“เนอวานา” ปักหมุด คอนโดหรูบันยันทรี ริมเจ้าพระยา ไอคอนสยาม ราคา100ล้าน
“เนอวานา” ปักหมุด คอนโด“บันยันทรี” ริมเจ้าพระยาย่านคลองสาน วิว ไอคอนสยาม ล็อตสุดท้าย ราคาขายเฉียด100ล้าน
ที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับมาคึกคักดีเวลลอปเปอร์เข้ามาปักหมุดพัฒนาโครงการคอนมิเนียมหรูกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพ จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก รองรับกำลังซื้อชาวต่างชาติเช่นเดียวกับ บริษัทเนอวาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “NVD” พัฒนาโครงการ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนเนื้อที่5 ไร่ ย่านคลองสาน
ที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมืองผืนสุดท้ายใกล้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ไอคอนสยาม อยู่ห่างสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสานประมาณ 350 เมตร ที่จะเชื่อมเข้ากับ BTS สายสีลม นอกจากโครงการยังมีPrivate Shuttle Boat บริการพิเศษสำหรับลูกบ้านสามารถเลือกไปยังจุดสำคัญริมน้ำได้ลูกบ้านสามารถจองเรือเพื่อไปส่งแบบส่วนตัวได้เลย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาทำให้มีตัวเลือกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น
นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเนอวาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “NVD” เปิดเผยว่า โครงการ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เปิดขาย ยูนิตใหญ่ ห้อง 3 ห้องนอน ขนาด 257 ตร.ม.ห้องสุดท้ายริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในราคาพิเศษ 89.9 ล้านบาท โดยห้องพักมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ไม่ต่างจากบ้านเดี่ยว แต่ได้อยู่ในทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในย่านใจกลางเมือง เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่
ที่มองหาความเป็นส่วนตัวและไลฟ์สไตล์ริมน้ำที่สามารถดื่มด่ำกับสายน้ำ ธรรมชาติและทัศนียภาพของกรุงเทพทั้งเมืองเก่าและเมืองใหม่ซึ่งคุ้มค่าต่อการลงทุนและมีแนวโน้มราคาที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตอีกทั้งมีบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ตามมาตรฐานบันยันทรี โกลบอล สแตนดาร์ดไว้รองรับ เพื่อความสะดวกสบายของการใช้ชีวิตในทุกวัน” นายศรศักดิ์ กล่าว โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ ย่านคลองสาน ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมืองผืนสุดท้ายริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อยู่ในตำแหน่งโค้งน้ำที่สวยที่สุด เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุดเป็นอาคารคอนโดมิเนียมสูง 45 ชั้น จำนวน 133 ยูนิต มีห้องพักอาศัยสูงสุดเพียง 4 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น มีลิฟต์โดยสารถึง 6 ตัวพร้อมที่จอดรถ 200% ของยูนิตทั้งหมดพร้อม EV Charger Plug-inตั้งอยู่ในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 17 เพียง 200 เมตรจากปากซอยและห่างแม่น้ำเพียง 16 เมตร เป็นโครงการระดับซูเปอร์ ลักชัวรี(Super Luxury)
ที่เน้นความเป็นส่วนตัว บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบได้รับการออกแบบร่วมโดยบริษัทสถาปัตยกรรมชั้นนำระดับโลก SCDAภายใต้แนวคิด “The Sancturay for Your Soul” มอบความเป็นส่วนตัวและไลฟ์สไตล์ระดับซูเปอร์ ลักชัวรี ให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงการพักผ่อนอย่างแท้จริงสะท้อนคุณสมบัติพิเศษ 3 ประการของโครงการได้แก่ ความเป็นส่วนตัว ความพิเศษแตกต่าง และ คุณภาพที่สมบูรณ์แบบ ตัวอาคารครึ่งวงกลมถูกออกแบบให้มีความสง่างามเหนือกาลเวลาสะท้อนรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ประสานกันสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถว่ายน้ำและชมวิว ไอคอนสยาม จากุชซี่ ฟิตเนสสนามเด็กเล่น ห้องสมุด และห้องประชุม ที่รองรับได้ 20-30 คนพร้อมจอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่ หากลูกบ้านต้องการนั่งชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาสามารถเข้าใช้บริการ River View Lounge ได้ หรือหากต้องการทำสปาก็สามารถใช้ Banyan Tree Spa Room
ที่สามารถเรียกพนักงานจากบันยันทรีมาให้บริการได้ นอกจากนี้ยังมีห้องPrivate Dining Roomที่สามารถเชิญเชฟจากบันยันทรีมาจัดมื้ออาหารเป็นพิเศษเสมือนมีเชฟมาทำอาหารให้รับประทานริมน้ำที่บ้าน และ มีพื้นที่โล่งกว้าง
สำหรับบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับ High Endและเป็นผู้นำในการสร้างบ้านที่มีดีไซน์ในสไตล์ Natural Modernที่ทันสมัยเหมาะกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ในรูปแบบใหม่ภายใต้แนวคิดLiving Revolution สะท้อนผ่านการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบสมดุล(Life Balancing) โดยผสมผสานระหว่าง Modern Living Design และ ModernLiving Innovation เข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘สุขุมวิท’แชมป์คอนโดไพร์ม-ซูเปอร์ไพร์มเกาะทำเลโรงเรียนนานาชาติ
ไนท์แฟรงค์ เผยตลาดคอนโดระดับซูเปอร์ไพร์มและไพร์มอัตราการขายเฉลี่ยสูง 80% โดยย่าน “สุขุมวิท” ยังครองทำเลฮอตตลอดกาล เกาะทำเลโรงเรียนนานาชาติดันมูลค่าเพิ่ม
ณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดระดับซูเปอร์ไพร์มราคายูนิตละ 15 ล้านบาทขึ้นไปและไพร์มราคา 10-15 ล้านบาทต่อยูนิต ในกรุงเทพฯ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอุปทานคอนโดซูเปอร์ไพร์มเปิดเพียง 1 โครงการ 180 ยูนิต ขณะที่คอนโดระดับไพร์ม “ไม่มี” อุปทานเกิดใหม่ ส่งผลอัตราการขายเฉลี่ยของคอนโดซูเปอร์ไพร์มและไพร์มสูงถึง 80%
“การกลับมาของกลุ่มชาวจีนส่งผลให้ตลาดมีความคึกคัก และปัจจัยเพิ่มเติมที่ใช้ในการเลือกโครงการ คือทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติ”
ทั้งนี้ ภาพรวมการขยายตัวของตลาดคอนโดระดับซูเปอร์ไพร์มและไพร์มยังคงเติบโตอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าที่ดินในการพัฒนาจะน้อยลง แต่ความต้องการในตลาดกลุ่มนี้มีระดับสูง! ในกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยและต่างชาติ
“ทำเล” ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจลงทุนคอนโดกลุ่มนี้ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงนิยมซื้อคอนโดเหล่านี้ไว้เพื่อขายต่อในอนาคตเพราะเชื่อว่ายังสามารถทำราคาได้ดี แม้จะเป็น “คอนโดมือสอง” ก็ตาม
โดยที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ (Prime Area) ในโซน CBD หรือ Central Business District อาทิ สีลม ชิดลม สุขุมวิท ได้รับความนิยมตลอดเวลา ขณะที่คอนโดใกล้โรงเรียนนานาชาติในย่าน CBD เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในกลุ่มชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน
ในแง่อุปทานคอนโดระดับซูเปอร์ไพร์มกลางปี 2566 มีอุปทานทั้งสิ้น 5,194 หน่วย โดยช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.ที่ผ่านมา มีอุปทานเปิดขายใหม่ 180 หน่วย จำนวน 1 โครงการ คอนโดซูเปอร์ไพร์มส่วนใหญ่มีสถานที่ตั้งอยู่บริเวณสุขุมวิท สัดส่วน 46% ตามด้วยย่านลุมพินี 22% ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและสาทร/สีลม เท่ากันที่16%
คอนโดระดับไพร์มกลางปี 2566 มีอุปทาน 5,271 หน่วย และยังไม่มีอุปทานเปิดในครึ่งปีแรกนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลสุขุมวิท สัดส่วน 39% ตามด้วย สาทร/สีลม 30% ลุมพินี 24% ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 7%
ในครึ่งปีแรก 2566 ตลาดคอนโดระดับซูเปอร์ไพร์มและไพร์ม ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง จากการมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาส่งผลให้อัตราการขายลดลงเล็กน้อย โดยคอนโดซูเปอร์ไพร์มขายได้ทั้งสิ้น 4,309 หน่วย จากอุปทาน 5,194 หน่วย อัตราการขาย 83% “ลดลง” จากสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 0.3% ส่วนอุปสงค์คอนโดระดับไพร์ม ครึ่งปีแรก 2566 ขายได้ 4,216 หน่วย จากอุปทานทั้งสิ้น 5,271 หน่วย คิดเป็นอัตราการขาย 80%
“กลุ่มผู้ซื้อยังคงเป็นชาวไทยที่มีฐานะมั่งคั่งและเป็นกลุ่มอยู่อาศัยจริงเป็นหลัก นอกจากนี้เริ่มเห็นกลุ่มชาวจีนกลับมาซื้อบ้างแล้ว สะท้อนได้จากยอดการโอนกรรมสิทธิ์”
ขณะที่ระดับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดระดับซูเปอร์ไพร์มกลางปี 2566 ราคาขายอยู่ที่ 378,600 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ในอัตรา 0.87 % ที่มีราคาขายเฉลี่ย 374,745 บาทต่อตารางเมตร ส่วนคอนโดไพร์ม กลางปี 2566 ราคาขายเฉลี่ย 273,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ในอัตรา 0.96% โดยพบว่าอัตราการดูดซับของตลาดที่มีค่อนข้างสูงจึงมีหน่วยเหลือขายเพียง 20% ทำให้ตลาดมีตัวเลือกที่ค่อนข้างเหลือน้อยและจำกัด
สำหรับแนวโน้มคอนโดซูเปอร์ไพร์มและไพร์ม มีดีมานด์ต่อเนื่องเพราะเป็นอสังหาฯ ที่สามารถสร้างมูลค่าได้ค่อนข้างดีไม่ว่าจะปล่อยเช่าหรือขายต่อ หากแต่อุปทานที่เหลืออยู่เริ่มน้อยลง รวมถึงการเกิดขึ้นใหม่ของอุปทานในอนาคต อาจทำให้แนวโน้มราคาขายปรับสูงขึ้นในอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการอาจต้องอาศัยจังหวะในการพัฒนาโครงการตอบโจทย์การอยู่อาศัย รวมถึงการเลือกหาทำเลที่ดีในการพัฒนา
“ทำเลที่ดีจะเป็นปัจจัยบวกทำให้โครงการได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง เพราะความเป็นเอกลักษณ์ของทำเล ส่งผลให้ราคาขายมีมูลค่าสูงตาม”
การกลับมาของกลุ่มชาวเอเชีย โดยเฉพาะชาวจีน กำลังซื้อหลัก! ทำให้ตลาดคอนโดระดับนี้คึกคัก เป็นสัญญาณที่ดีต่อดีเวลลอปเปอร์หลายรายที่พับแผนพัฒนาโครงการเตรียมความพร้อมลุยโครงการใหม่อีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 4ต.ค. ที่ระดับ 37.11 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีปัจจัยช่วยชะลอโมเมนตัมการอ่อนค่าลงบ้างจากทั้งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่เริ่มชะลอลง ขณะที่ราคาทองคำเริ่มมีสัญญาณพร้อมรีบาวด์สูงขึ้น ตลาดต่างกังวลว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเริ่มเข้าแทรกแซงการอ่อนค่าของเงินเยน
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 4ต.ค.3566 ที่ระดับ 37.11 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.04 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่เริ่มชะลอลงบ้าง ขณะที่ราคาทองคำเริ่มมีสัญญาณพร้อมรีบาวด์สูงขึ้น ก็อาจช่วยชะลอโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง ทำให้ เรายังคงประเมินโซนแนวต้านของเงินบาทในช่วงโซน 37.15-37.25 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมีความผันผวนและยังมีทิศทางไหลออก ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทได้ในช่วงนี้ จนกว่าจะเห็นการกลับตัวของบอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยและลดแรงขายบอนด์จากนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง
ส่วนในฝั่งหุ้น เรายังคงมองว่า แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสชะลอลง หลังดัชนี SET ได้ปรับตัวลงมาพอสมควร จนในเชิง Valuation ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพง (เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจเน้น buy on dip และเลือกลงทุนในหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ)
อย่างไรก็ดี ควรจับตาความเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังจากที่เงินเยนญี่ปุ่นได้เคลื่อนไหวผันผวนผิดปกติในช่วงคืนก่อนหน้า จนทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเริ่มเข้าแทรกแซงค่าเงิน อนึ่ง เรามองว่า แม้ทางการญี่ปุ่นจะเข้าทำการแทรกแซงค่าเงินจริง แต่ก็ไม่อาจทำให้เงินเยนญี่ปุ่นพลิกกลับมาแข็งค่าได้อย่างยั่งยืน จนกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้น ทว่า ความผันผวนของเงินเยนญี่ปุ่นก็อาจส่งผลให้ต่อตลาดค่าเงินโดยรวมได้
ทั้งนี้ ควรระมัดระวัง ความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ (ซึ่งจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจส่วนใหญ่กว่า 70% อยู่ในภาคการบริการ)
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย
อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.90-37.25 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 37.02-37.16 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ (JOLTs Job Openings)
ทั้งนี้ แม้ว่า ยอดตำแหน่งงานเปิดรับจะเพิ่มขึ้น สูงกว่าที่ตลาดคาดพอสมควร ทว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของทั้ง Quit Rate และ Hire Rate (ซึ่งมักจะสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราการเติบโตของค่าจ้าง)
ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคง “แข็งแกร่ง” หรือไม่ ทำให้โดยรวม เงินดอลลาร์และราคาทองคำยังคงแกว่งตัว sideway อนึ่ง เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้บ้าง หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลงทดสอบโซนแนวรับสำคัญ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งยังคงออกมาสนับสนุนแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน โดยภาพดังกล่าวได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทำจุดสูงสุดใหม่ใกล้ระดับ 4.80% และกดดันให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ หุ้น Amazon -3.7% และ Microsoft -2.6% ยังปรับตัวลงแรงจากข่าวการทางการอังกฤษเตรียมเข้าตรวจสอบพฤติกรรมผูกขาดตลาด Cloud Computing ในอังกฤษ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -1.87% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.37%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงกว่า -1.10% กดดันโดยการปรับตัวลงแรงของหุ้นกลุ่ม Utilities และกลุ่มเทคฯ (Enel -2.5%, ASML -1.7%) ที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของบรรดาธนาคารกลางหลัก
นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ยังได้กดดันราคาแร่โลหะ อย่าง ทองแดง ส่งผลให้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ต่างปรับตัวลดลง (Rio Tinto -1.7%) และกดดันภาพรวมตลาดหุ้นยุโรป
ในฝั่งตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป รวมถึงรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.80% และแม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบปี ทว่าคำแนะนำของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเราคงมองว่า นักลงทุนควรทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว
โดยเฉพาะในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น เนื่องจาก Risk-Reward (มอง Total Return และ Real Yield) มีความคุ้มค่า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างมีสถานะ Short บอนด์ระยะยาวกันมาก ทำให้ หากมีปัจจัยที่ทำให้มุมมอง Higher for Longer เปลี่ยนไป เรามองว่า การทยอยปิดสถานะ Short อาจช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวลงได้ไม่ยาก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideway โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 107 จุด (กรอบ 106.9-107.6 จุด) โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะผันผวนแข็งค่าขึ้นบ้าง จากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน แต่ทว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ยังเป็นไปอย่างจำกัด
ส่วนหนึ่งมาจากทั้งแรงขายทำกำไรของผู้เล่นตลาด รวมถึงความเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ดูจะมีความผิดปกติ จนทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนมองว่า ทางการญี่ปุ่นอาจได้เข้าแทรกแซงค่าเงินในคืนก่อน ทำให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นหลังอ่อนค่าทะลุระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้ง่ายและยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,838 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เรามองว่า การปรับตัวลงของราคาทองคำใกล้โซนแนวรับหลัก จะทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Nonfarm Employment) และ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งอาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดได้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า RBNZ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 11 เดือนครั้งใหม่ที่ 37.19 ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 37.15-37.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.00 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 37.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าเช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังจากข้อมูลการเปิดรับสมัครงานของสหรัฐฯ ยังสะท้อนสัญญาณที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงาน (ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเพิ่มขึ้นไปที่ 9.61 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. สูงกว่าตลาดคาดที่ 8.8 ล้านตำแหน่ง) นอกจากนี้การร่วงลงต่อเนื่องของราคาทองคำในตลาดโลกและสัญญาณที่สะท้อนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทยก็เป็นปัจจัยลบต่อทิศทางเงินบาทด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.95-37.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค ปัจจัยในประเทศ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี ISM และ PMI ภาคบริการเดือนก.ย. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทย VS คาซัคสถาน : วอลเลย์บอลหญิง เอเชียนเกมส์ 2022,
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เอเชียนเกมส์ 2022 รอบสอง กลุ่มเอฟ ระหว่าง ไทย พบ คาซัคสถาน ที่สนามเต๋อชิง สปอร์ตส์ เซ็นเตอร์ เมืองหางโจว ประเทศจีน วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ทีมอันดับ 13 ของโลก แชมป์กลุ่มบี จะลงสนามในรอบสองพบกับ คาซัคสถาน ทีมอันดับ 32 ของโลก ที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยการเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มดี ในรอบแรก
ซึ่งจากสถิติที่พบกันที่ผ่านมา “สาวไทย” ถือว่าดีกว่าในช่วงหลังเก็บชัยมาได้ 3 เกมติดต่อกัน โดยเจอกันหนล่าสุดในการคัดโอลิมปิก 2020 เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-1 เซต เราลองไปดูสถิติการพบกัน 5 ครั้งหลังสุดกัน
เฮดทูเฮด 5 ครั้งหลังสุด : ไทย ชนะ 5, คาซัคสถาน ชนะ 1
11 มกราคม 2563 : ไทย ชนะ คาซัคสถาน 3-1 (คัดโอลิมปิก)
20 พฤษภาคม 2559 : ไทย ชนะ คาซัคสถาน 3-0 (คัดโอลิมปิก)
23 พฤษภาคม 2558 : ไทย ชนะ คาซัคสถาน 3-0 (ชิงแชมป์เอเชีย)
28 กันยายน 2557 : คาซัคสถาน ชนะ ไทย 3-0 (ชิงแชมป์โลก)
27 กันยายน 2557 : ไทย ชนะ คาซัคสถาน 3-0 (เอเชียนเกมส์)
สำหรับ “นักตบลูกยางสาวไทย” จะพบกับ คาซัคสถาน ในรายการ เอเชียนเกมส์ 2022 วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 เวลา 13.30 น. แฟนๆ สามารถรับชม และเชียร์ ได้ผ่านการถ่ายทอดสดทาง ช่อง PPTV HD 36, Workpoint 23 และ AIS PLAY
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 วิธีแก้สะอึกง่ายๆ ใน 3 นาที
อาการ สะอึก เป็นหนึ่งในอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แถมเวลาเกิดขึ้นแล้วเป็นอะไรที่รู้สึกน่ารำคาญมากๆ วันนี้เลยมีวิธีแก้สะอึกง่ายๆ ใน 3 นาทีพร้อมกับมารู้กันว่าอาการสะอึกเกิดจากอะไร
สาเหตุของอาการสะอึก
เกิดจากการหดเกร็งกะบังลมโดยไม่ได้ตั้งใจเนื่องจากกะบังลมและกล้ามเนื้อช่องระหว่างซี่โครง ทำงานไม่สัมพันธ์กัน หรืออาจจะมีสาเหตุอื่นๆ อีกเช่น
- ระบบประสาทที่ควบคุมกระบังลมถูกรบกวน
- การขยายตัวของกระเพาะอาหารมากเกินไป
- การเปลี่ยนที่รวดเร็วในอุณหภูมิห้อง
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก ๆ
- ปัจจัยด้านจิตใจ เช่น เครียด ตื่นเต้น กลัว
วิธีแก้สะอึกง่ายๆ
วิธีที่ 1
- หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นไว้ 10 วินาที
- หายใจออกแล้วดื่มน้ำตามทันที
วิธีที่ 2
- เงยหน้าขึ้นแล้วกลั้นหายใจไว้ 10 วินาที
- หายใจออกยาวๆ แล้วดื่มน้ำตามทันที
วิธีที่ 3
- อมน้ำไว้ ก้มหน้า ให้คางชิดหน้าอก
- พยายามกลืนน้ำที่อมไว้
วิธีที่ 4
- หายใจเข้า กลั้นหายใจ 10 วินาที
- กลืนน้ำลาย 3-4 ครั้ง
- หายใจออกทันที
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันการสะอึก
- แอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่
- การกินอาหารที่มากเกินไป
- เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาหารรสจัด
- อารมณ์หงุดหงิด อารมณ์ด้านลบ
ใครที่กำลังมีปัญหากับอาการสะอึกก็ลองนำวิธีดังกล่าวไปใช้ดู หากสะอึกบ่อยๆ มีอาการเกิน 2-3 วันหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สะอึกแรงจนมีอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอกควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มาใช้ “ME” & “I” ให้ถูกต้องกันเถอะ
ในประโยคเราอาจจะใช้ “I & Me” ไม่ถูกต้องหรืออาจจะไม่รู้วิธีใช้เลยก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาเรียนรู้วิธีใช้ที่ถูกต้องกันค่ะ
ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้คือ:
“ME” เป็นสรรพนามทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค “Him”, “her”, “us”, “it”, “them” และ “you” ก็เป็นสรรพนามประเภทนี้เช่นกัน
“I” เป็นสรรพนามทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค “He”, “she”, “we”, “it”, “they” และ“you” ก็เป็นสรรพนามประเภทนี้เช่นกัน
แม้ว่าความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ค่อนข้างชัดเจน แต่ก็มีผู้เรียนภาษาอังกฤษไม่น้อยเกิดความสับสนและงงกับสองคำนี้ได้ง่ายๆ
✘ “When you’re done with that lab report, can you send it to Bill and I?”
= เมื่อคุณทำรายงานการทดลองนั้นเสร็จแล้ว ส่งมันมาให้บิลและผมได้ไหม (Bill and I)?
(ประโยคนี้ผิดแกรมม่า ลองลบชื่อบิลออกจากประโยคดูคุณจะรู้ว่ามันดูแปลกๆ)
✘ “When you’re done with that lab report, can you send it to I?”
= เมื่อคุณทำรายงานการทดลองนั้นเสร็จแล้ว ส่งมันมาให้ผมได้ไหม?
(ผิดเพราะ “I” ไม่ควรถูกใช้ในตำแหน่งของกรรม)
ในกรณีนี้เราจะใช้ ”Me” เข้ามาแทน ซึ่งประโยคที่ถูกต้องควรจะเป็น
“When you’re done with that lab report, can you send it to Bill and ME?”
= “ เมื่อคุณทำรายงานการทดลองนั้นเสร็จแล้ว ส่งมันมาให้บิลและผมได้ไหม (Bill and ME)? ”
มาลองฝึกทำแบบฝึกหัดกันค่า
เติมคำที่ถูกต้องลงในช่องว่าง (I หรือ Me)
- Hugo and _ work in the same office
- Lisa bought Amanda and _ a drink
- Tom and _ are leaving soon.
- “Who broke the window?” “It wasn’t _.”
- Is there any mail for _?
เฉลยแบบฝึกหัด
1. I 2. Me 3. I 4. Me 5. Me
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
เปิดรายชื่อ 5 แอปพลิเคชันยอดนิยม ที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานมากที่สุด
อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าแอปพลิเคชันแต่ละตัวนั้นมักมีความสามารถที่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย (ตามหลักการทำงานและการลงทะเบียนใช้งานเบื้องต้น) แต่จะมี Apps ไหนที่เข้าถึงข้อมูลส่วตัวได้มากที่สุดซึ่งวันนี้ทีม Sanook Hitech ได้พบว่ามี 5 Apps ที่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเยอะสุดจากการจัดอันดับโดย pCloud
1. Instagram เริ่มต้นกับ Apps ด้านภาพอย่าง Instagram โดย Apps นี้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานมากที่สุดถึง 86% เรียกได้ว่าเยอะ ถ้าโฆษณาขึ้นถี่ๆ และเป็นเรื่องที่คุณคิด ผมว่าไม่แปลก
2. Facebook ไม่น่าเชื่อว่า Social Network ที่หลายคนดูอยู่จะเข้าถึงข้อมูลได้มากถึง 83% แถมไม่ต้องแปลกใจเพราะบางทีคิดอะไรอยู่อาจจะแสดงโฆษณาให้คุณเห็นน่ันเอง
3. TikTok Social Netwok สายวิดีโอสั้น ที่โดยมากแล้วจะเก็บขช้อมูลเกี่ยวกับโฆณษา ไม่ได้ส่งประเทศจีนแต่อย่างใด โดยข้อมูลที่ Apps นี้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน 82%
4. YouTube Social Network สายวิดีโอ Apps นี้หลายๆ คนคิดว่าแค่ดูเฉยๆ ไม่มีอะไร แต่รู้ไหมว่า บางทีก็แอบเก็บข้อมูลไว้ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้มากถึง 79%
5. WhatsApp สำหรับ Apps นี้เป็น Apps กลุ่มสนทนา ซึ่งมีการเข้าถึงข้อมูลของคุณอยู่แล้ว โดยมีการเผยว่า Apps นี้จะเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน 78%
ทั้งนี้ Apps เหล่านี้มักจะเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเช่น โดยข้อมูลที่ถูกเข้าถึง ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลตำแหน่ง ข้อมูลการเข้าชม ข้อมูลการใช้แอป ฯลฯ โดยบางครั้งไม่ได้เข้าแบบดูดภายใน แต่เป็นการกรอก Profile หรือประวัติส่วนตัวนั่นเอง
สรุปแล้ว Apps เหล่านี้ะเป็น Social Network ไม่ก็ Apps สนทนาที่มีการใช้ข้อมูลส่วนตัวเยอะ ทั้งนี้มันจะนำไปใช้เกี่ยวกับการแสดงโฆษณา และ การปรับปรุงในส่วนของ Apps หรือจะเป็นการวิจัยตลาด เป็นต้น ทั้งนี้คุณสามารถเลือกไม่ให้มีการแชร์ข้อมูลออกไปได้ตจามกดทั้ง GDPR หรือ PDPA เป็นต้น ลองกดเช็คภายใน Apps ดูนะครับเผื่อจะเจอ
และแน่นนอนยังมีแอปที่ไม่ได้เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานมากนักเหมือนกัน ได้แก่ Signal, Clubhouse, Netflix, Shazam, Etsy, Skype และ Telegram เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ใช้ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และควรใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างระมัดระวังเพื่อปกป้องข้อมูลของตนเอง เบื้องต้นก่อนที่จะดาวน์โหลดแอป คุณควรตรวจสอบป้ายกำกับความเป็นส่วนตัวของแอปเสมอเพื่อดูว่าข้อมูลใดที่ถูกรวบรวม
โดยหลักๆ แล้วในส่วน “ข้อมูลที่ใช้ในการติดตามคุณ” และ “ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับคุณ” ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่รวบรวมสำหรับบุคคลที่สาม การโฆษณาและสำหรับการโฆษณาหรือการตลาดของผู้พัฒนาเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
20 ข้อดีของพริก นอกจากจะ “เผ็ด” สะใจแล้ว ยังดีต่อสุขภาพด้วย
อาหารรสจัด เป็นที่นิยมของคนไทยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งเผ็ดก็ยิ่งอร่อย พริก จึงกลายเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ขาดไปไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่มีพริก ก็คงจะปรุงอาหารให้จัดจ้านถึงใจกันไม่ได้แน่ๆ แต่รู้มั้ยว่า พริกไม่ได้มีดีแค่ความแซ่บนะ แต่ยังดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย
พริกมาจากไหน?
พริกถูกค้นพบครั้งแรกที่อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ตั้งแต่เมื่อราว 7,000 ปีก่อน โดย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส หลังจากนั้นได้มีการนำพริกมาปลูก และเผยแพร่ไปทั่วยุโรป ก่อนจะแผ่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยของเรานั้น ก็รู้จักและคุ้นเคยกับการปลูกพริกมานานแล้ว
สายพันธุ์ของพริกในประเทศไทย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 831 สายพันธุ์ และสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ และพริกขี้หนูเม็ดเล็ก
คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของพริก ก็คงไม่พ้นเรื่องความเผ็ด เนื่องจากในพริกมีสารแคปไซซิน (Capsicin) ซึ่งเป็นสารที่ให้ความเผ็ดร้อน โดยสารชนิดนี้จะกระจายอยู่ในทุกส่วนของพริก ส่วนที่เผ็ดที่สุดก็คือ รกหรือไส้ของพริก ในขณะที่เปลือก และเมล็ด ที่คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็นส่วนที่เผ็ดที่สุด กลับมีสารนี้อยู่น้อยกว่ามาก
สารแคปไซซินนี้ นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ สามารถทนความร้อนได้ดี ทำให้ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการทำให้สุก หรือตากแดดจนแห้ง ก็ยังคงความเผ็ดร้อนไว้ได้ดังเดิม
การวัดค่าความเผ็ดของพริก
หน่วยวัดความเผ็ดของพริก เดิมคือ สโควิลล์ (Scoville) โดยพริกขี้หนูสวนของไทยจะมีค่าอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์ ในขณะที่พริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่า เป็นพริกเผ็ดที่สุดในโลก ซึ่งก็คือ พริกฮาบาเนโร วัดค่าได้ถึง 350,000 สโควิลล์ หรือมากกว่านั้น
20 ข้อดีของพริก ที่แซ่บซี๊ดดีต่อสุขภาพ
พริกอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และใยอาหาร เป็นต้น รู้มั้ยว่าพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัมเลยทีเดียว จึงเรียกได้ว่า พริกเป็นแหล่งวิตามินชั้นดีเลยล่ะ
- บรรเทาความเจ็บปวดมีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริก ให้อยู่ในรูปของครีม ขี้ผึ้ง หรือเจล ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ปวดเมื่อยตามตัว งูสวัด สารแคปไซซินในพริก จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ตามธรรมชาติ
- พริกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย
- กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมาด้วยสารแคปไซซินในพริก สามารถ ช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และมีความสุขขึ้น
- วิตามินซีในพริกช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้
- ในพริกอุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี รวมถึงเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีสรรพคุณในการบำรุงและป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา
- ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ
- ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้นเมื่อเรากินพริก จะมีน้ำมูกน้ำตาไหลออกมา นั่นเป็นเพราะรสเผ็ด และสารก่อความร้อนในพริก จะช่วยลดปริมาณน้ำมูก และสิ่งกีดขวางในทางเดินระบบหายใจ ทำให้จมูกโล่ง ลดอาการคัดจมูก ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
- บรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะ และช่วยขับเสมหะ
- วิตามินซีในพริกมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร และช่วยสร้างคอลลาเจน และยังมีเบต้าแคโรทีนในพริก สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้
- ควบคุมคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ให้คงที่และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดลดลง
- ลดน้ำตาลในเลือดพริกสามารถช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสได้ ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง
- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจพริกจะช่วยลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ช่วยละลายลิ่มเลือด ทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อนจนอุดตันหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดและหัวใจ
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
- สารแคปไซซินในพริกช่วยยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือดได้ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เบต้าแคโรทีนและวิตามินซียังช่วยเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ลดอาการหลอดเลือดอุดตันและหลอดเลือดตีบ
- ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนังเช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น (ในด้านการแพทย์ ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจล)
- ป้องกันโรคโลหิตจางในพริกมีธาตุเหล็กอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีทองแดง ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี รวมถึงมีกรดโฟลิก ที่ช่วยเสริมให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรง
- ช่วยให้เจริญอาหารพริกจะกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย และกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้ความอยากอาหาร
- ช่วยลดน้ำหนักสาร thermogenic ซึ่งเป็นสารก่อความร้อนในร่างกายที่อยู่ในพริก ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี นอกจากนี้ กรดแอสคอร์บิก ยังช่วยเร่งให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานได้ จึงทำให้เราลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น
เผลอกินเผ็ดเกินไป อยากแก้เผ็ดควรทำยังไงดี?
หากต้องการลดความเผ็ดร้อนของพริกที่กินเข้าไปแล้วละก็ ควรเลือกกินอาหารที่มีไขมัน หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ เพราะการดื่มน้ำเปล่านั้น จะช่วยเพียงบรรเทาอาการแสบร้อนให้ลดลง แต่ความเผ็ดยังคงอยู่เหมือนเดิม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 04/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,000.00 | 32,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,073.00 | 31,426.68 | 32,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,865.70 | 28,284.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,658.40 | 25,141.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 933.00 | 14,144.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 726.00 | 11,006.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,148.00 | 32,563.68 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.75 | 38.75 | 39.75 | 38.75 | 39.05 | 38.75 | 38.75 | 38.75 | 38.75 | 38.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.48 | 38.48 | 39.48 | 38.48 | 38.78 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.44 | 36.44 | 37.44 | 36.44 | 36.74 | – | 36.44 | 36.44 | 36.44 | 36.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.09 | 36.09 | – | – | – | – | – | – | – | 36.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.34 | 49.94 | 49.34 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 46.54 | – | – | – | 48.01 | – | 47.04 | 46.69 | – | 46.54 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 49.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |