สาระน่ารู้ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2565

พิมพ์เขียวผังน้ำทั่วประเทศ อสังหาขานรับรื้อที่ดินแก้น้ำท่วม

น้ำท่วม

ผังเมืองถึงจุดเปลี่ยน ภัยธรรมชาติรุนแรงเกินคาด กรมโยธาฯ – มหาดไทยเร่งปรับผังรวมทั่วประเทศ 878 อำเภอ ลงลึกแก้น้ำท่วมระยะยาว “เพิ่มผังน้ำ” จัดโซนใช้ประโยชน์ที่ดินใหม่ เริ่มที่เชียงใหม่ เชียงราย สุรินทร์ อุดรฯ ขอนแก่น สิงห์บุรี ราชบุรี ภูเก็ต เบตง ปัตตานี และ 3 จังหวัด EEC ระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี รอประกาศใช้ผังรุ่นใหม่เตรียมเสนอครม.ภายในปี 2566 ไทม์ไลน์ช้า-เร็ว ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหลังประยุทธ์กลับมา นายกอสังหาฯระยองบอกไอเดียดี

แหล่งข่าวจากกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กรมกำลังปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินใหม่ ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 จะเน้นเรื่องการบริหารจัดการน้ำเป็นหลัก เนื่องจากภัยพิบัติจากธรรมชาติรุนแรงเกินคาด ผังใหม่ที่ปรับจะมีการเพิ่มผังน้ำเข้าไป เพื่อเพิ่มระดับการป้องกันปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว รวมทั้งสิ้น 878 อำเภอทั่วประเทศ

“ผังน้ำจะเป็นการจัดโซนพื้นที่รองรับและแนวป้องกันแบบเอ็กซ์ตรีม ซึ่งกรมจะทยอยทำปีละ 40 ผัง จะแล้วเสร็จหมดในปี 2573”

โดยมีการจัดลำดับความสำคัญของแต่ละจังหวัด เช่น ภาคเหนือเน้นที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน ภาคอีสานจะมีสุรินทร์ อุดรธานี ภาคกลางจะมีสิงห์บุรี ราชบุรี ภาคใต้มีภูเก็ต เบตง ปัตตานี และ 3 จังหวัดในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

ผังเมืองรุ่นใหม่เหล่านี้ได้เริ่มสตาร์ตแล้วในปีนี้ คาดว่าจะเสร็จเร็ว เพราะเป็นโครงการเร่งด่วน คาดว่ากรมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ภายในปี 2566 ส่วนไทม์ไลน์จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง

“ตอนนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่กำลังติดประกาศรายละเอียดและสาระสำคัญของผังใหม่ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่ติดประกาศ”

จัดสรร-คนซื้อบ้านต้องระวัง

แหล่งข่าวกล่าวเสริมว่า ข้อดีของการเพิ่มผังน้ำในผังเมืองใหม่ทั่วประเทศจะช่วยให้พื้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมซ้ำซาก เป็นแนวตั้งรับและป้องกันปัญหาในอนาคต จึงทำให้กรมต้องจัดวางพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสม เปรียบแล้วเหมือนการขยายคูคลอง ลำน้ำลุ่มน้ำต่าง ๆ ให้กว้างขึ้น เพื่อให้เป็นทางน้ำไหลไร้สิ่งกีดขวาง

“แต่จะไม่ใช่การขุดคลองหรือขุดแม่น้ำใหญ่ยักษ์เท่าเจ้าพระยา กรมจะทำทุก ๆ จุด เหมือนการขยายถนนแบบกรมทางหลวงชนบท”

ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะต้องศึกษาในเรื่องนี้ สำหรับการวางแผนด้านการพัฒนาจัดสรรที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้างโครงการใหม่ ๆ รวมถึงประชาชนผู้ที่คิดจะซื้อบ้านต้องตรวจสอบจุดที่ตั้งด้วยว่า บ้านสร้างใหม่อยู่ในพื้นที่ผังน้ำหรือไม่

กฎกระทรวง “ผังน้ำ” ลิดรอนสิทธิ

นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กรมต้องนำแผนงานโครงการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่วางไว้ในงบประมาณปี 2566 มาทบทวน และปรับแผนกันใหม่ในการจัดทำงบประมาณปี 2567 เนื่องจากปีนี้หลายจังหวัดประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก เนื่องจากปริมาณฝนตกลงมามากกว่าปกติ บางพื้นที่ 200 มิลลิเมตร/วัน แม้โอกาสเกิดฝนตกมากอย่างนี้จะเกิดครั้งหนึ่งในรอบหลาย ๆ ปี รวมถึงต้องบูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมชลประทาน โดยเฉพาะสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ซึ่งมีบทบาทหลักในการพิจารณาโครงการแก้ปัญหาเรื่องน้ำทั้งหมด

ปกติกรมโยธาฯจะได้งบประมาณในการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเฉลี่ยปีละ 4,000-5,000 ล้านบาท นำไปใช้ได้ 19-20 ชุมชน รวม 19-20 จังหวัด บางจังหวัดเป็นโครงการขนาดใหญ่ แบ่งเป็นเฟส ๆ ให้งบประมาณกระจายออกไป ตอนนี้อยู่ระหว่างจัดทำงบประมาณปี 2567 จะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2565 หรือเดือนมกราคม 2566 ซึ่งกรมต้องหารือกับ สนทช.พื้นที่ไหนต้องปรับแผน

“ปกติกรมรับผิดชอบป้องกันน้ำท่วมในชุมชนเมืองไม่ให้ท่วมขัง โดยใช้งบฯสร้างพนังกั้นน้ำ ทำเขื่อนป้องกันตลิ่ง ส่วนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่รอบนอกเมืองเป็นหน้าที่ของ สนทช.และกรมชลประทาน”

นอกจากนี้ ทางกรมโยธาธิการอยู่ระหว่างการจัดทำ “กฎกระทรวง” เรื่องผังน้ำหรือผังระบายน้ำจังหวัด ซึ่งกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2562 ว่า “จะต้องมีผังน้ำ หรือผังระบายน้ำจังหวัด” หมายความว่า ถ้าน้ำท่วมเข้ามาในที่ชุมชนจะมีแก้มลิงตรงไหน จะมีการปรับปรุงทางระบายน้ำตรงไหน หากน้ำท่วมในที่ชุมชนจะมีการป้องกันอย่างไร กำลังทำร่างผังเมืองกันอยู่ครอบคลุมทุก 800 กว่าอำเภอทั่วประเทศไทย โดยผังระบายน้ำเป็นผังที่เพิ่มขึ้นมาจากกฎหมาย พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 ฉบับเดิม ซึ่งเมื่อก่อนในผังเมืองจะมีผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน และผังการคมนาคมขนส่ง แต่ปัจจุบันมีเพิ่มผังเรื่องการระบายน้ำ ผังพื้นที่เสี่ยงภัย ตรงไหนเป็นพื้นที่น้ำท่วมขังต้องออกกฎหมาย เพื่อให้ระบายน้ำออก

“เราต้องดูในเชิงวิชาการ ถ้าจำเป็นต้องดำเนินการ เพราะทุกวันนี้หลายจังหวัดเมืองขยายออกไป การไปปลูกสิ่งก่อสร้างเป็นการกีดขวางทางระบายน้ำ ทำให้การระบายน้ำลดลง ทำให้น้ำท่วมขังได้ การทำผังระบายน้ำเป็นการแก้ปัญหาเรื่องทางกายภาพ ทางด้านผังเมือง ซึ่งได้มองมิติการแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น บริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงจะกำหนดห้ามถมดิน เพื่อไม่ให้น้ำท่วมเมือง เรามองในภาพใหญ่ อันนี้เป็นความยากของงานผังเมืองที่จะให้ทุกฝ่ายยอมรับ เพราะมีการลิดรอนสิทธิ ว่าไปกำหนดพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่แก้มลิง ตรงนี้เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ทำให้เจ้าของที่ดิน ไปใช้ถมที่ดินของตัวเองทำโรงงานไม่ได้ เรามองมิติทางด้านวิชาการ ทางกายภาพของพื้นที่เป็นหลัก หรือจะถมดินสร้างบ้าน ต้องยกระดับบ้านให้มีใต้ถุนสูง เพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังตรงบริเวณนั้น ซึ่งตรงนี้มีการกำหนดไว้ในผังเมือง”

ทั้งนี้ ขั้นตอนการทำผังเมืองมีอยู่ 8 ขั้นตอน เช่น เรื่องการสำรวจพื้นที่ทางกายภาพ การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผังรวมจังหวัด การติดประกาศ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีการรับคำร้องต่าง ๆ ว่ามีการคัดค้านอย่างไร แล้วจึงนำมาทำเป็นผังเมืองของชุมชน ของจังหวัดนั้น ตอนนี้อยู่ในกระบวนการกำลังสำรวจพื้นที่ทางกายภาพ ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะแล้วเสร็จทั้งกระบวนการออกมาเป็นกฎกระทรวงประมาณ 2 ปี

นายกอสังหาฯระยองบอกไอเดียดี

นายเปรมสรณ์ ศรีวิบูลย์ชัย นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดระยอง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กฎระเบียบการแก้ไขน้ำท่วมในกรณีการสร้างคอนโดฯ โรงแรม หมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ลุ่มต่ำ ให้ยกระดับพื้นที่อาคารสูงขึ้นเพื่อให้น้ำไหลผ่านได้ มองว่าเป็นไอเดียที่ดี อาจจะต้องมีรายละเอียดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยแก้ไขเรื่องน้ำท่วมได้จริงหรือไม่ ในความเป็นจริงต้องออกกฎหมายเพิ่มการระบายน้ำ

แนะวาระแห่งชาติน้ำท่วม

นายอิสระ บุญยัง ประธานกรรมการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จุดประสงค์ผังเมืองบังคับการก่อสร้างอาคารต้องไม่ขวางทางน้ำไหล และต้องให้น้ำระบายผ่านได้นั้น เพื่อต้องการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน ประเด็นนี้มีข้อเสนอแนะว่า เห็นด้วยหากผังเมืองจะควบคุมและป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม กฎหมายผังเมืองเป็นเพียงจิ๊กซอว์ตัวเดียว ในภาพใหญ่มีประเด็นที่ต้องทำร่วมกัน ทั้งหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน หากศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่าไทยเป็นสังคมกสิกรรมในอดีตกาล การเลือกที่ตั้งเมืองจึงเน้นที่ราบลุ่มต่ำ เพราะน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ซึ่งเริ่มต้นใช้ตั้งแต่ปี 2504 รัฐหันมาลงทุนสร้างอินฟราสตรักเจอร์ประเภทถนน ทางรถไฟ และสนามบินเป็นหลัก ผลลัพธ์คือเมกะโปรเจ็กต์รัฐโดยหน่วยงานรัฐกลายเป็นต้นเหตุสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำไหล

“ตัวอย่างชัดเจนที่สุดและเป็นกรณีศึกษาในวงการผังเมือง คือ สนามบินสุวรรณภูมิ 2 หมื่นไร่ สร้างขวางทางน้ำไหลที่จะระบายลงอ่าวไทย เวลาหน้าน้ำท่วมต้องหาทางระบายอ้อมออกคลองด้านข้าง”

ดังนั้น ข้อเสนอหากต้องการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน คือ 1.จะต้องควบคุมกำกับดูแลการลงทุนโครงการรัฐโดยหน่วยงานรัฐ ต้องออกแบบและก่อสร้างอย่างไรไม่ให้ขวางทางน้ำไหล 2.เสนอให้ยกระดับการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะคงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกฎหมายผังเมืองเพียงอย่างเดียว

เหตุผลเพราะกฎหมายผังเมืองจะเป็นแม่บทในการพัฒนาเมือง สิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ จำเป็นต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

3.ผังเมืองขวางทางน้ำไหลคือผังเมืองสีเขียวลาย หากจะควบคุมใช้กับทั่วประเทศก็ควรจำกัดการควบคุมสำหรับผังเมืองสีเขียวลายเท่านั้น ไม่ควรควบคุมโดยบังคับใช้กับสีผังเมืองทุกประเภท เช่น ที่อยู่อาศัยมีสีผังเมืองสีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล ควบคุมการก่อสร้างหนาแน่นน้อยไปหามาก, สีแดงพื้นที่พาณิชยกรรม, สีม่วงพื้นที่อุตสาหกรรม เป็นต้น

เหตุผลสำคัญเพราะหากไม่ใช่พื้นที่โซนน้ำหลาก แต่ไปควบคุมเป็นพื้นที่เทียบเท่าสีเขียวลาย ถือเป็นการควบคุมเกินจำเป็น เพราะจะทำให้เจ้าของที่ดินมีภาระในการปฏิบัติตามผังเมือง หรือมีต้นทุนในการก่อสร้างอาคารสูงเกินจำเป็น ไปจนถึงบางกรณีอาจจะไม่สามารถก่อสร้างได้เลย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงข้อเสนอคือรัฐควรเวนคืนที่ดินเอกชนไปเลย

“เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ถ้าจะบังคับทั่วประเทศ ขอท้วงติงไว้ก่อนว่าการบังคับโครงการก่อสร้างห้ามขวางทางน้ำไหล ส่วนราชการต้องทำก่อน โดยเฉพาะสาธารณูปโภคของรัฐ การตัดถนน วางรางรถไฟไม่ให้ขวางทางเดินของน้ำ และถ้าขวางทางเดินของน้ำต้องมีจุดให้น้ำลอด จุดที่เป็นคอขวด เพราะราชการเป็นคนทำสาธารณูปโภคหลัก ๆ ของประเทศ ส่วนประชาชนเป็นเรื่องที่ตามมา” นายอิสระกล่าว

สร้างบ้านอิง กม.คุมอาคาร

ด้านนายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ธุรกิจก่อสร้างบ้านบนที่ดินส่วนบุคคล เปิดเผยเพิ่มเติมกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในภาพกว้าง ๆ หากมีการบังคับผังเมืองไม่ให้สร้างอาคารขวางทางน้ำไหลทั่วประเทศ คาดว่าน่าจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน สิ่งที่เป็นห่วงคือกฎหมายผังเมืองต้องไม่บังคับเกินจำเป็น เพราะไม่ใช่ทุกพื้นที่จะมีปัญหาน้ำท่วมเหมือนกันหมด

“บ้านเดี่ยวหรือบ้านสร้างเอง เป็นการสร้างทีละหลังบนที่ดินตัวเอง ต้องบอกว่าตอนนี้กฎหมายผังเมืองยังไม่เคยมีข้อกำหนดให้ปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้ขวางทางน้ำไหล ในหลักการผมเห็นด้วยถ้าหากรัฐมีการกำหนดแนวทางให้ปฏิบัติที่ชัดเจน แต่ต้องคำนึงผลกระทบไม่ไปสร้างภาระให้คนมีที่ดินในมือ แต่ไม่สามารถปลูกบ้านได้ ภาครัฐจะมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร”

นายวรวุฒิกล่าวว่า ขั้นตอนธุรกิจรับสร้างบ้าน ตามปกติจะดูให้เป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคารหรือกฎหมายก่อสร้างเป็นหลัก เช่น ที่ดินโซนนี้ผังเมืองสีอะไร ปลูกสร้างบ้านได้กี่ชั้น การถมดินต้องทำอย่างไร กรณีอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากจะมีการออกแบบป้องกันไม่ให้น้ำท่วมภายนอกรั้วบ้านเข้ามาในบ้าน และออกแบบให้ใช้ชีวิตสะดวกสบายมากที่สุด

“ข้อเท็จจริงการรับสร้างบ้านบนผังเมืองฟลัดเวย์มีไม่เยอะอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะสร้างบนทำเลเมืองชั้นใน หากผังเมืองมีข้อบังคับใหม่ ๆ บริษัทรับสร้างบ้านต้องตรวจสอบมากขึ้น อาจมีผลทำให้บ้านสร้างเองหดหายในโซนสีเขียวลายพอสมควร ขอเวลาศึกษาข้อมูลจริงจังก่อน”

นวัตกรรม “บ้านหนีน้ำ”

สำหรับหลักปฏิบัติพื้นฐานของการสร้างบ้านเอง 1.การถมดินต้องคำนึงระดับน้ำท่วมสูงสุดในอดีตเป็นตัวตั้ง แล้วถมดินสูงกว่า 30-40 ซม.

2.บ้านป้องกันน้ำท่วมจะมีดีไซน์เป็นบ้านหนีน้ำ ระดับถมดินเมื่อถมสูงขึ้นเพื่อยกบ้านสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนสร้างบ้านเพิ่มเป็นเงาตามตัว ทั้งโครงสร้างเสา-คาน-ตอม่อที่ต้องยกสูงขึ้น มีกำแพงกันดินไหล ฯลฯ

3.ปลั๊กไฟเคยติดตั้งสูงจากพื้น 30 ซม. อาจขยับสูงขึ้นเป็น 50 ซม. และมีการแยกตู้ไฟอยู่ชั้น 1-ชั้น 2 หากน้ำท่วมถึงชั้น 1 ก็ยังสามารถใช้ไฟบนชั้น 2 ได้ เป็นต้น

“การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคารอย่างเคร่งครัด เป็นการก่อสร้างที่ทำได้เฉพาะในเขตรั้วบ้าน แต่ภาพรวมของพื้นที่เราทำอะไรไม่ได้ ถ้ามีน้ำท่วมน้ำขังก็ต้องท่วมขังอยู่ภายนอกรั้ว เราทำได้แค่ในเขตรั้วบ้านของเรา”

จำกัดโซนผังน้ำสีเขียวลาย

นายวรวุฒิประเมินผลกระทบกรณีผังเมืองเพิ่มข้อบังคับไม่ให้ก่อสร้างขวางทางน้ำไหลว่า ถ้ากฎหมายบังคับใช้ทุกจังหวัด วิธีการปรับตัวของธุรกิจรับสร้างบ้านก็ต้องทำเหมือนกับการสร้างบ้านในกรุงเทพฯ เช่น โซนห้ามก่อสร้างมีข้อยกเว้นอะไรบ้างหรือไม่ เนื่องจากข้อเท็จจริงแบบบ้านในจังหวัดโซนน้ำท่วมบ่อยจะยกใต้ถุนสูง ชั้นล่างเป็นโถงโล่ง ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย

ในแง่ต้นทุนการสร้างบ้านโซนน้ำไม่ท่วมกับโซนน้ำท่วม คาดว่ามีต้นทุนสูงขึ้นไม่เกิน 5% เพราะต้องออกแบบและสร้างเป็นบ้านหนีน้ำ ต้องยกบ้านสูงขึ้น ยกใต้ถุนให้น้ำลอดได้ โครงสร้างและการใช้สอยวัสดุต้องปรับดีไซน์เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไปขวางทางน้ำจนถึงขั้นห้ามก่อสร้างเลย การทำงานก็ยากขึ้น เจ้าของที่ดินต้องรับสภาพไป

ข้อกังวลคือผังน้ำหลากคือสีเขียวลาย แต่ผังเมืองใหม่หากบังคับใช้กับทุกสีทุกประเภทจะกลายเป็นผลกระทบวงกว้าง เท่ากับเพิ่มคอสต์การก่อสร้างให้กับประชาชนที่จะปลูกสร้างบ้าน ในขณะที่สถานการณ์โควิดและสงครามมีผลกระทบต่อกำลังซื้อและค่าครองชีพของประชาชนหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ราคาวัสดุก็ยังมีความผันผวน ดังนั้น การจะบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเพิ่มเติมรัฐจะต้องไม่สร้างภาระเกินจำเป็น

เคล็ดลับแก้น้ำรอระบาย

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือ LPN กล่าวว่า กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลาง มีปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีส่วนร่วมแก้ปัญหาน้ำท่วมขังและรอระบาย เริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบโครงการทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม โดยคำนึงถึงการใช้น้ำที่ใช้ประโยชน์ในโครงการ การจัดการน้ำเสีย และน้ำฝน ก่อนระบายไปสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะ

ในทางกฎหมายควบคุมอาคารมีข้อปฏิบัติพื้นฐานเกี่ยวกับการระบายน้ำฝนโดยเฉพาะ เพื่อให้ปริมาณน้ำฝนที่ปล่อยออกจากโครงการมีปริมาณที่เหมาะสม ไม่สร้างผลกระทบกับพื้นที่ข้างเคียง หรือระบบระบายน้ำสาธารณะ

จากการศึกษาของทีมวิจัย LPN Wisdom พบว่า น้ำฝนมีเส้นทางการไหลหลัก ๆ 2 เส้นทาง คือ ตกบนพื้นดินหรือพื้นที่สีเขียว น้ำฝนสามารถไหลซึมลงไปสู่ชั้นดินได้ แต่น้ำฝนที่ตกบนพื้นที่ดาดแข็งหรือพื้นที่ไม่สามารถไหลซึมได้ เช่น พื้นถนน ดาดฟ้า คอนกรีต น้ำฝนจะไหลลงสู่ระบบระบายน้ำในโครงการก่อนออกไปท่อระบายน้ำสาธารณะ

ดังนั้น มีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ 1.ลงทุนพื้นที่สีเขียวในโครงการ ยิ่งเยอะยิ่งดี สามารถออกแบบตามเกณฑ์มาตรฐานอาคารเขียว เช่น มาตรฐาน LEED กำหนดต้องมีพื้นที่ open space มากกว่า 30% ของพื้นที่โครงการ โดยพื้นที่เปิดโล่งจะต้องมีพื้นที่สีเขียวไม่น้อยกว่า 25%

2.พื้นถนนและทางเท้า ใช้วัสดุปูพื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้ ซึ่งปัจจุบันมีนวัตกรรมวัสดุปูพื้นผิวถนน หรือพื้นที่ดาดแข็งให้มีลักษณะเป็นรูพรุน และมีคุณสมบัติให้น้ำซึมผ่านได้ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ที่สามารถดูดซับน้ำลงสู่ชั้นดิน ลดปริมาณน้ำในระบบระบายน้ำได้

3.ออกแบบพื้นที่สีเขียวในโครงการอย่างยั่งยืนที่เรียกว่า โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (green infrastructure)

“เทคโนโลยีการออกแบบและนวัตกรรมใหม่ ๆ ของวัสดุก่อสร้าง เป็นตัวช่วยทำให้ลดปริมาณน้ำท่วมขังและรอระบายในโครงการ และในพื้นที่สาธารณะโดยรอบโครงการ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังและรอระบายหน้าฝน ขณะเดียวกันยังเป็นการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วย” นายประพันธ์ศักดิ์กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


ณ วรางค์ แอสเซท เปิดตัวคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” พร้อมตอบโจทย์ Young Generation ครบทุกฟังก์ชัน

ณวรางค์ แอสเซท เตรียมลุยตลาดคอนโดฯ ไตรมาส 4 ของปี 2565 เน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Generation) หลังพบความต้องการย่านพหลฯ-อารีย์ ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เดินหน้าเปิดตัวโครงการ “ณ วรา พหลโยธิน 8” (Na Vara Phaholyothin 8) คอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้นระดับลักชัวรี่ มูลค่ารวม 300 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “อิสระแห่งการใช้ชีวิตแบบใหม่..ที่ใช่คุณ” (LIFE WITH CONTEMPORARY TWIST) ชูความ ‘Modern-Serenity-Classy’ และความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิต เพียง 35 ยูนิต ครบทุกฟังก์ชันพร้อมด้วย Auto parking และ Conventional Parking สูงถึง 80% บนทำเลสุดฮอตถนนพหลโยธิน การคมนาคมสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วนเพียง 5 นาที ในราคาเริ่มต้นเพียง 6.6 ล้านบาท พร้อมเปิด Pre-sales วันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2565 

นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด (Mr. Apipu Phromyothi, Chief Executive Officer of Navarang Asset Co., Ltd.) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วย Quality Design และ Private Residence เผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ผ่านมาว่า การดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ และ โครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ นั้นปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50% ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2567 สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565 ณวรางค์ แอสเซท ยังมีความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงยังมุ่งเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ชูจุดเด่นเน้นความเป็นส่วนตัวในราคาที่จับต้องได้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ล่าสุดบริษัทฯ พร้อมเปิดตัว โครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 คอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้น ระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่บนทำเลพหลฯ-อารีย์ ซ.พหลโยธิน 8 ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 300 ล้านบาท

“จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่านพหล-อารีย์ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าทำเลพหล-อารีย์ ยังคงมีการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยทำเลนี้ยังมีอุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทาน (Supply) ลดลง บริษัทฯ จึงเล็งเห็นศักยภาพของทำเลนี้ เนื่องจากทางบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ด้วยยอดขาย 40% ภายในวันเดียวในช่วง Pre-sales และแม้ทำเลนี้จะมีความยากในการพัฒนาโครงการ แต่ในความยากนั้นหากมองเป็นความท้าทาย ในฐานะนักพัฒนาโครงการ ทำให้ทางบริษัทฯ พัฒนาโครงการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า ด้วยการทำห้องชุดขนาดใหญ่หรือห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน เนื่องจากทำเลนี้ยังมีจำนวนน้อยและราคาสูงจากขนาดห้องชุดที่ใหญ่ขึ้น ที่สำคัญย่านพหล-อารีย์ก็กำลังจะกลายเป็นที่ดินระดับ “RARE ITEM” เนื่องด้วยอุปทาน (Supply) ที่เกิดขึ้นไม่มากนัก”

“สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภคบนทำเลนี้เป็นคนทำงานที่รักความสงบ ต้องการความสะดวกสบาย มีรสนิยม และต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และจากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ผนวกกับศักยภาพทำเลย่านนี้ทำให้ ณวรางค์ แอสเซท ตัดสินใจเปิดโครงการใหม่ บนทำเลเดิมอีกครั้ง คือ เปิดตัวโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ Younger Generation Successor อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ที่ต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองที่สามารถสะท้อนความหรูหรามีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ และยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัวบนราคาที่สามารถจับต้องได้ ด้วยราคาเริ่มต้น 6.6 ล้านบาท คิดเป็นราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาท/ตร.ม.ให้ความคุ้มค่าทั้งการเลือกซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง รวมถึงในแง่ของการลงทุนที่มองว่าโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนจากการเช่าสูงในย่านนี้อยู่ในระดับที่สูงถึง 4-5% ต่อปี”

ด้าน นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด (Mr. Onkarit Phromyothi, Chief Operating Officer of Navarang Asset Co., Ltd.) เผยว่า “จากการสำรวจความต้องการของลูกค้าบนทำเล พหลฯ-อารีย์ ที่ต้องการห้องพักที่ขนาดใหญ่ มีความเป็นส่วนตัว สามารถอยู่อาศัยได้จริงในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งนับเป็นโจทย์สำคัญในการออกแบบโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 ดังนั้นโครงการนี้จึงถูกออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “อิสระแห่งการใช้ชีวิตแบบใหม่..ที่ใช่คุณ” (LIFE WITH CONTEMPORARY TWIST) มาพร้อมกับการออกแบบสไตล์ “Modern Classic” ที่แสดงถึงที่มาและความคลาสสิก (Classic) ของทำเลย่านพหลโยธิน ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของข้าราชการ และขุนนางในสมัยก่อน มาผสมผสานกับไลฟ์สไตล์โมเดิร์นของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอารีย์ไปในปัจจุบัน โดยสะท้อนแนวความคิดออกมาทางการใช้เส้นสายของ Classic Elements ที่มีการย่อมุมและเส้นบัวผนังอาคาร เพื่อช่วยเรื่องสัดส่วนในรูปด้าน อีกทั้งเป็นครีบและเสาในการบังแดดและฝนตามทิศที่ตั้ง ผสานกับเทคนิคการออกแบบสมัยใหม่ (MODERN) ในการใช้ความขัดแย้งกันของวัสดุ (Contrast Texture) ที่มีพื้นผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น เหล็ก ปูน กระจก มาประกอบกันในสัดส่วนที่พอเหมาะเพื่อรูปด้านที่ลงตัว นอกจากนี้ ตัวรูปด้านหรือ façade  ถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน โดยได้แรงบันดาลใจแบบ Modern Nordic Classicism ทำให้เส้นสายดูนุ่มนวล เรียบง่ายและดูหรูหรามีระดับ รวมถึงแสงและเงาที่เปลี่ยนไปตามแต่ละช่วงเวลาของวัน ทำให้เกิดมิติที่เปลี่ยนไปของอาคาร ซึ่งแนวความคิดในการออกแบบของงานสถาปัตยกรรมให้ลงตัวและสมดุล เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ในงานดีไซน์ของ ณวรางค์ แอสเซท ที่สะท้อนการออกแบบให้กลมกลืนไปกับวัฒนธรรมของทำเลนั้นๆ ได้อย่างมีมิติและสง่างาม” 

“ถนนพหลโยธิน” นับเป็นอีกหนึ่งถนนสายหลักทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ซึ่งถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร แต่เดิมย่านพหลโยธิน เป็นทำเลที่ตั้งของบ้านเรือนของข้าราชการและผู้ดีมีเงินในสมัยเก่า เป็นย่านที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของคนชนชั้นสูง โดยกลิ่นอายของเรื่องเล่าในอดีตทั้งหลายเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดต่อกันมาจนถึงลูกหลาน ซึ่งปัจจุบันย่านพหลโยธิน นับเป็นไพร์มโลเคชั่นที่สำคัญของกรุงเทพฯ มากขึ้น ด้วยมีการเติบโตและขยายตัวทั้งด้านการคมนาคม การเชื่อมต่อรถไฟฟ้าและถนนหลายสาย รวมทั้งทางด่วนที่เพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางอันเร่งรีบ

ณ วรา พหลโยธิน 8 เป็น Low rise Condominium ระดับลักชัวรี่ สูง 8 ชั้น 1 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 0-1-95 ไร่ ของซอยพหลโยธิน 8 มูลค่าโครงการรวม 300 ล้านบาท ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยจำนวน 35 ยูนิต ที่ให้ความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตเพียง 6 ยูนิต / ชั้น มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกันถึง 4 แบบ ได้แก่ แบบ 1 Bedroom ขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1พื้นที่ใช้สอย 40-46 ตารางเมตร, แบบ 2 Bedrooms ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 50.50 ตารางเมตร, แบบ 2 Bedrooms ขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 53-77.50 ตารางเมตร และ แบบ Duplex ขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 107.50-116 ตารางเมตร โดยการดีไซน์ฟังก์ชันภายในห้องเน้นไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ชอบสังสรรค์ รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อให้ปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย และความพิเศษกับการออกแบบห้องหน้ากว้างเป็นแนวนอนผืนผ้าที่ค่อนข้างหาทำได้ยากในปัจจุบันนี้รวมถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเพื่อสอดรับกับความเป็น Private Living พร้อมไฮไลท์สำคัญที่จอดรถระบบ Automatic Parking และ Conventional Parking ที่สามารถรองรับได้สูงสุดถึง 80% นอกจากยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ล็อบบี้, ฟิตเนส, Mail Box room ระบบรักษาความปลอดภัย ได้แก่ระบบ Keycard, กล้อง CCTV และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยเริ่มก่อสร้าง 1 มค.2566 และคาดว่าสร้างแล้วเสร็จภายใน ปี 2567 

“โครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 เตรียมเปิด Pre-Sales วันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2565 พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับผู้จองในงาน อาทิ ส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท* ซึ่งคาดว่า หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ จะสามารถสร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ ได้ประมาณ 50% ภายในสิ้นปี” นายอภิภู กล่าวปิดท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก terrabkk.com


‘อาร์เอส กรุ๊ป’ ดัน ‘ป็อปคอยน์’ ลงกระดานเทรดโลก เสริม‘อีโคซิสเต็ม’

‘อาร์เอส กรุ๊ป’ ดัน ‘ป็อปคอยน์’  ลงกระดานเทรดโลก เสริม‘อีโคซิสเต็ม’

“ป็อปคอยน์” ลงกระดานเทรดระดับโลก เสริมอีโคซิสเต็ม “อาร์เอส กรุ๊ป” ตัั้งเป้าผู้ใช้งาน “ป็อปวอลเล็ต” แตะ 1 ล้านบัญชี ปลายปีนี้ พร้อมเตรียมขยายโมเดลธุรกิจต่างประเทศ

ต้องยอมรับว่า “เทคโนโลยี” ในปัจจุบันเติบโตอย่างก้าวกระโดด นำไปสู่การเกิดของ Business Model ใหม่ๆ ทำให้หลายๆ ธุรกิจต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่นเดียวกับ บริษัท อาร์เอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RS ที่นำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาเสริมธุรกิจให้กลายเป็นอีโคซิสเต็มที่แข็งแรง ภายใต้แนวคิด “Web3.0” ที่ทำให้ผู้ใช้งาน และผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นจุดแข็งของ “POP Coin” เหรียญ “ยูทิลิตี้โทเคน” ที่ต้องการให้มีการใช้งานจริงตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ มากกว่าการเก็งกำไรในตลาด “คริปโทเคอเรนซี”

นายฐณณ ธนกรประภา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ โฟร์ท แอปเปิ้ล เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การลิสส์เหรียญป็อปคอยน์ บนกระดานเทรดโกลบอล XT.COM ช่วยให้อีโคซิสเต็มของบริษัทสามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นไปตามการวางแผนที่ประกาศไว้ในไวท์เปเปอร์ที่จะมีการลิสส์บนกระดานต่างประเทศในไตรมาส 3 และทำให้มี Popster หรือผู้ใช้งาน Pop wallet แตะ “ล้านบัญชี” ในสิ้นปีนี้ ปัจจุบัน 750,000 บัญชี จากการใช้งานของลูกค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ที่มากที่สุดในตลาด

ลิสส์ ‘ป็อปคอยน์’ เพิ่มทางเลือก

23 ก.ย. ที่ผ่านมา เหรียญ POP Coin ถูกลิสส์บนกระดานเทรด XT.COM ซึ่งมีฐานอยู่สิงคโปร์ ในช่วงเวลา 10.00 น. ตามเวลาไทย มีราคาเปิดอยู่ที่ 0.002 ดอลลาร์ หรือประมาณ 31 สตางค์ ซึ่งราคาผันผวนไปตามดีมานด์ซัพพลายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย จากที่คาดว่าผู้ที่ได้รับแอร์ดรอปและถือเหรียญมาตั้งแต่ต้นปี 2565 จะเทขายเมื่อเปิดตลาด แต่กลับมีวอลลุ่มคนซื้อก็พอๆ กัน ซึ่งหลังจากเปิดขายได้ 1 ชั่วโมงมีเหรียญถูกซื้อขายในตลาดกว่า 6 ล้านเหรียญ

หลังจากที่ POP Coin ได้ลิสส์เหรียญบนกระดานเทรดแล้ว ทำให้เพิ่มช่องทางของผู้ที่ถือเหรียญสามารถนำเหรียญไปใช้ประโยชน์ นอกเหนือจากการรีดีมแลกสิ่งของ (Redeem rewards) ของทางเอนเตอร์เทนเมนท์ สามารถนำเหรียญไปใช้ได้อีก 3 ช่องทาง คือ 1.แลกสินค้าและบริการจากแบรนด์ต่างๆ 2.นำเหรียญมาวางสเตกบนกระดานเทรด 3.ซื้อขายผ่านกระดานเทรดที่อาจมีกำไรจากราคา

การที่ลิสเหรียญในกระดานต่างประเทศสามารถต่อยอดธุรกิจได้มากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนไม่ได้อยู่เพียงแค่ในประเทศไทยเป็นหลักเท่านั้น ซึ่งสามารถต่อยอดไปในต่างประเทศเพราะเทคโนโลยีดิจิทัลไม่มีพรมแดนทำให้มีคนใช้คอยน์ของเราได้ทุกพื้นที่

ตอบโจทย์ ‘ไลฟ์สไตล์’ มากกว่า ‘เก็งกำไร’

นายฐณณ กล่าวว่า POP Coin ถูกจุดประกายตั้งแต่ก่อนช่วงโควิด-19 ที่ “อาร์เอส กรุ๊ป“ ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับศิลปินเกาหลี ทำให้เห็นช่องว่างของปัญหาคอนเทนท์ครีเอเตอร์ที่เหล่าท็อปสเปนเดอร์ไม่สามารถสร้างมูลค่ากับสิ่งของที่ได้รับจากไม่มีตลาดรองรับในฐานะผู้จัดพบว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้

อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการปะทุขึ้นของวงการบล็อกเชนและคริปโท แล้วกระโดดลงไปทำในสิ่งที่ไม่มีความรู้หรือไม่ได้ถนัด แต่ตระหนักถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ สามารถแก้ปัญหาของธุรกิจได้จริง ทำให้วิธีคิดของเหรียญจึงมีความแตกต่างจากเหรียญอื่นๆ ที่มีการเก็งกำไร ทำให้ในมุมผู้บริโภค เราคือ “ไลฟ์สไตล์แรร์ไอเทมมาเก็ตเพลส” ที่ตั้งต้นจากเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และต้องมีของที่สามารถตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์

แม้ว่า ตลาดคริปโทที่ปรับตัวลดลง แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับ POP Coin เนื่องจากเหรียญนี้ไม่ได้เทรดบนกระดานตั้งแต่แรก ทำให้ดีมานด์ซัพพลายของเหรียญเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับตลาดคริปโท แต่ขึ้นอยู่กับแผนธุรกิจ ต่อให้บิตคอยน์ราคาผันผวนอาจทำให้ยูสเซอร์ที่เป็นเทรดเดอร์อาจเทขาย แต่ในทางกลับกัน ราคาของเหรียญอาจไม่ลงมาเพราะคนยังอยากเก็บเหรียญเพื่อมารีดรีม ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก ๆ ของ Pop Coin คือ 1.เทรดเดอร์ ที่ไม่สนใจในเอ็นเตอร์เทนเมนต์ แต่มองเห็นความเข้มแข็งของอีโคซิสเต็ม 2.ยูสเซอร์ที่ต้องการรีดีมรางวัล และเชื่อว่ากลุ่มผู้ใช้งานจะเปลี่ยนแปลงไปตามสินค้าที่เรานำมารีดีม ซึ่งเฟสแรกคือสินค้าจากเอ็นเตอร์เทนเมนท์ที่เรามี

ขยายแผนดำเนินธุรกิจ 3 สเกล

ขั้นตอนต่อไป คือ ขยายอีโคซิสเต็มให้กว้างขึ้นโดยโฟกัส 2 เป้าหลัก คือการขยายยูสเซอร์ Pop wallet ให้เข้าสู่หลักล้านบัญชี

และขยายหมวดหมู่สิ่งของที่ใช้ในการรีดีมนอกเหนือจากกลุ่มเอนเตอร์เทนเม้นท์ และในอนาคตคาดว่าจะขยายโมเดลที่ประสบความสำเร็จในไทย ทำให้มองหาลู่ทางในต่างประเทศ ในกลุ่มเซาท์อีสเอเชีย จากคอนเทนท์และไลฟ์สไตล์ที่มีความคล้ายคลึงกัน พร้อมกับสร้างความเข้าใจด้วยการ Learning by doing รวมทั้งเริ่มเห็นยูสเคสมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใจทั้งมุมมองการใช้งานและมุมเทรดมากยิ่งขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่ได้วางไว้ คือ การลิสส์เหรียญบนกระดานเทรดไทย 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เห็นได้ชัด “อัจฉราพร” สะท้อน 3 ปัจจัยหลัก “ตบสาวไทย” พ่าย “แคนาดา” ชิงแชมป์โลก 2022

เห็นได้ชัด "อัจฉราพร" สะท้อน 3 ปัจจัยหลัก "ตบสาวไทย" พ่าย "แคนาดา" ชิงแชมป์โลก 2022

“อัจฉราพร คงยศ” ออกมาสะท้อน 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” พ่ายแพ้ให้กับ “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติแคนาดา” 1-3 เซต ในศึก “วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022”

วันที่ 4 ต.ค. 65 ความเคลื่อนไหวหลังเกมที่ทาง “ตบลูกยางสาว” วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ภายใต้การนำทีม “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล พ่ายแพ้ให้กับ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติแคนาดา 1-3 เซต ด้วยคะแนน 19-25, 21-25, 22-25 ในการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022 รอบ 2 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย กลุ่มเอฟ

ล่าสุดหลังจบเกมดังกล่าว อัจฉราพร คงยศ ออกมากล่าวว่า “เกมนี้ปัจจัยแรกเราค่อนข้างออกตัวได้ช้าด้วยสภาพร่างกายของเราเพราะเจอศึกหนักมาสองสนาม นั่นจึงทำให้เป็นอย่างที่บอกว่าทำให้เราออกตัวได้ช้าในเกมนี้ ส่วนปัจจัยที่สองต้องยกให้ทาง แคนาดา ที่ตั้งใจมาแก้เกมกับเรา เขาทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี เขาต้องการที่จะชนะแมตช์นี้เลย อย่างตอน เนชันส์ลีก เขาก็แพ้เราไป นั่นทำให้ถ้าเขาเอาชนะเราได้เขาก็ประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งเขาก็ทำได้จริงๆ ส่วนอีกปัจจัยคือเราก็อาจจะหลุดฟอร์มตัวเองไปค่อนข้างเยอะ”

สำหรับ อัจฉราพร คงยศ มีโปรแกรมนำ “ตบลูกยางสาว” วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ลงสนาม รอบสอง นัดที่ 2 ในศึก วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022 ด้วยการพบกับ “ตบสาวเมืองเบียร์” วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติเยอรมนี ในวันที่ 5 ตุลาคม 20.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เช่นเดิม

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


สิทธิบัตรทอง 9 รพ.เอกชนถูกยกเลิกสัญญา เลือกหน่วยบริการใหม่ได้ 10 ต.ค.นี้

เริ่ม 10 ต.ค.นี้ ผู้ถือสิทธิบัตรทองใช้สิทธิที่ 9 โรงพยาบาลเอกชนซึ่งถูกยกเลิกสัญญา สามารถหาหน่วยบริการปฐมภูมิเพิ่มแห่งใหม่ได้ พร้อมหาโรงพยาบาลรับส่งต่อมาเพิ่ม หลังโรงพยาบาลแต่ละสังกัดมารับดูแลช่วง 3 เดือนนี้

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร กรมการแพทย์ พร้อมทั้งโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ประชุมการจัดระบบบริการสาธารณสุขเพื่อดูแลประชาชนสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง 30 บาท) ที่มีโรงพยาบาลเอกชน 9 แห่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ และรับส่งต่อทั่วไป ตามที่ สปสช.ได้มีการยกเลิกสัญญาการให้บริการปฐมภูมิ ประจำ และรับส่งต่อทั่วไปกับโรงพยาบาลเอกชน 9 แห่ง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยเป็นไปตามข้อกฎหมายจากปัญหาการเบิกจ่ายค่าบริการไม่ถูกต้อง นั้น

พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จากการหารือร่วมกับ นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และ พญ.ปิยะธิดา หาญสมบูรณ์ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ ได้ข้อสรุปว่า ในส่วนของการหาหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำแห่งใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญา รพ.เอกชน 9 แห่ง ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปจะกลายเป็นสิทธิว่าง ได้ลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการใหม่นั้น สปสช.และสำนักอนามัย จะร่วมจัดทำบัญชีเครือข่ายหน่วยบริการให้ประชากรสิทธิว่างเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยศูนย์บริการสาธารณสุข ยินดีเป็นหน่วยบริการประจำ โดยขอให้ สปสช.จัดหาคลินิกชุมชนอบอุ่นมาเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิเพิ่มเติมเพื่อดูแลประชาชน และได้กำหนดให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำแห่งใหม่ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป

สปสช.จะจัดทำบัญชีเครือข่ายหน่วยบริการให้ประชาชนได้เลือก โดยสามารถเข้าไปดูรายชื่อได้ที่เว็บไซต์ สปสช. http://mscup.nhso.go.th/mastercup/ เพื่อเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำแห่งใหม่ของตน หรือโทร.สอบถามได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 ซึ่งจะระบุหน่วยบริการใกล้บ้านให้ประชาชนเลือกลงทะเบียนได้ หรือดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน สปสช. และไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso ได้เช่นกัน

สำหรับการจัดหาหน่วยบริการแห่งใหม่มาเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อนั้น การหารือในวันนี้ ได้ข้อสรุปว่าในช่วงระยะเวลา 3 เดือนต่อจากนี้ ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.มเหสักข์ เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เลิดสินและ รพ.ตากสินแทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.กล้วยน้ำไท เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เจริญกรุงประชารักษ์แทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.บางนา 1 เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.เดอะซีพลัสแทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.นวมินทร์ เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.นพรัตน์ราชธานีแทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.เพชรเวช เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.คลองตันและ รพ.กลางแทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.ประชาพัฒน์ เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.ไอเอ็มเอช ธนบุรี แทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.แพทย์ปัญญา เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.สิรินธร รพ.ราชวิถี รพ.กลาง และ รพ.เดอะซีพลัส แทน, ผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยมี รพ.บางมด เป็น รพ.รับส่งต่อ จะเปลี่ยนเป็น รพ.ราชพิพัฒน์แทน

“สำหรับ รพ.รับส่งต่อนั้น ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนต่อจาก สปสช.จะหา รพ.รับส่งต่อแห่งใหม่มาเพิ่มอีก เพื่อดูแลผู้มีสิทธิบัตรทอง และจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง” พญ.ลลิตยา กล่าวและว่า สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องรับยาและตรวจติดตามอาการต่อเนื่องนั้น สามารถไปรับยาและรับการรักษาได้ตามที่สถานพยาบาลที่ สปสช.ได้แจ้งให้ทราบแล้ว โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ สปสช. www.nhso.go.th นอกจากนั้นผู้ป่วยที่มีนัดรักษาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปที่ รพ.กล้วยน้ำไท รพ.ประชาพัฒน์ และ รพ.บางมด ยังคงไปรับการรักษาได้เหมือนเดิมจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยทั้ง 3 รพ.ยินดีรับดูแลผู้ป่วยต่อในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนี้

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
1.สายด่วน สปสช. 1330 กด 6
2.ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.เตรียมเปิดให้ ปชช.สิทธิบัตรทอง 9 รพ.เอกชนถูกยกเลิกสัญญา เลือกหน่วยบริการใหม่ได้ 10 ต.ค.นี้

ขอบคุณข้อมูลจาก workpointtoday.com


ฟักข้าว ประโยชน์ของพืชพื้นบ้านลูกจิ๋ว สรรพคุณแจ๋ว

 ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพมาพักหนึ่งแล้ว สำหรับผักพื้นบ้านที่มีชื่อว่า “ฟักข้าว” เชื่อว่าหลายคนคงคุ้น ๆ กับชื่อนี้ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า “ฟักข้าว” มีประโยชน์อย่างไร เอ้า…ใครที่ยังไม่รู้ว่า สรรพคุณของฟักข้าว มีอะไรบ้าง ตามมาอ่านกันจ้า

ฟักข้าว คืออะไร ?

          ฟักข้าว เป็นพืชไม้เลื้อยอยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระ มีชื่อสามัญว่า Spring Bitter Cucumber เป็นพืชที่ขึ้นตามรั้วบ้าน หรือตามต้นไม้ต่าง ๆ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ใบเป็นรูปหัวใจคล้ายใบโพธิ์ ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกจะมีสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง

ฟักข้าว

          ผลของฟักข้าว 2 ลักษณะ คือ ทรงกลม และทรงรี ผลกลม ๆ จะยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ส่วนผลรีจะยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ถ้ายังเป็นผลอ่อนอยู่ ผลจะมีสีเขียวอมเหลือง มีหนามถี่ ๆ อยู่รอบผล แต่เมื่อสุกแล้ว ผลจะมีสีแดง หรือแดงอมส้ม และหากผ่าผลฟักข้าวออกดูข้างใน ก็จะเห็นเมล็ดจำนวนมากเรียงตัวกันคล้ายเมล็ดแตง แต่ละผลหนักประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม

หลายคนที่อยู่ต่างจังหวัดอาจจะไม่คุ้นชื่อกับ “ฟักข้าว” แต่คุณอาจจะคุ้นกับชื่อที่เรียกกันในท้องถิ่น อย่างจังหวัดปัตตานี จะเรียก “ฟักข้าว” ว่า “ขี้กาเครือ” จังหวัดตาก จะเรียกว่า “ผักข้าว” จังหวัดแพร่ เรียก “มะข้าว” เป็นต้น

ประโยชน์ของฟักข้าว ผลจิ๋ว สรรพคุณแจ๋ว

          เห็นหน้าค่าตารู้จัก “ฟักข้าว” กันไปแล้ว ลองมาดูกันบ้างดีกว่า ว่า “ฟักข้าว” นำไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ คนนิยมนำผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหาร เพราะรสชาติของฟักข้าวอร่อยออกขมนิด ๆ แต่นุ่มลิ้น และเพราะว่า “ฟักข้าว” เป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็นเช่นเดียวกับพืชตระกูลแตง การรับประทาน “ฟักข้าว” จึงช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ด้วย ซึ่งวิธีปรุงอาหารจาก “ฟักข้าว” ก็ไม่ยาก แค่นำ “ฟักข้าว” มาลวก หรือต้มให้สุก แล้วจิ้มกินกับน้ำพริก หรือใส่ในแกง เช่น แกงเลียง แกงส้ม ก็ได้เมนูอร่อยเด็ดอีกจานแล้ว

ฟักข้าว

แล้วรู้ไหมว่า เห็น “ฟักข้าว” ผลเล็ก ๆ แบบนี้ แต่มีสรรพคุณเด็ด ๆ มากมายเลยล่ะ โดยเฉพาะผลอ่อนของฟักข้าวที่มีทั้งวิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ไฟเบอร์ แต่สารอาหารที่พบมากใน “ฟักข้าว” ก็คือ เบต้าแคโรทีน โดยพบว่า เยื่อเมล็ดของฟักข้าวมีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอทถึง 10 เท่าเชียวนะ ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารตั้งต้นของวิตามิน ซึ่ส่วนช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

          ไม่ใช่แค่ “แคโรทีน” เท่านั้น เพราะรายงานการศึกษาของต่างประเทศ ยังพบด้วยว่า ในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวสีแดงมีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า แต่สำหรับฟักข้าวสายพันธุ์ไทยมีปริมาณไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศเพียง 12 เท่า ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว

          ทั้งนี้ ทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่า ไลโคปีนจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวเป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้น หากจะบอกว่า ฟักข้าว เป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่ต้านมะเร็งได้ดีก็คงไม่ผิดนัก

ในตำรับยาไทย ได้กล่าวถึงสรรพคุณส่วนต่าง ๆ ของฟักข้าวไว้ คือ

          – ใบ ปรุงเป็นยาเขียว ใช้ถอนพิษ ดับพิษทุกชนิด ตำพอกแก้ปวดหลัง

          – ยอด มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณที่สูง จึงสามารถใช้รักษามะเร็ง

          – เมล็ด ใช้บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และแก้วัณโรค

          – ราก ใช้ต้มดื่ม หรือตากแห้ง บดเป็นผงแล้วปั้นขนาด 0.5 กรัม กินครั้งละ 3-5 เมล็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น ขับเสมหะ ดับพิษไข้ แก้เข้าข้อ ปวดตามข้อ ถอนพิษไข้ นอกจากนี้ หากนำส่วนของรากแช่น้ำ แล้วใช้น้ำสระผม จะช่วยแก้ผมร่วง และฆ่าเหาได้

ฟักข้าว กับ 5 คุณประโยชน์สุดทึ่งที่แอบซ่อนอยู่ในพืชผักรูปร่างแปลกตา

นอกจากในประเทศไทยแล้ว เรายังสามารถพบ “ฟักข้าว” ได้ในอีกหลายประเทศในแถบเอเชีย ทั้งประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งแต่ละประเทศก็รู้จักสรรพคุณของ “ฟักข้าว” เป็นอย่างดี และนำ “ฟักข้าว” มาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ กัน อย่างเช่น

          – ประเทศจีน นิยมนำเมล็ดแก่ของฟักข้าวมาบดให้แห้ง นำไปผสมน้ำมัน หรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อย แล้วทาผิวหนังบริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม จะช่วยรักษาอาการบวมได้ นอกจากนั้น ยังช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน ฟกช้ำ แก้อาการผื่นคัน โรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ด้วย

          – ประเทศเวียดนาม ชาวเวียดนามนิยมนำฟักข้าวมาปรุงอาหารในเทศกาลปีใหม่ และงานมงคลสมรส โดยจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮานอย พบว่า น้ำมันจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งตับ

          – ประเทศฟิลิปปินส์ นำรากฟักข้าวมาบดแล้วนำไปหมักผม เพื่อช่วยให้ผมดกและยังสามารถกำจัดเหาได้ด้วย ซึ่งในประเพณีล้านนาของไทยก็มีการนำฟักข้าวไปสระผมเช่นกัน เพื่อช่วยแก้อาการคันศีรษะ แก้รังแค แก้ผมร่วง และช่วยให้ผมดกดำขึ้น

          – ประเทศญี่ปุ่น มีการวิจัยพบว่า โปรตีนจากสารสกัดน้ำของผลฟักข้าวช่วยยับยั้งการเจริญของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูทดลอง

ฟักข้าว

          สำหรับในประเทศไทยเองนั้น ขณะนี้มีนักวิจัยกำลังศึกษาสรรพคุณของฟักข้าวอย่างมากมาย อย่างเช่น คณะนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ได้ร่วมกันศึกษาเรื่องการนำน้ำมันของเยื่้อหุ้มเมล็ดฟักข้าวในอนุภาคไขมันระดับนาโน มาพัฒนาเป็นเครื่องสำอางลดเลือนริ้วรอย ซึ่งจากการทดสอบก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และทำให้งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับรางวัล “IFSCC Host Society Award 2011” จากงานประชุมสมาพันธ์นักเคมีเครื่องสำอางนานาชาติ 2011 (IFSCC 2011) 

          นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า ในเมล็ดฟักข้าวมีโปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอวี และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย ขณะที่นักวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็กำลังศึกษาวิจัย เพื่อปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ฟักข้าวให้มีปริมาณเบต้าแคโรทีนและสารไลโคปีนสูงขึ้น และมีผลผลิตของเยื่อหุ้มเมล็ดเพิ่มมากขึ้นด้วย

ฟักข้าว

น้ำฟักข้าว ทำเองง่าย ๆ ไม่ยากเลย

          มีสูตรน้ำฟักข้าวจากนิตยสารแม่บ้าน มาบอกกัน ดื่มแล้วช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย

ส่วนผสม

          – ลูกฟักข้ำวสุก 1 กิโลกรัม

          – น้ำต้มสุก 1,500 มิลลิลิตร

          – น้ำตาลทราย 150 กรัม

          – น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

          – เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชำ

วิธีทำ

           1. ผ่าครึ่งฟักข้าว ใช้ช้อนตักเมล็ดออก ใส่ลงในกระชอนตาห่าง ๆ ใช้ช้อนขูดจนเนื้อเยื่อสีแดง ๆ ออกจากเมล็ดจนหมด
           2. ใส่เนื้อเยื่อสีแดง ๆ ลงในน้ำาต้มสุก คนให้เข้ากัน กรองด้วยกระชอนตาถี่ ๆ
           3. ใส่น้ำตาลทราย น้ำามะนาว และเกลือป่น คนให้เข้ากันชิมรส เปรี้ยว หวาน ตามชอบ นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม

เห็นแบบนี้แล้ว ต้องยกให้ “ฟักข้าว” เป็นพืชมหัศจรรย์อีกหนึ่งชนิด เพราะมีสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางโภชนาการไม่น้อยเลยทีเดียว และเชื่อว่าหากมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เราคงได้ค้นพบถึงสรรพคุณเจ๋ง ๆ ของพืชพื้นบ้านชนิดนี้อีกแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก health.kapook.com


แนะ 3 ขั้นตอนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

กรมควบคุมโรค แนะนำวิธีการป้องกัน ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หลังจากถูกสุนัข-แมวกัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าตา ปาก หรือทางผิวหนังที่มีบาดแผล ถึงแม้ว่าแผลจะมีขนาดเล็ก ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและเข้ารับวัคซีนตามกำหนดให้ครบโดส ย้ำการรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เป็นทางเดียวในการป้องกันการติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าได้

                    นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในปัจจุบันยังมีการพบสัตว์พบโรคพิษสุนัขบ้าได้ทั่วประเทศ และอาจมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโดนสุนัข-แมว กัดหรือข่วน จึงขอเตือนประชาชนว่า โรคพิษสุนัขบ้ามีความรุนแรงหากได้รับเชื้อพิษสุนัขบ้า เมื่อติดเชื้อและแสดงอาการแล้วรักษาไม่หาย และเสียชีวิตทุกราย ซึ่งสาเหตุของการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ เกิดจากการถูกสุนัขหรือแมวกัด-ข่วน แล้วไม่ได้พบแพทย์ หรือเข้ารับฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างถูกต้อง  ดังนั้นหากถูกสุนัขหรือแมวที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือทางผิวหนังที่มีบาดแผล แม้แผลเล็กน้อย ควรรีบปฐมพยาบาล โดยล้างแผลทันทีด้วยน้ำและฟอกด้วยสบู่เบาๆหลายๆครั้ง เช็ดแผลให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อโพวีโดนไอโอดีน หรือทิงเจอร์ไอโอดีน จากนั้นควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้ครบโดส และควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ปัจจุบันการฉีดวัคซีนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

                    การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้ถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลีย ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของร่างกาย ซึ่งอาจป้องกัน 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1.ก่อนถูกกัด ใช้หลักการคาถา 5 ย. ป้องกันการถูกกัด ได้แก่ “อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ อย่ายุ่ง” คือ อย่าแหย่ให้สุนัขโมโห อย่าเหยียบสุนัขหรือทำให้สุนัขตกใจ อย่าแยกสุนัขที่กำลังกัดกันด้วยมือเปล่า อย่าหยิบชามอาหารขณะสุนัขกำลังกิน และอย่ายุ่งกับสุนัขนอกบ้านหรือที่ไม่ทราบประวัติ  2.กรณีถูกกัด ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน และรีบไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอย่างเหมาะสม รวมถึงกักขังสัตว์ที่กัด สังเกตอาการอย่างน้อย 10 วัน หากสุนัขหรือแมวเสียชีวิต ให้รีบแจ้งผู้นำชุมชนที่อยู่ใกล้ที่สุด และแจ้งปศุสัตว์ในพื้นที่ เพื่อส่งสัตว์ที่สงสัยตรวจหาเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าทางห้องปฏิบัติการ และ 3.หลังจากถูกกัด ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างต่อเนื่องครบชุดตามเวลาที่แพทย์นัด ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะฉีดเพียง 4 – 5 ครั้งเท่านั้น

                    “ขอให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกัน โดยเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงสุนัข-แมวอย่างถูกวิธี คุมกำเนิดด้วยการทำหมัน พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี เลี้ยงในบริเวณบ้าน อย่าปล่อยออกไปนอกบ้านโดยไม่ดูแลเพราะหากถูกหมาบ้ากัดก็อาจติดโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงเมื่อประชาชนถูกสุนัขแมวกัดหรือข่วน ให้รีบล้างแผล ใส่ยา กักสุนัข 10 วัน จากนั้นให้รีบมาพบแพทย์เพื่อพิจารณาการการให้วัคซีน และต้องมาฉีดวัคซีนให้ครบตรงตามนัดทุกครั้ง” นายแพทย์ธเรศ กล่าว

                    นายแพทย์ธเรศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับอาการของโรคพิษสุนัขบ้า หลังจากรับเชื้อ ผู้ป่วยจะแสดงอาการเบื่ออาหาร เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีไข้ อ่อนเพลีย ชา เจ็บเสียว หรือปวดบริเวณรอยแผลที่ถูกกัด คันอย่างรุนแรงที่แผล ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย ไม่ชอบเสียงดัง เพ้อเจ้อ กลัวแสง กลัวลม กลัวน้ำ กลืนลำบาก โดยเฉพาะของเหลว และกล้ามเนื้อขากระตุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรืออาจชัก เกร็ง เป็นอัมพาต หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด ข้อปฏิบัติสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ควรนำสัตว์เลี้ยงของตนเองไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เมื่อสัตว์เลี้ยงมีอายุ 2-3 เดือนขึ้นไป 2 เข็ม และฉีดวัคซีนเป็นประจำปีละ 1 เข็ม และหากพบเห็นสัตว์ที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคพิษสุนัขบ้า คือมีอาการหางตก เดินโซเซ น้ำลายย้อย ลิ้นห้อย ตาขวาง ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือผู้นำชุมชนทันที

                    นอกจากนี้ การขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง ไม่ปล่อยทิ้งให้เป็นสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ เป็นอีกวิธีที่ประชาชนสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ รู้จักวิธีป้องกันไม่ให้สุนัขกัดหรือทำร้าย ด้วย คาถา 5 ย. จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า กรมควบคุมโรค ยังมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศไทย และต้องขอความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนในการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งนี้หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค 1422

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


สุด! Apple ปล่อยอัปเดคเฟิร์มแวร์สำหรับที่ชาร์จ MagSafe

หลาย ๆ คนอาจจะไม่คาดคิดว่าที่ชาร์จก็มีอัปเดตเฟิร์มแวร์กับเค้าด้วย ล่าสุด Apple ได้ปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์เวอร์ชันใหม่สำหรับที่ชาร์จแม่เหล็ก MagSafe ครับ

อัปเดต MagSafe เวอร์ชันล่าสุด 10M1821 จากเดิมที่เป็นเวอร์ชัน 10M229​ ซึ่งการอัปเดตครั้งนี้เราไม่ต้องกดหรือทำอะไรครับ ทั้งนี้ไม่มีวิธีการอัปเดตที่แน่ชัดออกมา แต่ทาง MacRumors ระบุว่าให้เราติดที่ชาร์จกับตัว iPhone แล้วชาร์จตามปกติ จากนั้นระบบจะอัปเดตให้เอง​ เราสามารถตรวจสอบได้ผ่านแอปพลิเคชัน Settings ของตัวเครื่อง โดยจะปรากฏเลขเฟิร์มแวร์เป็น 255.0.0.0 ครับ

MagSafe สำหรับ iPhone เปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 พร้อมกับ iPhone 12 ซึ่งนี่นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ Apple ปล่อยอัปเดตออกมา

ขอบคุณข้อมูลจาก beartai.com


​ศัพท์ภาษาอังกฤษ จากสถานการณ์ COVID-19

ตอนนี้คงไม่มีข่าวไหนสำคัญและมีผลกระทบใกล้ตัวเรามากที่สุดเท่ากับสถานการณ์ ไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ COVID-19 ไวรัสตัวใหม่ที่กำลังส่งผลกระทบกับสุขภาพและกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกอยู่ตอนนี้

และสำหรับน้องๆ เพื่อนๆ คนไหนที่ได้ยินข่าวหรือข้อมูลจากทางการ คงมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับโรคนี้มาให้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ บางคำก็พอรู้จักกันบ้าง แต่หลายคำก็เป็นศัพท์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

บทความนี้เราจึงอยากมาช่วยให้ทุกคนได้รับฟังข่าวสารหรืออยากเรียนรู้คำศัพท์ที่น่าสนใจในสถานการณ์ที่โรค COVID-19 กำลังระบาด พี่ๆ AdmissionPremium ได้รวบรวม ​ศัพท์ภาษาอังกฤษ น่ารู้ จากสถานการณ์ COVID-19 มาไว้ให้ทุกคนได้เรียนรู้กันแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าจะมีคำไหนที่ได้ยินบ่อยๆ และเราควรจำได้บ้าง

ขอบคุณข้อมูลจาก admissionpremium.com/libra


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/10/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a30,300.0030,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,963.0029,759.0830,900.00
ทองรูปพรรณ 90%1,766.7026,783.17n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,570.4023,807.26n/a
ทองรูปพรรณ 50%883.0013,386.28n/a
ทองรูปพรรณ 40%687.0010,414.92n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,034.0030,835.44n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/10/2565


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6534.7534.6534.6534.6534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.3834.3834.4834.3834.3834.3834.3834.3834.3834.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5433.6433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8531.9431.9431.94
เบนซิน 9542.0642.5142.5642.5642.06
ดีเซล B734.9434.9436.3435.5435.5434.9434.9434.9435.5434.94
ดีเซล34.9434.9436.3435.5435.5434.9434.9434.9435.5434.94
ดีเซล B2034.9434.9436.3435.5434.9434.9434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6645.5645.5645.2643.66
แก๊ส NGV43.6643.6643.66
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า