สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

จับตา ‘แสนสิริ’ปั้นพอร์ตโครงการหรู ปีหน้า จ่อทะลักอีก 1.8 หมื่นล.

จับตา อสังหาฯใหญ่ บมจ.แสนสิริ เดินหน้าขึ้นแท่น เจ้าตลาดโครงการหรู ระดับ ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย เผยปีหน้า เตรียมส่งอีก 7 โครงการใหม่ เข้าตลาด รวมมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท หลังปิดการขาย “นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา” บ้านแพง 50-95 ล้านบาทภายใน 1 เดือน

29 พ.ย.2565 – ความสำเร็จจากการปิดการขายได้อย่างรวดเร็วภายใต้ Sansiri Luxury collection โครงการแฟล็กชิพซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทั้งสิ้น 5 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 30,000 ล้านบาท เช่น ปรากฎการณ์ดัง  ‘แสนสิริ ปิดการขาย โครงการ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา’ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ บนกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มูลค่า 6,000 ล้านบาท หลังเปิดขายได้เพียง 1 เดือน หรือ การขายโครงการ บูก้าน โยธินพัฒนา เอ็กซ์คลูซีฟ โมเดิร์น เรสสิเดนท์ 14 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 600 ล้านบาท 

โด่งดังสุด โครงการ 98Wireless (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟล็กชิพซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดมิเนียม มูลค่ากว่า 8,500 ล้านบาท ที่ยืนหนึ่ง ทุบสถิติราคาขายต่อตารางเมตรที่พุ่งแรงสูงสุดในประเทศไทยนับตั้งแต่เปิดตัว  รวมไปถึง บ้านแสนสิริ พัฒนาการ โครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ย่านพัฒนาการ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่ใจกลางทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท 

และล่าสุดกับ คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค (KHUN by YOO inspired by Starck) ภายใต้ร่วมทุนกับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์  1st Design-Branded Residence หนึ่งเดียวในไทย ที่เพิ่งปิดการขายเพ้นท์เฮาส์ทุกยูนิต ตร.ม.           ละเกือบ 6 แสนบาท สูงสุดในตลาดทองหล่อ มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท คงสะท้อนได้อย่างชัดเจน กับ ตำแหน่ง เจ้าตลาดอสังหาฯซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ไทย ที่ยังไม่มีใครล้มประวัติศาสตร์

ล่าสุด นาย เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในปี 2566 แสนสิริ จะยืนหยัดในการเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ไทยทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ที่เหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆในวงการอสังหาฯไทยกับจุดแข็งที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ หลังจากมีบทพิสูจน์ที่ย้ำความเป็นผู้นำของแสนสิริในฐานะตัวจริงอันดับหนึ่งของผู้พัฒนาอสังหาฯซูเปอร์แฟล็กชิพลักซ์ชัวรี่ไทย มาจากความเชื่อมั่นและการยอมรับจากลูกค้าระดับบน ทั้งในแบรนด์และคุณภาพของโครงการแสนสิริ รวมถึงความเข้าใจในตัวตนและรสนิยมการอยู่อาศัยที่แท้จริง 

” ความสำเร็จกับ 3 ปรากฏการณ์สำคัญ ตั้งแต่ “นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา” ราคา 50—95 ลบ. ปิดการขายทันทีใน 1 เดือน แม้ยังไม่เปิดให้เข้าชม “บูก้าน โยธินพัฒนา” ราคา 40-80 ลบ. ปิดการขายใน 4 เดือน คุณ บาย ยู 1st Design-Branded Residence หนึ่งเดียวในไทย ที่ปิดการขายเพ้นท์เฮาส์ทุกยูนิต ตร.ม.ละเกือบ         6 แสนบาท สูงสุดในย่านทองหล่อ นอกจากนี้ เรามีลูกค้าบางกลุ่ม ที่สะสมโครงการในพอร์ต Sansiri Luxury Collection เป็นคอลเลคชั่นทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัว รวมถึงที่ต้องการส่งต่อเป็นมรดกให้กับ next-generation ต่อไปได้” 

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า โครงการข้างต้น ได้ทุบสถิติมูลค่าขายเปลี่ยนมือแรงพุ่งทุกปี สูงสุดในประวัติศาสตร์วงการอสังหาฯ ขณะโครงการทั้งระดับแฟล็กชิพ ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และลักซ์ชัวรี่ที่แสนสิริพัฒนาขึ้นภายใต้ Sansiri Luxury Collection       ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปี อาทิ 98 Wireless (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟล็กชิพซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดมิเนียม ที่ใช้เวลาสร้างกว่า 7 ปี มูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท ปัจจุบันยืนหนึ่งทุบสถิติราคาขายต่อตารางเมตรที่พุ่งสูงสุดในประเทศไทย จากราคาเปิดขายเฉลี่ยที่ 600,000 บาทต่อตารางเมตร จนปัจจุบันมีราคาพุ่งสูงเกือบ 900,000 บาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็น capital gain สูงถึง 40% จากราคาขายในรอบพรีเซลล์ เมื่อ 2 ปี    ที่ผ่านมาและ นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่หาได้ยากยิ่งที่จะมีการขายเปลี่ยนมือต่อในตลาดในเวลานี้

เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ที่สร้างกำไรจากการขายเปลี่ยนมือได้สูงถึง 20% ต่อปี จากราคาเปิดขายเฉลี่ยที่ 350,000 บาท จนปัจจุบันมีราคาเพิ่มสูงถึง 400,000 บาทต่อตารางเมตร และสามารถขายต่อได้ในราคาสูงสุดถึง 100 ล้านบาท จาก 3 ยูนิต ในขณะที่โครงการ นาราสิริ กรงเทพกรีฑา ระดับราคา 50—95 ล้านบาท สร้างกำไรจากการขายเปลี่ยนมือ (capital gain) ได้สูงถึง 30% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน และยังคงมีดีมานด์ความต้องการแรงต่อเนื่องแม้โครงการ        ได้ ปิดการขายแล้ว บ้านแสนสิริ พัฒนาการ โครงการระดับแฟล็กชิพซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สร้างกำไรจากการขายเปลี่ยนมือ (capital gain) ได้สูงถึง 50% ต่อปี ภายในระยะเวลา 2 ปี 

ทั้งนี้ ในปี 2566 แสนสิริ เตรียมสร้างปรากฏการณ์เซทมาตรฐานบทใหม่แก่วงการอสังหา เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์บ้านลักซ์ชัวรี่ที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ส่ง 7 โครงการใหม่ ภายใต้พอร์ต Sansiri Luxury Collection รวมกว่า 18,000 ลบ.          นำร่องกับ “นาราสิริ พหล-วัชรพล” โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ที่เตรียมเปิดตัวต้นปีหน้า และ “บูก้าน”       เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ รวม 3 โครงการ บน 3 ทำเลไพร์มใหม่ รวมถึงการเปิดตัวครั้งแรกของ 3 แบรนด์ใหม่ที่จะสร้างปรากฏการณ์ให้แก่วงการอสังหาฯลักซ์ชัวรี่ ได้แก่ “No.19”, “SIRINSIRI”, “NARINSIRI” ที่รวบรวมที่สุดความ         ลักซ์ชัวรี่ไว้ในหนึ่งเดียว ตอกย้ำผู้นำอันดับหนึ่งของแสนสิริในตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย” 

ที่สุดของผู้นำตลาดลักซ์ชัวรี่ในทุกโปรดักส์ การันตีบทพิสูจน์ความสำเร็จจาก 3 กลยุทธ์หลัก

  • Brand Heritage ความเชี่ยวชาญของแสนสิริ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการลักซ์ชัวรี่ และสั่งสมประสบการณ์กว่า 38 ปี
  • Lifetime Asset Value มูลค่าเพิ่มของสินทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมจุดแข็งด้านบริการหลังการขายที่คงสภาพให้เสมือนวันแรกที่เข้าอยู่  
  • Brand Taste-Maker ด้วยความเชื่อมั่นและการยอมรับจากลูกค้าในแบรนด์แสนสิริ ซื้อบ้าน ตั้งแต่ยังไม่เข้าชมโครงการ รวมถึงที่สุดของการรวบรวมดีไซเนอร์ระดับโลก (international designer) ที่หาตัวจับยากไว้ที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“แสนสิริ-โตโยต้า” โบนัสงาม ขึ้นเงินเดือนบวก “เงินพิเศษ”

แสนสิริกำไรนิวไฮแจก 2 ดิจิต

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจความเคลื่อนไหวการจ่ายโบนัสให้กับพนักงานประจำปี 2565 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์พบว่าบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยสร้างปรากฏการณ์ทำกำไรนิวไฮในรอบ 38 ปีของการก่อตั้งองค์กร จึงคาดว่ามีโอกาสเห็นการแจกโบนัสพนักงานแสนสิริ 2 ดิจิต หรือไม่ต่ำกว่า 10 เดือนขึ้นไป เทียบกับปี 2564 ที่มีการแจกโบนัสเฉลี่ย 5.5 เดือน

นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ผลประกอบการในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากรอบเดียวกันของปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 1,674 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3/65 มีกำไรสุทธิ 1,268 ล้านบาท โตขึ้นถึง 102% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 และโตขึ้น 38% เทียบกับไตรมาส 2/65 ส่วนอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 14.3% ของรายได้รวมโตขึ้นจากไตรมาส 3/64 ที่มีกำไรสุทธิ 8.7%

“ดังนั้น แนวโน้มไตรมาส 4/65 แสนสิริเตรียมโอนคอนโดมิเนียมใหม่อีก 3 โครงการ ที่มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ได้แก่ XT พญาไท, เดอะ มูฟ เกษตร และเดอะ มูฟ ราม 22 จึงทำให้แสนสิริคาดว่าผลประกอบการในปี 2565 จะมีกำไรสุทธิทุบสถิติ new high ในรอบ 38 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายวิชาญกล่าว

ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่า บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) มีผลประกอบการโดดเด่นในช่วง 9 เดือนแรก ทำกำไรสุทธิอยู่ในท็อป 10 คาดว่าจะมีการแจกโบนัสไม่ต่ำกว่าปี 2564 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 เดือน

เช่นเดียวกับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่สามารถรักษาระดับการทำกำไรอยู่ในท็อป 10 ทั้งด้านรายได้ และกำไรสุทธิ จึงคาดว่าน่าจะมีการแจกโบนัสพนักงานไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 เดือน โดยพนักงานมีความคาดหวังว่าอาจจะได้ลุ้นโบนัส 2-3 เดือนในปี 2565 นี้

คาดปี’66 มากกว่า 7.5 เดือน

สำหรับค่ายรถยนต์ เป็นอีกหมวดธุรกิจหนึ่งที่แจกโบนัสเป็นกอบเป็นกำ ประเมินกันว่าปี 2566 น่าจะได้มากกว่าปี 2565 เนื่องจากยอดขายกลับมาใกล้เคียงกับช่วงโควิด-19 โดยก่อนหน้าค่ายโตโยต้าพิจารณาแจกโบนัสประจำปี 2565 จำนวน 7.5 เดือน ให้กับพนักงานออฟฟิศ และพนักงานโรงงาน โดยแบ่งเป็น 2 งวด งวดแรกในเดือนมิถุนายน จำนวน 3.5 เดือน งวดสุดท้ายในเดือนธันวาคม จำนวน 4 เดือน

นอกจากนี้ยังบวกเงินอีก 34,000 บาท และเนื่องในโอกาสฉลองปีพิเศษ ครบรอบ 60 ปีของโตโยต้า ประเทศไทย บริษัทจึงบวกเงินพิเศษให้กับพนักงานทุกคนเพิ่มอีก 16,000 บาท นั่นหมายความว่า โตโยต้าแจกโบนัสพนักงาน 7.5 เดือน บวกเงินพิเศษอีก 2 ต่อ รวม 50,000 บาท

ขณะที่บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีการพิจารณาเงินโบนัสจบไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนผ่านมา โดยบริษัทมีมติมอบเงินโบนัสให้กับพนักงานเป็นจำนวน 4.5 เดือน บวกเงินพิเศษ 14,500 บาท และแจกอีกคนละ 2,000 บาท เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ นอกจากนี้ยังพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนสำหรับพนักงานตามการประเมินอีก

ก่อนหน้านี้ “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานผลการเจรจาเพื่อพิจารณาโบนัสประจำปี 2565 ของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมผ่านมา จนได้ข้อยุติที่ 5.5 เดือน สำหรับพนักงานประจำ พร้อมเงินพิเศษ 30,000 บาท ทั้งยังขึ้นเงินเดือนให้ 4% และเงินบวกเพิ่มอีกเดือนละ 50 บาท ส่วนพนักงานสัญญาจ้างได้รับโบนัส 3.3 เดือน บวกเงินพิเศษ 18,000 บาท คิดเป็น 60% ของพนักงานประจำ

สตาร์ตอัพโบนัส 2-3 เดือน

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ TARAD.com และนักลงทุนในสตาร์ตอัพ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทที่เขาดูแลมีเป็นจำนวนมาก การพิจารณาโบนัสจะประเมินจากผลการดำเนินการเป็นรายบริษัทไป แม้ในปีที่ผ่านมาจะค่อนข้างยากลำบาก แต่โดยรวมบริษัทส่วนใหญ่เติบโตขึ้นจึงจะต้องมีการจ่ายโบนัสอยู่แล้ว แต่ยังไม่สรุปว่าจะเป็นเท่าไร แต่ปีที่ผ่านมาจะให้เฉลี่ย 2-3 เดือน

ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำการตลาดผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ “วีคอร์น” กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยจ่ายโบนัสราว 1 เดือน แต่จากสถานการณ์โควิดทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป รวมถึงรูปแบบการจ้างงานทำให้มีพนักงานสัญญาจ้างระยะสั้นมากขึ้น

ขณะที่พนักงานที่มีความสามารถก็ต้องการทำงานสั้นลง จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบในการบริหารจัดการใหม่ ซึ่งการคำนวณโบนัสโดยพิจารณาผลประกอบการเป็นรายปีอาจไม่เหมาะสมกับการทำงานในปัจจุบัน จึงจะมีการเปลี่ยนเป็นระบบ “incentive” (การให้รางวัลหรือผลตอบแทน) คิดจากเป้าหมาย ทั้งในระดับทีมและระดับบุคคล จึงอาจรีวิวผลงานปีละหลายสิบครั้งเพื่อคำนวณการจ่าย แต่ยังไม่ได้ดำเนินการในปีนี้

“ภาพรวมปีนี้บริษัทเติบโตประมาณ 20% แต่บริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และเล็กอยู่ ปีหน้าจะยังคงโฟกัสวัฒนธรรมองค์กร เราต้องการดึงคนที่มีความสามารถไว้ให้ได้ แต่ไม่ได้อยากดึงคนไว้ด้วยการจ่ายเงิน แต่อยากสร้างเป็นความรู้สึกดีและความท้าทายที่ได้ทำงานที่นี่” นายอภิรักษ์กล่าว

ตลาดแรงงานไทยแข่งแย่งตัวดุ

นางปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากรายงานผลสำรวจเงินเดือนทั่วโลกประจำปี 2566 ฉบับที่ 24 นำเสนอการวิเคราะห์แนวโน้มเงินเดือน และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการสรรหาบุคลากรในประเทศไทยในปี 2565 และสิ่งที่คาดหวังในปี 2566 โดยสำรวจข้อมูลจากกลุ่มนายจ้างและคนทำงาน เมื่อเดือนกันยายน 2565 จำนวน 460 ราย ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักในกรุงเทพฯ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

แนวโน้มการขึ้นเงินเดือนปี 2566 ตำแหน่งที่มีความเชี่ยวชาญคาดหวังการขึ้นเงินเดือนสูงถึง 30% ขณะที่พนักงานที่อยู่ต่อมีแนวโน้มจะได้เพิ่ม 2-5% ส่วนคนที่เลื่อนตำแหน่งได้เพิ่มไม่เกิน 15% คนที่ย้ายงานที่มีชุดทักษะแบบ plug-and-play (พร้อมทำงาน) สามารถคาดหวังเงินเพิ่มถึง 30% ทั้งนี้ เกือบ 57% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้น ไม่เป็นอุปสรรคต่อการลาออก แม้ว่าอาจจะต้องเจอกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงในหน้าที่การงาน

“ตลาดงานของไทยในปี 2565 มีการแข่งขันสูง เนื่องจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เพราะแรงงานชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงจำนวนมากเดินทางออกจากไทยช่วงที่โควิด-19 ระบาด จึงทำให้ความต้องการทาเลนต์ในปี 2564 และ 2565 เกิดการสะสม ขณะที่ขนาดของกลุ่มทาเลนต์ในไทยยังคงเท่าเดิม นอกจากนี้ ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น และบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้สร้างแผนกใหม่ ๆ โดยที่เน้นแนวทางปฏิบัติ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)”

นางปุณยนุชกล่าวต่อว่า อัตราเงินเฟ้อสร้างแรงกดดันในการตัดสินใจขึ้นค่าจ้างในปี 2566 ของนายจ้าง โดยพนักงานกว่า 82% คาดหวังว่านายจ้างจะพิจารณาต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นในการประเมินเพิ่มค่าจ้าง และโบนัส นอกจากนั้น พนักงานเกือบ 73% จะหางานใหม่หากบริษัทขึ้นเงินเดือนให้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนั้นในภาพรวมยังพบว่า นายจ้างกว่า 92% ที่ทำแบบสำรวจมีแนวโน้มที่จะให้เงินเดือนเพิ่ม โดยเฉพาะพนักงานตำแหน่งระดับกลาง และระดับผู้จัดการ คาดว่าการเพิ่มเงินเดือนจะอยู่ระหว่าง 1-5%

ทั้งนี้ ความต้องการของนายจ้างในการปรับขึ้นเงินเดือน หากแบ่งตามสายงานเป็นดังนี้ นายจ้าง 95% ต้องการขึ้นเงินเดือนให้กับสายงานซัพพลายเชน และจัดซื้อจัดจ้าง, 93% สายงานการขายและการตลาด และวิศวกรรมและการผลิต, 90% สายงานบัญชีและการเงิน, 85% สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ, 87% สายงานทรัพยากรบุคคล, 86% สายงานการเงินและการธนาคาร และ 75% สายงานกฎหมาย

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 35.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าลง หากถ้อยแถลงของประธานเฟดเน้นย้ำจุดยืนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง จนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.42 บาทต่อดอลลาร์
 
นายพูน     พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินบาท (หลุดโซนรับแรกที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์) นั้น

มาจากประเด็นความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า ทางการจีนจะสามารถทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 ได้เร็วกว่าคาด

แม้ว่า เงินดอลลาร์จะมีทิศทางแข็งค่าขึ้น และราคาทองคำย่อตัวลงก็ตาม ซึ่งเรามองว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อใกล้โซนแนวรับแถว 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้

หากทางการจีนมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดตามที่ตลาดคาดหวัง แต่ต้องระวังความผันผวนที่อาจกลับมาและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ หากสุดท้ายทางการจีนไม่ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดอย่างที่ตลาดคาดหวัง

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทก็อาจผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากถ้อยแถลงของประธานเฟดเน้นย้ำจุดยืนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด จนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับสูงกว่า 5.00%-5.25% ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ล่าสุด อย่างไรก็ดี หากเงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่าลง


 เราประเมินว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าหนักมากจนทะลุ โซนแนวต้านแถว 35.90-36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ง่ายนัก เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทย ทั้งหุ้นและบอนด์สุทธิอยู่ ส่วนผู้เล่นต่างชาติบางส่วนก็รอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อเพิ่มสถานะ Short USDTHB (มองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้)
 

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.3035.60 บาท/ดอลลาร์

แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะได้แรงหนุนจากความหวังว่า ทางการจีนอาจผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ได้เร็วกว่าคาด จากแรงกดดันของการประท้วงในหลายพื้นที่

ปัจจัยดังกล่าวได้หนุนให้ บรรดาหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้นแรง อาทิ Alibaba +9.1%, Pinduoduo +5.9% แต่ทว่าผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ 


ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell (รับรู้ในช่วงเวลา 1.30 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) ว่าประธานเฟดจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของเฟดอย่างไร ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคฯ


 และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวต่อแนวโน้มดอกเบี้ย/บอนด์ยีลด์ ก่อนที่จะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด (Amazon -1.6%, Nvidia -1.2%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.59% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.16%
 

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.13% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ระมัดระวังตัวมากขึ้น

และเลือกที่จะลดการถือครองหุ้นกลุ่มเทคฯ (Adyen -3.2%, ASML -1.2%) เพื่อรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงรายงานเงินเฟ้อของยูโรโซนที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) 


อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้รับแรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Equinor +4.0%, Total Energies +2.1%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากความหวังทางการจีนอาจผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 ได้เร็วกว่าคาด
 

ทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.75% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดการถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด นอกจากนี้ ในช่วงก่อนหน้า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและเจ้าหน้าที่เฟดบางท่าน


 อาทิ James Bullard ก็มองว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้สูงกว่าระดับ 5.00%-5.25% ที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลต่อระดับจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Terminal Rate) และเลือกที่จะขายทำกำไรหรือลดสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องพอสมควร (ปรับตัวลดลงราว -50bps ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน)


 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ระมัดระวังตัวมากขึ้น ก่อนจะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟดนั้น ได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดและส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 106.8 จุด 


นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,748 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า หากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องใกล้โซนแนวรับ 1,730-1,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจส่งผลให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวของผู้เล่นในตลาด ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการอ่อนค่าของเงินบาทได้
 

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ถ้อยแถลงของประธานเฟด (รับรู้ในช่วงเช้าตรู่ 1.30 น. ของวันพฤหัสฯ) ว่า ประธานเฟดจะมีมุมมองอย่างไร โดยต้องระวังหากประธานเฟดส่งสัญญาณย้ำว่า เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกมาก เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ตลาดก็อาจกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้ไม่ยาก
 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจะกดดันให้ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม หดตัวกว่า -1.8% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มดัชนี PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่นที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 


ส่วนในฝั่งจีน บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการ Zero COVID ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ส่งผลให้ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนหดตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤศจิกายน ที่จะลดลงสู่ระดับ 49.2 จุด และ 48 จุด ตามลำดับ
 

ทางด้านฝั่งไทย เรามองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ไม่ได้รุนแรงมากเช่นในฝั่งสหรัฐฯ หรือ ยุโรป จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 1.25% ทั้งนี้ เรามองว่า ควรติดตามคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีหน้า รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่ กนง. กังวล เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของไทย (ล่าสุด เรามองว่า กนง. จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ถึงระดับ 2.00% ในกลางปีหน้า)  
 

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซนในเดือนพฤศจิกายนอาจชะลอลงสู่ระดับ 10.4% หลังแรงกดดันจากราคาสินค้าพลังงานและค่าไฟฟ้าเริ่มลดลง อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ยังอยู่ในระดับสูงถึง 5.0% ทำให้ตลาดยังคงมองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ โดย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย Deposit Facility Rate อาจปรับขึ้นใกล้ระดับ 3.00% ได้ในปีหน้า จากระดับล่าสุด 1.50% 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือนที่ 35.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 36.35-35.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.25 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.43 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยทิศทางแข็งค่าของเงินบาทเป็นไปตามค่าเงินหยวนและบางสกุลเงินในเอเชีย ขณะที่ตลาดในประเทศรอติดตามสัญญาณดอกเบี้ยและมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากผลการประชุมกนง. ในช่วงบ่ายวันนี้ ด้านแรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน ก่อนถ้อยแถลงของประธานเฟดในคืนนี้ 
  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.30-35.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. สัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของประธานเฟด รวมถึงสถานการณ์ในจีน

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP เดือนพ.ย. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และข้อมูลแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. ตัวเลข GDP ไตรมาส 3/65 (รอบ 2) และรายงาน Beige Book ของเฟด 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เอ็ม-เฟม” ส้มหล่น คว้าตั๋วลุยขนไก่เวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์ 2022 ที่ประเทศไทย

“เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ และ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือ12 ของโลก ส้มหล่น ได้ลุยขนไก่เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ 2022 ซึ่งจะมีขึ้นที่ไทย ระหว่าง 7-11 ธ.ค.นี้ แทนคู่ของยูตะ วาตานาเบะ กับ อาริสะ ฮิกาชิโนะ จากญี่ปุ่นที่ประกาศถอนตัวไป ทำให้ในทัวร์นาเมนต์นี้จะมีนักแบดมินตันไทยเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 10 คน ด้านคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ชี้บัตรเข้าชมในรอบตัดเชือกและรอบชิงชนะเลิศจำหน่ายเกือบหมดแล้ว ส่วนในรอบแบ่งกลุ่มยังพอมีบัตรให้แฟนๆได้จับจอง

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของการแข่งขันแบดมินตันทัวร์นาเมนต์ใหญ่ รายการ “เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2022” ซึ่งมีเงินรางวัลสูงที่สุด 1,500,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 54,000,000 บาท และยังเป็นรายการสุดท้ายของปีในปฎิทินของสหพันธ์แบดมินตันโลก โดยประเทศไทยจะได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน  และจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7- 11 ธ.ค. 65 ที่ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร

อนึ่งศึกเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ระดมนักแบดมินตันดาวดังของโลก ที่เก็บคะแนนสะสมโลกทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ที่ดีที่สุดอันดับ 1-8 จากทุกประเภทในการจัดอันดับ HSBC Race to Bangkok ผ่านเข้ามาเข้าร่วมการแข่งขันแย่งชิงความเป็นหนึ่งประจำปี  นอกจากนี้ยังเป็นรายการเก็บคะแนนสะสมโลกเพียงรายการเดียว ที่จัดการแข่งขัน แบบแบ่งกลุ่ม และแข่งแบบพบกันหมดในกลุ่ม เพื่อเพิ่มความสนุกตื่นเต้นให้แฟนแบดมินตัน มีโอกาสได้ชมยอดฝีมือโคจรมาพบกัน โดยในศึก “เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ 2022” จะมีการจับสลากแบ่งกลุ่มในงานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์ ที่ทางบีดับเบิ้ลยูเอฟจัดขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค.65 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 สัญญาณอันตราย ไขมันอุดตันเส้นเลือด

ใครๆ ก็รู้ถึงอันตรายของโรคนี้ดี โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อไรเราถึงจะเริ่มรู้ตัวว่าเราอาจกำลังเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด Sanook! Health มีวิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ มากฝากกันค่ะ

5 สัญญาณอันตราย ไขมันอุดตันเส้นเลือด

1. เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันได เดินขึ้นเนิน หรือออกกำลังกายเบาๆ ก็เหนื่อย

2. เวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม

3. ปวดศีรษะมาก เมื่อลุกขึ้นจากที่นอน หรือลุกนั่งเร็วๆ

4. ใจสั่น ใจเต้นเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็น

5. แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับ

ลักษณะอาการโดยทั่วไปจะคล้ายๆ กับโรคหัวใจ ที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบ เพราะมีเลือดไหลเวียนในหัวใจไม่เพียงพอ เลือดจึงไม่สามารถสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ และทำให้เรามีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายนั่นเอง

ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด

1. น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน

2. ทานอาหารที่มีไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายเป็นจำนวนมากเกินไป และไม่ทานผัก

3. ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

4. อายุมาก และเพศชายมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง

5. ประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดตีบ แตก หรือเบาหวาน ความดันไขมัน

6. สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

7. มีภาวะเครียดจากการทำงาน และเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยขยับร่างกายในแต่ละวัน

ปัจจัยไหนที่เราหลีกเลี่ยงได้ ขอให้ทำเป็นประจำนะคะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ควรลดไขมัน ทานผักให้มากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ลดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส เท่านี้คุณก็ห่างไกลโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดแล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Apple ปล่อย Oceanic+ ฟีเจอร์วัดความลึกในการดำน้ำสำหรับ Apple Watch Ultra เท่านั้น

ในที่สุด Apple ได้ปล่อยโปรแกรมเพื่อคนชอบการดำน้ำอย่าง Oceanic+ อย่างเป็นทางการ โดย Apps นี้จะทำงานกับ Apple Watch Ultra เท่านั้น ฟีเจอร์นี้เป็นการออกแบบโดย Huish Outdoor ที่จับมือกับ Apple โดย Apps นี้คิดความหมายง่ายๆ มันคือเครื่องคำนวณความลึกหรือ Dive Computer สำหรับใช้ในในการวัดความลึกในการดำน้ำ

โดยสามารถวัดได้ลึกสุดที่ 40 เมตร ภายใน Apps จะมีการบอกค่าพื้นฐานเช่นความลึกและจุดลึกสุดที่สามารถไปถึง อุณหภูมิของน้ำ, ระยะเวลาที่อยู่ใต้น้ำ และข้อมูลขั้นสูงที่ Apps สามารถบอกได้

นอกจากนี้ยังสามารถบอกเวลาการดำน้ำและเวลาขึ้นสู่ผิวน้ำ ความเร็วในการขึ้น, ปริมาณแบตเตอรี่, ส่วนผลสมของก๊าซที่เลือกใช้ และยังมีการแจ้งเตือนเรื่องความปลอดภัยโดยมีรหัสสีเพื่อไม่ให้เกิดการบีบอัดหรืออัตราการขึ้นมาเกินไป และมีคำแนะนำให้หยุดเพื่อความปลอดภัย

และยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่นการตอบสนองการสัมผัส และมีระบบวางแผนการดำน้ำ, ตั้งค่าการดำน้ำ, กำหนดระดับที่สามารถลงได้ และปุ่มตั้งค่าด่วนแค่กดครั้งเดียวก็เข้า Apps ได้เลย

แต่ใครอยากจะใช้งาน Apps นี้จะต้องเป็นเจ้าของ Apple Watch Ultra ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ watchOS 9.1 และใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 16.1 แต่ว่าฟีเจอร์พื้นฐานฟรี แต่ถ้าต้องการฟังก์ชั่นดำที่ลึกกว่านั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มระหว่าง 9.99 ต่อเดือน หรือ 79.99 ต่อเดือน แต่ซื้อแล้วจะได้พื้นที่จัดเก็บแบบไม่จำกัด

รวมถึงข้อมูลตำแหน่งทางเข้าและสิ้นสุดรวมถึงพิกัดของนาฬิกาจะเก็บไว้ใน Apps ชื่อว่า Oceanic+ บน iPhone เพื่อสรุปหลังดำน้ำที่มีข้อมูลค่อนข้างละเอียดรวมถึงบอกกระแสน้ำล่วงหน้าได้อีก 3 วันเป็นต้น และลูกเล่นอื่นๆ เยอะมาก ใครที่เป็นสายดำน้ำไม่ควรพลาดครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 สัญญาณความล้มเหลวของการเป็นผู้นำ

ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ล้วนมีหัวหน้างาน-ลูกน้อง มีผู้บริหาร-พนักงาน แต่ในกลุ่มผู้เป็นหัวหน้า หรือกลุ่มผู้บริหาร กลับมีหลายคนที่กำลังประสบความล้มเหลวในการเป็น “ผู้นำ”

นโปเลียน ฮิลล์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ Think & Grow Rich หนังสือแนวพัฒนาตนเองที่ผู้ประสบความสำเร็จทั่วโลกล้วนเคยอ่าน ว่า “ภาวะการเป็นผู้นำ มีด้วยกัน 2 แบบ หนึ่ง ผู้นำที่ได้รับการยินยอมและความเห็นชอบจากผู้ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นการนำทีมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สอง การนำทีมด้วยการสั่งงาน การบังคับ เป็นการนำโดยไม่ได้รับการยินยอมพร้อมใจใดๆ จากผู้ปฏิบัติตาม”

นโปเลียน ฮิลล์ ย้ำว่า “จากหน้าประวัติศาสตร์ เราจะเห็นชัดว่า ผู้นำที่ใช้การออกคำสั่งบังคับให้ทำตาม จะดำรงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน มีบันทึกถึงกลุ่มผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แต่กลับสูญเสียอำนาจลงอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่า คนส่วนใหญ่จะไม่ยินยอมพร้อมใจเดินตามผู้นำที่นำด้วยการบังคับตลอดไป”

ในฐานะหัวหน้า หรือผู้บริหารองค์กร ย่อมไม่อยากประสบความล้มเหลวในการเป็นผู้นำ… นโปเลียน ฮิลล์ ได้แนะวิธีสังเกต “10 สัญญาณอันตราย” ไว้ดังนี้…

1. ไม่สามารถจัดการงานลงรายละเอียด

บุคลิกสำคัญของการเป็น “ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ” จะต้องเป็นคนละเอียดรอบคอบ มองทะลุทุกปัญหา สามารถจัดการกับรายละเอียดงานต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน 

ที่สำคัญ ไม่มีผู้นำคนใดที่จะ “ยุ่งเกิน” จนไม่สามารถตัดสินใจในฐานะผู้นำภารกิจไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำรู้ทุกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับงาน ย่อมมองออกว่า งานใดควรเร่งทำ งานใดควรลงมือทำเอง และงานใดควรมอบหมายให้ผู้ช่วยที่สามารถรับงานต่อได้

2. ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานเล็กๆ น้อยๆ
 
ในทุกการทำงานย่อมมีงานใหญ่ งานรอง งานสำคัญ งานเร่งด่วน และงานที่รอก่อนได้ แต่บางครั้ง กับผู้นำบางคน เมื่อเห็นเป็น “งานเล็กๆ น้อยๆ” แม้จะสามารถช่วยเหลือทีมได้ แต่กลับเพิกเฉย ปล่อยให้ลูกทีมลงมือทำกันเอง

“ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกท่าน จะเป็นผู้รับใช้ท่าน” นโปเลียน ฮิลล์ ยกคำกล่าวอ้างอิงมาจาก “พระคัมภีร์ มัทธิว 23 :11” เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถึงจะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งปกติได้มอบให้ผู้อื่นทำ แต่ถ้าสามารถช่วยแล้วงานเสร็จเร็วขึ้น ผู้นำควรเข้าไปร่วมทำด้วย เพราะสิ่งที่จะได้กลับมา คือผู้นำคนนั้นจะได้รับความร่วมแรงร่วมใจ และการนับถือจากผู้ปฏิบัติตาม

3. คาดหวังค่าตอบแทนจาก “สิ่งที่รู้”

ไม่แปลกที่คนเป็นหัวหน้า คนเป็นผู้บริหาร จะมีความรู้ในตำแหน่งหน้าที่เป็นอย่างดี แต่บางคนเมื่อ “รู้” แล้ว คาดหวังค่าตอบแทนจากความรู้ที่อยู่ในหัว เรียกร้องรายได้จากวุฒิการศึกษา ทั้งที่โลกแห่งความเป็นจริง ค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับ “การกระทำ”

หัวหน้า หรือผู้บริหาร จะเป็นผู้นำที่ดีไม่ได้เลย หากหวังรายได้จากความรู้ที่มี โดยไม่ได้แปรความรู้เหล่านั้นเป็นการกระทำ และในฐานะผู้ปฏิบัติตาม ก็จะไม่เข้าใจความรู้ (ที่อยู่ในหัวของพวกเขา) หากไม่ได้เห็นภาพการกระทำที่ชัดเจน และทำตามได้ทันที

นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวว่า “โลกนี้ไม่จ่ายเงินสำหรับ ‘ความรู้ของใคร’ แต่จะจ่ายให้กับ… สิ่งที่พวกเขาทำ หรือสิ่งที่โน้มน้าวให้ผู้อื่นทำ”

4. กลัวการแข่งขันจากผู้ปฏิบัติตาม

เราสามารถเห็นได้ทั่วไปในสังคม ว่ามีผู้นำที่หวาดกลัวผู้ปฏิบัติตามคนใดคนหนึ่งจะมาแย่งตำแหน่ง ยิ่งคุณกลัวมากเท่าไหร่ สิ่งที่กลัวก็จะเป็นจริงเร็วขึ้นเท่านั้น

ผู้นำที่ดีควรสอนงาน มอบหมายงาน ทำทุกวิถีทางให้พนักงานรู้ทุกรายละเอียดงานในตำแหน่งของเขาด้วยความเต็มใจ วิธีนี้จะทำให้ผู้นำสามารถปลีกตัวจากหน้าที่เดิม มีเวลาพัฒนาตนเอง และก้าวไปสร้างสรรค์สิ่งที่สำคัญยิ่งขึ้นในหน่วยงานของตน

นโปเลียน ฮิลล์ ยืนยันจากการเก็บข้อมูลบุคคลผู้ประสบความสำเร็จนับร้อยคน ว่า “การมอบหมายงานให้ผู้อื่น จะทำให้ได้รับผลตอบแทนมากกว่าการพยายามทำทั้งหมดคนเดียว”

5. ไม่มีภาพจินตนาการล่วงหน้า

หากคุณตีความคำว่า “จินตนาการ” เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน เรื่องเหนือจริง คุณย่อมไม่เห็นค่า ว่าผู้นำควรจะมีจินตนาการไปเพื่ออะไร?

คำว่า “จินตนาการ” ไม่ได้หมายความเพียงแค่นั้น แต่ยังหมายถึง “การคิดภาพล่วงหน้าถึงสิ่งที่ ‘อาจจะ’ เกิดขึ้น” ผู้นำที่ดีควรต้องคิดภาพ คาดการณ์ทั้งด้านดีและด้านร้าย เพื่อเตรียมการรับมือเหตุฉุกเฉิน ทั้งยังต้องคิดแผนสำรองสำหรับให้พนักงานปฏิบัติ มิเช่นนั้น เวลาเกิดเหตุสุดวิสัย เมื่อขาดจินตนาการภาพเหตุการณ์ล่วงหน้า ทีมจะเกิดภาวะระส่ำระสาย

6. รับความดีความชอบเพียงอย่างเดียว

หัวหน้าหรือผู้บริหารที่ชอบออกหน้า รับเอาความดีความชอบทั้งหมดของผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า “เป็นผลงานของตน” มักเผชิญกับความรู้สึกไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่บางทีพวกเขาไม่รู้ตัว และคิดว่าสิ่งที่พนักงานทำ เป็นสิ่งที่เขาทำ!

จากการวิเคราะห์ของนโปเลียน ฮิลล์ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แทบทุกคนจะไม่ขอรับความดีความชอบใดๆ และยินดีที่จะบอกให้ทุกคนรู้ ว่าความดีความชอบเหล่านั้นเป็นของทีม เพราะผู้นำที่ดี รู้ว่าผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่จะทำงานหนักขึ้น หากได้รับการยกย่องชมเชย เป็นผลดีมากกว่าแค่ได้รับผลตอบแทนเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว

7. ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง

หัวหน้างานที่มักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง มักเผยท่าทีให้เห็นว่า “อยากทำอะไรก็ทำ” ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ลูกน้อง/พนักงานต้องรับมือกับการมีหัวหน้างานประเภทนี้ พวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย แถมยังจะเอาไปนินทาว่าร้ายลับหลัง และแม้จะทำงานให้ตามสั่ง แต่ก็จะคอยระวังตัวตลอดเวลา ว่าคำสั่งนั้นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า?

นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวว่า “ผู้ตามจะไม่ยอมรับนับถือผู้นำที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ หรือยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง”

8. ไม่จริงใจต่อทีม
 
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเจอ คนที่ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกน้อง/พนักงานจับได้ว่าโดนหลอก โดนหักหลัง โดยเฉพาะจากคนที่เป็นหัวหน้า/เป็นผู้บริหาร พวกเขาจะแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อต้านขึ้นมาทันที และไม่ว่าต่อไปจะมีงานใดมอบหมายให้ทำ ก็จะทำแบบขอไปที ทำด้วยความระแวง ว่าจะโดนอะไรอีก!?

ผู้นำที่ดีจะต้อง ‘จริงใจ’ ทั้งต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อผู้ที่เหนือกว่าและผู้ที่ต่ำกว่า คุณจะไม่สามารถคงความเป็นผู้นำของตนไว้ได้นาน หากไร้ซึ่งความจริงใจ

นโปเลียน ฮิลล์ เปรียบ “ผู้นำที่ไม่จริงใจ” ว่าต่ำกว่าผงธุลีดิน สมควรถูกเหยียดหยาม และ “ความไม่จริงใจต่อกัน คือสาเหตุหลักของความล้มเหลวในทุกด้านของชีวิต”

9. ไม่พยายามโน้มน้าวให้เชื่อ

ผู้นำที่ดีจะนำทีมด้วยการพยายามโน้มน้าวให้เชื่อ ให้คิด และทำตาม ไม่ใช่การทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา “หวาดกลัว” แต่ก็มีผู้นำที่ไม่สามารถทำให้พนักงานเชื่อและยินดีทำตามด้วยความเต็มใจได้ โดยจะพยายามทำให้ผู้ปฏิบัติตาม รู้สึกถึง ‘อำนาจ’ นั่นหมายความว่า พวกเขาจะเป็นผู้นำประเภทที่จะคอยข่มขู่ บังคับ และออกคำสั่ง

คุณจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพได้ ต้องทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับในความคิด ยอมรับไปถึงบุคลิกที่ไม่เบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบ เมื่อพนักงานยอมรับความคิดและการกระทำของผู้นำ นั่นหมายถึงว่า พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และความยุติธรรม ที่จะได้รับในทุกการปฏิบัติงาน

10. ชอบออกงาน ชอบคุยโว อวดตำแหน่ง
 
เรามักจะเห็นหัวหน้า/ผู้บริหารบางคน ชอบออกงาน คุยโวอวดตัว ว่าตนมีหน้าที่การงานดี มีตำแหน่งใหญ่โต เพื่อให้คนนับถือใน “ตำแหน่ง” ที่ตนได้รับ

เป็นความจริง ว่าพวกเขาจะได้รับการนับถือจากตำแหน่งที่ได้รับ แต่กลับไม่ได้รับการนับถือจากพนักงาน ในฐานะที่เป็นผู้นำที่ดี เพราะพวกเขาจะรู้สึกว่า ผู้นำของเขากำลังให้ความสำคัญกับตำแหน่งมากเกินพอดี

นโปเลียน ฮิลล์ เขียนแซวคนที่ชอบคุยโวอวดตำแหน่ง ในหนังสือ Think & Grow Rich ว่า “พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความสำคัญอื่นให้คนทั่วไปเห็น นอกจาก ‘ตำแหน่ง’ ที่ได้มา จึงพยายามวางตัวหรูหรา เจ้ายศเจ้าอย่าง อวดโอ้เพื่อให้คนอื่นๆ เห็นความสำคัญ”

ขอบคุณข้อมูลจาก learninghubthailand.com


แผงโซลาร์ใครว่าต้องอยู่บนหลังคาเท่านั้น? ส่องนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่คุณสามารถเดินเหยียบได้!

พลังงานแสงอาทิตย์เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับประเทศที่แดดจ้าดังกลัวว่าเราจะไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ข้อจำกัดด้านพื้นที่ก็(เคย)เป็นอุปสรรคหนึ่งที่หลายคนไม่สามารถติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ได้ จึงทำให้พลาดโอกาสในการประหยัดค่าใช้จ่ายและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษ์โลก แต่วันนี้ขีดจำกัดเดิม ๆ ของการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ผู้พัฒนามากมายพากันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ มาเพื่อตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถเหยียบได้ (หรือ “ทางเท้าที่ให้พลังงานแสงอาทิตย์”) นี้

ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย เมืองอัจฉริยะ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในทะเล “ทางเท้าที่ให้พลังงานแสงอาทิตย์” จาก Platio ก็สามารถสร้างความงามพร้อมพลังงานสะอาดได้ เป็นมิตรกับธรรมชาติสูงสุด เพราะผลิตจากวัสดุรีไซเคิล อย่าง พลาสติก แก้ว และเศษหินดินทราย มาพร้อมรูปลักษณ์ที่งดงามพร้อมสำหรับการติดตั้งอย่างไม่ต้องแลกกับการใช้พื้นที่ที่มีค่ามากมาย เปลี่ยนสถาปัตยกรรมธรรมดาให้เป็นสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน เสริมภาพลักษณ์ธุรกิจธรรมดาให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยจุดเด่นที่สามารถติดตั้งเป็นแผ่นปูทางเท้าให้คุณสามารถเดินเหยียบได้เลย

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/11/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,350.0029,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,901.0028,819.1629,950.00
ทองรูปพรรณ 90%1,710.9025,937.24n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,520.8023,055.33n/a
ทองรูปพรรณ 50%855.0012,961.80n/a
ทองรูปพรรณ 40%665.0010,081.40n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,970.0029,865.20n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/11/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.7534.7535.0535.0535.0534.7534.7534.7535.0534.75
แก๊สโซฮอล์ 9134.4834.4834.7834.7834.7834.4834.4834.4834.7834.48
แก๊สโซฮอล์ E2033.0433.0433.3433.3433.3433.0433.0433.3433.04
แก๊สโซฮอล์ E8532.2432.2432.24
เบนซิน 9542.1642.9142.6642.6142.16
ดีเซล B734.9434.9435.2435.2435.2434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล34.9434.9435.2435.2435.2434.9434.9434.9435.2434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.2435.2434.9434.9433.3434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6643.9643.9643.9634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59


About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า