สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 กรกฎาคม 2568

5 ทำเลแนวรถไฟฟ้าดันราคาที่ดินพุ่ง สมุทรปราการ พระประแดง ยืนหนึ่ง

ดัชนีราคาที่ดินก่อนพัฒนาชะลอตัวในไตรมาส 2 ปี 68 แต่ 5 ทำเลดาวรุ่งยังคงร้อนแรงจากแรงหนุนโครงสร้างพื้นฐาน และแนวรถไฟฟ้า “สมุทรปราการ–พระประแดง” ที่ราคาพุ่งเกือบ 40%

แม้ภาพรวมตลาดที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล จะสะท้อนความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก ผังเมืองที่ยังไร้บทสรุป และแรงกดดันจากภาระภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ส่งผลให้ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนพัฒนาในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 415.2 จุด ลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังเพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY)

อย่างไรก็ตาม ในภาพย่อย รายทำเลกลับบ่งชี้ “พลังการเปลี่ยนแปลงของเมือง” ที่ยังคงผลักดันราคาที่ดินให้เร่งตัว โดยเฉพาะพื้นที่ ที่มีโครงข่ายคมนาคมเชื่อมต่อ ทั้งทางรถไฟฟ้า ทางพิเศษ และความใกล้ศูนย์กลางธุรกิจใหม่

5 ทำเลทอง ราคาพุ่งแรงสุดในรอบปี

การจัดอันดับ 5 พื้นที่ ที่ราคาที่ดินเปล่าเพิ่มขึ้นมากที่สุด (YoY) ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ สะท้อนภาพการขยายตัวของเมืองสู่พื้นที่รอบนอก โดยเฉพาะบริเวณปริมณฑล ซึ่งยังมีศักยภาพในการพัฒนาแนวราบ และต้นทุนถือครองที่ไม่สูงนัก

อันดับ 1    เมืองสมุทรปราการ – พระประแดง – พระสมุทรเจดีย์ ราคาที่ดินสูงขึ้น    +39.6%
อันดับ 2    บางกรวย – บางใหญ่ – บางบัวทอง – ไทรน้อย  ราคาที่ดินสูงขึ้น+38.0%
อันดับ 3    นครปฐม    ราคาที่ดินสูงขึ้น+15.5%
อันดับ 4    บางพลี – บางบ่อ – บางเสาธงราคาที่ดินสูงขึ้น    +15.4%
อันดับ 5    ราษฎร์บูรณะ – บางขุนเทียน – ทุ่งครุ – บางบอน – จอมทอง    ราคาที่ดินสูงขึ้น+11%
 

“สมุทรปราการ – พระประแดง – พระสมุทรเจดีย์” ครองแชมป์อันดับหนึ่ง จากแรงส่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง และศักยภาพการเชื่อมต่อสู่กรุงเทพฯ และ EEC ได้อย่างสะดวก

 5 เส้นทางดันราคาที่ดินวิ่งสวนตลาด

เส้นทางรถไฟฟ้ายังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญที่ขับเคลื่อนมูลค่าที่ดินในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสายที่เปิดให้บริการแล้ว และสายที่มีโครงการส่วนต่อขยายที่ชัดเจน

5 เส้นทางรถไฟฟ้าที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด   อันดับ 1.สายสีเขียว (แบริ่ง–สมุทรปราการ / สมุทรปราการ–บางปู)    อัตราการเพิ่มของราคาที่ดิน (YoY)    +39.6% อันดับ  2    สายสีม่วง (บางใหญ่–เตาปูน)    ราคาที่ดิน +10.1% อันดับ 3    BTS สายสุขุมวิท    +8.8% อันดับ 4    สายสีเหลือง (ลาดพร้าว–สำโรง)  +8.5% และอันดับ 5  MRT และสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ–หัวลำโพง)    +7.9%

สายสีเขียว โดยเฉพาะช่วง แบริ่ง–สมุทรปราการ และ สมุทรปราการ–บางปู เป็นพื้นที่ ที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกลุ่มแนวรถไฟฟ้า สอดคล้องกับพื้นที่ “สมุทรปราการ–พระประแดง” ที่ครองตำแหน่งทำเลราคาพุ่งสูงสุด

อสังหาฯ ปรับแผนตามภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่

ด้วยข้อจำกัดในการพัฒนาที่ดินใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งเรื่องต้นทุนสูง และที่ดินหายาก กลุ่มผู้ประกอบการหลายรายจึงหันมาปรับแผน ขยายการลงทุนไปยังพื้นที่รอบนอกที่ยังมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานหนุน เช่น ชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลก และภาระภาษีที่ดิน ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายราย “ชะลอการสะสม Land Bank” และเลือกลงทุนอย่างรอบคอบมากขึ้น  ไตรมาส 2 ปี 2568 สะท้อนให้เห็นว่า แม้ตลาดที่ดินโดยรวมจะเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐ แต่ การลงทุนในที่ดินยังไม่หยุดนิ่งในพื้นที่ ที่มีศักยภาพจริง โดยเฉพาะทำเลที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า และโครงข่ายคมนาคมสำคัญเมืองอาจไม่โตเท่ากัน แต่รถไฟฟ้ากำลังเป็นเข็มทิศนำทางที่ทำให้ “ที่ดินบางแห่งมีค่ามากกว่าที่อื่น”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เปิดสูตรรอด SC Asset เจาะยุคภูเขาน้ำแข็งอสังหาริมทรัพย์

SC Asset ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ เปิดสูตรกลยุทธ์ 3B – Believe, Buffer, Blend สร้างความเชื่อมั่น กันชนการเงิน กระจายธุรกิจ ทั้งที่อยู่อาศัย รายได้ประจำ และธุรกิจอนาคต เพื่อเติบโตยั่งยืน

ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญแรงกระแทกจากทุกทิศทาง ทั้งยอดขายที่หดตัว หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง และบรรยากาศการใช้จ่ายที่ชะลอตัว บรรดาผู้ประกอบการจำนวนมากต่างอยู่ในภาวะชะงักงัน กลยุทธ์เดิมๆ ไม่อาจใช้ได้ผลในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ

ในห้วงวิกฤตเช่นนี้ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กลับเลือกจะเดินหน้าฝ่ากระแสเผชิญหน้ากับ “ภูเขานํ้าแข็งแห่งอสังหาฯ” ที่ประกอบด้วย 3 ยอดแหลมคือ เศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง และซัพพลายล้นตลาด ถือเป็นบททดสอบสำคัญที่ต้องด้วยการวางแนวทางใหม่ที่ชัดเจน

โดยใช้ทั้งความเชื่อมั่น (Believe) กันชนทางการเงิน (Buffer) และการผสมผสานธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ (Blend) หรือ 3B ซึ่งไม่ใช่แค่เครื่องมือบริหารธุรกิจ แต่เป็นปรัชญาในการขับเคลื่อนองค์กรให้ เพื่อพาองค์กรฝ่าวิกฤต และเติบโตอย่างยั่งยืนในวันที่สถานการณ์เปลี่ยนเร็วเกินความคาดหมาย

แนวคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากการวิเคราะห์เชิงตัวเลข แต่เกิดจากประสบการณ์ตรงของเขาและทีมงานที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่ทุกความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ

“เราพบว่าการมีแค่แผนธุรกิจแบบเดิม ๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป เราจึงต้องออกแบบพอร์ตใหม่ที่ไม่เพียงตอบโจทย์วันนี้ แต่ต้องยืดหยุ่นและรองรับอนาคต”

นายณัฐพงศ์เล่าว่า 3B ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ แต่เป็นกรอบความคิดที่ SC ใช้ในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ทุกด้าน ทั้งด้านการลงทุน การเลือกทำเล การสร้างแบรนด์ และการบริหารความเสี่ยง 3B จึงเป็นเหมือนสิ่งที่ SC ยึดถือไว้ตลอด เพื่อปรับตัวในแต่ละจังหวะของเศรษฐกิจ

“เราวางแผนเผชิญวิกฤตนี้ด้วย 3 เครื่องยนต์ ได้แก่ Engine 1 คือ ธุรกิจที่สร้างกำไร อาทิ บ้านแนวราบและคอนโดมีเนียม ซึ่งจะสร้างรายได้และผลตอบแทนหลักในระยะสั้น Engine 2 คือ ธุรกิจที่สร้างการเติบโต ได้แก่ รายได้ประจำจากอสังหาฯ ให้เช่า เช่น คลังสินค้า โรงแรม ออฟฟิศ และ Engine 3 ธุรกิจอนาคต เช่น Wellness หรือ Data Center ซึ่งยังอยู่ระหว่างศึกษาและวางแผนลงทุน”

สามเครื่องยนต์นี้เป็นกลยุทธ์เชิงพอร์ตภายใต้แนวคิด Blend ที่มุ่งกระจายธุรกิจให้หลากหลาย ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเพียงเซ็กเมนต์เดียว โดยเฉพาะในวันที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนอดีต การมีพอร์ตที่ผสมผสานทั้งธุรกิจที่สร้างกำไรทันที (Engine 1) รายได้ประจำระยะกลาง (Engine 2) และธุรกิจอนาคต (Engine 3) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอด

อีกหนึ่งความน่าสนใจคือใน 3 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนธุรกิจ (3 Engines) ที่ SC วางไว้อย่างชัดเจนนี้ กลับกลายเป็นโครงสร้างเชิงปฏิบัติที่สะท้อนการนำ 3B มาใช้จริงอย่างเห็นได้ชัด โดย Engine 1 คือผลลัพธ์จาก Believe ในแบรนด์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ SC ในด้านต่างๆ ที่แปรสภาพเป็นยอดขายและกำไร Engine 2 คือ Buffer ที่สร้างรายได้ประจำอย่างมั่นคง แม้ในวันที่ยอดขายชะลอตัว ขณะที่ Engine 3 คือตัวแทนของ Blend ซึ่งหมายถึงการผสมผสานแนวคิดและการลงทุนในเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างอนาคต

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2568 SC ตั้งเป้าให้สัดส่วนกำไรจาก Engine 1 อยู่ที่ 85% และ Engine 2 อยู่ที่ 15% พร้อมเป้าหมายระยะยาวใน 5 ปีข้างหน้าที่จะปรับสัดส่วนเป็น 75% ต่อ 25% ตามลำดับ ส่วนในด้านเงินลงทุนในอนาคตจะมีการกระจาย 70% ไปที่ Engine 1, 25% ไปที่ Engine 2 และอีก 5% ลงทุนใน Engine 3

นอกจากนี้ นายณัฐพงศ์ ยังเปิดเผยว่า ภาวะตลาดแนวราบยังมีการแข่งขันด้านราคาสูง โดยเฉพาะในช่วงปี 2566-2567 ที่มีซัพพลายล้นตลาด ทำให้ผู้ประกอบการเร่งระบายสต๊อกเพื่อรักษาสภาพคล่อง ก่อให้เกิดสงครามราคาที่รุนแรงในบางพื้นที่ บ้านระดับราคาไม่เกิน 20 ล้านบาทกลายเป็นสมรภูมิที่ผู้เล่นต่างต้องหั่นราคาจนอัตรากำไรขั้นต้น (GP) เหลือเพียง 25-28%

ในอีกด้าน ตลาดบ้านระดับไฮเอนด์กลับสะท้อนภาพที่ต่างออกไป ลูกค้ากลุ่มนี้แม้จะเริ่มหันมาใช้สินเชื่อมากขึ้นแทนเงินสด แต่ยังคงมีกำลังซื้อและความมั่นใจสูง โดยเฉพาะโครงการที่ออกแบบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และมีแบรนด์น่าเชื่อถือ GP ของบ้านกลุ่มนี้ยังรักษาไว้ได้มากกว่า 30%

“ลูกค้ากลุ่มนี้จะไม่มองหาแค่บ้าน แต่เขามองหาประสบการณ์ชีวิตแบบครบวงจร ถ้าทำให้เขาเชื่อมั่นได้ เขาพร้อมจะซื้อทันที”

ปัจจุบัน ผู้บริโภคเปลี่ยนจากใช้เงินสดไปพึ่งการกู้มากขึ้น แม้แต่ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ก็เริ่มปรับพฤติกรรมเช่นกัน ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและการผ่อนคลายมาตรการ LTV ถูกคาดหวังว่าจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่นโยบาย

ซื้อหนี้จากประชาชนยังอยู่ระหว่างการรอดูรายละเอียด  ซึ่งนายณัฐพงศ์ยังประเมินว่า ภาพรวมจะชัดเจนขึ้นในช่วงสองไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง นโยบายรัฐที่ออกผล รวมถึงผลกระทบจากการเจรจาภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ก็อาจมีผลต่อทิศทางการลงทุนในภูมิภาคและบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับเป้าหมายทั้งปี 2568 SC วางเป้าพัฒนาโครงการรวม 115 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 96 โครงการ มูลค่า 94,500 ล้านบาท และโครงการสร้างรายได้ประจำอีก 19 โครงการ โดยในช่วงครึ่งปีแรกใช้งบลงทุนไปแล้ว 20% จากงบรวมทั้งปี 7,000 ล้านบาท หากผลประกอบการครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้า จะเดินหน้าลงทุนเพิ่มเติมโดยเน้นกระจายความเสี่ยงระหว่าง 3 Engine

ในส่วนของ Engine 2 หรือธุรกิจรายได้ประจำ SC มีคลังสินค้าให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 150,000 ตร.ม. ภายในสิ้นปี โดยมีลูกค้าครอบคลุมทั้งโลจิสติกส์ โรงงาน และดาต้าเซ็นเตอร์ พื้นที่เช่า ณ ปัจจุบันเต็ม 100% สะท้อนความต้องการสูงของตลาด นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในสุขุมวิทและพัทยา รวมจำนวนห้องพักรวม 895 ห้อง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

ส่วน Engine 3 ธุรกิจอนาคต SC อยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนาโครงการ Wellness ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในไทยในระยะยาว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับศักยภาพด้านการแพทย์ในประเทศไทย เพื่อวางรากฐานระยะยาวให้กับบริษัทในอนาคต

ทั้งนี้ SC ยํ้าเป้าหมายการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน ผ่านการบริหารความเสี่ยงแบบรอบด้าน ทั้งด้านตลาด แหล่งทุน และพันธมิตร โดยปัจจุบันมีการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติอย่างสมํ่าเสมอ เช่น การร่วมทุนกับ Tokyu, Syntec และพันธมิตรอื่นๆ รวมแล้วกว่า 10 โครงการ และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 4-5 โครงการในอนาคต เพื่อเสริมแกร่งในทุกพอร์ตธุรกิจ

“ตลาดอสังหาฯ ในวันนี้เหมือนเป็นช่วงคัดเลือกตัวจริง ใครผ่านไปได้คือคนที่แข็งแรงจริง มีแบรนด์ที่คนเชื่อมั่น มี Buffer ที่ดี และมีการ Blend ที่รอบด้าน” นายณัฐพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้30ก.ค.“ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีความเสี่ยง Two-Way risk 3ปัจจัยชี้ชะตา “ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยและราคาทองคำโลก”

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ก.ค.2568ที่ระดับ  32.38 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นจากโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมา

แต่เราคงมองว่า เงินบาทอาจมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (เน้น ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ) ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งเฟดก็ยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟด ในปีนี้ ลงบ้าง (จากระดับปัจจุบัน ราว 85%)

หนุนให้เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้น หรือทรงตัวในกรอบ Sideways นอกจากนี้ หากรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ออกมาสดใสและดีกว่าคาด หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ได้

อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด หากราคาทองคำยังคงสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หรืออย่างน้อย ราคาทองคำ (XAUUSD) ไม่ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังได้ปรับตัวลดลงจนทดสอบโซนแนวรับสำคัญ อย่าง เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แถวโซน 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นอกจากนี้ เราไม่ปิดโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยง Two-Way risk ซึ่งปัจจัยชี้ชะตา คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ

เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยสถิติในอดีตได้สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) มีโอกาสผันผวนระดับ +/- 1 SD ได้ราว +0.30%/-0.20% ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.55 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.35-32.51 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกัน ของเงินดอลลาร์ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะพอได้แรงหนุนบ้าง จากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ในช่วงแรก

ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็ถูกชะลอด้วย รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาผสมผสาน โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนมิถุนายน กลับปรับตัวลดลงสู่ระดับ 7.437 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาด

ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ (เดิมตลาดให้โอกาสราว 75% เพิ่มขึ้นเป็น 85%) แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ในเดือนกรกฎาคม จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.2 จุด ดีกว่าคาดชัดเจน ก็ตาม

นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำจากโซนแนวรับระยะสั้น ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาน่าผิดหวัง (ผู้เล่นในตลาดยังคงรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่) อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ออกมาผสมผสาน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.30% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์สูงขึ้น +0.29% แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงหนักของ Novo Nordisk -23% หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์รายได้และผลกำไร ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน-ทหาร ท่ามกลางความหวังว่า ข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ อาจส่งผลประโยชน์กับกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.32% หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ ล่าสุด ปรับตัวลดลงและออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นได้ชัดเจนอีกครั้ง (หรืออาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง) ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 

ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50%  สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ทำให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวระดับ 98.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด)

 ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ  หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สู่โซน 3,385 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 1.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันพฤหัสฯ โดยเราประเมินว่า คณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่ อาจมีมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน

ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตลาดแรงงานก็ยังคงสดใสอยู่ ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า อาจมีคณะกรรมการ FOMC บางท่าน อาทิ Christopher Waller และ Michelle Bowman ที่อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยอาจให้เหตุผลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน

ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่ได้กระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มากนัก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนกรกฎาคม อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และข้อมูลตลาดบ้าน เป็นต้น

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของเยอรมนี ในเดือนมิถุนายน

ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน โดยข้อมูลดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ในช่วงเช้าวันพฤหัสฯ นี้ 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta และ Microsoft พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.38-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.57 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย ขณะที่ แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมามีทิศทางปะปน (ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเดือนมิ.ย. ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด) ประกอบกับตลาดกลับมาคงรอติดตามสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จากผลการประชุมเฟดในคืนนี้อย่างใกล้ชิด 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า (รวมไทย) ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนมิ.ย. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


หลุดเบอร์ 1 โลก! “วิว กุลวุฒิ” นักตบลูกขนไก่ไทย หลัง BWF ประกาศอันดับโลก

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย หล่นจากตำแหน่งมือ 1 โลก เป็นที่เรียบร้อย จากการประกาศอันดับโลกใหม่ของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

โดยหลังจากที่ ฉี ยู่ฉี นักตบลูกขนไก่ชาวจีน สามารถหยิบแชมป์รายการ ไชน่า โอเพ่น 2025 ทำให้เก็บเพิ่ม 13,500 คะแนน โกยแต้มแซง นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ขึ้นเป็นมือ 1 โลกแทนทันที

ขณะที่ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่ตองตกรอบก่อนรองฯ ด้วยการแพ้ให้กับ โจว เทียนเฉิน นักตบลูกขนไก่ชาวไต้หวัน 0-2 เกม (17-21 และ 11-21) เก็บเพิ่ม 7,400 คะแนน ต้องหล่นเป็นอันดับ 2 ของโลก

อันดับโลกของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ประเภทชายเดี่ยว

1. ฉี ยู่ฉี (จีน) 102,317 คะแนน
2. กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (ไทย) 95,079 คะแนน
3. แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น (เดนมาร์ก) 94,353 คะแนน
4. หลี่ ชื่อเฟิง (จีน) 81,078 คะแนน
5. โจว เทียน เฉิน (ไต้หวัน) 78,769 คะแนน
6. โจนาธาน คริสตี้ (อินโดนีเซีย) 76,514 คะแนน
7. อเล็กซ์ ลาเนียร์ (ฝรั่งเศส) 67,821 คะแนน
8. โลห์ เคียนยิว (สิงคโปร์) 66,719 คะแนน
9. วิคเตอร์ อเซลเซ่น (เดนมาร์ก) 66,140 คะแนน
10. โคได นาราโอกะ (ญี่ปุ่น) 65,094 คะแนน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อาหารลดอาการตาแห้ง บำรุงสายตาจากภายในสู่ภายนอก

อาการตาแห้งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สายตาหนักกับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน สภาพแวดล้อมที่มีลมแรง ฝุ่นควัน หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ 

นอกจากวิธีการรักษาโดยการใช้น้ำตาเทียมแล้ว การปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดอาการตาแห้งและบำรุงสุขภาพดวงตาให้ดีขึ้น

สารอาหารสำคัญที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

การเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารบางชนิดสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา และลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการตาแห้งได้ สารอาหารเหล่านั้นได้แก่:

  • กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acids): เป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานของต่อมไมโบเมียน (Meibomian Gland) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตไขมันมาเคลือบชั้นน้ำตาเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาระเหยเร็วเกินไป นอกจากนี้ โอเมก้า 3 ยังมีคุณสมบัติลดการอักเสบ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้
    • พบมากใน: ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาเฮอร์ริ่ง รวมถึงน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท และเมล็ดเจีย
  • วิตามินเอ (Vitamin A): เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการมองเห็น โดยเฉพาะในที่แสงน้อย และยังช่วยบำรุงเยื่อบุผิวของดวงตาให้แข็งแรง การขาดวิตามินเออาจเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะตาแห้งและตาบอดกลางคืนได้
    • พบมากใน: ผักและผลไม้สีส้มและเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอ มะม่วงสุก แคนตาลูป รวมถึง ตับ ไข่แดง และนม
  • ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin): เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบได้ในบริเวณเลนส์ตาและจอรับภาพของดวงตา ทำหน้าที่เป็นเหมือน “แว่นกันแดดภายใน” ช่วยกรองแสงสีฟ้าและรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และช่วยปกป้องเซลล์จอประสาทตาจากการถูกทำลาย ซึ่งอาจช่วยลดอาการตาแห้ง ตาล้า และลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
    • พบมากใน: ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม บรอกโคลี พริกหวาน และไข่แดง
  • วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ตาจากความเสียหาย และเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอยในดวงตา
    • พบมากใน: ผลไม้ตระกูลส้ม กีวี ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี และพริกหวาน
  • วิตามินอี (Vitamin E): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และช่วยลดการอักเสบ
    • พบมากใน: ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ เฮเซลนัท เมล็ดทานตะวัน และน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน

เมนูอาหารลดอาการตาแห้ง

การนำสารอาหารเหล่านี้มาผสมผสานในเมนูอาหารประจำวัน จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่:

  • แซลมอนย่างกับผักโขม: อุดมไปด้วยโอเมก้า 3, ลูทีน และซีแซนทีน
  • สลัดผักรวม: ใส่ผักใบเขียวเข้มหลากชนิด เช่น ผักโขม คะน้า เติมแครอท มะเขือเทศ และอาจเพิ่มเนื้อปลาหรือไข่ต้ม
  • สมูทตี้ผลไม้: ปั่นกล้วย มะละกอ มะม่วง หรือบลูเบอร์รีรวมกัน
  • ไข่เจียวหรือไข่คนใส่ผัก: เพิ่มผักใบเขียวลงไปในเมนูไข่
  • โยเกิร์ตกับถั่วและผลไม้: เป็นอาหารว่างที่มีประโยชน์และรวมสารอาหารบำรุงสายตา

ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ เพื่อลดอาการตาแห้ง

นอกจากการรับประทานอาหารแล้ว การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน:

  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกายและดวงตา
  • พักสายตาเป็นประจำ: ทุกๆ 20 นาที ควรพักสายตา 20 วินาที ด้วยการมองไปไกลๆ
  • กระพริบตาให้บ่อยขึ้น: โดยเฉพาะเมื่อใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือ
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: เช่น ลมแรง ควันบุหรี่ เครื่องปรับอากาศที่เป่าเข้าตาโดยตรง
  • ปรึกษาจักษุแพทย์: หากอาการตาแห้งรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

การดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญ อาหารการกินมีบทบาทอย่างมากในการช่วยลดอาการตาแห้งและบำรุงสายตาให้แข็งแรง การเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลาย โดยเน้นสารอาหารสำคัญอย่างโอเมก้า 3, วิตามินเอ, ลูทีน, ซีแซนทีน, วิตามินซี และวิตามินอี ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต จะช่วยให้คุณมีดวงตาที่ชุ่มชื้น สบายตา และมีสุขภาพดีไปอีกนาน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อยากอธิบาย สภาพอากาศวันนี้ เป็นภาษาอังกฤษ เริ่มง่าย ๆ ได้ที่นี่!

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่ม เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ทักษะที่ฝึกได้เร็วที่สุดคือทักษะการพูด และการฝึกพูดในแบบเริ่มต้นก็คือการฝึกพูดเรื่องทั่ว ๆ ไปหรือ Small talk วิธีฝึกพูดให้ได้ผลที่หลายคนเลือกใช้คือการเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว นอกเหนือจากการทักทายที่เราเชื่อว่าทุกคนพูดได้แล้ว หนึ่งในเรื่องที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ทุกคนฝึกได้เป็นประจำคือการพูดถึง สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ เพราะนอกจากรูปประโยคที่ใช้และคำศัพท์จะไม่ยากแล้ว สภาพอากาศยังเป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกวัน

คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ

ไม่ว่าจะฝึกพูดเรื่องอะไรก็ตาม อย่างแรกที่เราต้องรู้คือคำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งการ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการพูดถึงสภาพอากาศก็เช่นกัน ต้องเริ่มด้วยคำศัพท์เกี่ยวกับสภาพอากาศ จากนั้นจึงนำคำศัพท์ที่รู้ไปสร้างประโยคได้ และต่อไปนี้คือคำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับสภาพอากาศ

  • Weather = อากาศ
  • Sunny = แดดออก
  • Clear = ฟ้าโปร่ง
  • Partly cloudy = มีเมฆบางส่วน
  • Cloudy = เมฆครึ้ม ฟ้ามืดครึ้ม
  • Rainy = ฝนตก
  • Drizzle = ฝนปรอย ๆ
  • Shower = ฝนตกช่วงสั้น ๆ
  • Thunderstorm = พายุฝนฟ้าคะนอง
  • Cold = หนาว
  • Hot = ร้อน
  • Warm = อบอุ่น
  • Cool = เย็นสบาย
  • Snow = หิมะ
  • Snowy = หิมะตก
  • Freezing = หนาวจัด
  • Windy = ลมแรง
  • Stormy = มีพายุ
  • Foggy = มีหมอก
  • Humid = อบอ้าว

สำหรับการบรรยายสภาพอากาศแบบง่ายที่สุด ทำได้โดยการเริ่มว่า it’s … today หรือ The weather is … today (วันนี้อากาศเป็นแบบ …) โดยที่ it’s คือ it is ในรูปเต็ม แต่ it’s จะนิยมใช้ในภาษาพูดมากกว่า นี่เองคือจุดเด่นของการฝึกพูดเรื่องสภาพอากาศ เพราะเริ่มต้นได้ง่ายด้วยโครงสร้างประโยคแบบพื้นฐานที่คน เรียนภาษาอังกฤษ รู้จักเป็นโครงสร้างแรก เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูจากตัวอย่างต่อไปนี้

– It’s sunny today.

(วันนี้แดดออก)

– It’s clear today.

(วันนี้ฟ้าโปร่ง)

– It’s partly cloudy this afternoon.

(บ่ายนี้มีเมฆบางส่วน)

– It’s rainy today.

(วันนี้ฝนตก)

– It’s cold this morning.

(เช้านี้อากาศหนาว)

– It’s snowing outside.

(ด้านนอก หิมะกำลังตก)

– It’s quite windy today.

(วันนี้ลมค่อนข้างแรง)

– It’s very foggy in the morning.

(ตอนเช้ามีหมอกมาก)

– The weather is hot and humid today.

(วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว)

การถามตอบเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ

มาถึงตรงนี้ เราได้ เรียนภาษาอังกฤษ โดยรู้คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับสภาพอากาศ และได้รู้แล้วว่าการพูดถึงลักษณะอากาศวันนี้ในแบบง่ายที่สุดนั้นมีหลักการอย่างไร แต่บทสนทนาจะยังไม่สมบูรณ์ ถ้ายังไม่มีการถามตอบเกี่ยวกับสภาพอากาศ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน และต่อไปนี้คือตัวอย่างคำถามเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ

  1. What’s the weather like today?

(วันนี้อากาศเป็นอย่างไร)

  1. How’s the weather?

(อากาศเป็นไงบ้าง)

  1. Is it going to rain today?

(วันนี้ฝนจะตกมั้ย)

  1. What’s the temperature right now?

(ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่)

  1. Is it sunny outside?

(ข้างนอกมีแดดมั้ย)

ซึ่งในการตอบ เราก็นำรูปประโยคที่เรียนไปก่อนหน้านี้มาใช้ได้ (It’s …) นอกจากนี้ก็อาจเพิ่มรายละเอียดอื่น ๆ เข้าไปตามสถานการณ์ เช่น ตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้

ตัวอย่างที่ 1:

A: What’s the weather like today?

(วันนี้อากาศเป็นอย่างไร)

B: It’s sunny and warm.

(วันนี้มีแดด และอากาศอบอุ่น)

ตัวอย่างที่ 2:

A: How’s the weather outside?

(ข้างนอกอากาศเป็นไงบ้าง)

B: It’s raining, so don’t forget your umbrella.

(ฝนกำลังตก อย่าลืมร่มของคุณนะ)

ตัวอย่างที่ 3:

A: What’s the temperature right now?

(ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่)

B: The temperature is about 25 degrees Celsius.

(อุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เปิดสถิติ พ.ค.-ก.ค. หน่วยงานไทยถูกแฮกเกอร์กัมพูชาป่วน 429 ครั้ง

Personar สรุปการโจมตีทางไซเบอร์ที่หน่วยงานของไทย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 68 ถึงวันที่ 29 ก.ค. 68 รวมทั้งหมด 429 ครั้ง ถูกทำให้ระบบล่ม (DDoS) 193 ครั้ง ข้อมูลถูกแฮก 95 ครั้ง เจาะระบบผ่านช่องโหว่ 49 ครั้ง

สัปดาห์สงครามไซเบอร์ระหว่างแฮกเกอร์ไทยและกัมพูชาดุเดือดเป็นอย่างมาก โดยแฮกเกอร์ไทยร่วมโจมตีเว็บไซต์ของกัมพูชาหลายครั้ง

ขณะที่จำนวนการโจมตีที่ไทยได้รับในช่วงที่ผ่านมามีเท่าไหร่นั้น Personar สรุปการโจมตีทางไซเบอร์ที่หน่วยงานของไทยโดนทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 68 ถึงวันที่ 29 ก.ค. 68  รวมทั้งหมด 429 ครั้ง

ประเภทการโจมตี

– ทำให้ระบบล่ม (DDoS) 193 ครั้ง

– ข้อมูลถูกแฮก (Data Breach) 95 ครั้ง

– เจาะระบบผ่านช่องโหว่ (Initial Access) 49 ครั้ง

– เปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์ (Web Defacement) 45 ครั้ง

– ข้อมูลรั่วไหล (Data Leak) 22 ครั้ง

– อื่น ๆ 25 ครั้ง

รวมทั้งหมด 429 ครั้ง

อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตี

– หน่วยงานรัฐ 40%

– รัฐวิสาหกิจ 10%

– การศึกษา 6%

– การบินและอวกาศ 2%

– สื่อมวลชน/สิ่งพิมพ์ 2%

– อุตสาหกรรมอื่น ๆ อีก 40%

กลุ่มแฮกเกอร์หลักที่โจมตี

 • BL4CK CYB3R 121 ครั้ง

 • NXBB.SEC 98 ครั้ง

 • H3C4KEDZ 72 ครั้ง

 • DARK STORM TEAM 21 ครั้ง

 • NATIONAL DEFENSIVE CAMBODIA 5 ครั้ง

 • กลุ่มอื่น ๆ อีก 112 ครั้ง

ทั้งนี้ยังมีหน่วยงานไทยอีกหลายแห่งที่อาจเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์จากกัมพูชาและทั่วโลก Personar จึงขอแนะนำให้ทุกหน่วยงานเร่งตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของแฮกเกอร์ และให้ความสำคัญกับ Cybersecurity มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ประโยชน์และโทษของ “ผักปลัง” กินอย่างไรให้ได้คุณค่าสูงสุด

เมื่อพูดถึง “ผักปลัง” หลายคนอาจนึกถึงผักพื้นบ้านที่หาได้ตามรั้วบ้าน หรือตามทุ่งนา แต่รู้หรือไม่ว่าผักใบเขียวเลื้อยนี้ไม่ได้มีดีแค่หาง่ายเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาที่น่าทึ่ง ทั้งยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูอร่อย ผักปลังจึงเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรพื้นบ้านที่ควรมีติดรั้วไว้ หรือหาซื้อมาลองทำกินดู! อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับทุกสิ่ง การบริโภคมากเกินไปหรือในบางกรณีก็อาจมีข้อควรระวัง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทั้ง ประโยชน์และโทษของผักปลัง

ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของผักปลัง

  • ใยอาหารสูง: เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อระบบขับถ่าย ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก นอกจากนี้ใยอาหารยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดระดับคอเลสเตอรอล
  • วิตามินเอสูง: มีบทบาทสำคัญในการบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืด บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • วิตามินซีสูง: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัด และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • แคลเซียมและฟอสฟอรัส: เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • ธาตุเหล็ก: ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง ซึ่งมักพบในผู้หญิงและผู้ที่ทานมังสวิรัติ
  • สารต้านอนุมูลอิสระ: นอกจากวิตามินซีแล้ว ผักปลังยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ช่วยปกป้องเซลล์ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ
  • ฤทธิ์เย็น: ตามตำรายาไทย ผักปลังมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ลดไข้ บรรเทาอาการกระหายน้ำ และระบายความร้อน

ข้อควรระวังและโทษของผักปลัง

  • สารออกซาเลต (Oxalates):ผักปลังมีสารออกซาเลตในปริมาณหนึ่ง ซึ่งหากบริโภคในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคนิ่วในไต สารออกซาเลตอาจไปจับตัวกับแคลเซียมและสะสมกลายเป็นนิ่วในไตได
    • คำแนะนำ: ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป และควรลวกหรือต้มก่อนนำไปประกอบอาหาร เพื่อลดปริมาณสารออกซาเลต (สารออกซาเลตบางส่วนจะละลายไปกับน้ำที่ลวกทิ้ง) ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเป็นประจำ
  • ฤทธิ์เป็นยาระบาย: เนื่องจากผักปลังมีใยอาหารสูงและมีเมือกที่มีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้บางคนมีอาการท้องเสีย หรือท้องเดินได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีระบบขับถ่ายที่ไวต่อการกระตุ้นอยู่แล้ว
    • คำแนะนำ: เริ่มต้นจากการบริโภคในปริมาณน้อยๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย และไม่ควรกินในปริมาณมากผิดปกติ
  • การปนเปื้อนสารเคมี: หากปลูกโดยไม่ระมัดระวัง หรือเก็บจากแหล่งที่ไม่สะอาด ผักปลังก็อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อโรคได้
    • คำแนะนำ: ควรล้างผักปลังให้สะอาดหลายๆ น้ำก่อนนำไปปรุงอาหาร เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและสารปนเปื้อน

ผักปลัง คือสมุนไพรพื้นบ้านที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาที่น่าทึ่ง เป็นผักที่ควรเพิ่มเข้ามาในเมนูอาหารประจำวันเพื่อสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม การบริโภคสิ่งใดๆ ก็ตามควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและหลากหลาย การทำความเข้าใจทั้ง ประโยชน์และโทษของผักปลัง จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากผักพื้นบ้านชนิดนี้ และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างชาญฉลาด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/07/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a50,950.0051,050.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,294.0049,937.0451,850.00
ทองรูปพรรณ 90%2,964.6044,943.34n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,635.2039,949.63n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,482.3022,471.67n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,152.9017,477.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,413.4751,748.21n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/07/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.4532.4532.9532.4532.4532.4532.4532.4532.4532.45
แก๊สโซฮอล์ 9132.0832.0832.5832.0832.0832.0832.0832.0832.0832.08
แก๊สโซฮอล์ E2030.2430.2430.7430.2430.2430.2430.2430.2430.24
แก๊สโซฮอล์ E8528.5928.5928.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.0449.8449.8449.8441.04
เบนซิน 9540.7449.8141.2440.8940.74
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า