สาระน่ารู้ประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2568

เปิดแผน 3 ปี ฝ่าพายุเศรษฐกิจ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลุยลดหนี้–เพิ่มรายได้-ปรับโครงสร้างธุรกิจ

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค PF เปิดแผนกลยุทธ์ 3 ปี 2569-2571 เดินหน้าฝ่าวิกฤต ปรับโครงสร้างทางการเงิน มุ่งลดภาระหนี้ลง 50% ในปี 2570  วางเป้าขายสินทรัพย์ต่อเนื่อง 3 ปี  เร่งสร้างยอดขายให้กลับมาแตะระดับ 10,000 ล้านบาทในปี 2571

ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่ถดถอย ขณะที่การปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในอัตราสูง

นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้เตรียมพร้อมรับมือเดินหน้าฝ่าวิกฤตด้วยแผนกลยุทธ์ใน 3 ปี ภายใต้เป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ลดภาระหนี้ สร้างยอดขายเพิ่มรายได้ และปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง

แนวทางสำคัญของบริษัท คือการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดภาระหนี้ลง 50% ภายในปี 2570 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้สามารถดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ บริษัทยังมีแผนการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก (Non-Core Assets) ภายในระยะ 3 ปี  เริ่มจากปี 2569 มีแผนขายสินทรัพย์มูลค่า 300 ล้านบาท ปี 2570 มูลค่า 2,500 ล้านบาท และปี 2571 มีเป้าหมายขายสินทรัพย์เพิ่มอีกกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแผนการลดหนี้และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน 

“บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 15 ชุด ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนระหว่างเดือนสิงหาคม 2568 ถึงมกราคม 2570 โดยบริษัทเสนอขยายระยะเวลาไถ่ถอนทุกชุดออกไป 2 ปี และปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี  เพื่อให้สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความสามารถในการจัดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้ ทั้งนี้บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของผู้ถือหุ้นกู้ และยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่าน” 

งานแผนธุรกิจ บริษัทมุ่งเน้นฟื้นรายได้ผ่านการสร้างยอดขายให้เติบโต โดยตั้งเป้าให้ยอดขายกลับมาสู่ระดับ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2571 กลยุทธ์หลักจะมุ่งไปที่สินค้ากลุ่มบ้านระดับราคาปานกลาง ซึ่งยังคงมีดีมานด์ในตลาด ขณะเดียวกันจะทยอยลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม  ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมขายรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3,500 ล้านบาท

โดยจะเร่งระบายสต็อกในโครงการที่สามารถรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2,220 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่การถือครองทรัพย์สินในทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทำเลที่มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ  ตลอดจนทำเลที่มีการเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด อย่างเขาใหญ่ หัวหิน และ เชียงใหม่ 

บริษัทยังเดินหน้าปรับโครงสร้างทางธุรกิจและโครงสร้างองค์กร เป้าหมายหลักคือลดค่าใช้จ่ายลง 20% ภายในปี 2569 โดยมีแผนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานและระบบบริหารจัดการให้มีความกระชับคล่องตัว ยกระดับความสามารถในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

“ที่ผ่านมาบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรระดับโลก อาทิ Sumitomo Forestry และ Sekisui Chemical จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความร่วมมือระยะยาวในพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทในสายตานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งประสบการณ์ 40 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะท้าทาย บริษัทสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจที่มีผลกระทบในระดับโลกมาแล้วหลายครั้ง และสามารถปรับตัวฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง  ซึ่งแผนระยะ 3 ปีของบริษัทครั้งนี้  ไม่เพียงมุ่งรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการวางรากฐานใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาซึมยาว!เร่งปรับตัวรับแรงกระแทกโฟกัส4ทำเลศักยภาพ

อสังหาซึมยาว! AREA แนะเร่งปรับตัวรับแรงกระแทก บ้านเดี่ยว-คอนโดราคา 5-20 ล้านขายอืดคนชะลอซื้อ บ้าน-คอนโดราคาถูกขายยาก เพราะกู้ไม่ผ่าน ! เผย 4 ทำเลศักยภาพยังไปได้

รายงานของ เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA พบว่า การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มี เพียง 15,484 หน่วย หรือคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่าการพัฒนา 111,230 ล้านบาท แม้ดูไม่เลวร้ายนักในเชิงมูลค่า แต่เมื่อลงรายละเอียดพบว่าเกิดจากเน้นการขายที่อยู่อาศัยราคาสูงเป็นหลัก โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมระดับราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งยังมีกลุ่มลูกค้ามีอำนาจซื้อ ขณะที่บ้านราคาถูกขายยาก เพราะกู้ไม่ผ่าน !

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดชะลอตัว! แต่ยังมีทำเลศักยภาพเป็นจุดโฟกัสของการพัฒนาโครงการใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำถึงปานกลางที่ยังพอขยับได้

ประกอบด้วย “บางขัน-คลองหลวง” มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมหลายโครงการในช่วงราคา 1-2 ล้านบาท และ 2-3 ล้านบาท แม้ตลาดไม่ดีนัก แต่ทำเลนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยของนักศึกษาและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ทำเล “วัชรพล–คู้บอน” ลากยาวถึงลำลูกกา พื้นที่นี้กำลังเป็นจุดรวมตัวของคอนโดมิเนียมราคาประหยัด ระดับ 1-2 ล้านบาท ที่เชื่อมโยงกับโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีชมพู ตอบโจทย์กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ต้องการเข้าถึงเมืองในราคาจับต้องได้

ขณะที่ “บางนา–ตราด กม.10-30” มีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวมากถึง 454 หน่วย ในระดับราคากลางบน 5-10 ล้านบาท แม้ยอดขายอาจไม่หวือหวา แต่ศักยภาพด้านการพัฒนาในระยะยาวยังคงแข็งแรง

อีกทำเลเด่น “ประชาอุทิศ” ฝั่งธนบุรี มีการเปิดตัวทาวน์เฮาส์ 417 หน่วย ในช่วงราคา 2-3 ล้านบาท รองรับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลาง-ล่าง ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่ยังมีความต้องการอยู่จำนวนมาก

อย่างไรก็ดี มีหลายพื้นที่โดยเฉพาะชานเมืองรอบนอกกรุงเทพฯ ที่ยังไม่มีระบบสาธารณูปโภครองรับครบถ้วน อย่างทางด่วน หรือรถไฟฟ้า ยังคงเป็นพื้นที่ร้างไม่มีการพัฒนา สะท้อนทิศทางตลาดที่เน้นเฉพาะทำเลที่เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น!

แนวโน้มอสังหาฯ เมื่อเศรษฐกิจยังไม่เอื้อ

โสภณ พรโชคชัย ประธาน AREA วิเคราะห์ว่า หากเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน ความสามารถในการพัฒนาโครงการใหม่จะถูกจำกัด! 

ขณะที่แนวโน้มสำคัญต้องจับตา ได้แก่ ตลาดบ้านหรูยังพัฒนาได้ แต่เริ่มลดราคาระบายสต็อก โครงการบ้านเดี่ยวระดับ 20 ล้านบาทขึ้นไป มีการพัฒนาต่อเนื่อง แต่หลายรายเริ่มปรับลดราคาลงเพื่อเร่งขายสินค้าคงค้าง

“โอกาสใหม่” ของอสังหาริมทรัพย์ราคาต่ำไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ตลาดล่างเริ่มกลับมา เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และบางส่วนยังถูกซื้อเพื่อการเก็งกำไรในอนาคต หรือการพัฒนาทางเลือกในเมืองท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เพราะนักลงทุนเริ่มมองหาทางเลือกอื่น เช่น โครงการในเมืองท่องเที่ยว หรืออสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้จากการให้เช่าในระยะยาว ผู้ประกอบการบางรายเลือกขยายสู่ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการหลังการขายหรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ

พร้อมกันนี้ ในเชิงนโยบายเพื่อฟื้นตลาดจำเป็นต้องพิจารณาแก้ไขกฎหมายบัญชีเอสโครว์ (Escrow Account) ให้เป็นข้อบังคับ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ชาวต่างชาติในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย ตรากฎหมายภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น อากรแสตมป์ ปรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น 0.5% ของราคาตลาด ภาษีกำไรจากการขายต่อ เช่น 10-20% และภาษีมรดกให้เทียบเท่ากับที่คนไทยซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในต่างประเทศ

รวมทั้งวางผังเมืองให้สามารถสร้างอาคารสูงในเขตศูนย์กลาง ด้วยอัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อพื้นที่ดิน (FAR) ที่สูง เช่น 20:1 เพื่อให้คนอยู่ในเมือง ลดการขยายเมืองไปชานเมือง ปรับปรุงระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะการเพิ่มภาษีที่ดินว่างเปล่า เพื่อกระตุ้นให้เจ้าของที่ดินนำไปพัฒนา ทำให้ราคาที่ดินลดลง สามารถสร้างที่อยู่อาศัยในเมืองให้ผู้มีรายได้ปานกลางได้ รวมทั้งสนับสนุนการขายบ้านมือสองเพื่อให้เกิดการซื้อขายรวดเร็ว ชำระหนี้ได้ และผู้ซื้อสามารถซื้อได้ในราคาถูกลง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31ก.ค. “อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจกลับมาผันผวนสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 31ก.ค.2568ที่ระดับ  32.73 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.49 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทยังมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ หลังเงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following)

อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟด ในปีนี้ ลงมาพอสมควรแล้ว โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เพียง 39%

ทำให้ เรามองว่า หากเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม อาจจะต้องเห็น การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จนเหลือ 1 ครั้ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ซึ่งต้องอาศัยทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ควรจะมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงหนักของราคาทองคำ โดยภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ นี้

จากภาพดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่

ทั้งนี้ หากบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หนุนโดยผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด เรามองว่า เงินบาทก็อาจขาดแรงหนุนฝั่งแข็งค่าไปบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าว

ขณะเดียวกัน เรามองว่า ภายใต้ภาวะดังกล่าว หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นด้วย การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เชื่อว่า เงินดอลลาร์จะกลับมาเป็นแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เหมือนในช่วงก่อนหน้า และเลือกที่จะเพิ่มอัตราการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง (เพิ่ม Hedging ratio)

นอกจากนี้ เรามองว่า ยังคงต้องรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ซึ่งหากสุดท้ายสินค้าส่งออกของไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เราประเมินว่า เงินบาทก็เสี่ยงอ่อนค่าลงอีกได้ราว 1.2% อ้างอิงจากการเคลื่อนไหวในช่วงหลัง Liberation Day 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.47-32.75 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) จนหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น ราว 1.04 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ 7.7 หมื่นราย

ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ผลการประชุม FOMC ของเฟด ล่าสุด ที่แม้ว่า เฟดจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ทว่า ประธานเฟด Jerome Powell ยังคงย้ำจุดยืน ไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน

และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมจะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ตามที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ ลดลง เหลือเพียง 39% ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งราคาทองคำก็รีบาวด์ขึ้นบ้างจากหลังปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับระยะสั้น 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แม้จะได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.12%  อย่างที่ตลาดคาดหวัง

ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta และ Microsoft ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนจากการปรับตัวขึ้นของสัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราว +0.8%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ บรรยากาศตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากความกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังสหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ล่าสุด

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.36% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย

เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)  ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50%  สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ใช้จังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 99.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.9 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า -1.4% สู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม  หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน (รับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้) ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนมิถุนายน พร้อมทั้งรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานทั้ง Challenger Job Cuts ในเดือนกรกฎาคม และ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.68-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.29 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับแรงกดดันด้านอ่อนค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียและค่าเงินสกุลหลัก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นและบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น หลังผลการประชุมเฟดสะท้อนว่า เฟดจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (โอกาสการลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนก.ย. ลดลง)

ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ออกมาค่อนข้างดีด้วยเช่นกัน [US GDP +3.0% QoQ, saar ในไตรมาส 2/68 ตลาดคาดที่ +2.6% ส่วนตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน เพิ่มขึ้น 104,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ตลาดคาดที่ 76,000 ตำแหน่ง] 

สำหรับผลการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมา เฟดมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% โดยแม้ในรอบนี้มี 2 เสียงเห็นว่าควรปรับลดดอกเบี้ย 0.25% แต่ท่าทีของเฟดค่อนข้าง Hawkish มองว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อยังไม่ได้ปรับเพิ่มมากนักในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ ถ้อยแถลงของประธานเฟดหลังการประชุม สะท้อนว่า เฟดต้องการรอติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบของ Tariffs และยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย


สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม BOJ ประเด็นเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า (รวมไทย) ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ประกาศ 14 รายชื่อ “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” สู้ศึกซี วี.ลีก 2025 สนามแรก

สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ประกาศรายชื่อนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จำนวน 14 คน ชุดเข้าร่วมการแข่งขันรายการ วอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2025 (SEA V.League 2025) สัปดาห์แรก ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ช่วงระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2568

โดย “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ตัดสินใจเรียกใช้ผู้เล่น 14 คน แถมมีผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง “กีต้า” วารุณี การรัมย์ บอลเร็วจากสโมสรนครราชสีมา คิวมินซี วีซี ติดทีมเป็นครั้งแรก

รายชื่อ 14 นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย

หัวเสา
อัจฉราพร คงยศ
ศศิภาพร จันทรวิสูตร
ดลพร สินโพธิ์
วริศรา สีทาเลิศ

บีหลัง
พิมพิชยา ก๊กรัมย์
ธนัชชา สุขสด

ตัวรับอิสระ
ปิยะนุช แป้นน้อย
กัลยรัตน์ คำวงษ์

เซตเตอร์
พรพรรณ เกิดปราชญ์
ณัฏฐณิชา ใจแสน

บอลเร็ว
ทัดดาว นึกแจ้ง
กัญญารัตน์ ขุนเมือง
วารุณี การรัมย์
หัตถยา บำรุงสุข

เจ้าหน้าที่ทีม
ผู้จัดการทีม : วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์
หัวหน้าผู้ฝึกสอน : เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน : พ.อ.อ. ธีรศักดิ์ นาคประสงค์, อรอุมา สิทธิรักษ์, สมชาย ดอนไพรยอด
นักสถิติ : อัมรินทร์ บุญคง, ฐิราวรรณ แสงอบ
เทรนเนอร์พัฒนาสมรรถภาพ : เอกลักษณ์ ปิติสา
นักกายภาพ : จุรีพร สุดชา
แพทย์ประจำทีม : พ.ต.นพ. อนุวัฒน์ วัลลภาพันธุ์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กรมควบคุมโรค จับตา ‘ไข้หวัดนก’ ในกัมพูชา หลังพบกระจาย 9 จังหวัด

กรมควบคุมโรค จับตาเฝ้าระวังไข้หวัดนกในกัมพูชา  หลังพบครึ่งปีพบผู้ป่วย 13 ราย  กระจายใน 9 จังหวัด  เสียมราฐมากที่สุด เป็นกสายพันธุ์รุนแรง อัตราป่วยตายกว่า 46 %

พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ไข้หวัดนกทั่วโลกว่า  โรคไข้หวัดนก ในคนและสัตว์ ยังพบรายงานเป็นระยะทั่วโลก ซึ่งตั้งแต่มีการรายงานการพบโรคเมื่อปี 2546 มีผู้ป่วยสะสมกว่า 900 ราย เสียชีวิต 473 ราย อัตราป่วยเสียชีวิต 48% หลังปี 2559 ไม่พบผู้ติดเชื้อ ก่อนจะเริ่มพบอีกครั้งปี 2566 ความเสี่ยงการระบาด และมีโอกาสเข้าสู่คน คือสายพันธุ์ H5N1 ส่วนความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดในไทยอยู่ในระดับต่ำ

แต่เนื่องจากขณะนี้พบรายงานผู้ป่วยไข้หวัดนกต่อเนื่องในประเทศอื่น รวมถึงเพื่อนบ้านของประเทศไทย จึงต้องมีระบบบการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยความร่วมมือกันระหว่างกรมควบคุมโรค กรมปศุสัตว์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตามแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว

สำหรับสถานการณ์ไข้หวัดนกในกัมพูชาที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2566-2568 มีผู้ป่วยสะสม 26 ราย เสียชีวิต 11 ราย เฉพาะในปี 2568 พบผู้ป่วยแล้ว 13 ราย รายล่าสุด พบเมื่อวันที่ 22 ก.ค.2568 เสียชีวิตพบ 6 ราย อัตราการป่วยเสียชีวิต 46.15% ทั้งหมดมีประวัติสัมผัสสัตว์ปีก โดยเป็นเชื้อที่ระบาดเป็นสายพันธุ์ที่ก่อความรุนแรง คือ สายพันธุ์ย่อย Clade 2.3.2.1e โดยจังหวัดที่มีการรายงานพบผู้ป่วยเป็นสีเข้ม คือ เสียมราฐ พบรายงานป่วย 4 ราย ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้ไทย นอกนั้นเป็นพื้นที่ใกล้เวียดนาม จึงเป็นเหตุที่ต้องเฝ้าระวังตรงนี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ ขอเตือนประชาชนหลีกเลี่ยงสัมผัสสัตว์ปีก สุกร หรือโคนมป่วยตายผิดปกติ หากมีการสัมผัสควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือให้สะอาด รับประทานอาหารปรุงสุก เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก สุกร โคนม หากพบสัตว์ป่วยตายจำนวนมาก  ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ไม่ควรนำไปประกอบอาหาร ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของไข้หวัดนก ขอให้ตรวจสอบข้อมูลหากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ภายใน 1 สัปดาห์ควรรีบไปพบแพทย์ และแจ้งประวัติการเดินทาง 

เมื่อถามถึงกรณีชายแดนสถานการณ์ไทย – กัมพูชา และชาวกัมพูชาที่อพยพออกจากพื้นที่นั้นมีการหอบสัตว์ปีกไปด้วยจำนวนมาก มีการประเมินเรื่องการระบาดของไข้หวัดนกอย่างไรหรือไม่  พญ.จุไร กล่าวว่า การสู้รบที่เกิดขึ้น ทางแรงงานกัมพูชาในไทยได้เดินทางกลับประเทศกัมพูชา ขณะเดียวกันก็ไม่มีการเดินทางจากกัมพูชามาประเทศไทย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงการนำโรคเข้าสู่ประเทศไทยได้ ส่วนการแพร่ระบาดในกัมพูชาเองอาจจะมีความเป็นไปได้

ทั้งนี้ จากพื้นที่การระบาดในกัมพูชา ตามรายงานแผนที่ก็จะเห็นว่า พื้นที่เสียมราฐมีการระบาดของไข้หวัดนกอยู่ ที่เหลือก็เป็นพื้นที่ใกล้กับเวียดนาม ดังนั้น หากกัมพูชามีการเคลื่อนย้ายสัตว์ในประเทศของเขาก็อาจจะทำให้มีการระบาดไปยังพื้นที่อื่นๆได้

ส่วนการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์จนเกิดการติดต่อจากคนสู่คนนั้น พญ.จุไร กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง การที่จะแพร่จากสัตว์สู่คน มาเป็นคนสู่คน เชื้อต้องมีการปรับตัว หากสมมติว่า คนกัมพูชากลับไปแล้วป่วยไข้หวัดใหญ่แล้วในพื้นที่ก็มีไข้หวัดนกด้วย  ก็อาจจะมีการผสมพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่จากคนสู่คนได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องมีการรายงานเข้าระบบตามกฎอนามัยระหว่างประเทศอยู่แล้ว เพื่อเตือนทั่วโลก ส่วนไทยก็จะมีการยกระดับมาตรการที่เข้มข้นขึ้น

“สิ่งที่เราต้องเฝ้าระวังคือคนของเรา ว่าถ้าเกิดมีการเปิดการค้ากันใหม่แล้ว หากคนกัมพูชาเข้ามาก็ต้องเฝ้าระวัง เพราะไม่รู้ว่า สายพันธุ์ที่กัมพูชาจะปรับเปลี่ยนไปสู่คนสู่คนได้เมื่อไหร่ เพราะสายพันธุ์ก่อโรคนั้นปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ” พญ.จุไร กล่าว

พญ.จุไร กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีการซักซ้อมแผนการรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่คิดว่าจะปรับมาจากไข้หวัดนก โดยเชิญหน่วยงานตามจังหวัดชายแดนเข้ามาร่วม เป็นการซ้อมระดับเริ่มต้นว่าจะต้องปฏิบัติ รายงานอย่างไร จากนั้น ทางจังหวัดจะมีการซักซ้อมกันอีก ซึ่งจังหวัดตามชายแดนค่อนข้างตื่นตัว รับทราบปัญหาอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่น่ากังวลเพราะพื้นที่เขาดี มีการตื่นตัว ซักซ้อมแผน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อ่านให้เข้าใจอย่างรวดเร็ว ทำได้ด้วยเทคนิค Skimming และ Scanning

หากพูดถึงการ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมตัวสอบ สิ่งหนึ่งที่ทุกคอร์สมีเหมือนกันคือการทำโจทย์จำนวนมาก แม้ว่าข้อสอบจะมีหลายประเภท แต่สิ่งที่ทุกข้อสอบมีเหมือนกันคือส่วนที่ใช้ทักษะการอ่าน (reading skill) ข้อสอบบางประเภทไม่ได้ทดสอบทักษะฟังและพูด แต่ทักษะการอ่านถือว่าขาดไม่ได้ และอีกสิ่งที่ข้อสอบมีเหมือนกันคือเวลาจำกัดในการทำ เทคนิคการอ่านจึงเป็นสิ่งจำเป็น สองเทคนิคที่ได้รับความนิยมคือ Skimming และ Scanning ซึ่งที่จริงแล้วสองเทคนิคนี้ไม่ได้ใช้กับการสอบเท่านั้น ยังนำไปใช้ในการทำงานได้อีกด้วย โดยเฉพาะงานที่ต้องอ่านเอกสารภาษาอังกฤษจำนวนมาก

Skimming และ Scanning ต่างกันอย่างไร

Skimming และ Scanning เป็นเทคนิคการอ่านเร็วที่มีจุดประสงค์ต่างกัน Skimming คือ การ “กวาดสายตา” อ่านอย่างรวดเร็วเพื่อ จับใจความสำคัญหรือเนื้อหาหลัก โดยไม่ได้อ่านทุกคำ ส่วน Scanning คือ การ “กวาดตาอย่างตั้งใจ” เพื่อค้นหา ข้อมูลเฉพาะเจาะจง เช่น ตัวเลข ชื่อ วันที่ โดยไม่สนใจเนื้อหาทั้งหมด มาดูรายละเอียดและตัวอย่างในเนื้อหาต่อไปนี้

1. อ่านแบบ Skimming คืออะไร ใช้เมื่อไหร่

Skimming คือการอ่านแบบกวาดสายตา เป็นเทคนิคการอ่านที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ใช้เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเนื้อหาอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องอ่านทุกคำ จุดประสงค์หลักคือเพื่อจับใจความสำคัญหรือเพื่อให้รู้ว่าเนื้อหานั้นพูดถึงอะไร สำหรับวิธีการอ่านแบบ Skimming ทำได้ดังนี้:

  1. อ่านหัวเรื่องและหัวข้อย่อย เช่น เมื่ออ่านข่าว สิ่งแรกที่เราเจอคือหัวข้อข่าวซึ่งทำให้เราได้ไอเดียคร่าว ๆ ว่าเป็นข่าวอะไร
  2. อ่านประโยคแรกของแต่ละย่อหน้า ซึ่งมักจะเป็นใจความสำคัญหรือ main idea
  3. มองหาคำสำคัญหรือ keywords เช่น คำที่พิมพ์ตัวหนาหรือตัวเอียง
  4. อ่านแบบข้ามรายละเอียด เช่น ตัวอย่าง ตัวเลข หรือคำอธิบายยาว ๆ

ตัวอย่างสถานการณ์ที่เรานำเทคนิค Skimming ไปใช้ได้:

  • อ่านข่าวแบบรวดเร็วเพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
  • อ่านบทความหรือหน้าเว็บไซต์ว่าตรงกับสิ่งที่เรากำลังค้นหาหรือไม่ เช่น กวาดตาดูรายละเอียด คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ว่าตรงกับสิ่งที่เรากำลังอยากได้หรือเปล่า
  • อ่าน passage ยาว ๆ ในข้อสอบภาษาอังกฤษเพื่อหา main idea

เพื่อให้เห็นภาพเทคนิคนี้อย่างชัดเจนระหว่าง เรียนภาษาอังกฤษ ขอให้ลองอ่านย่อหน้านี้:

Topic: The Importance of Sleep for Mental Health

Sleep plays a crucial role in maintaining mental health, as it directly affects how our brains process emotions, handle stress, and retain memories. Research shows that individuals who consistently get less than seven hours of sleep per night are more likely to experience symptoms of anxiety and depression. During deep sleep, the brain clears out toxins, consolidates learning, and restores emotional balance. Lack of sleep can impair judgment, reduce concentration, and lead to irritability or mood swings. Experts recommend establishing a regular bedtime routine, limiting screen time before bed, and creating a quiet sleep environment to improve both sleep quality and mental well-being.

หากลองอ่านชื่อหัวข้อและประโยคแรกของย่อหน้านี้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าใจความสำคัญของทั้งย่อหน้าคืออะไร (จะรู้ว่าการนอนหลับมีส่วนสำคัญต่อการดูแลสุขภาพจิตอย่างไร) แต่ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ ก็จำเป็นต้องอ่านอย่างต่อเนื่องให้ครบทุกข้อความ

2.เมื่อไหร่ที่ควรใช้เทคนิคอ่านแบบ Scanning

การอ่านแบบ Scanning คือการอ่านเพื่อมองหาข้อมูลที่เป็นเป้าหมาย ใช้เพื่อค้นหาข้อมูลเฉพาะเจาะจง เช่น ตัวเลข ชื่อสถานที่ วันเวลา ฯลฯ โดยมีวิธีคือตั้งเป้าหมายว่าเราจะอ่านเพื่อมองหาอะไร จากนั้นจึงกวาดสายตาเพื่อหารายละเอียดที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ เช่น ถ้ามองหาวันที่ ก็กวาดสายตามองหาข้อมูลที่เป็นตัวเลข จากนั้นอ่านเฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงจุดนั้นเพื่อเก็บรายละเอียด

ตัวอย่างสถานการณ์ที่คน เรียนภาษาอังกฤษ จะนำเทคนิค Scanning ไปใช้ได้:

  • ค้นหาข้อมูลในตารางเดินรถ
  • หาว่าโปรโมชั่นสินค้าสิ้นสุดเมื่อไหร่
  • มองหาคำตอบในข้อสอบจาก passage เช่น “ใครเป็นคนพูดประโยคนี้”
  • อ่านบทความยาว ๆ เพื่อเก็บประเด็นสำคัญมาทำสรุป

จากย่อหน้าเดียวกันที่พูดถึงเรื่องการนอนหลับ หากเจอคำถามอย่างเช่น

What tips are given for better sleep?

(มีคำแนะนำอะไรบ้างเพื่อการนอนหลับที่ดีขึ้น)

เมื่อใช้เทคนิค scanning เราก็จะเห็นประโยคที่บอกว่า “Experts recommend …” ตามด้วยเทคนิคที่แนะนำ โดยมีคำสำคัญที่นำไปสู่ข้อมูลที่ต้องการคือ “ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า …”

ทั้ง Skimming และ Scanning ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะการ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบเท่านั้น แต่ยังนำไปใช้ในการทำงานได้ด้วย และสำหรับคนที่กำลังมองหาคลาส เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ อย่างมีคุณภาพเพื่อเตรียมตัวสอบหรือเสริมทักษะในการทำงาน Engduo Thailand คือตัวเลือกที่เหมาะกับคุณ เพราะทุกคอร์สสอนด้วยทีมงานคุณภาพ และยังมีให้เลือกอย่างหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ทำไมเปลือกแก้วมังกรถึงถูกเรียกว่า “ขุมทรัพย์สุขภาพ”

คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับการกินเนื้อของแก้วมังกร แต่เปลือกแก้วมังกร ก็เป็นแหล่งรวมสารอาหารสำคัญหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงามอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์ หรือสารฟลาโวนอยด์ บทความนี้จะพาคุณไปเปิดโลกใหม่ของการใช้ประโยชน์จากเปลือกผลไม้ที่หลายคนมองข้าม

เปลือกแก้วมังกรคืออะไร? ทำไมถึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

เปลือกแก้วมังกรคือส่วนของผลไม้ที่อยู่ภายนอกเนื้อ ซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะหนา สีชมพูหรือแดง มีแถบสีเขียวตามขอบเปลือก หลายคนมักทิ้งโดยไม่รู้ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในสายพันธุ์แก้วมังกรเนื้อแดงที่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) มากกว่าพันธุ์อื่น

ในทางโภชนาการ เปลือกนี้อุดมด้วย

  • ไฟเบอร์ ช่วยระบบขับถ่าย
  • สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์
  • ฟลาโวนอยด์ ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
  • เบตาเลน (Betalains) ช่วยต้านมะเร็งและเสริมภูมิคุ้มกัน

5 เหตุผลที่เปลือกแก้วมังกรคือ “ขุมทรัพย์สุขภาพ” ที่ไม่ควรมองข้าม

1. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคร้าย

เปลือกแก้วมังกรมีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ มะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ

2. มีไฟเบอร์สูง ช่วยระบบขับถ่าย

ใยอาหารในเปลือกแก้วมังกรช่วยเพิ่มกากในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ลดการสะสมของสารพิษในร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเรื้อรัง

3. ลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน

ฟลาโวนอยด์และเบตาเลนในเปลือกแก้วมังกรช่วยยับยั้งการอักเสบในระดับเซลล์ และส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการติดเชื้อและโรคแพ้ภูมิตัวเอง

4. ชะลอวัย บำรุงผิวให้กระจ่างใส

สารพฤกษเคมีในเปลือกแก้วมังกรช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการเกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และทำให้ผิวเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

5. ลดของเสียในครัว ตามแนวคิด Zero Waste

การนำเปลือกแก้วมังกรมาใช้ช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ในครัวเรือน และยังต่อยอดได้หลากหลาย ทั้งด้านสุขภาพและงานฝีมือ

วิธีใช้เปลือกแก้วมังกรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

1. ล้างให้สะอาดก่อนใช้

ควรล้างเปลือกแก้วมังกรด้วยน้ำเกลือหรือน้ำส้มสายชูเจือจางเพื่อลดสารเคมีตกค้าง จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง

2. เล็มขอบแหลมออกก่อนนำไปใช้

ส่วนขอบเปลือกที่เป็นแถบสีเขียวแข็งอาจระคายเคืองหรือบดได้ยาก ควรตัดออกก่อนนำไปแปรรูป

3. วิธีใช้งาน

  • ตากแห้งแล้วบดเป็นผง ใช้ชงดื่มหรือทำสบู่
  • ต้มเป็นชา เพิ่มน้ำผึ้งหรือมะนาวเล็กน้อย
  • ทำมาสก์หน้า โดยบดเปลือกผสมโยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรือว่านหางจระเข้
  • แปรรูปเป็นขนมหรือแยม เพิ่มสีสันธรรมชาติและใยอาหาร

ข้อควรระวังในการใช้เปลือกแก้วมังกร

  • หากมีอาการแพ้ ควรหยุดใช้ทันที
  • เลือกผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือออร์แกนิกจะปลอดภัยกว่า
  • ไม่ควรใช้ในเด็กเล็กหรือผู้ที่มีผิวบอบบางมากโดยไม่ทดสอบการแพ้ก่อน

งานวิจัยสนับสนุนคุณค่าของเปลือกแก้วมังกร

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวารสาร International Journal of Food Science รายงานว่า เปลือกแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง และสามารถนำมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือใช้ในเครื่องสำอางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เปลือกแก้วมังกร ของดีที่ไม่ควรมองข้าม

อย่ามองว่าเปลือกแก้วมังกรเป็นเพียงขยะ เพราะในเปลือกนี้ซ่อนคุณค่าสุขภาพมหาศาล ทั้งในด้านการบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และความงามจากธรรมชาติ หากใช้ให้ถูกวิธีและปลอดภัย คุณอาจได้ทั้งสุขภาพดีและช่วยโลกไปพร้อมกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/07/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a50,950.0051,050.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,294.0049,937.0451,850.00
ทองรูปพรรณ 90%2,964.6044,943.34n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,635.2039,949.63n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,482.3022,471.67n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,152.9017,477.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,413.4751,748.21n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/07/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.4532.4533.1532.4532.4532.4532.4532.4532.4532.45
แก๊สโซฮอล์ 9132.0832.0832.7832.0832.0832.0832.0832.0832.0832.08
แก๊สโซฮอล์ E2030.2430.2430.9430.2430.2430.2430.2430.2430.24
แก๊สโซฮอล์ E8528.5928.5928.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.0449.8449.8449.8441.04
เบนซิน 9540.7449.8141.2440.8940.74
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า