บิ๊กมูฟ!เซ็น เอกซ์ปั้น’นิวเอสเคิร์ฟ’ 4 ธุรกิจเพิ่มรายได้-ลดเสี่ยง
เซ็น เอกซ์ (SENX) บริษัทในเครือเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อต่อยอดในการสร้างรายได้ประจำ หรือ Recurring Income ที่ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน เพื่อลดความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทแม่
สุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากประสบกาณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์กว่า 35 ปี ร่วมทีมบริหารของเซ็น เอกซ์ ให้ความสำคัญกับบริการที่ต้องตอบโจทย์เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปภายใต้มาตรฐานระดับสากลเพื่อแก้ Pain Point ของลูกค้าตรงจุด
ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจ Sen X Property and Facilities Management ให้บริการด้านการบริหารจัดการนิติบุคคลที่อยู่อาศัย ธุรกิจ Sen X Property Development พัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่ ธุรกิจ Sen X Digital ให้บริการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างครบวงจร และธุรกิจ Sen X Retail ให้บริการสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Smartify Home เพื่อมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียม ตามมาตรฐานสากล
ภายใต้คอนเซ็ปต์ Life Simplified ชีวิตง่าย สบายยิ่งขึ้น อาทิ บริการ Intelligence First Mile – Last mile ที่นำรถยนต์ไฟฟ้ามาให้บริการ รับ-ส่ง เชื่อมต่อไปยังขนส่งสาธารณะ สามารถติดตามตำแหน่งรถ ผ่านแอปพลิเคชันเพื่อความสะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ควบคู่ไปกับพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนทุกรูปแบบให้สอดคล้องกับแนวทางการสร้างเมืองอัจฉริยะที่วางไว้
เริ่มต้นจากธุรกิจProperty and Facilities Managementที่ให้บริการด้านการบริหารจัดการนิติบุคคลที่อยู่อาศัย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การให้บริการด้านการบริหารจัดการนิติบุคคล ด้วยเทคโนโลยีที่ง่าย สะดวกสบาย และมุ่งสู่ความยั่งยืน พร้อมบุกตลาดอสังหาระดับพรีเมียม ผ่าน “Elite Services” ซึ่งเป็นการบริการลูกบ้านจากทีมงานมืออาชีพผ่านการอบรมตามมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น
รวมทั้งบริการ Tenancy management & Hospitality ในการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรให้กับนักลงทุนและการบริหารโรงแรม รวมถึง Services Apartment ภายใต้แบรนด์ “SEN STAY” ซึ่งปัจจุบันบริษัทรับบริหารโครงการทั้งหมดกว่า 100 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 65 โครงการและที่เหลือ35% เป็นบ้านจัดสรร ซึ่งสัดส่วนของบริษัทในเครือ 70 % ที่เหลือ30%เป็นโครงการนอกเคริอคาดว่าปีนี้สัดส่วนของโครงการอื่นเพิ่มมากกว่า 40% พร้อมขยายบริการไปยังอาคารสำนัก
นอกจากนี้ยังมี Property Services ในการเป็นตัวแทนขายเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย เชิงพาณิชย์ และเชิงอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ เพื่อให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ทั้งลูกค้าไทยและนักลงทุนชาวต่างชาติ เช่น จีน ไต้หวัน เมียนมา และอินเดีย
สุพินท์ กล่าวต่อว่า ส่วนของ Property Development จะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่ระดับลักชัวรี ราคาหลังละ30ล้านบาทโดยใช้งบระมาณ900ล้านบาทในการซื้อที่ดินในทำเลรามอินทรา กม.9 เพื่อเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวมูลค่ากว่า 2,600 ล้านบาทในไตรมาส4 ส่วนธุรกิจ Digital เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อช่วยในการบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้อยู่อาศัย เป็นไปตามแนวคิดหลัก “Life simplified” ชีวิตง่ายสบายยิ่งขึ้น
โดยฟีเจอร์ ต่างๆ ซึ่งพัฒนามาจากความเข้าใจเชิงลึก(Customer Insight) ของลูกค้าผ่าน2แอปฯ คือSmartify living ใช้ชำระค่าบริการ การแจ้งซ่อมแซมและติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ งานเซอร์วิสต่างๆ ที่โครงการมีไว้ให้บริการ การสื่อสารแจ้งเตือน และความปลอดภัยภายในที่อยู่อาศัย และ Smartify home ที่รวบรวมสินค้าและบริการที่หลากหลาย และสุดท้ายจะเป็นRetail ที่มีเสนาเฟสท์ ไลฟ์สไตล์มอลล์ ย่านเจริญนคร
คาดว่า ปีนี้บริษัทจะมีรายได้1,400ล้านบาทโต40%จากปีก่อน มาจากพัฒนาโครงการลักชัวรี่1,100ล้านบาทและงานบริหารจัดการ300ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
กองทรัสต์ AIMIRT ปิดดีลแปลงสภาพ ผนึก กองทุนรวมอสังหาฯ PPF สร้างความมั่นคงระยะยาว
“กองทรัสต์ AIMIRT” ปิดดีลแปลงสภาพ ผนึก “กองทุนรวมอสังหาฯ PPF” เสริมเขี้ยวเล็บ หนุนผลประโยชน์ร่วมกันทั้งด้านการเติบโตในอนาคตและการสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่ยังมีความไม่แน่นอน และสารพัด “ปัจจัยเสี่ยง” ที่ต้องติดตาม การกระจายการลงทุนใน “กองทรัสต์” เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วย “จุดเด่น” ที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ระดับสูง รวมถึงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสม่ำเสมอ จึงช่วยลดหรือกระจายความเสี่ยงให้แก่นักลงทุนได้ โดยเฉพาะกองทรัสต์กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกการเคลื่อนย้ายและขยายฐานการผลิตสู่ภูมิภาคอาเซียน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
หนึ่งในกองทรัสต์ที่กำลังสร้างการเติบโตโดดเด่นครั้งใหม่ ต้องยกให้ “กองทรัสต์ AIMIRT” กองทรัสต์อิสระรายแรกและรายใหญ่ของไทย โดยในครั้งนี้มาพร้อมกับพัฒนาการลงทุนครั้งสำคัญในการแปลงสภาพ “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค” หรือ PPF เข้ารวมกับกองทรัสต์ AIMIRT โดยมีพันธมิตรรายใหญ่ บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN ผู้พัฒนาและบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เข้ามาในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ให้กับกองทรัสต์อีกด้วย
ดังนั้น เมื่อดีลดังกล่าวถูกจุดพลุขึ้นแล้ว “จุดเด่น” ที่ปรากฏเห็นชัดเจนในสายตาของนักลงทุนในอันดับแรกคือ พัฒนาการครั้งสำคัญในประเทศไทย ที่มีการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาฯ ข้ามกลุ่มเข้ารวมกับกองทรัสต์ ด้วยการผสมผสานนำจุดเด่นของทั้งสองฝ่ายผนึกกำลังกัน สร้างความมั่งคั่ง (Wealth) และยั่งยืน (Sustainable) ให้กับผู้ถือหน่วยทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกัน
สำหรับ “จุดแข็ง” ของ กองทรัสต์ AIMIRT หลักๆ เป็นกองทรัสต์อิสระรายแรกในไทย ด้วยความเป็นอิสระและนโยบายการลงทุนที่เปิดกว้าง จึงสามารถเข้าลงทุนในทรัพย์สินภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพได้หลากหลาย ด้วยปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งจากความหลากหลายของประเภททรัพย์สิน และมีการกระจายตัวของทำเลที่ตั้ง และการมีผู้เช่าที่แข็งแกร่งจากหลายอุตสาหกรรม ทำให้มีอัตราการเช่าสูงโดดเด่นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับ REIT กลุ่มอุตสาหกรรมในตลาด
อีกทั้งยังมีผลประกอบการมั่นคงเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งมีประวัติการ “จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ” และสูงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม Industrial REIT ประเภทเดียวกันมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านในปี 2566 ที่ผ่านมา กองทรัสต์ AIMIRT ครองแชมป์อันดับหนึ่งการจ่ายปันผลสูงสุดในกลุ่ม REIT อุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ยังมีการบริหารงานโดยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์การบริหารจัดการกองทรัสต์โดยตรง ทำให้สามารถคัดเลือกทรัพย์สินที่ดีมีคุณภาพอย่างละเอียดเข้มข้นเพื่อเข้าลงทุน ทำให้กองทรัสต์เติบโตขึ้นอย่างมีเสถียรภาพได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่ “จุดเด่น” ของ กองทุนรวมอสังหาฯ PPF คือ ทรัพย์สินของกองทุนรวมฯ ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพอย่างโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานที่ดี มีอัตราการเช่าอยู่ในระดับคงที่ต่อเนื่อง รวมไปถึงมี “บมจ. ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค” ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารงานมาอย่างยาวนาน เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ (Property Manager) ของโครงการ ซึ่งผลดีต่อกองทุนรวมอสังหาฯ PPF หลังจากแปลงสภาพมารวมกับ AIMIRT ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตระยะยาวของ PPF ช่วยกระจายความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งทำให้กองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงขึ้น
การเข้าลงทุนของกองทรัสต์ AIMIRT ในกองทุนรวมอสังหาฯ PPF ในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างการเติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากจะส่งผลให้ “กองทรัสต์ AIMIRT” เสริมความแข็งแกร่งและศักยภาพเพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยมีสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินประเภทกรรมสิทธิ์ (Freehold) สูงขึ้น และทรัพย์สินในพอร์ตมีการกระจายตัวที่ดีขึ้น ทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้งที่มีการกระจายตัวไปในจุดยุทธศาสตร์ EEC มากขึ้น ประเภทของทรัพย์สินและความหลากหลายของธุรกิจผู้เช่าสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความมั่นคงให้กับรายได้และผลประกอบการของกองทรัสต์ AIMIRT ได้ในระยะยาว ถือเป็นโอกาสในการขยายพอร์ตที่มีคุณภาพและเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยอีกด้วย
สำหรับการลงทุนครั้งนี้ ส่งผลดีต่อ AIMIRT ทำให้มีพอร์ตสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนการลงทุนในกรรมสิทธิ์ เพิ่มขึ้นจากเดิม 60% เป็น 67% และขยายฐานผู้เช่าจากหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อความมั่นคงของรายได้ของกองทรัสต์ฯ ทั้งนี้ขนาดสินทรัพย์รวมเติบโตขึ้นแตะ 13,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20% ซึ่งการขยายฐานผู้ถือหน่วยทรัสต์จากการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม PPF เป็นหน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AIMIRT โดยไม่ต้องระดมทุนจากผู้ถือหน่วยทรัสต์ปัจจุบัน ทำให้หน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ AIMIRT มีเสถียรภาพและสภาพคล่องในการซื้อขายเพิ่มขึ้นได้
จะเห็นได้ว่า การเข้าลงทุนเพิ่มเติมของ กองทรัสต์ AIMIRT ใน กองทุนรวมอสังหาฯ PPF ครั้งนี้ ส่งให้ผลเชิงบวกทั้งในภาพรวมต่อทั้งผู้ถือหน่วยของกองทุนรวมอสังหาฯ PPF และผู้ถือหน่วยของกองทรัสต์ AIMIRT ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31พ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 36.71 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.60-36.80 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินหยวน และเงินยูโร
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31พ.ค. 2567ที่ระดับ 36.71 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทจะแผ่วลงบ้าง หลังเงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ แต่ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าก็ยังมีอยู่
โดยในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับ รายงานดัชนี PMI ของจีน และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) และเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง
โดยต้องระวังในกรณีที่ข้อมูลดังกล่าวออกมาแย่กว่าคาด (หรือชะลอลงกว่าคาดในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงตามเงินหยวนและเงินยูโรได้ นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ก่อนที่จะเลือกทิศทางที่ชัดเจนขึ้น หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ
โดยหากอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ออกมาตามคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท แต่หากออกมาต่ำกว่าคาด สะท้อนถึงการชะลอลงของเงินเฟ้อที่มากขึ้น ก็อาจหนุนให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ราว -0.13%
แต่ในทางกลับกัน หากออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นราว +0.11% เป็นอย่างน้อย (%การอ่อนค่า หรือ แข็งค่านั้น มาจากค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์หลังการรับรู้ข้อมูลดังกล่าวในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา)
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.60-36.80 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ
และประเมินกรอบ 36.50-36.95 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.67-36.82 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานคาดการณ์ครั้งที่ 2 ของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกในปีนี้ ออกมา +1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งลดลงจากคาดการณ์ครั้งแรกที่ขยายตัว +1.6%
นอกจากนี้ คาดการณ์ครั้งที่ 2 ของดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ก็ออกมา +3.0% ต่ำกว่าคาดการณ์ครั้งแรกเล็กน้อยที่ +3.1% ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดบ้าง
ดังจะเห็นได้จากโอกาสในการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟดในปีนี้จาก CME FedWatch Tool ขยับขึ้นเป็น 36% จากไม่ถึง 25% ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ข้อมูลดังกล่าว นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ช่วยหนุนให้ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่เผชิญแรงกดดันจากการเทขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia -3.8%, Microsoft -3.4% หลัง Salesforce -19.9% รายงานผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าคาดทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -1.08% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.60%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นราว +0.59% หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ขณะเดียวกันบอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งยุโรปก็ย่อตัวลงบ้าง ตามความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ลดลงและ
คาดการณ์ผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า ธนาคารกลางยุโรปจะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมสัปดาห์หน้า ทว่า บรรดาหุ้นเทคฯ ยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง อาทิ SAP -4.1% หลัง Salesforce รายงานผลประกอบการที่แย่กว่าคาด
ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้ง GDP ไตรมาสแรก (คาดการณ์ครั้งที่ 2) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกที่ออกมาแย่กว่าคาดเล็กน้อย ได้ช่วยคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาดไปได้บ้าง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัว ท่ามกลางมุมมองว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่ระดับ 4.54% อีกครั้ง ทั้งนี้ เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ แต่ทุกจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง นอกจากนี้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็มีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นกลับมาอยู่ในโซน 156-157 เยนต่อดอลลาร์ ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายน เช่น ปรับลดปริมารณการเข้าซื้อบอนด์ญี่ปุ่น และอาจกลับมาส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ทั้งนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอช่วยหนุนเงินดอลลาร์อยู่ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 104.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.6-105 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เข้าใกล้ระดับ 2,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่โดยรวมยังคงแกว่งตัวแถว 2,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในข้อมูลด้านเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 โดยเฟดสาขา Atlanta (GDPNow) ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนในเดือนพฤษภาคม ซึ่งหากชะลอตัวลงต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจมากขึ้นว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่การประชุมเดือนมิถุนายน
และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.70-36.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.03 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับทิศทางของสกุลเงินบางส่วนในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายตัวออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยจีดีพีประจำไตรมาส 1/67 ขยายตัวเพียง 1.3% QoQ, saar (ตลาดคาดที่ 1.6%) ขณะที่ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย -7.7% MoM (ตลาดคาด -1.0%) ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน เพิ่มขึ้น 3,000 ราย ไปที่ระดับ 219,000 ราย (ตลาดคาดที่ 217,000 ราย)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.60-36.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ของสกุลเงินในเอเชีย ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนพ.ค. ของจีน อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ของยูโรโซน และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Indices เดือนเม.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“หมิว พรปวีณ์” ตบอัด “หาน เยี่ย” เข้ารอบ 8 คนแบดมินตันสิงคโปร์
“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 20 ของโลก ระเบิดฟอร์มล้างตา หาน เยี่ย มือ 7 ของโลกจากจีน ที่พลาดแพ้ในศึกไทยแลนด์ โอเพ่น ลงไปอย่างขาดลอย 2 เกมรวด ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายแบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น
การแข่งขันแบดมินตันรายการ เคเอฟเอฟ สิงคโปร์ โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 31,450,000 บาท ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบสอง
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 20 ของโลก พบกับ หาน เยี่ย มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลกจากจีน
เกมนี้ หมิว พรปวีณ์ ที่แพ้มาในศึกไทยแลนด์ โอเพ่น เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน กลับมาระเบิดฟอร์มเก่ง ไล่ตบเอาชนะไปแบบขาดลอย 2-0 เกม 21-11 และ 21-7 “หมิว” พรปวีณ์ ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ คาโรลิน่า มาริน มืออันดับ 3 ของโลกจากสเปน ที่เอาชนะ ปุซาลา วี.สินธุ มืออันดับ 12 ของโลกจากสเปน 2-1 เกม 13-21, 21-11,22-20
ด้าน “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 20 ของโลก แพ้ให้กับ เฉิน ยู่เฟย มืออันดับ 2 ของโลกจากจีน 0-2 เกม 15-21,17-21 , “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 42 ของโลก แพ้ให้กับ หวัง ซียี่ มืออันดับ 6 ของโลกจากจีน ไปอย่งาน่าเสียดาย 1-2 เกม 18-21,22-20,15-21
ประเภทหญิงคู่ รอบสอง “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มืออันดับ 10 ของโลก แพ้ให้กับ คิม โซยอง กับ กอง ฮียอง คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลกจากเกาหลีใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย 0-2 เกม 21-23 ,21-23
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
สำรวจว่า “คุณ” คือ คนเป็นพิษ หรือ Toxic People หรือไม่
คนเป็นพิษ หรือ Toxic People คือ คนที่มีพฤติกรรมที่สร้างความน่าอึดอัดทุกครั้งที่ต้องเจอ ต้องคุย ต้องมีปฏิสัมพันธ์ ต้องร่วมงานด้วย ทำให้เรารู้สึกแย่ ไม่มีความสุข หรือเลวร้ายที่สุดก็ส่งผลต่อสุขภาพจิตเราอย่างมาก อาจจะทำให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลง คนเหล่านี้เรียกว่า TOXIC PEOPLE และบางทีเรามัวแต่ไปมองหาความ TOXIC ของคนอื่น แต่บางครั้งเราก็อาจจะก็เป็น TOXIC ของคนอื่นได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือ หากเรารู้เท่าทันอารมณ์ และหยุดที่จะแสดงพฤติกรรมเหล่านั้น สังคมก็จะน่าอยู่ขึ้นอย่างมีความสุข
Toxic People มักมีนิสัยดังนี้
- ใช้คำพูดและการกระทำ ทำร้ายจิตใจและร่างกายคนอื่น
- หลงตัวเอง ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกเรื่องคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น
- นินทาเรื่องของผู้อื่น
- เรียกร้องความสนใจ พูดแต่เรื่องของตนเอง
- ชอบตัดสินคนอื่นจากบรรทัดฐานของตัวเอง
- ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่ดี และอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
- ไม่มีความจริงใจต่อคนอื่น กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้
- เห็นแก่ตัว ชอบก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของคนอื่น
- มีแต่ความคิดเป็นเชิงลบ ที่ทำให้เกิดความเครียด ไม่มีความสุขเมื่ออยู่ใกล้หรือมีปฏิสัมพันธ์
สรุป Toxic People นั้นจะเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมและการกระทำที่สามารถส่งผลกระทบเชิงลบต่อบุคคลรอบข้าง ทั้งในเชิงร่างกาย จิตใจ หรือทั้งสองอย่าง
รับมืออย่างไรเมื่อเจอ Toxic People
สิ่งแรกที่สำคัญ คือ ไม่ควรคิดว่าพฤติกรรมของ Toxic People เป็นเรื่องปกติ เพราะการนิ่งเฉยเท่ากับเปิดทางให้ Toxic People แสดงพฤติกรรมที่เป็นพิษออกมาเรื่อย ๆ และมากขึ้น
- พูดแบบตรง ๆ กับ Toxic People บอกให้รู้ว่าเลยว่าเราไม่ชอบให้ทำพฤติกรรมที่ทำแบบนี้ ไม่ควรโทษตัวเอง เพราะ Toxic People มักใช้คำพูดและแสดงพฤติกรรมเพื่อตั้งใจบั่นทอนความรู้สึกของคุณโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิด
- สร้างความคิดเชิงบวก บอกกับ Toxic people ในที่ทำงาน โดยพูดถึงข้อดีของพวกเขาควบคู่กับพฤติกรรมที่เป็นผลเสียซึ่งนอกจากการแก้ปัญหาพฤติกรรมแล้ว ยังสร้างกำลังใจให้พวกเขา ว่าการมีอยู่ของพวกเขานั้นสำคัญไม่แพ้ผู้อื่น
- ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลง Toxic People ได้ สุดท้าย คือ หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับ Toxic People เท่าที่จะทำได้ อย่างเช่น เลี่ยงการพูดคุยติดต่อและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
ผลกระทบของ Toxic People
การมี Toxic People ในที่ทำงานส่งผลกระทบต่อบรรยากาศที่ทำให้เกิดความเครียดและไม่มีความสุขในการทำงาน ส่งผลต่อภาพรวมของที่ทำงาน และการบริการที่ให้บริการให้กับลูกค้าลดลงได้อย่างชัดเจน ส่งผลต่อการทำงานของทีม การอยู่ใกล้ Toxic People เป็นประจำอาจจะไม่ถึงตาย แต่คนเป็นพิษเหล่านี้ มันกัดกินชีวิตทีละน้อยอย่างต่อเนื่องไปทุกวัน จนท้ายที่สุดอาจเกิด ‘อาการใจพัง’ จนไม่สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาเหมือนเดิมก็เป็นได้
แพทย์หญิงณัฏฐพัชร์ ลำเลียงพล จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์น่ารู้ที่มักอยู่ใน ประกาศรับสมัครงาน
ในประกาศรับสมัครงานนั้นมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่เราจำเป็นต้องรู้มากมายเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งงาน คุณสมบัติ รวมถึงฐานเงินเดือน วันนี้เราจึงได้รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มักจะพบได้บ่อยๆ ในประกาศรับสมัครงานมาฝากกัน
ศัพท์พบบ่อยในใบประกาศรับสมัครงาน (Job Advertisement)
คำศัพท์ | คำอ่าน | ความหมาย |
Applicant | แอพ’พลิเคินทฺ | ผู้สมัครงาน |
Application | แอพพลิเค’เชิน | การสมัครงาน |
Apply in person | อะไพล-อิน-เพอ’เซิน | สมัครด้วยตัวเอง |
Position | พะซิช’เชิน | ตำแหน่ง |
Job description | จอบ-ดิสคริพ’เชิน | ลักษณะหรือขอบเขตของงาน |
Urgently Required | เออเจ็นทลิ-ริคไวร | ต้องการด่วน (รีบสมัครเลย) |
Qualification | ควอลละฟะเค’เชิน | คุณสมบัติ |
Education | เอดจุเค,’เชิน | การศึกษา |
Personality | เพอซะแนล’ลิที | บุคลิกภาพ |
Experience | อิคซฺเพีย’เรียนซฺ | ประสบการณ์ |
Skill | สคิล | ทักษะ, ความเชี่ยวชาญ |
Work permit | เวิร์ค-เพอมิท | ใบอนุญาตทำงาน |
Company benefits | คัมพะนี-เบนอิฟิท | สวัสดิการของบริษัท |
Compensation | คอมเพนเซ’เชิน | ค่าตอบแทน |
Working hours | เวิร์ค’คิง-เอา’เออะ | ชั่วโมงการทำงาน |
Working time | เวิร์ค’คิง-ไทม | เวลาในการทำงาน |
Marital status | แม’ริเทิล-สเท’ทัส | สถานภาพทางการแต่งงาน |
Military status | มิล’ลิเทอรี-สเท’ทัส | สถานภาพทางทหาร |
Expected salary | อิคสเพค’ทิด-แซล’ละรี | เงินเดือนที่ต้องการ |
Present salary | เพรส’เซินทฺ-แซล’ละรี | เงินเดือนปัจจุบัน |
Overtime payment | โอ’เวอะไทมฺ-เพ’เมินทฺ | ค่าล่วงเวลา |
Probationary period | พโระเบฌะเนริ-เพีย’เรียด | ระยะเวลาหรือช่วงทดลองงาน |
Walk- in interview | วอล์ค-อิน อิน’เทอวิว | เข้าไปสมัครที่ทางบริษัทได้ |
Own transportation | โอน-แทรนสเพอเท’เชิน | มียานพาหนะเป็นของตัวเอง |
Full-time | ฟลู-ไทม | เต็มเวลา |
Part-time | พาร์ท-ไทม | ไม่เต็มเวลาหรือรายชั่วโมง |
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
DGA ยันแอปฯทางรัฐ พร้อมรับลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ตไตรมาส 3
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เร่งเดินหน้าพัฒนาแอปทางรัฐ รองรับลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตไตรมาส 3 พร้อมเร่งหารือสถาบันการเงิน พัฒนาแพลตฟอร์มชำระเงิน ขณะที่สมาคมสตาร์ทอัพไทย ขอเอี่ยวโครงการ เสนอนำระบบบัญชี-ภาษี บริหารสต็อกช่วยผู้ประกอบการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัล
แหล่งข่าวจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล หรือ สพร. (DGA)เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าขณะนี้ สพร. อยู่ระหว่างเร่งพัฒนาแอปฯ ทางรัฐ ให้เป็นช่องทางเปิดลงทะเบียนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เพื่อให้ทันไทม์ไลน์ที่รัฐบาลตั้งเป้าเปิดลงทะเบียนร้านค้าและประชาชนเพื่อเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตในไตรมาส 3
นอกจากนี้ยังเร่งหารือกับสถาบันการเงินเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการชำระเงิน (Payment Platform) เพื่อเป็นระบบการใช้จ่ายสำหรับการชำระบัญชี (Clearing and Settlement) ระหว่างบัญชีของประชาชนและบัญชีของร้านค้าที่ธนาคารรับชำระเงิน (Open Loop) โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเป็นระบบการชำระเงินกลางของประเทศไทยที่สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย โดยคาดว่าเริ่มเติมเงินดิจิทัล 10000 บาท ให้กับประชาชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
อย่างไรก็ตามยืนยันว่า DGA ในฐานะหน่วยงานพัฒนาดิจิทัลภาครัฐ มีความพร้อมในการพัฒนาระบบ และพัฒนาแอปฯทางรัฐ ให้สามารถรองรับปริมาณการทำธุรกรรมของประชาชนได้ เช่นเดียวกับความปลอดภัยข้อมูลที่แอปฯทางรัฐ ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเอาไว้ ทั้งนี้ขณะนี้ แอปฯทางรัฐ ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก โดยมียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 20% ขณะนี้มียอดการดาวน์โหลดเกิน 1.2 ล้านคนแล้ว
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 พ.ค.67 มีมติเห็นชอบให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. เป็นผู้ดำเนิน โครงการแพลตฟอร์มการชำระเงิน (Payment Platform) ภายใต้กรอบงบประมาณโครงการ รวมเป็นเงิน 95 ล้านบาท โดยให้หน่วยงานของรัฐและสถาบันการเงินร่วมมือกับ สพร. สนับสนุนข้อมูล และร่วมกำหนดแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไป
โดยกรอบแนวคิดโครงการแพลตฟอร์มการชำระเงิน นั้นประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนกลุ่มต่าง ๆ เช่น ประชาชนที่เดือดร้อนจากเหตุภัยพิบัติ เกษตรกร และผู้ประกอบธุรกิจด้านการเกษตรสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ผ่าน Government Super Application โดยข้อมูลการร้องขอจะถูกส่งไปยังแพลตฟอร์มการชำระเงิน
โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้แอปพลิเคชันของธนาคารหรือแอปพลิเคชันทางการเงินหรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์รายใดก็ได้ที่เข้าร่วมโครงการในการชำระเงิน หรือรับชำระเงิน ขณะที่แพลตฟอร์มการชำระเงินสามารถตรวจสอบรายการให้เป็นไปตามกฎหรือกติกาตามที่ภาครัฐกำหนด ทั้งในส่วนผู้ชำระเงินและผู้รับชำระเงิน (Transaction Processing System) โดยธุรกรรมที่เกิดขึ้นภายในระบบการชำระเงินจะถูกบันทึกและเก็บข้อมูลในรูปแบบการเข้ารหัสผ่านบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยด้านความปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ
ด้าน ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวว่าสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย ได้มีโอกาสหารือกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อเข้าไปสนับสนุนโครงการดังกล่าว เบื้องต้นได้นำเสนอแนวคิดเข้าไปช่วยผู้ประกอบการภายใต้โครงการดังกล่าวในการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัล โดยมองว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมีความพร้อมรับเงิน แต่ไม่มีความพร้อมเรื่องระบบการจัดการหลังบ้าน กลุ่มสตาร์ทอัพที่มีทั้งโปรแกรมระบบบัญชี บริหารสต็อก ระบบภาษี จึงต้องการเข้าไปช่วยผู้ประกอบการเหล่านี้ในการจัดการระบบหลังบ้านและทรานสฟอร์ม ไปสู่ดิจิทัล
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ผักปลอดสาร ผักอนามัย ผักอินทรีย์ ผักออร์แกนิค” ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีต่อสุขภาพที่สุด
ผัก เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพ เพราะในผักมีทั้งแร่ธาตุวิตามิน รวมไปถึงสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าผักที่วางจำหน่ายในท้องตลาดนั้นมีการบอกว่าเป็นผักหลายๆ ประเภท ซึ่งล้วนบอกว่าเป็นผักเพื่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็นผักปลอดสาร หรือผักปลอดสารพิษ ผักอนามัย ผักอินทรีย์ และผักออร์แกนิค ว่าแต่ผักต่างๆ ที่กล่าวมาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร แบบไหนทานแล้วดีต่อสุขภาพมากที่สุด เรามีคำตอบมาให้
ผักปลอดสาร ผักอนามัย ผักอินทรีย์ ผักออร์แกนิค ต่างกันอย่างไร
ผักปลอดสารคืออะไร
“ผักปลอดภัยจากสารเคมี” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ผักปลอดสารพิษ” มุ่งเน้นไปที่การควบคุมการใช้สารเคมีในการปลูก โดยเน้นไปที่การไม่ใช้สารเคมีกำจัดแมลง แต่ยังคงใช้ปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนเร่งผลผลิตบางชนิดที่ปลอดภัยต่อร่างกาย ผลผลิตที่ได้จะมีสารเคมีตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
การรับรองมาตรฐาน
ผักปลอดภัยจากสารเคมีจะได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การรับรองเหล่านี้ช่วยเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบย้อนกลับและยืนยันความปลอดภัยของผัก
ผักอนามัยคืออะไร
ผักอนามัย หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ผักกางมุ้ง” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อสุขภาพที่เข้าถึงง่าย มุ่งเน้นไปที่การควบคุมการใช้สารเคมีในการปลูก โดยใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโต และใช้สารกำจัดแมลงที่มีพิษตกค้างในระยะสั้น หยุดฉีดพ่นก่อนการเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาที่กำหนด ผักเหล่านี้ปลูกโดยใช้กางมุ้งหรือตาข่ายเพื่อป้องกันแมลง หรืออาจปลูกแบบไม่ใช้มุ้ง แต่เน้นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน เช่น การปลูกผักตามฤดูควบคู่กับผักประเภทกะหล่ำปลีที่ช่วยลดการระบาดของแมลง
มาตรฐานการรับรอง
ผักอนามัยได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์เดียวกับผักปลอดสารพิษ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าผักเหล่านี้ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง
ผักอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิค
ผักอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิคคือผักที่ปราศจากสารเคมีทุกชนิด เน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค
หลักการสำคัญของผักอินทรีย์
- ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด ทั้งในกระบวนการผลิต เก็บเกี่ยว และแปรรูป รวมถึงปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ฮอร์โมนสังเคราะห์ และสารกันบูด
- เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยพืชสด เพื่อบำรุงดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ และส่งเสริมสุขภาพของต้นไม้
- รักษาสมดุลของระบบนิเวศ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคุมศัตรูพืชโดยวิธีธรรมชาติ และจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
- แยกแปลงปลูกพืชอินทรีย์ ออกจากแปลงปลูกพืชแบบเคมี เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมี
- เลือกพื้นที่ปลูกที่ห่างไกลจากแหล่งมลภาวะ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ถนนใหญ่ หรือแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน
ผัปอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิค เป็นวิถีการผลิตอาหารที่ยั่งยืน ปลอดภัยต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ จึงเป็นการสนับสนุนวิถีชีวิตที่ดีต่อโลกของเรา
บทสรุป : ผักปลอดสารเคมี หรือผักปลอดสารพิษ รวมไปถึงผักอนามัยที่วางขายทั่วไป ไม่ได้หมายถึงผักที่ปราศจากสารเคมี 100% แต่ความจริงแล้วผักเหล่านี้อาจยังมีสารเคมีตกค้างอยู่บ้าง แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่ไม่เกินมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/05/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,600.00 | 40,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,630.00 | 39,870.80 | 41,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,367.00 | 35,883.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,104.00 | 31,896.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,184.00 | 17,949.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 921.00 | 13,962.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,725.00 | 41,311.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/05/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.15 | 38.15 | 39.45 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 | 38.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.78 | 37.78 | 38.88 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 | 37.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.04 | 36.04 | 37.34 | 36.04 | 36.04 | – | 36.04 | 36.04 | 36.04 | 36.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.79 | 35.79 | – | – | – | – | – | – | – | 35.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 46.74 | 49.84 | 50.24 | 49.84 | – | – | – | – | – | 46.74 |
เบนซิน 95 | 46.04 | – | – | – | 48.01 | – | 46.54 | 46.19 | – | 46.04 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.64 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 32.94 | – | – | – | 32.94 | – | – | – | – | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 50.24 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |