พอบรรทัด
  • Dash (–) – เน้นข้อความที่แทรกเข้ามา

Capitalization (ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่)

  • ขึ้นต้นประโยค: เมื่อขึ้นต้นประโยคใด ๆ ก็ตาม ต้องใช้ตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวใหญ่เสมอ
  • ชื่อเฉพาะ: ชื่อเฉพาะของคน สถานที่ และชื่อเฉพาะอื่น ๆ ไม่ว่าจะวางเอาไว้ตรงไหนของประโยคก็ต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
  • ชื่อยศ/ตำแหน่ง: ตำแหน่งหรือยศใด ๆ เช่น Professor, Doctor ฯลฯ ให้ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th


สจล. หนุนเครือข่าย”ไทย – เนเธอร์แลนด์”พัฒนาการเกษตรดาวเทียม

สจล. หนุนเครือข่าย ไทย – เนเธอร์แลนด์ นำนวัตกรรม ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ ยกระดับการทำเกษตรและระบบอาหารที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว และพัฒนาการเกษตรดาวเทียม

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ระดมเครือข่ายนักวิชาการนานาชาติจากมหาวิทยาลัย ชุมชนธุรกิจ สถาบันวิจัยและพัฒนา และหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันความร่วมมือในงาน ‘เนเธอร์แลนด์-ไทย : เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ (The Netherlands – Thailand Space Technology Forum 2023 : Space Technology for Resilient Agriculture and Food System) เพื่อเป้าหมายยกระดับการทำเกษตรและระบบอาหารที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว พัฒนาการเกษตรดาวเทียม

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ระบบการเกษตรและอาหารทั่วโลกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากจำนวนประชากรโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Climate Change) ความท้าทายของระบบเกษตรกรรมและอาหารของประเทศ ไม่เพียงต้องผลิตอาหารด้วยวิธีที่ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่จะต้องมุ่งเป้าประกันความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) ได้อย่างเพียงพอสำหรับทุกคน

การจัดงาน‘งานเนเธอร์แลนด์-ไทย: เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ เป็นการตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ (Space Technology) และ ‘เกษตรกรรมดาวเทียม’ (Satellite Agriculture) เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมของทั้งสองประเทศ นับเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ และผู้มีส่วนกำหนดนโยบาย 140 คน ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยโซลูชั่นที่ก้าวล้ำ และกำหนดภูมิทัศน์ใหม่ของ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ และ ‘เกษตรกรรมที่ชาญฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศ’ อาทิ การใช้ข้อมูลและภาพจากดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศ การวิเคราะห์ดิน

และการจัดการพืชผลแบบเรียลไทม์ได้ปฏิวัติการเกษตรกรรมสู่ยุคใหม่ เพิ่มขีดความสามารถสร้าง ‘มาตรฐานสากลเกษตรยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ในการทำ ‘เกษตรอัจฉริยะ’ ผ่านปัญญาประดิษฐ์ IoT และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ SDG2 – ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security), SDG3 – ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ตลอดจน SDG11 – ชุมชนและเมืองที่ยั่งยืน เราจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศ ด้วยนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจของความร่วมมือไทย – เนเธอร์แลนด์ ในการผลักดันขยายองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลก

นายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน  เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ‘วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ’ มีความสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา การวางแผนการเดินทาง พยากรณ์อากาศ และอื่นๆ ข้อมูลเชิงพื้นที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม การวางผังเมือง การจัดการทรัพยากร (ป่าไม้ น้ำ แร่ธาตุ) และเพื่อการออกแบบระบบที่จะลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภัยพิบัติ อันเป็นความท้าทายของโลกปัจจุบัน เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภัยแล้ง น้ำท่วม การตัดไม้ทำลายป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลภาวะทางอากาศ ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

และต้นกำเนิดและผลที่ตามมามักจะทับซ้อนกันทางภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเราในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่ดีขึ้นเพื่อสังคมและโลกอีกด้วย การประชุมเทคโนโลยีอวกาศเนเธอร์แลนด์ – ไทย 2023 ครั้งนี้  มุ่งเน้นไปที่การนำ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ เข้ามามีส่วนในการทำ ‘ระบบการเกษตรและอาหาร’ ที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัวและยั่งยืนมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

ดร. นพดล สุกแสงปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ วิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ สจล. กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์และติดตามสังเกตการณ์ ‘ภัยแล้ง’ ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ภัยแล้งเชิงอุตุนิยมวิทยา 2. ภัยแล้งเชิงอุทกภัย 3. ภัยแล้งเชิงเกษตรกรรม เพื่อให้หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลและภาพไปใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการภัยแล้งได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้องค์ประกอบต่างๆ อาทิ ระดับปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิของหน้าดิน สภาพอากาศความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืช ระบบชลประทาน และความชื้นของดิน เพื่อใช้ในการวางแผนทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ผลักดันเครือข่ายในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ในการใช้ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ มาช่วยทางด้าน ‘เกษตรแม่นยำ’ และระบบอาหารที่มั่นคงเพียงพอ  หากเกษตรกรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้จริงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพียงแต่ในปัจจุบันยังขาดการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ใช้ นอกจากนี้ควรออกมาตรการเพื่อความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ เสริมสร้างเกษตรกรที่ไม่ทำลายป่าและไม่ทำการเพาะปลูกมากเกินจนล้นความต้องการของผู้บริโภค

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ฉลองครบ 2 ปี เดินหน้าขยายเครือข่ายร้านค้า พัฒนาระบบเพื่อผู้รับเหมาทั่วประเทศ

จะดีแค่ไหนถ้าผู้รับเหมา สามารถจัดซื้อวัสดุก่อสร้างได้อย่างง่ายดาย เพียงปลายนิ้วคลิก แพลตฟอร์มรักเหมา แพลตฟอร์มจัดซื้อวัสดุก่อสร้างออนไลน์ ที่พร้อมช่วยเหลือผู้รับเหมา และฝ่ายจัดซื้อวัสดุก่อสร้างอย่างเข้าใจ โดยช่วยให้เข้าถึงร้านค้าวัสดุก่อสร้างกว่า 320  ร้านค้าทั่วไทย ซึ่งล่าสุดได้ฉลองครบรอบ 2 ปี จัดโปรโมชันภายใต้แคมเปญ “แจกสู้ทุกสังเวียนวัสดุก่อสร้าง” พร้อมพัฒนาระบบ เพื่อยกระดับงานจัดซื้ออย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แพลตฟอร์มรักเหมา’ คืออะไร?

แพลตฟอร์มรักเหมา คือแพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับผู้รับเหมา ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างทั่วประเทศ เสมือนแหล่งค้นหาวัสดุก่อสร้างที่ครบครัน เพื่อการทำงานที่ง่ายและสะดวกรวดเร็ว อาทิ การส่งขอใบเสนอราคาไปยังผู้ขายหลายราย โดยสามารถเชื่อมต่อให้ผู้ซื้อ และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และยังมี Smart Compare Sheet สามารถเปรียบเทียบราคาได้อย่างง่ายดาย ด้วยระบบ AI อัจฉริยะ และ E-Document ที่ช่วยจัดทำเอกสารแบบออนไลน์ ตรวจสอบได้ ซึ่งที่ผ่านมา แพลตฟอร์มรักเหมา เดินหน้าเคียงคู่สมาชิกผู้รับเหมามากว่า 9,000 บริษัท ทั้งผู้รับเหมารูปแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล พร้อมตั้งเป้าขยายร้านค้าเครือข่ายให้ได้ 500 ร้านค้าทั่วประเทศภายในปี 2567 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้รับเหมาเข้าถึงวัสดุก่อสร้าง และยกระดับงานจัดซื้อให้มืออาชีพมากยิ่งขึ้น

คุณณัฏฐ์ จิรนิรันดร์กุล Co-Founder แพลตฟอร์มรักเหมา ได้เปิดเผยว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ได้สร้างรายได้ให้กับร้านค้าในแพลตฟอร์มไปแล้วรวมกว่า 2.1 พันล้านบาท รวมไปถึงช่วยให้ผู้รับเหมา และฝ่ายจัดซื้อขอใบเสนอราคาวัสดุก่อสร้างไปแล้วกว่า 33,300 ครั้ง และออกใบสั่งซื้อไปแล้วถึง 20,000 ใบ ซึ่งถือได้ว่าระยะเวลากว่า 2 ปี ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ มุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ผู้รับเหมาและฝ่ายจัดซื้อ สามารถขอใบเสนอราคาและจัดซื้อวัสดุก่อสร้างได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ค้นหาสินค้าได้แบบไร้ขีดจำกัด

“โดยที่ผ่านมาพบสถิติที่น่าสนใจที่ผู้รับเหมาและฝ่ายจัดซื้อ มีการจัดซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มรักเหมามากที่สุดในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพฯ, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, ชลบุรี และ ภูเก็ต ซึ่งวัสดุก่อสร้างที่นิยม ได้แก่ ปูนซีเมนต์, เหล็ก, คอนกรีตผสมเสร็จ, ฝ้า ผนัง, หลังคาและอุปกรณ์ ตามลำดับ รวมไปถึงวัสดุก่อสร้างที่สามารถสร้างยอดขายได้ทะลุเป้าได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ได้แก่ เหล็ก ยอดพุ่งแรง +38%, ปูนซีเมนต์ เติบโตต่อเนื่อง +25% และ คอนกรีตผสมเสร็จ มีสัดส่วนยอดขายที่เพิ่มขึ้น +2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

ทำไมต้องซื้อวัสดุก่อสร้างกับ ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ?

เป้าหมายหลักของ ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ คือการลดภาระงาน และช่วยยกระดับงานจัดซื้อ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ได้พัฒนาระบบเพื่อให้ตอบโจทย์ กระบวนการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างของผู้รับเหมาและจัดซื้อได้มากที่สุด เช่น การชำระเงินผ่าน Payment Gateway ด้วยบัตรเครดิต/เดบิต และ QR Code พร้อมเพย์ ใช้ง่าย ปลอดภัย จ่ายได้ 24 ชม. มีตารางเปรียบเทียบราคาโฉมใหม่ ช่วยให้สามารถเทียบเคียงราคาได้ง่ายดายขึ้น แสดงโค้ดส่วนลดที่ดีที่สุดของแต่ละร้านให้อัตโนมัติ ทั้งนี้ ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ยังช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงข้อมูลความต้องการ ของผู้รับเหมาที่หลากหลาย และสามารถวิเคราะห์หา Insight เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เรียกได้ว่าสามารถเพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ช่วยผู้รับเหมาอย่างไร?

‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ เข้ามาช่วยเปลี่ยนการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยการเชื่อมต่อกับร้านค้าชั้นนำในเครือข่ายกว่า 320 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งผู้รับเหมาสามารถค้นหาใบเสนอราคาจากผู้ขายหลายรายได้ง่าย ๆ ผ่านแพลตฟอร์มเพียงคลิกเดียว และสามารถเปรียบเทียบใบเสนอราคา ได้อย่างรวดเร็วด้วยตาราง AI อัจฉริยะ พร้อมสั่งสินค้าทันใจ ทำให้จบงานได้ไวขึ้น และลดปัญหาเดิม ทั้งการค้นหาร้านค้าและรอราคาวัสดุก่อสร้างจากหลาย ๆ ที่ เป็นเวลานานและวุ่นวาย ตลอดจนลดขั้นตอนการทำงานให้กับฝ่ายจัดซื้อหรือผู้รับเหมา ทำให้เหลือเวลาบริหารงานด้านอื่นได้มากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ยังมองเห็นถึงปัญหาการลงทุนซื้อวัสดุก่อสร้าง ของผู้รับเหมาอย่างเข้าใจ ได้ผนึกความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ‘เจ เวนเจอร์ส’ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี และดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชัน ในกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป (Jaymart Group) ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม สู่การแก้ไขปัญหาให้กับผู้รับเหมาและผู้ประกอบการอย่างตรงจุด จึงปล่อย เครดิตสินเชื่อป๋า เพื่อแก้ปัญหาการเงินให้กับผู้รับเหมา ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อวัสดุก่อสร้าง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ‘เครดิตสินเชื่อป๋า’ ได้เปิดให้บริการกับสมาชิกรักเหมา ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยมอบวงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 100,000 บาท

นอกจากนี้ในโอกาสที่ ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ ฉลองครบรอบ 2 ปี จึงได้จัดโปรโมชัน “รักเหมา 2nd Anniversary” ภายใต้แคมเปญ “แจกสู้ทุกสังเวียนวัสดุก่อสร้าง” มอบโค้ดส่วนลดจัดหนักจัดเต็ม ทั้งจากแพลตฟอร์มรักเหมา, ร้านค้า และแบรนด์ชั้นนำ เพื่อตอกย้ำแนวคิด “เปลี่ยนการจัดซื้อเป็นเรื่องง่าย พร้อมสู้ด้วยกันในทุกสถานการณ์” พร้อมเตรียมมอบ Premium Box Set ให้ผู้รับเหมาที่เริ่มขอใบเสนอราคาและจัดซื้อกับแพลตฟอร์มรักเหมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังมีโปรโมชันและกิจกรรมอีกมากมายตลอดทั้งเดือน เช่น แชะ & แชร์ ลุ้นกินฟรียกก๊วน ชวนผู้รับเหมา-จัดซื้อถ่ายรูปกับทีม “จัดซื้อกับรักเหมา เราสู้ตาย” ลุ้นรับ Cash Voucher ทานข้าวฟรียกทีม และโค้ดส่วนลดรักเหมาอีกมากมาย

สำหรับผู้รับเหมาและฝ่ายจัดซื้อที่สนใจใช้งาน ‘แพลตฟอร์มรักเหมา’ จัดซื้อวัสดุก่อสร้างออนไลน์ ตัวช่วยที่เปลี่ยนการจัดซื้อเป็นเรื่องง่าย ค้นหา-เทียบราคาวัสดุก่อสร้างจากร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ สามารถสมัครสมาชิกและเริ่มใช้งานได้ฟรี ที่เว็บไซต์ www.rakmao.com หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @rakmao หรือ Facebook: รักเหมา และสามารถดูรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://blog.rakmao.com/rakmao-2nd-anniversary

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


แชร์วิธีเดินทางไปสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง

แบ่งปัน วิธีเดินทางไปสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง อัปเดตล่าสุด 2023 ไปง่าย ไปได้ทุกคน

ต้องบอกว่าปีนี้รถไฟฟ้าวิ่งกันแล้วหลายสาย หลายสี ซึ่งก็ทำให้ชีวิตของคนเมืองสะดวกขึ้นมากๆ นอกจากการเดินทางไปทำงาน ไปมหาวิทยาลัยง่ายขึ้น หากเราจะไปสนามบินทั้งสองแห่งก็ยังไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะรถไฟสายสีแดงสามารถเดินทางไปยังสนามบินดอนเมืองได้เลย แถมราคาไม่แพงด้วย

ไปสนามบินดอนเมืองด้วยรถไฟฟ้า (สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ หรือ กลางบางซื่อ – รังสิต)

เริ่มต้น สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่เห็นภาพว่า รถไฟฟ้าสายสีแดงวิ่งเส้นไหนอย่างไรบ้าง สายสีแดงเข้ม ให้บริการ ทั้งหมด 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ, สถานีจัตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี, สถานีบางเขน,  สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต

ส่วนใครบ้านอยู่ สายสีแดงอ่อน ได้แก่ สถานีตลิ่งชัน, สถานีบางบำหรุ, สถานีบางซ่อน และสถานีกลางบางซื่อ ก็สามารถไปได้เช่นกัน โดยต้องมาสลับสายที่สถานีบางซื่อ ค่าโดยสารจะเริ่มต้นที่ 12 – 42 บาท 

รถไฟสายสีแดงเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 05.00 น. – 24.00 น. ให้บริการตามตารางเวลาเดินรถปกติ โดยให้บริการรถไฟจำนวน 8 ขบวน

ตารางเวลา รถไฟฟ้าสายสีแดง 2566

ธานีรัถยา : สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-สถานีรังสิต (สายเหนือ)

ช่วงเวลาเร่งด่วน ความถี่ 10.00 นาที นอกช่วงเวลาเร่งด่วน ความถี่ 15.00 นาที

• 05.00 น. – 07.00 น. ความถี่ 15 นาที
• 07.00 น. – 09.30 น. ความถี่ 10 นาที
• 09.30 น. – 17.00 น. ความถี่ 15 นาที
• 17.00 น. – 19.30 น. ความถี่ 10 นาที
• 19.30 น. – 24.00 น. ความถี่ 15 นาที

นครวิถี : สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน (สายตะวันตก)

05.00 น. – 24.00 น. ความถี่ 20 นาที
รถไฟฟ้าเที่ยวแรก เวลา 05.00 น.
รถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้าย เวลา 24.00 น.

วิธีการเดินทางไปสนามบินดอนเมืองด้วยรถไฟฟ้า

เพื่อนๆ คนไหนขึ้น รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม สามารถนั่งรถไฟไปยังสนามบินดอนเมืองแบบม้วนเดียวจบไม่ต้องสลับสายใดๆ ทั้งสิ้น เลือกลง สถานีสนามบินดอนเมือง 

หากเริ่มต้นที่ สายรถไฟสีแดงอ่อน ให้นั่งมาลงที่ สถานีกลางบางซื่อ ตามที่เกรินไปแล้วในข้างต้น จากนั้นก็เปลี่ยนสายไป สถานีดอนเมือง ด้วยรถไฟสายสีแดงเข้ม นั่นเอง

เมื่อถึงสนามบินดอนเมือง ใครไม่ทราบว่าต้องออกทางออกไหน เดินไปตามทางออกหมายเลข 4,6 เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่สนามบินได้แบบง่ายดาย

นั่งรถไฟสายสีแดงไปสนามบินสุวรรณภูมิ

สำหรับใครที่สะดวกนั่งสายสีแดงเพื่อเชื่อมต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ต้องบอกว่าอาจจะต้องเหนื่อยเล็กน้อย เพราะปัจจุบันหากเดินทางด้วยรถไฟฟ้าที่สามารถเข้าถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้มีเพียงวิธีทีเดียวคือต้องนั่ง แอร์พอร์ตลิงก์

ส่วนวิธีการเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ก็เริ่มต้นที่ รถไฟสายสีแดง ขึ้นจากสถานีไหนก็ตามให้ลง สถานีกลางบางซื่อ เพื่อเปลี่ยนเป็น MRT (สายสีน้ำเงิน) จากนั้นนั่งไปลงที่ สถานีเพชรบุรี เมื่อถึงสถานีเพชรบุรีให้เดินต่อไปยัง สถานีมักกะสัน เพื่อเชื่อมการเดินทางไปยัง Airport Rail Link โดยนี้แอร์พอร์ตลิงก์จะมุ่งเข้าสู่ตัวสนามบินสุวรรณภูมิที่ชั้น 1 ของสนามบิน

Airport Rail Link : จะเริ่มต้นที่ สถานีพญาไท, ราชปรารภ, มักกะสัน, รามคำแหง, หัวหมาก,บ้านทับช้าง, ลาดกระบัง และสุวรรณภูมิ

ช่วงเวลาเดินรถ: 05.30 – 00.00 น. ค่าโดยสาร: 45 บาทตลอดสาย

ติดต่อสอบถาม: 1690, 02-308-5600 Ext. 2906 – 2907

สุดท้าย การเดินทางหากเพื่อนๆ เลือกใช้ รถไฟฟ้าสายสีแดง ไปสนามบินดอนเมือง ต้องบอกว่าง่ายมาก สะดวกสุดๆ ใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน ไม่ต้องเผชิญรถติด ส่วนใครจะใช้สายสีแดงเพื่อต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิอาจจะดูยากสักหน่อยแต่บอกเลยว่าไม่ยากจนเกินไปแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/11/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a33,650.0033,750.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,180.0033,048.8034,250.00
ทองรูปพรรณ 90%1,962.0029,743.92n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,744.0026,439.04n/a
ทองรูปพรรณ 50%981.0014,871.96n/a
ทองรูปพรรณ 40%763.0011,567.08n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,259.0034,246.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/11/2566


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.0536.0536.5536.0536.0536.0536.0536.0536.0536.05
แก๊สโซฮอล์ 9134.2834.2834.7834.2834.2834.2834.2834.2834.2834.28
แก๊สโซฮอล์ E2033.9433.9434.4433.9433.9433.9433.9433.9433.94
แก๊สโซฮอล์ E8534.0934.0934.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.8447.7448.2447.7443.84
เบนซิน 9543.9445.1144.4444.0943.94
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.9443.6442.9441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า