เฟรเซอร์สฯ ชู AEI ยกระดับ สาทร สแควร์-ปาร์คเวนเชอร์ สู่ Workplace Destination
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯ ชู AEI ยกระดับสาทรสแควร์-ปาร์คเวนเชอร์ สู่ Workplace Destination หวังรักษาผู้เช่าดึงลูกค้าใหม่
จากนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมให้กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวเป็น “แม่เหล็ก” ที่ดึงดูดคนทั่วโลกให้เข้ามาเที่ยว มาทำงาน และมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายปลายทางสำคัญของคนทั่วโลกเพื่อก้าวสู่ Workplace Destination ขององค์กรและพนักงานจากทั่วโลก หลังจากที่ก่อนหน้านี้กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมือง Workation ที่เหมาะกับการทำงานและพักผ่อนที่สุดในโลก
วิทวัส คุตตะเทพ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะผู้นำตลาดมีพื้นที่อาคารสำนักงานและพาณิชยกรรมรวมกว่า 2.4 แสนตร.ม. ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรับ “โอกาส (Opportunity)” พร้อมกับเสริมจุดแข็ง (Strength) ทางด้านทำเล Prime Area กลางใจเมือง ด้วยโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative : AEI) ให้กับของตึก สาทร สแควร์ และ ปาร์คเวนเชอร์ ซึ่งเปิดให้บริการมา 14 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปถือเป็นความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอาคารสำนักงาน
จากข้อมูลตลาด พบว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีอาคารสำนักงานเกิดใหม่ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จแล้วจำนวน 4-5 แสนตร.ม. ทำให้ไตรมาสแรกปี 2567 ที่ผ่านมา มีพื้นที่รวม 9.61 ล้านตร.ม. และอยู่ระหว่างการก่อสร้างถึง 1.6 ล้านตร.ม. ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในแต่ละปีขยายตัวต่ำกว่าจำนวนซัพพลายที่เข้ามาส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ลดลงเฉลี่ย 82.2% จากเดิมอัตราการเช่าพื้นที่ก่อนหน้านี้สูงถึง 85-90%
“เฟรเซอร์สฯ ในฐานะผู้นำตลาดสำนักงานเกรด A เราคงอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องปรับตัวให้แข่งขันได้กับสำนักงานเกรด A+ ที่เปิดตัวใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีและบริการในรูปแบบใหม่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มบริษัทไทยเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มลูกค้าใหม่เข้ามา”
ปัจจุบันอาคาร สาทรสแควร์ และ ปาร์คเวนเชอร์ ได้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) โดยดำเนินการปรับโฉมอาคารภายใต้โครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative : AEI) ด้วยกลยุทธ์ 5 มิติ เพื่อก้าวสู่ Workplace Destination จากทั่วโลก ดังนี้
1. Smart Technology: ยกระดับความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ ระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและการจัดการผู้มาติดต่อสามารถแสดงตนด้วยการสแกนใบหน้า หรือสแกน QR Code ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ เพิ่มระบบจัดการการเข้า-ออกรถยนต์ภายในอาคารจอดรถที่สามารถตรวจและอ่านป้ายทะเบียนแบบอัตโนมัติ ชำระค่าจอดรถผ่านระบบออนไลน์ พร้อมติดตั้งจุดให้บริการ EV Charger และมาตรฐานระดับ Platinum สูงสุดจาก WiredScore ด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล
2. Sustainability Excellence: ยกระดับการจัดการอาคารส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความยั่งยืน เน้นการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร โดยนำระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System: BMS) มาเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศกรรมอาคารและการจัดการพลังงานภายในอาคาร
3. Superb Well-being: ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร โดยมีระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality: IAQ) โดย สาทรสแควร์ มีพื้นที่สีเขียวรอบอาคารเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และพื้นที่รีเทลที่เติมเต็มการใช้ชีวิตให้ครบครันมากขึ้น
4. Support Tenant Centricity: สร้างความประทับใจให้ผู้เช่าและผู้ใช้อาคารด้วยการมุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสำคัญ ผ่านการสื่อสาร รับฟังความต้องการ และความพึงพอใจ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องพร้อมจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในเทศกาลต่างๆ โดยชักชวนผู้เช่าและผู้ใช้อาคารมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมน่าอยู่
5. Spectacular Design: ความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคาร สะท้อนแนวคิดการออกแบบอาคารอย่างมีเอกลักษณ์ การปรับโฉมล็อบบี้ด้วยการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ สร้างสีสันมิติใหม่ (Neo-vibrant) เพื่อบรรยากาศที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา สอดรับแนวคิดของสาทรสแควร์กับการเป็น The Neo-vibrant Business Complex
วิทวัส กล่าวว่า การยกระดับคุณภาพอาคารครั้งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดึงดูดบริษัทชั้นนำและรักษามาตรฐานคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้อาคารและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ Real Estate as a Service Brand ครอบคลุมทั้ง Space, Community และ Sustainability สอดรับกับเจตนารมณ์ของ กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ หรือ Inspiring experiences, creating places for good.
“ปัจจุบันการปรับปรุงอาคารภายใต้โครงการ AEI ที่ สาทรสแควร์ มีการปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอาคาร ปาร์คเวนเชอร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2567 นี้”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เช็กลิสต์“รีเทนชั่น” หรือ “รีไฟแนนซ์” แบบไหนเหมาะกับคุณ
- จากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ผู้บริโภคที่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองเกือบ 3 ใน 5 หรือ 59% คุ้นเคยกับการรีไฟแนนซ์
- ขณะที่อีก 34% ไม่รู้จักการรีไฟแนนซ์มาก่อน
- เหตุผลหลักของผู้บริโภคที่ตั้งใจะรีไฟแนนซ์60%ช่วยประหยัดเงินได้มากขึ้น
- ขณะที่ 52% มองว่าช่วยให้ได้อัตราดอกเบี้ยและการผ่อนจ่ายที่ถูกลง
แม้เป้าหมายในการรีเทนชั่นหรือรีไฟแนนซ์จะมุ่งเน้นไปที่การช่วย”ลดอัตราดอกเบี้ย” แต่มีรายละเอียดและเงื่อนไขที่ต้องทำความเข้าใจอย่างรอบคอบ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้รวบรวมเช็กลิสต์ที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจรีเทนชั่นหรือรีไฟแนนซ์ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกแนวทางลดดอกเบี้ยที่ตอบโจทย์การเงินได้มากที่สุด ดังนี้
ตรวจสอบรายละเอียดสัญญาเดิมให้ชัดเจน ปกติแล้วธนาคารจะมีโปรโมชั่นสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่คิดดอกเบี้ยอัตราพิเศษในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น เมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวดอกเบี้ยจะขยับเป็นอัตราลอยตัวจึงทำให้ผู้กู้ต้องผ่อนชำระอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น ผู้กู้ควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่ามีเงื่อนไขเวลาในการยื่นเรื่องรีเทนชั่นหรือรีไฟแนนซ์ไว้อย่างไร
โดยส่วนใหญ่ธนาคารจะระบุให้ผู้กู้สามารถรีไฟแนนซ์ได้หลังจากผ่อนไประยะเวลาหนึ่ง ซึ่งหากมีการรีไฟแนนซ์ก่อนครบกำหนด ผู้กู้จะต้องเสียค่าปรับให้ธนาคารเดิมขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร อย่างไรก็ดี หากผู้กู้มีความจำเป็นต้องรีไฟแนนซ์ก่อนเวลาที่กำหนดในสัญญาเนื่องจากแบกรับภาระดอกเบี้ยไม่ไหว ก็ควรคำนวณยอดค่าปรับมาเปรียบเทียบกับจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนว่าคุ้มพอที่จะเสียค่าปรับหรือไม่ วิธีไหนจะแบ่งเบาภาระทางการเงินได้มากกว่ากัน หรือจะเลือกอดทนผ่อนจ่ายไปจนครบกำหนดสัญญาก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับที่ไม่จำเป็นแทน
เวลาในการเตรียมเอกสาร อีกหนึ่งข้อดีของการ”รีเทนชั่น”คือเป็นการดำเนินธุรกรรมกับธนาคารเดิม ซึ่งมีเอกสารและข้อมูลของผู้กู้อยู่แล้ว จึงทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารต่าง ๆ มากนัก เนื่องจากธนาคารสามารถใช้เอกสารเดิมหลายฉบับที่ผู้กู้ใช้ยื่นขอสินเชื่อ จึงมีความสะดวกสบายมากกว่า
อีกทั้งยังใช้ระยะเวลาในการพิจารณาไม่นาน เพราะธนาคารมีประวัติการผ่อนชำระอยู่แล้ว จึงอนุมัติได้เร็วกว่าการรีไฟแนนซ์ที่ผู้กู้ต้องเตรียมเอกสารใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้ประกอบการยื่นกู้ตามเงื่อนไขของธนาคารใหม่ หลังจากนั้นธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระสินเชื่อ ภาระหนี้ ประเมินสภาพที่อยู่อาศัยที่ต้องการกู้ และดำเนินการตามขั้นตอนตรวจสอบ ซึ่งใช้เวลาการพิจารณาอนุมัติเท่ากับการขอกู้ใหม่
คำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด หลายคนมองว่าการ “รีไฟแนนซ์”คุ้มค่ามากกว่าเนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่มักเสนอโปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้ อย่างไรก็ดี ผู้กู้ต้องไม่ลืมที่จะคำนวณค่าธรรมเนียมในการดำเนินการต่าง ๆ ด้วย
เนื่องจากการรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่จะต้องมีขั้นตอนการจดจำนองใหม่อีกครั้ง จึงมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการรีเทนชั่นกับธนาคารเดิม
โดยค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ประกอบด้วย
- ค่าธรรมเนียมการจัดการสินเชื่อตามสัญญาใหม่ 0-3%
- ค่าธรรมเนียมในการจดจำนอง 1% (ปัจจุบันมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา จนถึง 31 ธันวาคม 2567)
- ค่าประเมินราคาหลักประกัน 0.25-2%
- ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้
- ค่าประกันอัคคีภัย
นอกจากนี้หลังจากได้รับการอนุมัติจากธนาคารใหม่ที่รีไฟแนนซ์แล้ว ผู้กู้จะต้องสอบถามยอดหนี้คงเหลือจากธนาคารเดิมก่อน ซึ่งจะต้องเตรียมเงินส่วนนี้ไปชำระให้กับธนาคารเดิมในวันไถ่ถอนด้วยเช่นกัน
ขณะที่การรีเทนชั่นจะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 1-2% ของยอดวงเงินกู้เดิมหรือวงเงินที่เหลือแล้วแต่ที่ธนาคารกำหนด
ผู้บริโภคจึงควรคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบกันให้ละเอียด หากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับต่างกันไม่มากนัก การรีเทนชั่นอาจจะคุ้มค่ากว่าเนื่องจากเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินการที่น้อยกว่า
ต่อรองเพื่อหาอัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่า เบื้องต้นผู้กู้ควรติดต่อขอทราบตัวเลือกโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์จากธนาคารอื่น ๆ เพื่อนำมาเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยกับการรีเทนชั่นกับธนาคารเดิมว่าที่ใดให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยต่ำสุดในช่วง 3 ปีแรก เนื่องจากเมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวก็จะสามารถขอยื่นเรื่องรีเทนชั่นหรือรีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ยได้อีกครั้ง!
อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่การรีไฟแนนซ์มักจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการรีเทนชั่น หากผู้กู้ได้รับโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษก็สามารถนำไปต่อรองกับธนาคารเดิมเพื่อขอรีเทนชั่นในอัตรานั้นได้ ซึ่งมีโอกาสที่ทางธนาคารเดิมจะปรับลดดอกเบี้ยลงมาให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งและรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้เช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้กู้ได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำลงและคุ้มค่ากว่า เนื่องจากค่าธรรมเนียมการรีเทนชั่นต่ำกว่าการรีไฟแนนซ์
แม้การรีเทนชั่นและรีไฟแนนซ์จะเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ทำให้ทุกคนแบ่งเบาภาระในการผ่อนบ้านได้มากขึ้น ลดจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลง รวมทั้งเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้ดีขึ้นแล้ว
แต่หัวใจสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามตั้งแต่คิดจะซื้อบ้าน/คอนโดฯ คือการวางแผนการเงินให้เป็นระบบก่อนกู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ผ่อนไม่ไหวจนขาดส่งค่างวดและกระทบไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ต่าง ๆ ที่อาจตามมาได้
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะแสดงในประวัติทางการเงินของเครดิตบูโรและจะมีผลในการพิจารณาอนุมัติเมื่อยื่นขอรีเทนชั่นและรีไฟแนนซ์กับธนาคารทุกแห่งเช่นกัน จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ส.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.93 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจยังคงแกว่งตัว sideways แถวโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมควรระวังความผันผวนของตลาด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ส.ค. 2567 ที่ระดับ 33.93 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.94 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัว sideways แถวโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
โดยเราคาดว่าตลาดการเงินจะมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันที่ 6 กันยายน อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวันนี้ ควรระวังความผันผวนของตลาดตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง ECB และ เฟด ในช่วงหลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อของทั้งฝั่งสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
โดยในกรณีที่ บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน ก็ชะลอลงมากกว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว -75bps ในปีนี้ ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้บ้าง เนื่องจากล่าสุด
ผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจมากนัก ว่า ECB จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว -75bps ทั้งนี้ เรามองว่า ตราบใดที่ตลาดหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ เงินยูโร (EUR) ก็อาจยังพอได้แรงหนุนและไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปได้ปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุด All time high เพิ่มความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นยุโรปอาจปรับตัวลงได้ไม่ยาก หากเผชิญปัจจัยกดดัน
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ เช่นกัน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไว้สูงว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE จะไม่ได้เร่งตัวขึ้นไปมากนัก จนทำให้ เฟดอาจเปลี่ยนใจไม่เริ่มทยอยลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน
ทำให้หากอัตราเงินเฟ้อ PCE กลับเร่งตัวขึ้นมากกว่าคาด ก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้บ้าง แต่เรามองว่าโอกาสเกิดภาพดังกล่าวมีไม่มากนัก ทำให้เราเชื่อว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลงตามคาด หรือ
ชะลอลงมากกว่าคาดบ้าง ก็อาจไม่ได้ส่งผลกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องชัดเจน เพราะผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ที่จะรายงานในสัปดาห์หน้ามากกว่า
ทั้งนี้ เงินบาทก็อาจผันผวนไปตามโฟลว์ธุรกรรมทองคำได้เช่นกันในช่วงนี้ โดยเราคงมองว่า ราคาทองคำอาจยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม ทำให้ราคาทองคำก็อาจยังคงติดโซนแนวต้านและมีโอกาสที่จะย่อตัวลงได้บ้าง ซึ่งเราเชื่อว่าผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจังหวะเข้าซื้อในช่วงราคาทองคำย่อตัวลง และรอทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
อนึ่ง เราคงประเมินว่า เงินบาทจะมีโซนแนวต้านแรกแถว 34.05-34.10 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซนแนวต้านถัดไปแถว 34.20 ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทดูจะอยู่ในช่วง 33.90 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับถัดไปแถว 33.75-33.80 บาทต่อดอลลาร์
เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.10 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ sideways ใกล้โซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.91-34.06 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ที่ได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อาทิ คาดการณ์ครั้งที่ 2 ของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาส 2 รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า เงินบาทยังคงไม่สามารถอ่อนค่าต่อเนื่องได้ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ก็สามารถทยอยรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,520-2,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง
ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อมั่นว่า เฟดอาจมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว -100bps ในปีนี้ (เราคาดว่า ตลาดอาจเปลี่ยนมุมมองได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันที่ 6 กันยายน ออกมาดีกว่าคาด)
นอกจากนี้ ราคาทองคำก็ยังพอได้แรงหนุนจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งการปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวของราคาทองคำก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
แม้ว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับถูกกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่
อย่าง Nvidia -6.4% หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตของ Nvidia ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.23% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.004% ย่อลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.76% หนุนโดยความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ หลังอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนสิงหาคม
ชะลอตัวลงต่อเนื่อง มากกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +3.0% สวนทางกับการปรับตัวลดลงหนักของหุ้น Nvidia ในฝั่งสหรัฐฯ
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 3.87% ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ส่วนใหญ่ก็ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้น
ไม่ว่าจะปรับตัวขึ้นหรือลงจนหลุดกรอบ 3.80%-4.00% หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันที่ 6 กันยายน ซึ่งจะสะท้อนว่า เฟดจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมเดือนกันยายน หรือ การประชุมครั้งถัดๆ ไป หรือไม่
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า จังหวะในการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่ดี คือ เน้นรอ Buy on Dip ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น มากกว่าที่จะไล่ซื้อในช่วงที่บอนด์ยีลด์ได้ปรับตัวลดลง รับรู้มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายไปมากแล้ว
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 145.5 เยนต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายปรับสถานะของผู้เล่นในตลาด หลังเงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.1-101.6 จุด)
อนึ่ง เราคงประเมินว่า เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น
ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังพอได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว -100bps ในปีนี้ รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ทำให้ราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,560 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนสิงหาคม โดยหากอัตราเงินเฟ้อ PCE ไม่ได้มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นมากกว่าคาดชัดเจน (มากกว่า +0.2%m/m) ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนกันยายน
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนสิงหาคม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ครีม บุศนันทน์ บาดเจ็บขอถอนตัวแบดมินตันโคเรีย โอเพ่น
“ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ หญิงเดี่ยวมือ 12 ของโลก ต้องจบเส้นทางในแบดมินตันโคเรีย โอเพ่น 2024 ไว้เพียงแค่รอบสองหลังได้รับบาดเจ็บในการแข่งขันเกมที่ 2
การแข่งขันแบดมินตันรายการ โคเรีย โอเพ่น 2024 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 14,280,000 บาท ที่เมืองม็อกโป ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 ส.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบสอง
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 12 ของโลก พบกับ ชิว ปินเชียน มืออันดับ 45 ของโลกจาไต้หวัน
เกมนี้ ครีม บุศนันทน์ สู้ได้สนุกในเกมแรก แต่ ชิว ปินเชียน มาเล่นได้ดีกว่าในช่วงท้าย เอาชนะไปได้ก่อนที่ 22-20 แต่ในเกมที่สอง ชิว ปินเชียน นำ 7-2 ครีม บุศนันทน์ มีอาการบาดเจ็บ เล่่นต่อไม่ไหว ขอถอนตัวออกจากการแข่งขัน
ส่วน “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 38 ของโลก แพ้ให้กับ เหยา เจียมิน มืออันดับ 19 ของโลกจากสิงคโปร์ 0-2 เกม 16-21 ,17-21
ด้านประเภทชายคู่ รอบสอง “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 17 ของโลก ยังทำโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ตบเอาชนะ อันเดอร์ส ซอนเดอร์การ์ด กับ เจสเปอร์ ทอฟท์ คู่มืออันดับ 24 ของโลกจากเดนมาร์ก 2-0 เกม 21-14 และ 21-19 “เอ็ม” สุภัค กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ คัง มินฮุก กับ โซว ซอนแจ คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 5 ของโลกจากเกาหลีใต้
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
5 อาหารบำรุงสมอง เพิ่มประสิทธิภาพเสริมความจำ และป้องกันสมองเสื่อม
สมอง เป็นส่วนที่เราใช้งานมันอย่างหนักอยู่แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรียน ถ้าวันหนึ่งสมองของเราเกิดผิดปกติขึ้นมา คงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเรามากแน่นอน การเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีส่วนช่วยในการบำรุงสมองให้แข็งแรง ช่วยเสริมสร้างความจำ สมาธิ และป้องกันโรคเกี่ยวกับสมอง เช่น อัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี แล้วทำไมเราไม่หันมาดูแล บำรุงสมอง ของเราให้ดีอยู่ตลอดล่ะ รู้อย่างนี้แล้วตาม Sanook Health มาพบกับ 5 อาหารบำรุงสมองกันเลย
อาหารบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำและป้องกันสมองเสื่อม
1. ไข่
ในทุกบ้านย่อมมีไข่ติดไว้เสมอ เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย และสามารถทำอาหารได้หลากหลายเมนู หากไม่รู้จะกินอะไร ไข่ มักจะเป็นสิ่งแรกที่นึกถึงเสมอ คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะในไข่มีสารตัวหนึ่งชื่อว่า “โคลิน” ซึ่งช่วยในการพัฒนาระบบการทำงานของสมอง ดังนั้นอย่าลืมกินไข่กันด้วยล่ะ วันละ 2 ฟองกำลังดีเลย แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล อาจจะต้องลดไข่แดงหน่อยนะ
2. ปลา
“กินปลาเยอะๆ จะได้ฉลาด” คำนี้ที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก บอกเลยว่า มันคือเรื่องจริง เราควรกินปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะในปลาทะเลน้ำลึกมีกรดไขมันและโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมองและเสริมสร้างผนังเซลล์ประสาทในสมองของเราให้แข็งแรง ปลามีหลากหลายชนิด อย่ากินแค่ชนิดเดียวล่ะ จะได้ป้องกันสารพิษที่อาจอยู่ในเนื้อปลาได้
3. ถั่ว
ถั่ว อาหารว่างสุดโปรดของใครหลายคน เช่น อัลมอนด์ ฮาเซลนัท หรือจะเป็นถั่วลิสงที่เราคุ้นเคยกันดี ใครที่ไม่ชอบกิน ลองหันมากินดูนะ เพราะในถั่วมีไขมันดี โปรตีนเยอะ ไฟเบอร์สูง แถมยังมีวิตามินอีซึ่งช่วยในเรื่องกระบวนการคิด ความจำ และวิตามินบี1 ที่ช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองของเราแข็งแรง รู้อย่างนี้ ไม่ลองไม่ได้แล้ว
4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
การทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ นอกจากจะทำให้เราสดชื่นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพสมองของเราให้มีระดับไอคิว และกระบวนการคิดดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี และปรับความดันเลือดให้สมดุล เอามาทานเป็นอาหารว่างระหว่างวันก็ไม่เลวนะ
5. ช็อคโกแลต
แค่พูดชื่อก็อยากกินซะแล้วสิ ใครจะรู้ว่าในช็อคโกแลตที่เรากินกันอยู่บ่อยๆ นอกจากเรื่องความอร่อยแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองให้ทำงานดีขึ้นด้วย รู้แล้วอยากออกไปซื้อเลย แต่ก็อย่ากินมากเกินไปล่ะ กินแค่พอดี เพราะมีแคลอรี่สูงเหมือนกันนะ เดี๋ยวจะอ้วนเอา ถ้าเอาให้ดีเลือกดาร์คช็อคโกแลตที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำก็จะดียิ่งขึ้น
อาหารเหล่านี้หาได้ไม่ยากเลย สมองของเราถ้าเราไม่ดูแลก็ไม่มีใครช่วยได้ สำหรับคนที่ชอบคิดมาก สมองก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นเพื่อสมองที่ดีและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หันมาทานอาหารบำรุงสมองและมองโลกในแง่ดีกันเถอะ
สารอาหารสำคัญสำหรับสมอง
- วิตามินบี ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและการเผาผลาญพลังงานในสมอง
- วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์สมอง
- กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างเซลล์สมองและป้องกันการอักเสบ
- คอเลสเตอรอลดี (HDL) ช่วยในการสร้างฮอร์โมนและสารสื่อประสาท
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการบำรุงสมอง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้สมองได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเอง
- ลดความเครียด ความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับสมอง การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ ช่วยลดความเครียดได้
- เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและป้องกันการเสื่อมของสมอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
50 แคปชั่นความสุข แคปชั่นภาษาอังกฤษ สร้างแรงบันดาลใจ ทำให้แต่ละวันสดใสขึ้นทันที
แคปชั่นความสุข Happiness Caption
“The most important thing is to enjoy your life – to be happy. It’s all that matters.”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสนุกกับชีวิต – มีความสุข มันคือสิ่งสำคัญที่สุด”
“Nothing can bring you happiness but yourself.”
“ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้คุณมีความสุขได้ นอกจากตัวคุณเอง”
“Never regret anything that made you smile.”
“อย่าเสียใจกับสิ่งที่ทำให้คุณยิ้ม”
Today I will focus on stressing less and feeling blessed
วันนี้ฉันจะไม่มีความเครียดและทำให้ตัวเองมีความสุข
“Happiness is the best makeup.”
“ความสุขคือเครื่องสำอางที่ดีที่สุด”
“Happiness is a state of mind. It’s just according to the way you look at things.”
“ความสุขคือสภาวะของจิตใจ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมองสิ่งต่างๆ อย่างไร”
“If you want to be happy, be.”
“หากคุณอยากมีความสุข จงเป็นตัวเอง”
“Independence is happiness.”
“ความเป็นอิสระคือความสุข”
“Think of all the beauty still left around you and be happy.”
“คิดถึงความสวยงามที่ยังคงเหลืออยู่รอบตัวคุณและจงมีความสุข”
“Simplicity makes me happy.”
“ความเรียบง่ายทำให้ฉันมีความสุข”
Happiness is seeing life for what it is in all the little moments.
ความสุขคือการมองเห็นชีวิตตามที่เป็นอยู่แม้ในช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ
“Life is too short to spend it at war with yourself.”
“ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะใช้เวลาไปกับการมีปัญหากับตัวเอง”
The happiness you’re looking for is all around you, don’t forget to notice it.
ความสุขที่คุณมองหาอยู่รอบๆ ตัวคุณ อย่าลืมมองหามัน
“Happiness is when what you think, what you say, and what you do are in harmony.”
“ความสุขคือ เมื่อสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณพูด และสิ่งที่คุณทำมีความสอดคล้องกัน”
“Happiness is the secret to all beauty. There is no beauty without happiness.”
“ความสุขคือความลับของความงามทั้งหมด ไม่มีความงามใดที่ไม่มีความสุข”
“Happiness isn’t a goal… it’s a by-product of a life well lived.”
“ความสุขไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นผลพลอยได้จากการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า”
“There is no path to happiness. Happiness is the path.”
“ไม่มีหนทางไปสู่ความสุข ความสุขคือหนทาง”
“Happiness comes in waves. It’ll always come back.”
ความสุขมักจะมาเป็นระลอกคลื่น และจะกลับมาเสมอ
Be happy it’ll drive your enemies crazy.
การที่เรามีความสุข มันจะทำให้ศัตรูของคุณคลั่ง
The secret to being happy is to find peace where you are even if you’re not yet where you want to be
เคล็ดลับในการมีความสุขคือการค้นหาความสงบในที่ที่คุณอยู่ แม้ว่าคุณจะยังไม่ถึงจุดที่คุณต้องการก็ตาม
“The only thing that will make you happy is being happy with who you are.”
“สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณมีความสุขคือการมีความสุขกับตัวเอง”
The happiest people make the best of what they have instead of crave what they don’t.
คนที่มีความสุขที่สุดคือคนที่ทำสิ่งที่ดีที่สุดจากสิ่งที่พวกเขามี แทนที่จะสนใจในสิ่งที่พวกเขาไม่มี
แคปชั่นความสุขที่แท้จริง True Happiness Caption
True happiness is found by living in the present moment
ความสุขที่แท้จริงพบได้จากการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
“There is only one happiness in life, to love and be loved.”
ความสุขในชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือการรักและการถูกรัก
“Keep your face always toward the sunshine and the shadow will fall behind you.”
“หันหน้าเข้าหาแสงแดดเสมอ แล้วเงาจะตกอยู่ข้างหลังคุณ”
“True happiness is found inside the heart.”
“ความสุขที่แท้จริงนั้นพบได้ภายในหัวใจ”
“True happiness… is not attained through self-gratification, but through fidelity to a worthy purpose.”
ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการแสวงหาความสุขส่วนตัว แต่มาจากการซื่อสัตย์ต่อเป้าหมาย
Being grateful for all that you have leads you towards true happiness
การรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่คุณมีจะนำคุณไปสู่ความสุขที่แท้จริง
You’ll instantly discover true happiness when you stop looking for reasons to be unhappy
คุณจะค้นพบความสุขที่แท้จริงทันทีเมื่อคุณหยุดมองหาเหตุผลที่จะไม่มีความสุข
“Happiness is the spiritual experience of living every minute with love, grace, and gratitude.”
“ความสุขคือประสบการณ์ทางจิตวิญญาณในการใช้ชีวิตทุกนาทีด้วยความรัก ความสง่างาม และความกตัญญู”
“True happiness arises, in the first place, from the enjoyment of one’s self, and in the next, from the friendship and conversation of a few select companions.”
ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากความสนุกสนานในตัวเองเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเกิดขึ้นจากมิตรภาพและการสนทนากับเพื่อน
แคปชั่นความสุขตลกๆ Funny Happiness Caption
“Always keep your chin up, otherwise you’re just staring at your boobs all day.”
“เงยหน้าขึ้นไว้เสมอ ไม่เช่นนั้นคุณจะต้องนั่งมองหน้าอกตัวเองทั้งวัน”
“Some people call me crazy. I prefer the term happy with a twist.”
“บางคนเรียกฉันว่าบ้า ฉันชอบคำว่ามีความสุขแบบมีเงื่อนไขมากกว่า”
“Breathe in the good shit, breathe out the bullshit.”
“หายใจเข้าเพื่อรับสิ่งที่ดี และหายใจออกเพื่อเอาสิ่งที่ไร้สาระออกไป”
“They say money doesn’t bring happiness, but everyone still goes out there to see it for themselves.”
“พวกเขาบอกว่าเงินไม่สามารถซื้อความสุขได้ แต่ทุกคนยังคงออกไปหาเงินเพื่อความสุขด้วยตนเอง”
“Life is short. Smile while you still have teeth.”
“ชีวิตสั้น จงยิ้มในขณะที่ยังมีฟันเต็มปาก”
“Whenever I have a problem, I sing. Then I realize that my voice is worse than my problem.”
“ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหา ฉันจะร้องเพลง จากนั้นฉันก็ตระหนักว่าเสียงของฉันแย่กว่าปัญหานั้นเสียอีก”
“Never let anyone treat you like you’re regular glue. You’re glitter glue.”
“อย่าปล่อยให้ใครปฏิบัติกับคุณเหมือนว่าคุณเป็นคนธรรมดา ถ้าในความจริงแล้วคุณเป็นคนที่เปล่งประกาย”
“It’s okay if you don’t like me. Not everyone has good taste.”
“ไม่เป็นไรถ้าคุณไม่ชอบฉัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีรสนิยมดี”
“The older you get the better you get… unless you’re a banana.”
“ยิ่งคุณอายุมากขึ้น คุณจะยิ่งเก่งขึ้น… เว้นแต่คุณจะเป็นคนประเภทบ้าบอและโง่เขลา”
“Laughter is the best medicine. But if you’re laughing without any reason, you need medicine.”
“เสียงหัวเราะเป็นยาที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล คุณก็ต้องใช้ยา”
แคปชั่นเสียงหัวเราะ Laughter Caption
“Life is better when you cry a little, laugh a lot, and are thankful for everything you’ve got.”
“ชีวิตจะดีขึ้นเมื่อคุณร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง และรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมี”
“The most wasted of all days is one without laughter.”
“วันเวลาที่เสียเปล่าที่สุดคือวันที่ไม่มีเสียงหัวเราะ”
“Trouble knocked at the door, but hearing laughter, hurried away.”
“ปัญหากำลังเคาะประตู แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ พวกมันก็รีบหนีไป”
“Laughter is timeless, imagination has no age, and dreams are forever.”
“เสียงหัวเราะไม่มีวันสิ้นสุด จินตนาการไม่มีอายุ และความฝันคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
“Laughter is an instant vacation.”
“เสียงหัวเราะเป็นเหมือนวันหยุดพักผ่อน”
“Laughter is the sound of the soul dancing.”
“เสียงหัวเราะคือเสียงของวิญญาณที่เต้นรำ”
“Life is better when you’re laughing.”
“ชีวิตจะดีขึ้นเมื่อคุณหัวเราะ”
“You don’t stop laughing because you grow older. You grow older because you stop laughing.”
“คุณไม่ได้หยุดหัวเราะเพราะคุณแก่ตัวลง คุณแก่ตัวลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ”
“And finally, in all of living have much of fun and laughter. Life is to be enjoyed, not just endured.”
“และสุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนมีความสนุกสนานและเสียงหัวเราะในชีวิต ชีวิตมีไว้เพื่อความสุข ไม่ใช่เพื่อความอดทน”
ขอบคุณข้อมูลจาก women.trueid.net
ประเทศไทยกับการคว้าโอกาสจาก Web 3.0 เทคโนโลยีกระจายศูนย์
จากที่สัปดาห์ที่แล้วเราได้พูดถึงการเข้ามาของเทคโนโลยี Web 3.0 หรือระบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายประเด็นไว้ถึงความสำคัญของการเข้าร่วมของไทยให้ไม่ตกขบวนรถไฟในเทคโนโลยีนี้
คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของเทคโนโลยีใหม่นี้? เพราะถ้าหากเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ ก็จะนับเป็นการเสียโอกาสไม่น้อย
ความท้าทายของการก้าวเข้ามามีบทบาทกับเทคโนโลยี Decentralized นี้ของไทยมีมาก ทั้งในมุมมองจากฝั่งผู้ผลิต หรือจะเรียกว่าผู้พัฒนา และจากทางฝั่งผู้ใช้งาน
ทางฝั่งผู้พัฒนา ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้พัฒนาที่มีศักยภาพไม่ธรรมดาหลายราย เราเห็นตัวอย่างจากบล็อกเชนสัญชาติไทยอย่าง Bitkub Chain และ JFin Chain จาก Oracle ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเชื่อมโยงข้อมูลของโลกจริงเข้าไปในบล็อกเชน อย่าง Band Protocol หรือจากผู้ให้บริการ DeFi อย่าง Alpha Finance และ Atadia
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าในตลาดไทยมีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถจำนวนมาก เราจึงไม่อาจกล่าวว่าไทยขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแล้วพบว่านอกเหนือจากจำนวนเหล่านี้แล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าทำงานในด้านนี้โดยตรงมากนัก หรือหากทำก็อาจจะไม่ได้ทำในไทย เนื่องมาจากโอกาสทางธุรกิจที่ยังมีอยู่ค่อนข้างจำกัด
ในขณะเดียวกัน หากมองทางฝั่งผู้ใช้งาน ก็พบว่ายังไม่มีการใช้งานมากนัก ทั้งนี้ไม่เพียงเพราะภาคธุรกิจยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเทคโนโลยีและศักยภาพใหม่ๆ นี้ แต่ก็ด้วยในไทยก็ยังมีผู้ให้บริการที่จะสามารถสเกลให้ใหญ่และทันท่วงทีไม่พอ
ตัวอย่างที่ปรากฏชัดเจน เช่น เมื่อถึงโอกาสที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในระดับชาติ อย่างเช่นการพัฒนากระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) บนระบบเชน ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันต่อความต้องการใช้งาน
สถานการณ์ในตอนนี้จึงเป็นที่น่าเสียดาย เพราะแท้จริงแล้วมีช่องว่างให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีนี้มาก อีกทั้งด้วยโลกไร้พรมแดนของระบบกระจายศูนย์ที่ฐานลูกค้าอาจเป็นใครก็ได้จากทั่วโลก
แต่ดูเหมือนว่าไทยยังไม่พร้อม เนื่องจากยังขาดนโยบายสนับสนุนให้เกิดโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักพัฒนา เนื่องจากการเริ่มต้นและสร้างการเติบโตของธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ความช่วยเหลือจากทางภาครัฐจะมีบทบาทอย่างมากในการบ่งชี้ทิศทางความสำเร็จของอุตสาหกรรมนี้
นโยบายภาครัฐจะเข้ามามีบทบาทได้อย่างไร
การสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แรงงานและการพัฒนาทักษะ เงินทุนสนับสนุน หรือนโยบายด้านภาษี จะทำให้ผู้ผลิตมีแต้มต่อในการตั้งต้น
นอกจากนั้นการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม จะก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่ม ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ เพราะจะได้ทั้งการแพร่กระจายความรู้ วัฒนธรรมผู้ประกอบการ และการดึงดูดเงินทุนร่วมลงทุน ก่อให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมผู้ผลิตที่แข็งแกร่ง
หากยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านของเรา รายงานการศึกษา Working Paper จากธนาคารโลกรายงานว่า รัฐบาลสิงคโปร์นั้นสนับสนุนการเกิดของบริษัทสตาร์ตอัปอย่างมาก ทั้งจากการเสนอเงินอุดหนุนและสิ่งจูงใจทางภาษีที่ดึงดูดให้กับบริษัทฟินเทคและสตาร์ตอัปด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และจากการสร้างระบบนิเวศเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) เพื่อบ่มเพาะสตาร์ตอัปที่มีแนวโน้มดี
การสนับสนุนจากรัฐทั้งสองแนวนี้สำคัญ เนื่องจากธุรกิจเทคโนโลยีนั้นมีความเสี่ยงและมีระยะเวลาในการสร้างความสำเร็จทางธุรกิจที่นานกว่า หากมุ่งพึ่งพาเพียงเงินทุนแบบเงินร่วมลงทุน (VC) เท่านั้น ก็ต้องยอมรับว่า VC ภาคเอกชนนั้นย่อมมุ่งเน้นกำไรเป็นหลัก อาจจะมีสายป่านที่ไม่ยาว ต้อง Exit ไว ทำให้สตาร์ตอัปเหล่านั้นยากต่อการอยู่รอด หรืออาจจะไม่ได้เริ่มสร้างขึ้นเลย
ความสำคัญของการมีผู้ผลิตชาวไทย ที่สามารถผลิตเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เอง นอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดการพึ่งพาและนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมทั้งอาจดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาสนับสนุนหรือใช้งาน ซึ่งจะกลายเป็นรายได้ประชาชาติของไทยอีกด้วย
ดังนั้น การสร้างทัศนคติที่ดีและส่งเสริมความเข้าใจให้กับผู้ใช้งานก็มีความสำคัญ รัฐควรสนับสนุนให้ลองใช้หรือมีนโยบายคนไทยใช้เทคโนโลยีไทย
เพราะในหลายๆ ครั้ง เมื่อมีผู้ให้บริการเทคโนโลยีชาวไทยเข้ามา เรากลับเน้นใช้แต่ของต่างชาติ ทำให้ของไทยต้องปิดตัวไปน่าเสียดาย เงินไหลออก ซึ่งประเด็นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยีกระจายศูนย์เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ให้บริการประเภทอื่นๆ ด้วย
ท้ายที่สุด การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี Web 3.0 ในประเทศไทยอาจเป็นทางออกสำหรับการหาโอกาสทางธุรกิจของไทย เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เราจะใช้ประโยชน์จากทักษะของแรงงานไทยอย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
ลดการพึ่งพาเพียงไม่กี่อุตสาหกรรมเดิมหรืออุตสาหกรรมการผลิตที่มีผลิตภาพต่ำ แต่จะกลายเป็นผู้ให้บริการที่มุ่งแข่งขันกับประเทศพัฒนาแล้วได้
นโยบายสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการหาจุดแข็งของไทยให้เจอว่าคืออะไร การลงทุนในการศึกษา วิจัย และพัฒนา และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อนวัตกรรม จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของประเทศไทยในยุคอนาคตนี้.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ประโยชน์น้ำมันมะกอก ช่วยลดคอเลสเตอรอล-ป้องกันโรคหัวใจ จริงไหม
สายสุขภาพตัวจริงคงได้ทำความรู้จัก น้ำมันมะกอก กันมาสักพักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตา หรือยังไม่เลือกหยิบมาใส่ตะกร้าจ่ายตลาด ด้วยเหตุที่ยังไม่รู้จักประโยชน์ของเจ้าน้ำมันมะกอกดีพอ
ดังนั้น เราจึงอยากจะมาแนะนำ ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก ที่อยากให้คนไทยได้รู้จักกันมากขึ้น และเป็นอีกทางเลือกดีๆ ที่ไม่อยากให้คุณพลาดโอกาสในการดูแลสุขภาพตัวเอง และคนที่คุณรักไปค่ะ
4 ประโยชน์เด็ดๆ จากน้ำมันมะกอก
- น้ำมันมะกอกช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันมะกอกไม่มีส่วนประกอบของเกลือ แถมยังปราศจากคอเลสเตอรอล และอุดมไปด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัวถึง 77% โดยเฉพาะกรดโอเลอิกหรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
“สิ่งที่น่าสนใจ คือ น้ำมันมะกอกนั้นมีส่วนประกอบของกรดโอเลอิกถึง 80% ซึ่งการบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวหรือกรดโอเลอิกที่ว่านี้ในปริมาณที่สมดุลและพอเหมาะ สามารถช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้คงที่ และยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆที่ตามมาจากการมีระดับคอเลสเตอรอลสูงได้อีกด้วย” นายพศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพและวิทยากรด้านอาหารและสุขภาพ จากเพจเฟสบุ๊คชื่อดังด้านอาหารและโภชนาการ ‘เมื่อวานป้าทานอะไร?’ กล่าว
- น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไม่พบในน้ำมันชนิดอื่นๆ และยังอุดมไปด้วย
วิตามินอี น้ำมันมะกอกเพียงหนึ่งช้อนโต๊ะมีวิตามินอีมากถึง 8% ของปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วย สารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และสารโพลิฟีนอล ที่ไม่พบในน้ำมันชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ ยังไม่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด และโรคเบาหวาน
- น้ำมันมะกอกป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำมันมะกอกมีปริมาณของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน
“คนที่ได้รับกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจากน้ำมันมะกอกเป็นประจำนั้น จะมีระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดชนิด LDL ต่ำ ซึ่ง LDL นี้เองที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั่นเอง” นายพศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ กล่าวเสริม
นอกจากนี้ น้ำมันมะกอกยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด ลดภาวะเกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม ช่วยให้เส้นเลือดแข็งแรงขึ้น และยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
- น้ำมะกอกช่วยลดเบาหวานได้หลายวิธี
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า น้ำมันมะกอกนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระนี้ สามารถช่วยลดความเสียหายจากสภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) อันเป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี รวมทั้งอาการที่เกิดขึ้นจากเส้นประสาทชนิดต่างๆ ถูกทำลายโดยโรคเบาหวาน (diabetic neuropathy) ภาวะความเสียหายของประสาทในเรตินา (retinal neuropathy) ภาวะความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ
น้ำมันมะกอก ยังสามารถช่วยต้านการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ได้อีกด้วย โดยน้ำมันมะกอกจะช่วยลดการอักเสบและผลข้างเคียงจากการอักเสบในระยะยาวได้ เช่น ในโรคเบาหวาน และสภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นโรคเบาหวาน
ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ที่มีในน้ำมันมะกอก รวมถึงสามารถทนความร้อนได้สูง จึงเหมาะกับการปรุงเมนูอาหารไทยได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่เมนูอบ ย่าง ไปจนถึง ผัด ทอด ช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพไปพร้อมๆ กับความเอร็ดอร่อยในการรับประทานอาหารจานโปรดจานเดิมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปทานเมนูฝรั่งแต่เพียงอย่างเดียว
เย็นนี้ลองเข้าครัว แล้วปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอกทานดูสิคะ รับรองว่าคุณจะรับรู้ถึงความแตกต่างของอาหารจานนั้นๆ และสามารถทานได้อย่างไม่ต้องลังเล หรือกังวลกับน้ำมันในจานอีกต่อไป
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมันมะกอก
- แหล่งของกรดไขมันดี เช่น กรดโอเลอิก (Oleic acid) ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและต้านการอักเสบ
- อุดมด้วยวิตามิน E และ K รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ
ประโยชน์ด้านสุขภาพ
- ลดน้ำหนัก : ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนที่ควบคุมไขมัน
- บำรุงหัวใจ : ลดไขมันเลว (LDL) และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ควบคุมความดันโลหิต : ช่วยปรับความดันให้ปกติ
- ต้านการอักเสบ : สารโอลีโอแคนทอลช่วยลดการอักเสบ
- ป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ : ลดความเสี่ยงเส้นเลือดในสมองแตก
- ต้านแบคทีเรีย : ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย
- บำรุงสมอง : เสริมการจดจำและลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
- บรรเทาอาการซึมเศร้า : ช่วยปกป้องระบบประสาท
- ดีต่อตับ : ป้องกันการอักเสบและดื้ออินซูลิน
ประโยชน์ด้านความงาม
- ใช้เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ
- สครับผิวเพื่อผิวที่กระจ่างใส
- ใช้ในการล้างเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
- หญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวังในการใช้
- หลีกเลี่ยงการบริโภคมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
- ควรงดบริโภคก่อนการผ่าตัดเพื่อป้องกันผลกระทบต่อความดันโลหิต
วิธีการบริโภคน้ำมันมะกอกที่แนะนำ
- ควรเลือกน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จินสำหรับการบริโภคสด และควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/08/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,350.00 | 40,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,614.00 | 39,628.24 | 40,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,352.60 | 35,665.42 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,091.20 | 31,702.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,176.00 | 17,828.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 915.00 | 13,871.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,709.00 | 41,068.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/08/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 36.65 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.98 | 35.98 | 36.28 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.54 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.99 | 33.99 | – | – | – | – | – | – | – | 33.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 44.24 | – | – | – | 49.81 | – | 44.74 | 44.39 | – | 44.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |