สาระน่ารู้ประจำวันที่ 31 มกราคม 2568

ทิศทางสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรปี 68 พัฒนายั่งยืน ดันไทยสู่ สมาร์ทโฮมระดับโลก

สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร (HBA) โดยนายสุนทร สถาพร นายกสมาคมฯ ประกาศนโยบายและกิจกรรมประจำปี 68 รับ 3 กลุ่มเป้าหมาย เน้นส่งเสริมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน เตรียมผลักดัน Smart Housing เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร (Housing Business Association) ภายใต้การนำของนายสุนทร สถาพร นายกสมาคมฯ ได้จัดแถลงข่าวเพื่อประกาศนโยบายและกิจกรรมประจำปี 2568 โดยเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน (Sustainable Development) และเตรียมก้าวสู่การสร้าง Smart Housing เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

นายสุนทร เปิดเผยว่า สมาคมฯ มีแนวนโยบายหลัก 3 ประการ ได้แก่ การทำให้ดี (Do it well) การทำให้ถูกต้อง (Do it right) และการทำให้ทันโลกทันเหตุการณ์ (Do it timely) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาธุรกิจบ้านจัดสรรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน

สมาคมฯ ยังได้ประกาศมุ่งเน้นการทำงานเพื่อ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มลูกค้า กลุ่มพันธมิตร และกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ (Developer) โดยมีแนวทางดังนี้

กลุ่มลูกค้า โดยสมาคมฯ จะเป็นศูนย์กลางข้อมูลสำหรับผู้ซื้อบ้านในอนาคตและปัจจุบัน โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับทำเลที่ตั้ง กฎหมาย โครงการที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการเงินและการลงทุน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงได้เปิดช่องทางสื่อสารใหม่ในชื่อ HBA Channel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจบ้านจัดสรร ทั้งในรูปแบบของวิดีโอสั้นและเนื้อหาเชิงลึก โดยจะเผยแพร่ผ่าน Facebook, YouTube และ Instagram

  • กลุ่มพันธมิตร สมาคมฯ จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและ
    ต่างประเทศ เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในการสร้างที่อยู่อาศัย เช่น การสร้างบ้านประหยัดพลังงาน (Green Housing) และบ้านอัจฉริยะ (Smart Housing) ที่สามารถควบคุมการใช้งานและอนุรักษ์พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ สมาคมฯ จะจัดหลักสูตรฝึกอบรมและสัมมนาวิชาการเพื่อพัฒนาทักษะของผู้พัฒนาโครงการให้ทันกับความท้าทายในยุคที่การแข่งขันจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น

และในปีนี้ สมาคมฯ ได้จัดหลักสูตรพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นปีแรก โดยเน้นการแบ่งปันประสบการณ์จากผู้บริหารระดับสูงและผู้ประกอบการในวงการอสังหาริมทรัพย์ หลักสูตรนี้จะครอบคลุมทุกขั้นตอนของการพัฒนาโครงการ

ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การวางผังเมือง การตลาด การเงิน ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ โดยจะมีการเยี่ยมชมโครงการตัวอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ภูเก็ตและเซี่ยงไฮ้

นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำของไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัย เช่น การวิจัยเรื่องภาวะอยู่สบายที่อุณหภูมิ 26 ํC และการนำแสงธรรมชาติเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัย

อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับองค์กรระดับนานาชาติ เช่น สมาคมที่อยู่อาศัยญี่ปุ่น (JUNA) และสมาพันธ์ที่อยู่อาศัยนานาชาติ (International Housing Association) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี

 ทั้งนี้ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ที่นำโดยของนายสุนทร สถาพร กำลังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มที่ โดยมุ่งเน้นการสร้างที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

พร้อมด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดหลักสูตรฝึกอบรมและสัมมนาวิชาการ สมาคมฯ ตั้งเป้าที่จะยกระดับมาตรฐานการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยให้ก้าวไกลในระดับนานาชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


4ทำเลทองบ้านเดี่ยวน่าซื้อ‘อยู่อาศัย-ลงทุน’ Safe Haven!

4ทำเลทองบ้านเดี่ยวน่าซื้อ‘อยู่อาศัย-ลงทุน’Safe Haven! ส่งต่อมูลค่าทางการเงินแห่งอนาคตที่สามารถสร้างมูลค่าในระยะยาวกรุงเทพกรีฑา ผลตอบแทนจากค่าเช่า เฉลี่ย 7-9% ต่อปี “บางนา” 7-8% ต่อปี “ภูเก็ต”9-10% ต่อปีและเชียงใหม่ 5-7% ต่อปี

ในวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย ปัจจุบันการลงทุนใน “บ้านเดี่ยว” กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก ด้วยมุมมองที่ไม่ใช่แค่การหาผลตอบแทนระยะสั้นจากค่าเช่าเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างมูลค่าในระยะยาว หรือที่เรียกว่า “Lifetime Asset Value”

จากข้อมูลของ SCB EIC ระบุว่า กลุ่มลูกค้าที่มีแผนซื้อบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านขนาดพื้นที่เป็นหลัก ทั้งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ขนาดที่ดิน และสนใจทำเลใกล้เมือง เดินทางสะดวกในการไปทำงาน และส่งบุตรหลานไปโรงเรียน จึงพร้อมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อบริการหลังการขาย สิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกยิ่งขึ้น ประการสำคัญ ประหยัดพลังงาน

ล่าสุด “แสนสิริ”  ระบุถึง “4 ทำเลทอง” ที่เหมาะสมกับการลงทุนบ้านเดี่ยวในยุคนี้  นอกจากจะตอบโจทย์ทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยแล้ว ยังสามารถปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนได้อีกด้วย

 “กรุงเทพกรีฑา” ทำเลดาวรุ่ง

ในแง่การลงทุน บ้านเดี่ยวย่านกรุงเทพกรีฑากำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนจากค่าเช่า เฉลี่ย 7-9% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทของบ้าน โดยค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่ 300,000-600,000 บาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยของหลายทำเลในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ราคาประเมินที่ดินทำเลนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 170% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น! นับเป็นหนึ่งในทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตในสังคมไพรเวตและการลงทุนที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และโรงเรียนนานาชาติ

“บางนา” ทำเลแห่งอนาคต

บางนาอีกหนึ่งทำเลศักยภาพแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่เติบโตและมีความต้องการซื้อและเช่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากชาวไทยและชาวต่างชาติ สะท้อนจากยอดขายหลายโครงการย่านบางนา เป็นผลจากการปักหมุดของบรรดาเมกะโปรเจกต์ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม โครงข่ายคมนาคมที่โดดเด่น ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ รายล้อมด้วยสนามกอล์ฟและโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง อาทิ Bangkok Patana School และ Berkeley International School ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และ Bangkok Mall ศูนย์การค้าใหม่ขนาดใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิทที่สามารถเดินทางไปยังย่านธุรกิจในกลางเมือง (CBD) ได้สะดวก รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่เดินทางสู่ใจกลางเมืองได้รวดเร็ว ทำให้บางนากลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงบนทำเลเส้นเลือดใหญ่แห่งกรุงเทพฯ ตะวันออก

“ภูเก็ต” พื้นที่ศักยภาพการลงทุนระดับโลก

ภูเก็ต “ไม่ใช่” แค่เมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นขุมทรัพย์แห่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่สูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวที่มีค่าเช่าสูง 300,000-400,000 บาทต่อเดือน และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ระดับ 9-10% ต่อปี ภูเก็ตยังมาพร้อมกับการพัฒนาที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างสนามบินใหม่ ระบบขนส่งมวลชน การพัฒนาผังเมืองสู่ “Smart City” ทำให้ภูเก็ตเป็นทำเลศักยภาพสูงในการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

“เชียงใหม่” เมืองนานาชาติ

เชียงใหม่ เป็นอีกทำเลที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยในบรรยากาศเมืองที่ผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายและธรรมชาติ “บ้านเดี่ยว” ในเชียงใหม่มีค่าเช่า 50,000-70,000 บาทต่อเดือน สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่ดี เฉลี่ย 5-7% ต่อปี ขณะที่ราคาซื้อขายบ้านเดี่ยวในเชียงใหม่อยู่ที่ราว 3.5 ล้านบาท ไปจนถึง 18 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าทั้งในด้าน Capital Gain และการปล่อยเช่า นอกจากนี้เชียงใหม่ยังมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ เช่น สนามบินเชียงใหม่ 2 โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง จะยิ่งทำให้เชียงใหม่เป็นทำเลที่น่าสนใจมากขึ้นในอนาคต

การเลือกลงทุนในบ้านเดี่ยวในทำเลต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่ใช่แค่การซื้อบ้านที่ให้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นการ “ลงทุน” ที่มีผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว สามารถส่งต่อ “มูลค่าทางการเงิน” ให้บลูกหลานในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31ม.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility เสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ หากผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31 ม.ค.2568ที่ระดับ  33.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  33.71 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าสำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์บ้าง ทว่าเงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

ทำให้เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility โดยเงินบาทเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ หากผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งอาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้

ทว่าในกรณีดังกล่าว หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ก็อาจพอช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการปรับตัวลดลงของราคาทองคำได้บ้าง ทำให้เรามองว่า ในช่วงนี้ อาจต้องติดตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้

นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ สหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีน

ทั้งนี้ เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนโดยเฉลี่ย +0.10%/-0.23% (เงินบาทมักจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าอ่อนค่า) ได้ในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว 30 นาที

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.55-33.75 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น จากคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

แม้ว่า เงินยูโรจะสามารถแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) 25bps สู่ระดับ 2.75% ตามคาดก็ตาม อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังไม่สามารถกดดันเงินบาทได้มากนัก

เนื่องจากราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้ (New All-Time High) ท่ามกลางความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยรับมือความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ทยอยรายงานผลประกอบการที่สดใส อาทิ Meta +1.6% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของ Microsoft -6.2% ที่ออกมาน่าผิดหวัง ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.53%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.86% ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ยตามคาด และมีแนวโน้มที่จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมได้ในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +3.6%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.53% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมามีความกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

นอกจากนี้ บรรยากาศของตลาดการเงินที่ผู้เล่นในตลาดทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็ช่วยจำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งออกมาแย่กว่าคาด

ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มรัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาคา ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.5-108.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะเผชิญแรงกดดันบ้าง จากการทยอยปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ก็พอช่วยหนุนให้

ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถว 2,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิดในการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE อาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 2.6%

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อาจทรงตัวแถวระดับ 2.8% สอดคล้องกับมุมมองของเฟดล่าสุดที่ยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทำให้เฟดตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.62-33.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.22 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของค่าเงินเยน ตามแรงหนุนของสินทรัพย์/สกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้  ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.55-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลการประชุม ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ  ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนธ.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ สุดจัดโค่นรุ่นพี่ “เมย์ รัชนก” เข้ารอบ 8 คนไทยแลนด์ มาสเตอร์ส

“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 119 ของโลก สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการล้มไอดอลของตัวเองอย่าง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือวางอันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 10 ของโลก ไปอย่างสุดมันส์ 2-1 เกม ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายแบดมินตันปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025

การแข่งขันแบดมินตันในศึก “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์  มาสเตอร์ส 2025” (Princess Sirivannavari Thailand Masters 2025) ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนท์เก็บคะแนนสะสมอันดับโลกที่ได้การรับรองจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ทัวร์นาเมนต์ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,160,000 บาท ที่ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ มื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ม.ค.68 เป็นการแข่งขันในรอบสอง 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือวางอันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 10 ของโลก พบกับ  “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์  มืออันดับ 119 ของโลก เกมนี้ พิ้งค์ พิชฌามลณ์ สามารถงัดฟอร์มเก่งของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พลิกแซงกลับมาเอาชนะอย่างหวุดหวิด 2-1 เกม 17-21, 21-18, 21-16  “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ ผ่านเข้ารอบ 8 คนุสดท้ายไปพบกับ โคมัง คาย่า เดวี่ มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 45 ของโลกจากอินโดนีเซีย 

“แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มือวาง 7 ของรายการ มืออันดับ 39 ของโลก เบียดเอาชนะ “จิว” ลลินรัศฐ์ ไชยวรรณ มืออันดับ 69 ของโลก 2-1 เกม 25-27, 22-20,21-19  “แครอท” พรพิชชา ผ่านเข้ารอบก่อนรอบรองชนะเลิศไปพบกับ พูตี้ กุสุมา วาดินี่ มืออันดับ 15 ของโลกจากอินโดนีเซีย 

“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลก เอาชนะ เฉิน ซูหยู มืออันดับ 104 ของโลกจากไต้หวัน ไปแบบง่ายดาย 2-0 เกม 21-15, 21-11 “หมิว” พรปวีณ์ ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ ซิม ยูจิน มืออันดับ 19 ของโลกจากเกาหลีใต้ ที่เอาชนะ “บูม”ธิดาพร กลีบยี่สุ่น มืออันดับ 133 ของโลก มาได้ 2-0 เกม 21-15 , 21-12 

“มินนี่” ธมลวรรณ นิธิอิทธิไกร มืออันดับ 79 ของโลก เอาชนะ ลีเน่ ฮอยมาร์ค เคจเฟลด์ท มือวางอันดับ 4 ของรายการ  มืออันดับ 25 ของโลกจากเดนมาร์ก 2-0 เกม 22-20 21-13 “มินนี่” ธมลวรรณ ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ รัคชิตา สรี ซานโทส รามราช มืออันดับ 49 ของโลกจากอินเดีย , “บูม”ธิดาพร กลีบยี่สุ่น มืออันดับ 133 ของโลก  แพ้ให้กับ ซิม ยูจิน มืออันดับ 19 ของโลกจากเกาหลีใต้ 0-2 เกม 15-21 , 12-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


แพทย์ผิวหนังแนะ 4 วิธีทำให้รูขุมขนเล็กลง หน้าใส เนียนแบบไม่ต้องเลเซอร์

รู้สึกไหมว่าทุกครั้งที่ส่องกระจก เดี๋ยวนี้รูขุมขนกว้างๆ จะจ้องกลับมาที่คุณ? ถ้าคุณสงสัยว่าจะลดขนาดรูขุมขนที่เห็นได้ชัดเหล่านี้ได้อย่างไร คุณไม่ได้อยู่คนเดียว รูขุมขนที่เห็นได้ชัดเป็นปัญหาทั่วไปเมื่ออายุมากขึ้น แพทย์ผิวหนัง Jane Wu กล่าว ดูเหมือนว่าทุกคนต้องการผิวที่ละเอียดและไร้ที่ติเหมือนในวัยเด็ก ซึ่งรูขุมขนแทบมองไม่เห็น

แต่เมื่อคุณเข้าสู่วัยแรกรุ่นและวัยผู้ใหญ่ รูขุมขนมีแนวโน้มที่จะโดดเด่นมากขึ้น รูปลักษณ์ของรูขุมขนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ Dr. Wu อธิบายว่าอะไรทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นและวิธีที่คุณสามารถลดขนาดรูขุมขนได้

โดยส่วนใหญ่แล้วพันธุกรรมจะเป็นตัวกำหนดขนาดรูขุมขนของคุณ รูขุมขนคือช่องเปิดที่ช่วยให้เหงื่อและไขมัน (น้ำมัน) ไหลออกจากต่อมต่างๆ ขึ้นสู่ผิวหนัง ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ของคุณมีรูขุมขนกว้าง คุณก็มีแนวโน้มที่จะมีรูขุมขนกว้างเช่นกัน

แต่ปัจจัยอื่นๆ ก็มีส่วนทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นได้เช่นกัน Dr. Wu กล่าว ซึ่งรวมถึง

  • การผลิตน้ำมัน: รูขุมขนจะดูเด่นชัดมากขึ้นบริเวณกึ่งกลางใบหน้าของคุณ นั่นเป็นเพราะมีต่อมไขมันที่ปล่อยน้ำมันออกมามากกว่าบริเวณอื่น
  • เพศ: ผู้ที่เกิดมาเป็นเพศชาย (AMAB) มักจะมีต่อมไขมันมากกว่าและผิวมันกว่า ทำให้รูขุมขนมองเห็นได้ชัดเจนกว่า
  • อายุ: คอลลาเจนและอีลาสตินเป็นโปรตีนที่ให้การรองรับโครงสร้างของรูขุมขน เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณจะสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ซึ่งทำให้รูขุมขนของคุณกว้างขึ้น
  • ความเสียหายจากแสงแดด: การสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดมากเกินไปจะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง ทำให้ความกระชับของผิวลดลง ทำให้รูขุมขนมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: รูขุมขนจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น เมื่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ผู้ที่เกิดมาเป็นเพศหญิง (AFAB) อาจสังเกตเห็นว่าขนาดรูขุมขนของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในช่วงรอบเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเขามักจะเป็นสิว

ลดขนาดรูขุมขนได้หรือไม่?

เนื่องจากขนาดรูขุมขนของคุณส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพันธุกรรม คุณจึงไม่สามารถลดขนาดรูขุมขนได้อย่างถาวร อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดรูปลักษณ์ของรูขุมขนได้โดยการทำให้รูขุมขนสะอาดปราศจากน้ำมันและสิ่งสกปรก และเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังของคุณ ขั้นตอนเหล่านี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้รูขุมขนมีขนาดใหญ่ขึ้น

วิธีลดรูขุมขนที่เห็นได้ชัด

มีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีลดรูขุมขนตามธรรมชาติ เป็นความจริงที่การประคบน้ำแข็งหรือการใช้ลูกกลิ้งเย็นๆ บนใบหน้าช่วยได้ แต่ผลการกระชับจะอยู่ได้เพียงไม่กี่นาทีและจะลดลงเมื่อผิวของคุณอุ่นขึ้น

1.ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรอ่อนโยนล้างหน้าในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อให้รูขุมขนสะอาดปราศจากน้ำมันส่วนเกิน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าปราศจากน้ำมันหรือไม่อุดตันรูขุมขนเท่านั้น

2. ป้องกันผิวจากแสงแดด การป้องกันผิวจากแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินจากความเสียหายของผิวหนัง ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF กว้าง ในขั้นตอนการดูแลผิวในเวลากลางวันของคุณ หมวกและอุปกรณ์ป้องกันทางกายภาพอื่นๆ ก็สามารถช่วยปกป้องใบหน้าของคุณจากรังสี UV ได้เช่นกัน

3. ทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี การทำความสะอาดรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วและน้ำมันส่วนเกินช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีที่บ้านเป็นครั้งคราวสามารถช่วยได้ “คุณสามารถใช้ทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวที่ซื้อได้ทั่วไปส่วนใหญ่ทุกๆ สองสัปดาห์ และบางครั้งก็ใช้ได้ทุกสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของทรีตเมนต์และระดับความลึกของเซลล์ผิวที่กำจัดออกไป” Dr. Wu กล่าว

ทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวใช้กรดอัลฟ่าหรือเบต้าไฮดรอกซี (AHA หรือ BHA) เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วชั้นบนสุด กรดไฮดรอกซีช่วยเปิดรูขุมขนและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน มองหา:

  • กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) ซึ่งเป็น AHA ทั่วไป
  • กรดซาลิซิลิก (Salicylic acid) ซึ่งเป็น BHA ที่ได้รับความนิยม
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประจำวัน เช่น โทนเนอร์ เซรั่ม และทรีตเมนต์ ที่มีกรดเหล่านี้ในปริมาณน้อยกว่า

4. ใช้เรตินอล เรตินอลเป็นส่วนผสมในการดูแลผิวสารพัดประโยชน์ที่โด่งดังในด้านการต่อสู้กับสิวและริ้วรอย เรตินอลเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีทั้งแบบที่จำหน่ายทั่วไปและแบบที่ต้องมีใบสั่งยา เหมือนกับกรดไฮดรอกซี เรตินอลช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เปิดรูขุมขน และเผยผิวใหม่

เรตินอลยังช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ซึ่งทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม ควรใช้เซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเรตินอลในเวลากลางคืน เนื่องจากอาจเพิ่มความไวต่อแสงแดดของผิวหนัง เริ่มต้นช้าๆ โดยทาบางๆ สองครั้งต่อสัปดาห์ แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นใช้ทุกวัน เนื่องจากเรตินอลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังในระยะแรกได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘การ์ทเนอร์’ คาดปี 68 ใช้จ่ายไอทีไทย มูลค่าเฉียด ‘ล้านล้านบาท’

“การ์ทเนอร์ อิงค์” คาดการณ์มูลค่าใช้จ่ายไอทีทั่วโลกปี 2568 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 9.8% จากปี 2567 คิดเป็นมูลค่ารวม 5.61 ล้านล้านดอลลาร์

สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะมีมูลค่าการใช้จ่ายไอทีสูงเกือบ 996,000 ล้านบาท หรือประมาณ 29 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.9% จากปี 2567 โดยหมวดดาต้าเซ็นเตอร์จะเติบโตสูงสุดในปีนี้ เพิ่มขึ้นเกือบ 17% รองลงมาคือหมวดซอฟต์แวร์ 16.1%

จอห์น-เดวิด เลิฟล็อค รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า แม้งบประมาณซีไอโอจะมีเพิ่มขึ้น แต่ส่วนสำคัญกลับถูกนำไปใช้เพื่อชดเชยการปรับขึ้นราคาของค่าใช้จ่ายประจำเท่านั้น

หมายความว่าปีนี้การใช้จ่ายที่เป็นมูลค่าตามราคาปัจจุบัน หรือ Nominal Spending จะไม่ตรงกับมูลค่าการลงทุนไอทีที่แท้จริง เนื่องจากงบประมาณที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้จ่ายกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการไอที ซึ่งราคาในทุกหมวดหลักต่างปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ซีไอโอต้องชะลอโครงการและปรับลดเป้าการลงทุนด้านไอทีลง”

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า Gen AI จะมีอิทธิพลกับการลงทุนไอที แต่การใช้จ่ายด้านนี้จะไม่ได้เป็นไปเพื่อ GenAI โดยตรง

ในปี 2568 หมวดหมู่ต่างๆ อาทิ ระบบดาต้าเซ็นเตอร์ อุปกรณ์ดีไวซ์ และซอฟต์แวร์ ต่างเติบโตระดับเลขสองหลัก

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการอัพเกรดฮาร์ดแวร์สำหรับ Generative AI ทว่าจะยังไม่เห็นความแตกต่างในแง่ของฟังก์ชั่นการทำงาน แม้จะมีฮาร์ดแวร์ใหม่ก็ตาม

แยกตามประเภทมูลค่าการใช้จ่ายทั่วโลกของดาต้าเซ็นเตอร์จะเติบโต 23.2% มูลค่า 405,505 ล้านดอลลาร์, ดีไวซ์ เติบโต 10.4% มูลค่า 810,234 ล้านดอลลาร์, ซอฟต์แวร์ 14.2% มูลค่า 1,246,842 ล้านดอลลาร์, บริการไอที 9% มูลค่า 1,731,467 ล้านดอลลาร์, บริการการสื่อสาร  3.8% มูลค่า 1,423,746 ล้านดอลลาร์

GenAI กำลังเลื่อนเข้าไปสู่ช่วงแห่งความผิดหวัง ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของซีไอโอที่ลดลงต่อ GenAI แต่ไม่ได้สะท้อนถึงการใช้จ่ายสำหรับเทคโนโลยีนี้

ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์พีซีที่รองรับ AI รุ่นใหม่ยังไม่มีแอปพลิเคชันที่ “จำเป็นต้องมี” ที่ใช้ประสิทธิภาพจากฮาร์ดแวร์ดังกล่าว แม้ทั้งผู้บริโภคและองค์กรจะซื้อพีซี แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือที่รองรับ AI แต่การซื้ออุปกรณ์ไอทีเหล่านี้กลับไม่ได้มีแรงจูงใจหลักมาจากฟังก์ชั่น GenAI

นอกจากนี้ การใช้จ่ายสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI หรือ AI-Optimized Servers มีมูลค่าเป็นสองเท่าของการใช้จ่ายสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบดั้งเดิม หรือ Traditional Servers ในปีนี้ โดยมีมูลค่าถึง 2.02 แสนล้านดอลลาร์

โดยสรุปแล้วบริษัทบริการด้านไอทีและไฮเปอร์สเกลเลอร์มีสัดส่วนการใช้จ่ายมากกว่า 70% ในปีนี้ และคาดว่าในอีกสามปี ไฮเปอร์สเกลเลอร์จะมี AI-Optimized Servers สำหรับใช้ดำเนินการมูลค่ารวมถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์แต่จะไม่อยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบเดิมหรืออยู่ในตลาด IaaS อีกต่อไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาด AI ที่ถูกควบคุมโดยบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย

การคาดการณ์แนวโน้มการใช้จ่ายด้านไอทีของการ์ทเนอร์ดังกล่าว ใช้การวิเคราะห์อย่างเข้มข้นของยอดขายจากผู้ค้าและผู้ให้บริการหลายพันราย ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการด้านไอทีทั้งหมด

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


วิธีการเรียนเรื่องคำกริยา Regular และ Irregular Verbs ในภาษาอังกฤษ

เพื่อบอกเวลาในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง คุณควรรู้รูปอดีตของคำกริยา คำกริยาทุกคำจะมีรูปร่างหน้าตาดั้งเดิมที่เราเรียกว่า ‘infinitive’ (เช่น look, make, play) คำกริยาส่วนใหญ่เราจะเรียกว่า ‘Regular verbs’ หรือ “กริยาปกติ” ซึ่งจะมีรูปร่างหน้าตาแบบอดีตเหมือน ๆ กัน นั่นคือการเติม -ed ท้ายคำ ในเมื่อมีกริยาปกติแล้ว ก็ต้องมีกริยาที่ไม่ปกติ เราเรียกว่า Irregular verbs’ ที่ Wall Street English คุณจะได้เรียนทั้ง regular และ irregular verbs สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยตลอดทั้งคอร์ศ ซึ่งจะทำให้คุณเรียนและจำได้ง่ายมากขี้น วันนี้เรามีวิธีการเรียน regular และ irregular verbs พร้อมตัวอย่างและเคล็ดลับในการจำมาฝากกัน

 ทำความรู้จักกับภาพรวมของคำกริยา

Every verb in English can have a base form, an -ing form, a past simple form and a past participle. กริยาทุกตัวในภาษาอังกฤษมีหน้าตาได้อยู่สี่แบบ คือรูปร่างหน้าตาแบบเดิม แบบเติม -ing แบบ past simple และแบบ past participle

เราจะใช้คำกริยาแบบไม่ผันในกรณีดังต่อไปนี้:

  • เป็นปัจจุบัน เช่น “They live in Rome.”
  • เป็น infinitive เช่น “I want to learn English.”

 เราจะใช้เป็นรูป -ing (หรือมีชื่อเรียกว่า gerund) ในกรณีดังต่อไปนี้:

  • บอกเวลาแบบ continuous tenses เช่น present continuous เช่น “He’s working”
  • คำกริยานั้นทำหน้าที่เป็นคำนาม “การหรือความ” เช่น Swimming is good for you.”

และสุดท้ายเราใช้รูป past participle ในกรณีดังต่อไปนี้:

  • เป็น perfect tenses เช่น present perfect เช่น “I’ve finished
  • เป็นรูป  passive เช่น ”It was made in Japan”
  • เป็น adjective เช่น “The chair is broken

Regular Verbs คืออะไร

Regular verbs ในภาษาอังกฤษใช้เป็นตัวบอกอดีต past simple และ past participle โดยการเติม -ed ที่ท้ายคำกริยา

เช่น

ถ้าเกิดคำกริยานั้นลงท้ายด้วย -y ให้เปลี่ยน -y เป็น -i แล้วเติม – ed เช่น:

ถ้าคำกริยานั้นลงท้ายด้วย -e อยู่แล้ว เราแค่เติม -d เข้าไป เช่น:

ตัวอย่าง regular verbs มีดังต่อไปนี้

“Yesterday Jack studied all day.”

“Raul has accepted the job offer.”

“Have you finished yet?”

“We really liked the film we watched last night.”

วิธีการออกเสียงคำกริยาที่ลงท้ายด้วย -ed มีอยู่สามแบบ ขึ้นอยู่กับเสียงพยัญชนะท้ายของคำนั้น

วิธีการเรียน irregular verbs ที่ดีคือจัดประเภทให้คำกริยาเหล่านี้เพราะถ้าคำคล้ายกันก็จะจำได้ง่ายขึ้น  irregular verbs ที่พบบ่อยในกลุ่มต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้

ตัวอย่างเช่น:

“Our car cost a lot of money but it’s always breaking down.”

“Pasha hurt himself in a soccer match last weekend.”

“My parents have let me stay out late tonight.”

“They put on their jackets because it was very cold.”

ตัวอย่างเช่น:

“They had lunch at a Thai restaurant on Monday.”

“Have you heard the news about the train strike?”

“Tim has sent an email to all the suppliers.”

“Who won the match?” – “The Giants.”

ตัวอย่างเช่น:

“He came back home at 4 a.m. on Saturday.”

“Suzi has become the Managing Director.”

“The dog ran into the garden after Lee opened the door.”

“Has Mrs. O’Connor come back from lunch yet?”

ตัวอย่างเช่น:

“The kids ate a lot of cakes at the party.”

“They drove to the airport and left their car there.”

“Has she taken her tickets yet?”

“I’ve written a letter of application for the manager’s job.”

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


10 เครื่องดื่มชา ดีต่อสุขภาพ ดื่มได้ทุกวัน ไม่อันตราย

หลายครั้งที่เราลืมไปว่า ชาถ้วยเล็กๆ ที่ดูธรรมดานี้ อัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ชาหลากหลายชนิดที่เราพบเห็นได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าออนไลน์ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และด้วยชาที่มีให้เลือกมากมายนับสิบนับร้อยชนิดทั่วโลก ทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีวันน่าเบื่อ

ไม่ว่าคุณจะชอบดื่มชาร้อนหรือเย็น ชาก็เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีเยี่ยมที่คุณควรมีในชีวิตประจำวัน แต่ชาชนิดไหนบ้างที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดสำหรับการดื่มทุกวัน? ต่อไปนี้คือชาที่มีสารอาหาร คุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ และประโยชน์เชิงหน้าที่โดดเด่น

ชาสองประเภทหลัก โดยทั่วไปแล้ว ชาแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ คือ ชาสมุนไพรและ “ชาแท้” ซึ่งชาแต่ละชนิดก็มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่โดดเด่นแตกต่างกันไป “ชาทั้งสองประเภทหลักให้สารอาหารและไฟโตเคมิคอลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพในหลากหลายด้าน เหมาะสำหรับการดื่มในชีวิตประจำวัน” ราเชล โรบินเน็ตต์ นักสมุนไพรศาสตร์ที่ได้รับการรับรอง (AHG) และผู้ก่อตั้ง Pharmakon Supernatural และ HRBLS กล่าว

10 เครื่องดื่มชา ดีต่อสุขภาพ ดื่มได้ทุกวัน

1.ชาดำ ชาดำเป็นหนึ่งในชาที่พบได้บ่อยที่สุด และอาจมีอยู่ในครัวของคุณอยู่แล้ว ในบรรดาชาจากต้นชาคาเมลเลีย ชาดำเป็นชาที่ผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นนานที่สุด และใบชามักจะถูกบดเป็นชิ้นเล็กๆ กว่าชาชนิดอื่นๆ ทำให้ชาดำมีรสชาติที่เข้มข้นและลุ่มลึกยิ่งขึ้น รวมถึงมีปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 47 มิลลิกรัม (มก.) ต่อ 8 ออนซ์

นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังงานด้วยคาเฟอีนแล้ว ชาดำยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากอุดมไปด้วยสารไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิด โดยเฉพาะทีฟลาวิน² สารประกอบโพลีฟีนอลในชาดำช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ โดยส่งผลดีต่อความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ลำไส้ สมอง และระบบเผาผลาญอีกด้วย

2.ชาสมุนไพรผสมขิงและขมิ้นกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และก็มีเหตุผลที่ดี! “เคอร์คูมินในขมิ้นมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ในขณะที่จิงเจอรอลในขิงช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยย่อยอาหาร” โรบินเน็ตต์อธิบาย ชาผสมที่ปราศจากคาเฟอีนนี้เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการเริ่มต้นวัน จบวัน หรือดื่มระหว่างวัน และอร่อยเป็นพิเศษเมื่อเติมน้ำผึ้งเล็กน้อย

3.ชาเขียว ชาเขียวเป็นชาอีกชนิดหนึ่งที่มาจากต้นชาคาเมลเลีย ซึ่งผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นน้อยที่สุด และโดยทั่วไปใบชาจะไม่แตกละเอียดเท่ากับชาดำ ชาเขียวมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าชาดำ โดยมีประมาณ 30 มก. ต่อถ้วย รสชาติที่ละเอียดอ่อน เอิร์ธตี้ และมีกลิ่นหอมของดอกไม้ของชาเขียวเข้ากันได้ดีกับอาหารว่างทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของหวานหรือของคาว นอกจากรสชาติที่น่าดึงดูดแล้ว ชาเขียวยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ชาเขียวมีสารประกอบที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ได้แก่ เคอร์เซทิน แคมป์เฟอรอล คาเทชิน และเอพิแกลโลคาเทชินแกลเลต (EGCG) สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หัวใจ ลำไส้ และระบบเผาผลาญ เป็นต้น

4.ชาเลมอน ไม่ว่าคุณจะเลือกดื่มชาเลมอนเวอร์บีน่า หรือเพียงแค่เติมน้ำร้อนลงในน้ำมะนาวหรือเปลือกมะนาว ชาที่ทำจากเลมอนทุกชนิดก็เหมาะสำหรับการดื่มทุกวัน เลมอนมีวิตามินซี ซึ่งช่วยต่อต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน “ซิตรัสยังมีเทอร์พีน ไลโมนีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอาการซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด” โรบินเน็ตต์กล่าว¹¹ ซึ่งหมายความว่าชาที่เติมซิตรัสอื่นๆ เช่น ชาส้ม ก็จะมีประโยชน์เหล่านี้เช่นกัน

5.ชาขาว ชาขาวเป็นชาจากต้นชาคาเมลเลียที่ผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นน้อยที่สุด ทำให้มีรสชาติที่ละมุนละไม โดดเด่นด้วยกลิ่นเขียวอ่อนๆ คล้ายหญ้า โดยทั่วไปแล้วจะมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าชาเขียวประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าปริมาณคาเฟอีนอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ 5 ถึง 50 มก. ต่อถ้วย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ชนิด ยี่ห้อ ขนาดใบ อุณหภูมิที่ใช้ชง และเวลาในการชง ชาขาวมีสารประกอบหลายชนิดเช่นเดียวกับชาดำและชาเขียว ซึ่งให้ประโยชน์ที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ยังมีแอล-ธีอะนีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของสมอง รวมถึงสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันและหัวใจ

6.ชาชบา สีชมพูเข้มและความหวานอมเปรี้ยวของชาชบาทำให้ชาสมุนไพรชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก แถมยังปราศจากคาเฟอีนอีกด้วย “ชบาเป็นชาที่อุดมไปด้วยสารอาหารและมีประโยชน์อย่างน่าประทับใจต่อระบบเผาผลาญ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลในการช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่” โรบินเน็ตต์อธิบาย “นอกจากนี้ยังมีรูตินและเควอเซทินในปริมาณสูง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการแพ้และปรับการทำงานของเซลล์แมสต์ให้เป็นปกติ” งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าชาชบาสามารถช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจได้โดยการควบคุมความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล

7.ชาเอิร์ลเกรย์ ชาเอิร์ลเกรย์เป็นชาอังกฤษที่มีชื่อเสียง ทำจากชาดำปรุงแต่งกลิ่นด้วยน้ำมันสกัดจากส้มมะกรูด (bergamot) ส้มมะกรูดเป็นผลไม้รสเปรี้ยวคล้ายมะนาว มีคุณสมบัติช่วยขับลม ซึ่งโรบินเน็ตต์อธิบายว่า “ช่วยกระตุ้นการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารตามธรรมชาติ และช่วยคลายกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร เพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด หรือแก๊ส” ชาดำผสมที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และให้ความรู้สึกอบอุ่นนี้มีปริมาณคาเฟอีนใกล้เคียงกับชาดำทั่วไป และมีประโยชน์เช่นเดียวกับชาที่มีรสเปรี้ยวและชาดำอื่นๆ

8.ชามินต์ มีชามินต์หลายชนิดให้เลือก เช่น เพปเปอร์มินต์และสเปียร์มินต์ แต่โดยทั่วไปแล้วมีประโยชน์คล้ายคลึงกัน “ชามินต์มีฤทธิ์เป็นโนโทรปิก ซึ่งช่วยปรับปรุงการทำงานของสมอง เช่น ความจำ การโฟกัส และสมาธิ” โรบินเน็ตต์กล่าว ในฐานะยาขับลม ชาที่ปราศจากคาเฟอีนเหล่านี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารอื่นๆ รวมถึงช่วยบรรเทาอาการไอและการติดเชื้อไซนัส

9.ชาอู่หลง ชาอู่หลงเป็นชาอีกชนิดหนึ่งที่มาจากต้นชาคาเมลเลีย ซึ่งอยู่ระหว่างชาเขียวและชาดำในแง่ของระดับการออกซิเดชั่น ปริมาณคาเฟอีน และความเข้มข้นของรสชาติ อย่างไรก็ตาม ชาอู่หลงได้รวมเอาประโยชน์ต่อสุขภาพของชาทั้งสองชนิดไว้ด้วยกัน โดยในแต่ละจิบจะอุดมไปด้วยสารไฟโตนิวเทรียนท์และสารประกอบอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพของหัวใจ สมอง ระบบเผาผลาญ ลำไส้ และระบบภูมิคุ้มกัน²¹ ใบของชามักจะมีขนาดใหญ่กว่าชาดำ และรสชาติอาจจะสดชื่น เบา หรือเข้มข้น ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์

10.ชาคาโมมายล์ คุณอาจคุ้นเคยกับคาโมมายล์ในฐานะที่เป็นชาที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับและผ่อนคลายในตอนกลางคืน ซึ่งก็เป็นความจริง แต่คุณสามารถดื่มชาคาโมมายล์ได้ทุกเวลาของวันเช่นกัน! (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชาคาโมมายล์ไม่ได้มีสารที่ทำให้ง่วงนอนหรือทำให้คุณหลับ) ในฐานะที่เป็นทั้งยาขับลมและยาบำรุงประสาท คาโมมายล์ช่วยสนับสนุนการย่อยอาหารและความสงบ นอกจากนี้ยังพบว่าคาโมมายล์ช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล และมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านการต้านการอักเสบ ระบบเผาผลาญ และระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/01/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a44,350.0044,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,873.0043,554.6844,950.00
ทองรูปพรรณ 90%2,585.7039,199.21n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,298.4034,843.74n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,293.0019,601.88n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,006.0015,250.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,977.0045,131.32n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/01/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.7535.7536.2535.7535.7535.7535.7535.7535.7535.75
แก๊สโซฮอล์ 9135.3835.3835.8835.3835.3835.3835.3835.3835.3835.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5434.0433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8532.5932.5932.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.3449.8449.8449.8444.34
เบนซิน 9544.0449.8144.5444.1944.04
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า