บ้านฟ้าฯธีโอ ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม นวัตกรรม+ดีไซน์โมเดิร์นอาร์ตเดโค่
ทำเลศักยภาพสูงสำหรับโครงการบ้านจัดสรรในปีเสือ วันนี้ชวนไปดูโซนกรุงเทพฯตะวันตกกันบ้าง
โดย “NC-บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)” เพิ่งเปิดตัวบ้านแนวราบแบรนด์แข็งแกร่งตลอดกาลของบริษัท เป็นโครงการใหม่ล่าสุด “บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม”
โครงการนี้โชว์มิติใหม่ด้วยแนวคิดภายใต้ Regen Series ทั้งรูปแบบดีไซน์ใหม่ modern art deco
ก่อนอื่น “มิสเตอร์โฮม” ขอแนะนำหน้าดินโซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก ถือเป็นทำเลศักยภาพสูง มีโครงข่ายเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐคับคั่ง ทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวพลิกโฉมพื้นที่โดยรอบให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
ควบคู่กับการเป็นโซนสีเขียวที่ยังมีกลิ่นอายของธรรมชาติให้จับต้องได้
โดย “บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม” พัฒนาแบบบ้านแนวคิดใหม่ “Regen Series” ให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ระบบความปลอดภัยสูงสุดให้กับลูกค้า
ดีไซน์ modern art deco style ได้รับแรงบันดาลใจจากความเป็นคลาสสิกของยุคสมัยที่รุ่งเรืองของ art deco คุณค่าศิลปะที่อยู่เหนือกาลเวลา
จุดขายมาพร้อมกับเทคโนโลยี smart care พักอาศัยในบ้านที่รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพสูงสุด และจัดเต็มด้วยระบบ home security & automation
รายละเอียดเป็นโครงการมิกซ์โปรดักต์ครบทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว จำนวน 387 ยูนิต บนที่ดินรวม 58 ไร่ มีให้เลือก 5 แบบบ้าน ได้แก่
ทาวน์โฮม 2 แบบบ้าน “RENE-ERTE” พื้นที่ใช้สอย 120-125 ตารางเมตร ที่ดินเริ่ม 20 และ 27 ตารางวา ฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 2.99 และ 3.84 ล้านบาท
บ้านแฝด “EILEEN” พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ที่ดินเริ่ม 38 ตารางวา ฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 5.5 ล้านบาท
และบ้านเดี่ยว “MERDITH-RAYMOND” พื้นที่ใช้สอย 155-200 ตารางเมตร ที่ดินเริ่มต้น 50 และ 56 ตารางวา ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3-4 ห้องน้ำ 1 ครัวไทย 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 7.59 และ 8.7 ล้านบาท
ภายในบ้านทุกหลังตอบโจทย์นวัตกรรมการอยู่อาศัย smart life ชีวิตยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัยภายในบ้าน
ทั้งนี้ NC เป็นหนึ่งในเจ้าตลาดที่ขยายโครงการครอบคลุม กทม.โซนตะวันตก ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ 8 สำหรับทำเลนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงผลตอบรับจากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์ เอ็น.ซี.ฯมาอย่างยาวนาน
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
จับตาตลาดคอนโดขาขึ้น ครองตลาดกว่า 60% หวั่นปัจจัยกดดันครึ่งปีหลัง ตลาดคอนโดชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า เร่งสางประเด็นปัญหาหนี้ครัวเรือน และปัจจัยอื่น ๆ กระทบพฤติกรรม-กำลังซื้อ DDproperty รวบรวมมาให้อัปเดตที่นี่
1. จับตาจำนวนคอนโดขาขึ้น ลุ้นต่อครึ่งปีหลัง ปัจจัยลบจ่อคิว
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ตัวเลขโครงการเปิดตัวใหม่ทั้งปี 2565 ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ที่อยู่อาศัยเปิดตัว 77,728 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 50.8% ในครึ่งปีแรก ที่น่าจับตา คือ คอนโดมิเนียมเริ่มกลับคืนสู่ตลาด ในครึ่งหลังปี 2565
โดยพบว่าโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 การเปิดโครงการใหม่ประเภทคอนโดมิเนียมกลับขึ้นมามีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ทั้งหมด มีสัดส่วน 63.3%
ขณะที่โครงการบ้านจัดสรรลดลงมาอยู่ที่ 36.7% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี 2561 และมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์โควิด-19 ขาลง การเปิดประเทศเต็มรูปแบบ รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง การจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมของผู้ประกอบการ รวมถึงสถาบันการเงินของรัฐที่สนับสนุนให้คนมีบ้าน แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยลบที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่
1) อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
2) การระบาดโควิดที่ยังมีผลเรื้อรังในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ ถึงแม้ว่าความรุนแรงจะลดลง
3) สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชากรในภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนภาคบริการ ยังคงอยู่ ในภาวะฟื้นตัวช้า
4) ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของจีดีพี ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยาก เช่นเดียวกับช่วงปีที่ผ่านมา
5) ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ของสถาบันการเงินอาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป
6) ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจมีการปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
7) กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นกำลังซื้อคอนโดมิเนียมยังคงเข้ามาในประเทศน้อย จากผลกระทบโควิด-19 รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ทำให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในภาพรวมฟื้นตัวช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน และแม้ว่าปัจจุบันจะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดียเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย แต่ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่จีนได้
2. จับตาตลาดคอนโดชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ปี 65 เข้าสู่ภาวะสมดุล
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยถึงตลาดคอนโดชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2565 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า เนื่องจากอุปทานคอนโดที่เหลือน้อยในตลาด และผู้ประกอบการมีการจัดรายการส่งเสริมการขายต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนยูนิตเหลือขาย
อุปทาน (จำนวนที่อยู่อาศัย) คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ มีจำนวน 1 โครงการ ประมาณ 252 หน่วย อุปทานคอนโดมิเนียมโดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณชะอำ คิดเป็น 57% รองลงมาบริเวณเขาตะเกียบและฝั่งไม่ติดทะเล คิดเป็น 13% และ 12% ตามลำดับ
ขณะที่อุปทานคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในบริเวณหัวหิน คิดเป็น 10% ส่วนคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขาเต่า คิดเป็น 8% ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมที่ไม่เห็นวิวทะเล คิดเป็น 55% และคอนโดมิเนียมที่เห็นวิวทะเล คิดเป็น 45% ของอุปทานทั้งหมด
ด้านอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) มีหน่วยขายได้ทั้งสิ้น 1,773 หน่วย ภาพรวมจำนวนหน่วยเหลือขาย มีประมาณ 5,963 หน่วย โดยกลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นผู้ซื้อหลักกว่า 90% ที่เหลือเป็นคนไทยในจังหวัดอื่น ๆ 5% และชาวต่างชาติ 5%
ทั้งนี้ อุปสงค์ค่อนข้างตอบรับได้ดีกับราคาขายเฉลี่ยที่ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรลงมา ซึ่งมีอัตราการขายที่ค่อนข้างดี และเป็นโครงการที่ไม่เห็นทะเลเป็นส่วนมาก
คอนโดมิเนียมบริเวณเขาตะเกียบมีอัตราการขายสูงสุดที่ 96% รองลงมา ได้แก่ คอนโดมิเนียมบริเวณฝั่งไม่ติดทะเลและเขาเต่าที่ 93% และ 91% ตามลำดับ สำหรับหัวหินและชะอำ มีอัตราการขายที่ 88% และ 69% ตามลำดับ
ทิศทางตลาดคอนโดมิเนียมหัวหินในปี 2565 คาดว่ามีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นและเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น ทำให้ยูนิตเหลือขายในตลาดลดน้อยลง โดยเฉพาะโครงการติดทะเลที่มียูนิตเหลือขายไม่มาก และที่ดินในการพัฒนาโครงการติดทะเลในบริเวณตัวเมืองหัวหินหรือเขาตะเกียบก็เหลือน้อยและยากที่จะพัฒนาได้
หากมีการพัฒนาโครงการที่ติดทะเล ราคาขายจะมีทิศทางในการปรับตัวที่สูงขึ้น อาจจะมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงกว่า 150,000 บาท เนื่องจากที่ดินที่เหลือน้อย และราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่โครงการบริเวณโซนชะอำ อาจจะต้องใช้เวลาในการระบายหน่วยเหลือขาย บางโครงการอาจปรับราคาลง เนื่องจากอายุของคอนโดมิเนียม
ส่วนโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในหัวหิน ยังคงมีการจัดรายการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อปิดโครงการ สะท้อนให้เห็นว่าโครงการคอนโดมิเนียมบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาตะเกียบอยู่ในภาวะที่สมดุลทั้งในแง่อุปทานและอุปสงค์
3. อสังหาฯ ชูกลยุทธ์รับมือปัจจัยลบกระทบ กดดันครึ่งปีหลัง 65
ครึ่งปีหลัง 2565 ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์รับมือนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ต้นทุนค่าก่อสร้าง เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากสงคราม และโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่อยู่อาศัย
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่มระดับกลาง โดยเฉพาะบ้านราคา 2 ล้านบาทบวกลบ และบ้านราคา 5 ล้านบาท จึงแก้เกมด้วยการออกแบบบ้านใหม่ตามเทรนด์ Lifestyle Disruption เพื่อลดราคาเฉลี่ยของบ้านต่อหลัง และให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ หากไม่สามารถซื้อได้ จะแนะนำให้เปลี่ยนไปซื้อโครงการอื่นของบริษัทฯ ในทำเลใกล้เคียง แต่ราคาถูกกว่าแทน
ขณะที่ปัจจัยเรื่องต้นทุนค่าก่อสร้าง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันแพง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าก่อสร้าง และมีผลต่อการปรับขึ้นราคาที่อยู่อาศัยแต่ละโครงการไม่เท่ากัน ซึ่งลูกค้าเข้าใจและไม่ได้กังวลที่จะต้องจ่ายราคาบ้านที่สูงขึ้น
แต่ถ้าเป็นโครงการที่ยอดขายไปได้ช้า ผู้ประกอบการอาจต้องยอมลดกำไรลง ในส่วนของสต๊อกสินค้าสร้างเสร็จแต่ยังขายไม่ออก เป็นต้นทุนค่าก่อสร้างเดิม ยังสามารถขายราคาเดิมได้
ด้านบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่าปัญหาค่าแรง น้ำมันแพง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของผู้บริโภค เป็นอุปสรรคในการผ่อนดาวน์บ้าน ผนวกกับดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ผู้บริโภคอาจลังเลในการตัดสินใจซื้อ
แม้ความต้องการซื้อบ้านยังมีอยู่ต่อเนื่อง แต่การตัดสินใจอาจช้ากว่าเดิม ส่วนเรื่องต้นทุนค่าก่อสร้าง ในการพัฒนาโครงการใหม่ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับฟังก์ชั่นบ้านให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง
ในส่วนของบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ บริษัทฯ เลือกที่จะไปลดต้นทุนด้านอื่นแทนเพื่อไม่กระทบกับผู้ซื้อ ทั้งการรีดีไซน์ ปรับวัสดุให้เหมาะสมขึ้น
ลดพื้นที่การใช้งานที่ไม่จำเป็นลง ปรับฟังก์ชั่นเพื่อชดเชยต้นทุน พร้อมเตรียมรับมือแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุน ในฝั่งลูกค้าที่กระทบจะเป็นลูกค้าผ่อนสินเชื่อเกิน 1-3 ปี ซึ่งพ้นช่วงโปรโมชั่นดอกเบี้ยถูกแล้ว และอาจทำให้ระยะเวลาผ่อนเงินกู้นานขึ้น
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-8% ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2566 จะส่งผลให้ต้นทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น และกระทบราคาที่อยู่อาศัยใหม่มีราคาปรับเพิ่มขึ้น 5-10% ขึ้นกับทำเลและสภาพการแข่งขันของตลาด
ในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในราคาเดิมได้ในโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา และเตรียมจะก่อสร้างเสร็จพร้อมโอนก่อนสิ้นปี 2565
4. เร่งสางปัญหาหนี้ครัวเรือน แก้หนี้บัตร หนี้รถ หนี้บ้านอย่างยั่งยืน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุ หนี้ครัวเรือน เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างยั่งยืน และถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยมานาน โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยถูกกระทบรุนแรงจากโควิด-19 ส่งผลหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 90% หรือเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19
ในการแก้ปัญหา ธปท. ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลหนี้กลุ่มเปราะบาง ผ่าน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การแก้หนี้เดิม การเติมเงินใหม่ ให้คำปรึกษา และเสริมทักษะทางการเงิน เช่น การแก้หนี้เดิม สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ปัจจุบันเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 3.89 ล้านบัญชี หรือ 2.98 ล้านล้านบาท
การเติมเงินใหม่ ปัจจุบันมีการให้สินเชื่อใหม่ผ่านซอฟต์โลน สินเชื่อฟื้นฟูไปแล้ว 1.3 แสนราย หรือ 3.24 แสนล้านบาท รวมถึงการปรับเงื่อนไขสินเชื่อฟื้นฟู เพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจ ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมศักยภาพ ผ่านสินเชื่อปรับตัว ที่จะเริ่มให้ได้ตั้งแต่ 5 ก.ย. เป็นต้นไป
แม้เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาจะมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากการขยายตัวเป็นบวกติดต่อกัน 3 ไตรมาส แต่หากดูการฟื้นตัวพบว่ายังไม่ทั่วถึง และมีลักษณะ K-Shape โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่ยังไม่สามารถมีรายได้กลับมาเต็มที่ จึงเป็นความท้าทาย และจำเป็นที่ต้องให้การช่วยเหลืออย่างตรงจุดทันการณ์ เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่ชะงัก หรือสะดุด
ล่าสุด ธปท. ได้จับมือกับสมาคมสถาบันการเงินต่าง ๆ ครอบคลุมหนี้จากสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล เช่าซื้อรถ จำนำทะเบียนรถ นาโนไฟแนนซ์ รวมถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ และสินเชื่อทุกประเภทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จัดงานมหกรรมสัญจร ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ กับงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” เริ่ม 26 กันยายน-30 พฤศจิกายน 2565 เป็นระยะเวลา 2 เดือน เพื่อเป็นช่องทางเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ ระหว่างลูกหนี้ที่ประสบปัญหาการชำระหนี้ และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้
5. น้ำมันแพงกระทบพฤติกรรมการเดินทาง อยู่อาศัย และบริโภค
กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 จำนวน 8,363 คน ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับการปรับตัวในภาวะน้ำมันแพง พบว่า ส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมัน
โดยเฉพาะด้านการเดินทาง 3 อันดับแรก คือ ใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง 29.23% เปลี่ยนชนิดพาหนะหรือเปลี่ยนวิธีการเดินทาง 17.15% และเปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เติมรถยนต์ 10.82%
เมื่อพิจารณาตามช่วงรายได้ พบว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มที่ไม่ได้ทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ สาเหตุน่าจะมาจากการใช้บริการขนส่งสาธารณะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้
ขณะที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน 3 อันดับแรก จะเป็นลดการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า 29.87% ลดการเดินทางท่องเที่ยว 16.92% และลดการบริโภคอาหารนอกบ้าน 16.25%
โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้ในช่วง 40,000-50,000 บาท/เดือน และกลุ่มพนักงานของรัฐ มีสัดส่วนการลดการออมค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ 0.44% และ 0.88% ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนดังกล่าวอาจจะได้รับผลกระทบทางการเงินน้อย เนื่องจากมีรายได้ที่มั่นคง
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงยืดเยื้อ อาจส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว 3 อันดับแรก คือ หาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ 54.10% เปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 15.86% และเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้ใกล้ที่ทำงาน 11.76%
ขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com
ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาด “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.72 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด อาจส่งสัญญาณกลับตัว แข็งค่าขึ้นได้จากสัญญาณเชิงเทคนิคัล
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.72 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 36.74 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ความกังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย มาตรการ Lockdown ในจีน และวิกฤตพลังงานในฝั่งยุโรป กดดันให้ผู้เล่นในตลาดยังคงปิดรับความเสี่ยง
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึง ถ้อยแถลงของประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งล่าสุด ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ชี้ว่า ตลาดมองเฟดมีโอกาส 57% ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนกันยายน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจนั้น ตลาดประเมินว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ในเดือนสิงหาคม อาจปรับตัวลงสู่ระดับ 55.4 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) สะท้อนว่า ภาคการบริการสหรัฐฯ ขยายตัวในอัตราชะลอลง โดยส่วนหนึ่งอาจมาจากพฤติกรรมของชาวอเมริกันที่เริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการชะลอตัวลงของตลาดบ้านสหรัฐฯ ที่เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของอัตราดอกเบี้ยบ้าน ตามการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญในสัปดาห์นี้ จะอยู่ที่ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงจะหนุนให้ ECB ตัดสินใจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) +0.75% สู่ระดับ 0.75%
ทั้งนี้ ตลาดจะรอจับตาการปรับคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อใหม่ของ ECB ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจยุโรปอาจชะลอตัวลงหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ หากเผชิญกับวิกฤตพลังงานในช่วงฤดูหนาว
ทั้งนี้ ตลาดจะรอติดตามประเด็นการเมืองของอังกฤษ หลังพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) จะประกาศผลการเลือกผู้นำพรรคคนใหม่ ซึ่งจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนาย Boris Johnson โดยมีความเป็นไปได้ว่า นายกฯ อังกฤษคนใหม่อาจเป็น นาย Rishi Sunak อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในตลาดการเงินทั้ง Investment Bank และ Hedge Fund
ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกอาจสะท้อนผ่านยอดการส่งออกของจีน (Exports) ในเดือนสิงหาคม ที่จะโตราว +12%y/y ลดลงจาก +18% ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวเล็กน้อย +1.1%y/y สะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน ทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ตลาดมองว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) รวมถึง ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อสู่ระดับ 2.35% (ขึ้น 0.50%) และ 2.25% (ขึ้น 0.25%) ตามลำดับ หลังเงินเฟ้อในทั้งสองประเทศอยู่ในระดับสูง อีกทั้งเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวดีขึ้น รับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้
ฝั่งไทย – เราคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนสิงหาคมอาจเร่งขึ้นเล็กน้อย +0.1% จากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 7.92% โดยปัจจัยหนุนยังคงเป็นภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจที่หนุนให้ราคาสินค้าและบริการโดยรวม ยกเว้นราคาสินค้าพลังงานปรับตัวขึ้นต่อได้
ส่วนการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นปัจจัยที่กดดันอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ทั้งนี้ เราคงมองว่า อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง (แต่ไม่สูงเกินคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยไปมาก) และการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จะหนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 28 กันยายนได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด อนึ่ง เงินบาทอาจส่งสัญญาณกลับตัว แข็งค่าขึ้นได้จากสัญญาณเชิงเทคนิคัล “Bearish Divergence” ของ RSI ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ทั้งนี้ควรติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงทิศทางราคาทองคำ (ล่าสุด ราคาทองคำเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทราว 62%)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เงินดอลลาร์อาจผันผวน “Sideways”โดยปัจจัยหนุนยังคงเป็นความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนของเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม ECB โดยหาก ECB เร่งขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อาจช่วยพยุงค่าเงินยูโรและกดดันเงินดอลลาร์
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.35-36.95 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.85 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.75-36.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อนที่ 36.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางสกุลเงินเอเชีย และเงินหยวน ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยบวกจากข้อมูลตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.60-36.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ กระแสเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินหยวน อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของไทย และ PMI ภาคบริการเดือนส.ค. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สู้ไม่มีถอดใจ! “บาส-ปอป้อ” พลิกอัดคู่เจ้าถิ่น ผงาดแชมป์ขนไก่ เจแปน โอเพ่น
การแข่งขันแบดมินตัน ทัวร์นาเมนต์ใหญ่รายการ “โยเน็กซ์ ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น 2022” ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 750 ที่มารุเซ็น อินเทค อารีน่า เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2565
ประเภทคู่ผสม รอบชิงชนะเลิศ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย พบกับ ยูตะ วาตานาเบะ และ อาริสะ ฮิกาชิโนะ สองนักแบดมินตันชาวญี่ปุ่น มือวางอันดับ 3 ของรายการ
โดยสถิติที่พบกันมา 8 ครั้งก่อนหน้านี้ เป็นทางฝั่งคู่ไทยชนะ 3 และ แพ้ 5 โดยในปีนี้เจอกันมาหนึ่งครั้งเมื่อเดือนมีนาคม ในศึกออลอิงแลนด์ รอบรองชนะเลิศ “บาส-ปอป้อ” เป็นฝ่ายแพ้ไป 14-21, 15-21
อย่างไรก็ตามในเกมนี้ปรากฏว่า คู่นักแบดมินตันชาวไทย ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ พลิกสถานการณ์จากตกเป็นรองในเกมแรก กลับมาเอาชนะไปได้แบบลุ้นระทึก 2-1 เกม (16-21, 23-21 และ 21-18) ใช้เวลาแข่งขัน 1 ชั่วโมง 12 นาที
จากความสำเร็จในรายการนี้ทำให้ คู่ผสมชาวไทย คว้าแชมป์ที่ 3 ของปีนี้ต่อจาก เยอรมัน โอเพ่น และ สิงคโปร์ โอเพ่น นอกจากนี้ยังนับเป็นแชมป์รายการที่ 15 ของทั้งคู่ นับตั้งแต่ที่จับคู่กันมาเมื่อปี 2015
สรุป 15 แชมป์ของ “บาส-ปอป้อ”
ปี 2017 – สวิส โอเพ่น
ปี 2019 – มาเก๊า โอเพ่น, โคเรีย โอเพ่น, สิงคโปร์ โอเพ่น
ปี 2021 – โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น, โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น, เวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์ 2020, ฮายโล โอเพ่น, อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส, อินโดนีเซีย โอเพ่น, เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2021 ,เวิลด์แชมเปี้ยนชิพส์ 2021
ปี 2022 – เยอรมัน โอเพ่น, สิงคโปร์ โอเพ่น, เจแปน โอเพ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
3 อาหารช่วยลดน้ำหนัก แม้ไม่ได้ออกกำลังกาย
รูปร่างผอมเพรียวเป็นที่ต้องการของทุกคน วิธีการที่คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าจะช่วยให้ลดและควบคุมน้ำหนักได้ผลดีคือ ควบคุมการรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย มีระบบการขับถ่ายที่ดี และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ดี ในยามที่ยุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย คนญี่ปุ่นแนะนำอาหารที่ช่วยให้ผอมได้หากรับประทานเป็นประจำ มารู้จักอาหารดังกล่าวกัน
3 อาหารช่วยลดน้ำหนัก แม้ไม่ได้ออกกำลังกาย
- ต้นอ่อนบรอกโคลี
สารอาหารในต้นอ่อนบรอกโคลีช่วยเสริมหน้าที่การทำงานของตับ ทำให้การย่อยสลายน้ำตาลและไขมันดีขึ้นและเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน นอกจากนี้สารซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ในต้นอ่อนบรอกโคลียังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยชะลอความแก่ ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันโรคไข้ละอองฟาง และช่วยต้านการเจริญของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลในลำไส้อย่างเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) เป็นต้น
วิธีการรับประทานเพื่อควบคุมและลดน้ำหนักทำได้โดยการรับประทานต้นอ่อนบรอกโคลีทุกวัน หรือรับประทานครั้งละ 20 กรัม ทุก 3 วัน
- บ๊วยดองที่ผ่านการให้ความร้อน
เมื่อให้ความร้อน บ๊วยดองจะสร้างสำคัญชื่อวานิลลิน (Vanillin) ขึ้นมา สารชนิดนี้ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และช่วยจำกัดการบวมของเซลล์ไขมัน จึงเหมาะสำหรับคนที่อยู่ในช่วงควบคุมหรือลดน้ำหนัก โดยบ๊วยดองที่ผ่านการให้ความร้อนจะมีปริมาณสารวานิลลินเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า วิธีการให้ความร้อนบ๊วยดองทำได้ง่ายเพียงนำเข้าไมโครเวฟที่ 500 วัตต์ เป็นเวลา 1 นาที ปริมาณสารวานิลลินจะไม่ลดลงแม้ว่าบ๊วยดองจะเย็นลงหรือแช่ตู้เย็นไว้ ดังนั้นจึงสามารถเตรียมเก็บไว้รับประทานได้หลายวัน
วิธีการรับประทานเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการควบคุมและลดน้ำหนักคือ รับประทานวันละ 3 เม็ด และไม่ควรรับประทานมากกว่านี้ เพราะบ๊วยดองมีรสเค็มหารรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
- เกรปฟรุต
วิตามินบี 1 ที่มีมากในเกรปฟรุตจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลที่รับประทานเข้าไปเปลี่ยนเป็นไขมัน อีกทั้งเพคตินซึ่งเป็นเส้นใยอาหารละลายน้ำได้ที่มีมากในเกรปฟรุตจะกดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและไขมันเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้สารให้กลิ่นหอมในผลไม้ชนิดนี้ ได้แก่ ลิโมนีน (Limonene) และนูทคาโทน (Nootkatone) จะช่วยในการลดความอยากอาหาร เสริมการไหลเวียนเลือด และเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน นอกจากประโยชน์ในการควบคุมน้ำหนักแล้วเกรปฟรุตยังช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม ช่วยให้การขับถ่ายดี และช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
วิธีการรับประทานเพื่อช่วยให้ผอมทำได้โดยการรับประทานเกรปฟรุตวันละ 1 ผล โดยแบ่งรับประทานก่อนอาหารทั้งสามมื้อ ทั้งนี้การดมกลิ่นของของเกรป ฟรุตก่อนอาหารจะช่วยลดความอยากอาหารได้ดี
หากรู้สึกว่ายุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกายแล้วกลัวอ้วน ก็ลองเสริมอาหารดังกล่าวในเมนูอาหารประจำวันดู
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 วิธีเพิ่ม แรงจูงใจ ในการเรียนภาษาอังกฤษ
แรงจูงใจ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษา การมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษจะทำให้เกิดความพยายาม หากมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่ดี เมื่อมีอุปสรรค แรงจูงใจนั้น ๆ จะช่วยเพิ่มพลังบวก ทำให้เราสามารถพัฒนาและเรียนรู้ต่อไปได้
อย่างที่สตีฟ จ็อบส์กล่าวไว้ว่า “วิธีเดียวที่จะทำงานที่ยอดเยี่ยมได้คือการรักในสิ่งที่คุณทำ”
วันนี้ Wall Street English มี 4 วิธีสร้างแรงจูงใจที่ดีในการเรียนภาษาอังกฤษมาฝาก จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันได้เลย
1. ตั้ง Goal พร้อมลงมือทำทันที
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เพราะเวลามีอุปสรรคเกิดขึ้น และเรามองกลับมาที่เป้าหมายจะช่วยให้ไม่ท้อได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องเริ่มทำก่อนคือตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ว่าจะฝึกภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ต้องการที่จะศึกษาต่อต่างประเทศ ไปเที่ยวต่างประเทศ ติดต่อธุรกิจ หรือแม้แต่การหาเพื่อนชาวต่างชาติ ก็สามารถนำมาตั้งเป็นเป้าหมายได้
2. แยก Goal ออกให้ละเอียด
จัดลำดับความสำคัญของกระบวนการในแต่ละขั้นตอนดูว่าจะเริ่มทำอะไรก่อน ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะพอเป็น Goal ใหญ่แล้ว บางทีอาจจะดูไกลตัวเกินไป และทำให้รู้สึกท้อใจได้ ดังนั้นลองแยกออกมาเป็นขั้นตอนดูว่าในระหว่างทางที่จะไปถึง Goal นั้น มีอะไรบ้างที่ต้องทำ การที่เราได้รับ Quick Win จากการทำสำเร็จแต่ละขั้นตอนสามารถเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว
3. ของรางวัลต้องมี
ลองเขียนสิ่งที่คุณอยากได้แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าผ้าใบเท่ ๆ เกมออกใหม่ ลิปสติกหรือกระเป๋าสะพาย เมื่อคุณทำสำเร็จแต่ละขั้นตอน หลังจากได้รับ Quick Win แล้ว ก็ซื้อสิ่งที่คุณอยากได้เป็นรางวัลให้กับตัวเอง สิ่งเล็กน้อยแบบนี้สามารถเพิ่มแรงจูงใจได้ไม่น้อยเลย
4. Begin with end in mind จินตนาการภาพผลลัพธ์ที่เราทำสำเร็จในหัว
อาจจะดูเพ้อฝันหน่อย ๆ แต่รับรองว่าช่วยได้แน่ ลองนึกภาพในหัวว่าตัวเองกำลังเจรจาธุรกิจกับชาวต่างชาติแล้วประสบความสำเร็จ นึกภาพว่าตัวเองได้ไปเที่ยวประเทศที่อยากไปมานาน หรือว่าได้จบการศึกษาจาก NYU จากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อยากไปเรียน ก็ช่วยเพิ่มแรงฮึบในการเรียนให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้
สรุปแล้วโดยพื้นฐาน ผู้เรียนทุกวัยจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ก็ต่อเมื่อมีแรงจูงใจคอยขับเคลื่อน เพิ่มพลังใจในการเรียนรู้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่รับรองได้เลยว่า ถ้าคุณลองทำตาม Step by Step คุณจะประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างแน่นอน และหลังจากนั้นเป้าหมายอื่น ๆ ก็จะสำเร็จตามมาได้ไม่ยาก เพราะภาษาอังกฤษคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพอีกขั้น ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในอีกหลายด้านได้อีกด้วย
ที่ Wall Street English มีรูปแบบการเรียนที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้เรียนแบบ Step by Step และสอนให้ผู้เรียนนำภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสามารถเสริมสร้างทักษะทางภาษาที่จำเป็นต่อทุกเป้าหมายของผู้เรียนไม่ว่าจะเป็น
- เพิ่มโอกาสในหน้าที่การงาน
- เรียนต่อ หรือเที่ยวต่างประเทศ
- ติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ส่องอนาคต ‘รถอเมริกันพันธุ์แรง’ ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า
ตลาดยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ากำลังเป็นที่สนใจในหมู่ผู้ใช้รถทั่วโลกที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม แต่ได้สร้างประเด็นคำถามตามต่อมาว่า แนวโน้มนี้อาจกระทบต่อความนิยมในหมู่รถเครื่องแรงที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือไม่ แล้วรถยนต์กลุ่มนี้จะปรับตัวรับความปกติใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาได้อย่างไร?
รถ “Muscle Cars” หรือ รถเครื่องแรง ของชาวอเมริกัน ซึ่งได้ชื่อนี้มาจากการเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ มีสมรรถนะที่แรง และเร็ว รถ Muscle Car ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันบางรุ่นจะมีเสียงที่ดังสนั่นมาก ที่เรียกกันว่า “Thundering” อันเป็นเอกลักษณ์ของรถเครื่องแรงจากอเมริกา
แต่ปัจจุบันความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้าของผู้คนทั่วโลก ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะมีรถเครื่องแรง ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าออกสู่ตลาดหรือไม่?
บริษัท Stellantis ผู้ผลิตรถเครื่องแรงสัญชาติอเมริกันที่มีชื่อเสียงสองรุ่น คือ Dodge Challenger และ Charger ส่วน General Motors ก็ผลิตรถรุ่น Chevrolet Corvette ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยม ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างเกิดคำถามว่า บริษัทจะสามารถทำให้บรรดา gearheads หรือแฟนพันธุ์แท้ผู้ชื่นชอบรถยนต์แบบคลาสสิกและทรงพลังซึ่งใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก ยังคงสนใจและใช้รถยนต์แบบนี้ได้อยู่หรือไม่
ความท้าทายอย่างหนึ่งของการแข่งขันระหว่างรถที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม กับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้แบตเตอรี่นั้น คือ เรื่องของความเร็ว เพราะตอนนี้รถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ากลับมีความเร็วกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันแบบดั้งเดิม ที่ชูจุดขายจาก “แรงม้า” ซึ่งสะท้อนถึงกำลังของรถที่สร้างขึ้นโดยเครื่องยนต์ ที่ยิ่งแรงม้าสูงจะหมายถึงรถที่มีประสิทธิภาพสูงไปด้วย
รถรุ่นใหม่ ๆ สามารถขับขี่ได้เร็วและควบคุมรถได้ง่ายกว่ารถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ในขณะที่รถรุ่นใหม่เหล่านี้กลับไม่ส่งเสียงดังมากนัก
ในเรื่องนี้ ทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Stellantis หวังว่าบรรดา gearheads หรือผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันแบบเก่า จะกลายมาเป็น battery-heads หรือผู้ที่ชอบรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ในอนาคต โดยบริษัทลูกครึ่งอเมริกัน-อิตาเลียนนี้ ตัดสินใจหยุดผลิตรถยนต์รุ่น Challenger, Charger และ Chrysler 300 ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันภายในสิ้นปี 2023 และบรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ก็กำลังดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปหลายราย พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว ทั้ง Porsche Audi และ Mercedes-Benz
ฝั่ง General Motors กล่าวว่าอีกไม่นานบริษัทจะผลิต Corvette ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ส่วน Polestar ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่ก่อตั้งโดยเจ้าของ Volvo กล่าวว่า กำลังจะผลิตรถเปิดประทุน หรือรถเล็กที่ขับสนุกด้วยพลังงานไฟฟ้าออกสู่ตลาดในเร็ววันนี้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ออกข้อกำหนดให้รถยนต์สร้างมลพิษให้น้อยลง โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ออกกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน
เรื่องดังกล่าวยังผลให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ เริ่มมุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ด้วยการปรับปรุงโรงงานผลิตรถยนต์บางแห่งเพื่อให้สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ รวมทั้งสร้างโรงงานใหม่เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ หรือ EPA กล่าวว่า รถยนต์ของบริษัท Stellantis ใช้เชื้อเพลิงมากที่สุดและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด รถยนต์บางรุ่น เช่นรถ Charger รุ่นที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Hemi Hellcat ใช้เชื้อเพลิงหนึ่งลิตรต่อระยะทางเพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้น
กฎใหม่ที่กำหนดโดย EPA ระบุว่ารถยนต์รุ่นใหม่ของบริษัททั้งหมดจะต้องประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ภายในปี 2026
แซม อาบูเอลซามิด (Sam Abuelsamid) นักวิจัยของ Guidehouse Insights กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์บางรายจะยังคงผลิตรถยนต์ด้วยเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม หรือเครื่องยนต์สันดาปภายในต่อไปอีกประมาณ 10 ปี
ทางด้าน ริค เนลสัน (Rick Nelson) เจ้าของบริษัทซ่อมรถ Muscle Car ในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งชื่นชอบรถรุ่นเก่า ๆ กล่าวว่า อาจเป็นการยากที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ผู้กับขับขี่ที่มีอายุมากแล้วที่โตมากับรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีเสียงดัง แต่เขาทราบว่ามีหลาย ๆ บริษัท เริ่มคิดจะนำระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้กับรถยนต์ “คลาสสิก” ดังนั้นอนาคตของรถอเมริกันพันธุ์แรงจะยังไม่จบลงอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ได้กลิ่นฉุนอะไรไหม? รู้จัก “ฟอร์มาลดีไฮด์” สารอันตรายที่อาจอยู่ในห้องของคุณ
หากพูดชื่อสารฟอร์มาลีน (formalin) ขึ้นมา เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนนึกถึงคงเป็นคุณสมบัติการรักษาสภาพของเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมถึงสภาพร่างกายที่เสียชีวิตแล้วไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออาหารอย่างเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าฟอร์มาลีนเป็นสารละลายของฟอร์มาลดีไฮด์ ที่อาจเจือปนอยู่ในเฟอร์นิเจอร์หรือวอลเปเปอร์ในห้องของคุณ ส่งผลต่อระบบผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท และระบบอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจก่ออันตรายถึงชีวิตได้หากรับสารนี้ไปปริมาณสูง
นอกไปจากการใช้ทางการแพทย์ฟอร์มาลดีไฮด์อยู่ในอุตสาหกรรมหลากรูปแบบ เช่น ด้านการเกษตร การถ่ายภาพ และในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ในไม้อัด วัสดุบุผนัง วัสดุปูพื้น วอลล์เปเปอร์ ฉนวนกันความร้อน ผ้าม่านสำเร็จรูป พรมปูพื้น ผลิตภัณฑ์กระดาษ และสีทาบ้าน ซึ่งล้วนปล่อยไอระเหยของฟอร์มาลดีไฮด์ออกมาในอากาศ
การสูดดมฟอร์มาลดีไฮด์ในปริมาณสูงและเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ ในเนื้อเยื่อในโพรงจมูก หลอดลม ท่อลม และถุงลมในปอด โดยอาจรุนแรงจนทำให้เกิดน้ำท่วมปอด (pneumonia) จนเสียชีวิตได้ในบางราย แม้การรับสารนี้ในปริมาณน้อยอย่างสม่ำเสมอจะยังไม่ทำให้เกิดอาการเด่นชัดใด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของการรับสารฟอร์มาลดีไฮด์กับการเกิดมะเร็งโพรงจมูกอีกด้วย ตามที่บทความของบังอร ฉางทรัพย์ อธิบายไว้อย่างละเอียด
เคล็ดลับสำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์ใช้งานในบ้านอย่างสิ่งทอต่าง ๆ คือการดูปริมาณสารฟอร์มาลดีไฮด์ให้เป็นไปตามกำหนด คือในเสื้อผ้าผู้ใหญ่ต้องมีไม่เกิด 75 ppm และเสื้อผ้าที่ใช้กับเด็กแรกเกิดต้องไม่เกิน 16 ppm ซึ่งชุดเครื่องนอนจาก PASAYA ก็มีมาตรฐานขบวนการผลิตผ้าที่ปลอดภัย สารฟอร์มาลดีไฮด์น้อยกว่า 16 ppm มั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,650.00 | 29,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,921.00 | 29,122.36 | 30,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,728.90 | 26,210.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,536.80 | 23,297.89 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 864.00 | 13,098.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 672.00 | 10,187.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,991.00 | 30,183.56 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.15 | 35.15 | 35.55 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.88 | 34.88 | 35.28 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.04 | 34.04 | 34.44 | 34.04 | 34.04 | – | 34.04 | 34.04 | 34.04 | 34.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 31.84 | 31.84 | – | – | – | – | – | – | – | 31.84 |
เบนซิน 95 | 42.56 | – | – | – | 43.01 | – | 43.06 | 43.06 | – | 42.56 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.66 | 44.66 | 45.66 | 45.66 | 45.66 | – | – | – | – | 44.66 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |