ชามา เอกมัย กรุงเทพฯ Pet Friendly เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
เยี่ยมชมโครงการวันนี้ “มิสเตอร์โฮม” ชวนออกไปเปิดหูเปิดตากับโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุง
ยี่ห้อ “ชามา” เป็น 1 ใน 3 แบรนด์หลักของกลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ บริษัทสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจครอบคลุมด้านบริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
สำหรับ FC เอ่ยชื่อ “ชามา” เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นแบรนด์ระดับ upper upscale มีจุดกำเนิดมาจากฮ่องกง โดยกลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ เข้าซื้อแบรนด์ชามาตั้งแต่ปี 2553 และมีการลงทุนขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน
โดย “ชามา เอกมัย กรุงเทพฯ” นับเป็นแห่งที่ 6 ในประเทศไทย ปักหมุดย่านอโศก-พระรามสี่ ถือว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย และ BTS อโศก
พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “live like a local experience” ออกแบบเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 7 ชั้น จำนวน 46 ห้อง ไซซ์ใหญ่ 100-290 ตารางเมตร
ไทป์ห้องมีตั้งแต่แบบ 1-4 ห้องนอน พร้อมห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว พื้นที่ทำงานกว้างขวางจัดแบ่งเป็นสัดส่วน ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบครันต่อการอยู่อาศัย ค่าเช่า 5 หมื่น-2.2 แสนบาท/เดือน
จุดเด่นมีพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง สนามหญ้าสีเขียวเหมาะสำหรับจัดปาร์ตี้สังสรรค์ริมสระน้ำ จัดบาร์บีคิวกับผองเพื่อนได้ทุกวัน และฟรี WiFi
แผนธุรกิจแบรนด์ชามา โฟกัสรองรับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาพำนักระยะยาวเพื่อทำงาน หรือ expat รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยที่ต้องการพักระยะสั้น 5-14 วัน
แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยคำเรียก “เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์” ย่อมจะต้องมีการบริการเป็นตัวดึงดูดผู้เช่า โดย “ชามา” เซตบริการระดับมาตรฐานโรงแรมไว้คอยให้บริการกับผู้เข้าพัก รวมถึงมี “ชามา โซเชียลคลับ” เพื่อช่วยสร้างความคุ้นเคยและเชื่อมต่อผู้เข้าพักกับสิ่งแวดล้อมใหม่ และชุมชนโดยรอบทำเลที่ตั้งโครงการ
ไฮไลต์อยู่ที่จุดขาย “ชามา” เสนอออปชั่นการเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงทั้งโครงการ ไม่มีอะไรว้าวไปกว่านี้อีกแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
LWS ส่องที่อยู่อาศัยปีเถาะ บ้านยังมาแรง-คอนโดฯขานรับจีนเปิดประเทศ
เปิดศักราชปีเถาะ 2566 “ลุมพินี วิสดอม” คาดการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่เติบโตในแดนบวก 2-12%
ปัจจัยที่ทำให้ชุ่มชื่นคึกคักมาจากจีนเปิดประเทศ 8 มกราคม 2566 ที่คาดว่าจะเป็นตัวช่วยทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
จบปี 2565 คาดเติบโตเท่าตัว
“ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ” กรรมการผู้จัดการบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด หรือ LWS บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ LPN คาดการณ์จำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตเกือบเท่าตัว
หลังจากที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เร่งลงทุนใหม่ในช่วง 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2565) โดยพบว่ามีทั้งสิ้น 99,338 หน่วย เพิ่มขึ้น 90% มูลค่าเปิดตัวใหม่ 432,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
แบ่งเป็น การเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 90 โครงการ จำนวน 90,797 หน่วย เพิ่มขึ้น 151% มูลค่ารวม 133,349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 และมีอัตราขายเฉลี่ยอยู่ที่ 29%
คอนโดฯคึกรับจีนเปิดประเทศ
สำหรับนโยบายการเปิดประเทศของจีน 8 มกราคม 2566 จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดฯในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ข้อมูลการซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของลูกค้าต่างชาติปี 2561-ครึ่งปีแรก 2565 “ลูกค้าจีน” เป็นผู้ซื้อและโอนห้องชุดสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
โดยครึ่งปีแรก 2565 ลูกค้าต่างชาติโอนห้องชุดทั่วประเทศ 4,433 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.4% มูลค่า 22,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
ในด้านราคาพบว่า กลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอน 52.6%, ราคา 3-5 ล้านบาท 23.9%
และไซซ์ห้องพบว่า พื้นที่ใช้สอย 31-60 ตร.ม. แบบ 1-2 ห้องนอน มีการโอนมากที่สุด 46%, พื้นที่ไม่เกิน 30 ตร.ม. แบบสตูดิโอและ 1 ห้องนอน 37.8%
“ยุคโควิดปี 2563-2565 จีนปิดประเทศแต่ยังมีลูกค้าจีนเข้ามาซื้อห้องชุดในไทยต่อเนื่อง ทั้งซื้อเพื่อลงทุนและเป็นบ้านพักหลังที่ 2 จุดขายคอนโดฯ ไทยมีราคาถูกกว่าโครงการในเมืองใหญ่ของจีน 50% จีนเปิดประเทศเร็วขึ้นจึงเป็นโอกาสสำหรับดีเวลอปเปอร์ในปี’66 โดยตรง”
บ้านแนวราบ “ฟู” ทุกเซ็กเมนต์
สำหรับการเปิดตัวบ้านแนวราบมี 280 โครงการ 48,379 หน่วย เพิ่มขึ้น 52% มูลค่ารวม 299,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90% และมีอัตราขายเฉลี่ยอยู่ที่ 12%
โดยสินค้าทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเปิดตัวสูงสุด อัตราขายได้เฉลี่ย 10% ทำเลการแข่งขันรอบกรุงเทพฯ เช่น รังสิต บางบัวทอง และบางนา
สินค้าบ้านแฝดราคา 3-6 ล้านบาท มีหน่วยเปิดตัวสูงสุด อัตราขายได้เฉลี่ย 10% เปิดตัวชุกชุมในทำเลบางนา บางพลี รังสิต และบางบัวทอง-นนทบุรี
และบ้านเดี่ยวราคา 6-10 ล้านบาทเปิดขายมากสุด มีอัตราขายได้เฉลี่ย 10% เปิดตัวสะสมในทำเลรังสิต-ลำลูกกา บางพลี-สมุทรปราการ และบางบัวทอง-นนทบุรี
สำหรับโครงการบ้านระดับพรีเมี่ยมมี 85 โครงการ มูลค่ารวม 129,026 ล้านบาท เน้นรูปแบบบ้านเดี่ยวคิดเป็นสัดส่วน 80%
เทรนด์ปี 2566 โตตามจีดีพี
LWS ประเมินแนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2566 ทั้งคอนโดฯ และบ้านแนวราบ คาดว่ามีอัตราเติบโต 2-12% เทียบกับปี 2565
ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง (2555-2565) เปรียบเทียบอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ 10 ปีในช่วงดังกล่าว การลงทุนคอนโดฯ และบ้านแนวราบยังคงมีแนวโน้มเติบโตตามจีดีพีประเทศ ซึ่งคาดการณ์ปี 2566 อยู่ที่ 3.5-4.5%
ในขณะที่ 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน 2565) ประมาณการจีดีพีเติบโต 3.2%
ส่วนประมาณการจีดีพีปี 2566 เติบโตที่ 3.7%
ในด้านดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 เพิ่มขึ้น 3.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ส่งผลให้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเฉลี่ย 11 เดือนแรกของปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 6.0%
โดยหมวดของ “ไม้และซีเมนต์” มีการปรับราคาสูงขึ้น 8.1% และ 4.9% ตามลำดับ
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน 2565 จาก 1% เป็น 1.25% เพื่อลดความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินทุน ที่จะกระทบกับค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจปี 2566 ยังคงต้องจับตาดูเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากผลกระทบสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น ระบบ supply chain ของโลก การส่งออกรวมถึงการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ
รวมถึงการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็น 3.5% และมีแนวโน้มเป็น 4% ในครึ่งปีแรกของปี 2566
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับตัวลงของราคาทองคำ แนวต้านสำคัญในระยะสั้นจะอยู่ในโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้น มาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
รวมถึงการปรับตัวลงของราคาทองคำ ซึ่งทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้
ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยต้องระวังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม การเติบโตของค่าจ้าง และดัชนี PMI ภาคการบริการ
เนื่องจากในช่วงที่ตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด
และสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้ออาจชะลอตัวลงได้ช้า จะกลายเป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดยิ่งกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
และส่งผลให้ตลาดยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงได้ (Good News is Bad News for the Market) ซึ่งในภาวะดังกล่าว
เราอาจเห็นเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก โดยแนวต้านสำคัญของเงินบาทในระยะสั้นจะอยู่ในโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนในตลาด อาทิ บรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์
ขณะที่ผู้เล่นต่างชาติที่ยังคงมีมุมมองว่าเงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ ก็รอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการเพิ่มสถานะ Short USDTHB
อนึ่ง การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น
โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.20 บาท/ดอลลาร์
บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อีกครั้ง
ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากล่าสุดรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP ในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 2.35 แสนรายดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 1.5 แสนราย นอกจากนี้ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims)
รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.04 แสนราย และ 1.69 ล้านราย ดีกว่าที่ตลาดคาด ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดนั้น
สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดแตะระดับ 5.25% (จาก CME FedWatch Tool) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.73% กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ
และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวลงแรง และทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.57% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.16%
ส่วนในทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.20% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +1.3%, Equinor +0.7%) ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
หลังภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 105 จุด อีกครั้ง
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลงแรงสู่ระดับ 1,836 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการทยอยเข้าซื้อ โดยเฉพาะหากราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)
อาจลดลงสู่ระดับ 2 แสนตำแหน่ง ตามการปรับแผนการจ้างงานของภาคธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง (Average Hourly Earnings) อาจขยายตัวในอัตราชะลอลง +0.4% จากเดือนก่อนหน้า (+5.0%y/y)
ซึ่งภาพดังกล่าวจะชี้ว่า แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นการชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อผ่านตลาดแรงงาน (การเติบโตของค่าจ้าง) อาจชะลอลงตัวลงช้ากว่าที่เฟดต้องการ
ทำให้เฟดยังคงกังวลแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ ซึ่งอาจสะท้อนในรายงานการประชุมล่าสุดของเฟด (FOMC Meeting Minutes) ที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง
และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ
โดย ISM (Services PMI) ในเดือนธันวาคม โดยตลาดประเมินว่า ภาคการบริการจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นและการขยายตัวของการใช้จ่ายในภาคการบริการ ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 55 จุด
ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคการบริการนั้น อาจทำให้เงินเฟ้อในส่วนภาคการบริการยังอยู่ในระดับสูงและอาจทำให้เงินเฟ้อโดยรวมชะลอลงยาก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่ากลับมาที่แนว 34.00 โดยปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.04-34.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) หลังปรับตัวแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 8 เดือนที่ 33.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานนี้
โดยแม้เงินบาทจะมีแรงหนุนจากสัญญาณที่สะท้อนว่า ยังน่าจะมีการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย
แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด และอาจมีการอ่อนค่ากลับตามการปรับโพสิชั่น ประกอบกับมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และเครื่องชี้ตลาดแรงงานอื่นๆ ของสหรัฐฯ ในวันนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.85-34.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์เงินทุนต่างชาติ สถานการณ์เงินหยวนและค่าเงินในภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร และดัชนี ISM ภาคบริการเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของยูโรโซน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คิดถึงแหละดูออก! FIVB เอาใจทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยด้วยการโพสต์แบบนี้
ตอกย้ำความเป็นทีมสุดป็อปของวงการวอลเลย์บอลหญิงโลกอีกครั้ง สำหรับทีมลูกยางสาวไทย เมื่อล่าสุดอินสตาแกรม volleyballworld ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) จัดหนักจัดเต็มให้แฟนคลับชาวไทย
โดยไอจีดังที่มีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน ลงรูปทีมสาวไทยและแนบช็อตเด็ดอีก 9 คลิป พร้อมแคปชั่นประกอบแปลเป็นภาษาไทยว่า “ทีมไทยแลนด์ เชิญรับชมและสนุกกับการเล่นเหล่านี้ จากหนึ่งในทีมที่มีความคิดสร้างสรรค์และรวดเร็วที่สุดในโลก!”
งานนี้โพสต์ดังกล่าวได้รับหัวใจทะลุ 1 หมื่นครั้งภายในระยะเวลาแค่ 2 ชม. และมีคอมเมนต์อีกมากมายจากผู้ติดตาม รวมไปถึง นุศรา ต้อมคำ, แก้วกัลยา กมุลทะลา สองสาวนักวอลเลย์บอลหญิงไทย และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น นักแสดงสายฮาคนสนิทของทัพลูกยางไทยด้วย
ทั้งนี้ ประเทศไทย เตรียมเป็นเจ้าภาพวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2023 สัปดาห์ที่ 3 ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน 2566 ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก หลังจากที่ไม่ได้เป็นเจ้าภาพในปี 2022 ที่ผ่านมา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รู้จัก “Brain Fog” ภาวะสมองล้า คุณกำลังเสี่ยงอยู่หรือเปล่า ?
ภาวะสมองล้า เป็นภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวเพราะสมองทำงานหนักนาน ๆ อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ความจำ และการทำงานของสมองลดลง วัยทำงานอาจเสี่ยงได้
Brain Fog ภาวะสมองล้า คืออะไร ?
Brain Fog หรือ ภาวะสมองล้า เป็นภาวะที่วัยทำงานหลายคนมีความเสี่ยง เพราะเกิดจากภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวจากการที่สมองทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ทั้งเกิดจากการจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน พักผ่อนน้อย สมองคิดแต่เรื่องงานโดยไม่ได้พักคิดเรื่องอื่น ๆ ทำให้สารสื่อประสาทในสมองซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเสียสมดุล ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจึงแย่ลง
ภาวะสมองล้า สาเหตุหลักมาจากความเครียด ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคอันตรายหลายอย่างที่มักเกิดขึ้นในวัยทำงาน เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคอ้วน โรคเบาหวาน รวมถึงภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นต้น
สาเหตุของ Brain Fog ภาวะสมองล้า
- คลื่นแม่เหล็ก จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ฯลฯ ที่เราอาจเผลอใช้งานมากเกินไป
- ความเครียดสะสมจากการทำงาน ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองน้อยลง เกิดอาการมึนงง ความจำแย่ลง
- พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา
- ขาดสารอาหารบางชนิด จากการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ เช่น ขาดกรดอะมิโน วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ
- ได้รับสารพิษต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น มลภาวะ สารเคมี โลหะหนัก ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอากาศ อาหาร และน้ำ เป็นต้น
สัญญาณอันตราย Brain Fog ภาวะสมองล้า
- นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท แม้ว่าจะเหนื่อย
- ปวดศีรษะบ่อย ๆ
- สายต่ออ่อนเพลีย พร่ามัว
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้นลงง่าย
- หลงลืมง่าย
- สมาธิสั้น
- เริ่มคิดไอเดียใหม่ ๆ ไม่ค่อยออก สมองไม่ค่อยแล่น
- ทำงานงานพลาดในจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ค่อยพลาดบ่อย ๆ
- นอนมากเท่าไรก็ไม่รู้สึกสดชื่น ง่วงแม้จะนอนเยอะ
- ลางานบ่อยขึ้น
วิธีลดความเสี่ยงภาวะสมองล้า
วัยทำงานคงจะหลีกเลี่ยงการทำงานหนักไปไม่ได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงภาวะสมองล้าได้ ดังนี้
- จัดเวลาในชีวิตให้ดี กำหนดเวลาทำงาน ทำกิจกรรมส่วนตัว เวลาพักผ่อน กินอาหาร พบปะเพื่อนและครอบครัว ไม่ให้ช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตขาดหายไป
- พยายามมองโลกในแง่บวก มองหาข้อดีของทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
- จัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ไว หากรู้สึกเครียด เริ่มคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ในแง่ร้าย หงุดหงิด โมโห ควรเอาตัวออกห่างจากสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์เหล่านั้นสักพัก หยุดคิดถึงเรื่องนั้นจนกว่าจะใจเย็นลง แล้วค่อยกลับไปแก้ปัญหานั้นใหม่
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อคืน ถ้ามีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ ควรพบแพทย์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสิ่งเสพติดทุกชนิด
- หาเวลาทำกิจกรรมที่อยากทำ เพื่อปรับอารมณ์ และสร้างแรงบันดาลใจในการทำสิ่งใหม่ ๆ เรื่อย ๆ
- รับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ เน้นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ไก่ (ไม่กินหนัง) ปลา ผัก และผลไม้ต่าง ๆ และลดการรับประทานแป้งขัดสี และน้ำตาลให้น้อยลง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เรียนศัพท์ภาษาอังกฤษต้อนรับหน้าหนาวกัน (Winter Vocabulary)
นานทีๆ ประเทศไทยจะเริ่มมีอากาศหนาวมาให้พวกเราได้สัมผัสบ้าง ดังนั้นโอกาสมาทั้งทีแล้วเราจะไม่ให้เพื่อนๆ ที่ติดตามเราพลาดอย่างแน่นอน เราได้รวบรวมคำศัพท์ต่างๆ ที่เพื่อนๆ สามารถเอาไปใช้ในหน้าหนาวนี้ได้ ไปดูกันเลย
หมวดเกี่ยวกับอากาศ (Weather condition)
Cold snap – ความหนาว (เพียงระยะสั้นๆ)
- It is cold snap in this week. (อากาศหนาวเพียงแค่ระยะสั้นๆในสัปดาห์นี้)
Bitter cold – หนาวจัด
- It is bitter cold in Chiangmai. (อากาศหนาวจัดในเชียงใหม่)
Wind chill – ลมหนาว
- It is wind chill outside here. (ข้างนอกมีลมหนาวพัดผ่าน)
Freezing – หนาวจัด (แบบเหมือนถูกแช่แข็ง)
- It is freezing outside. (ข้างนอกหนาวจัดมาก)
Artic – หนาวจัด หนาวมาก (เป็นการเปรียบเทียบเหมือนหนาวอยู่ขั่วโลก)
- There is no artic feeling in Thailand. (ในประเทศไทยไม่มีความรู้สึกหนาวจัดเหมือนอยู่ขั่วโลก)
Blizzard – พายุหิมะ
Below zero – อากาศหนาวต่ำกว่า 0 องศา (เราจะไม่ใช้คำว่า less than zero หรือ under zero ในกรณีนี้)
Cool / Chilly / Frosty – หนาวเย็น (แต่ไม่ได้หนาวจัด)
Frostbitten – เนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะเย็นจัด
Gust – ลมที่พัดแรง
Hailstone – ลูกเห็บ
Fog – หมอก
หมวดกิจกรรมหน้าหนาว – Winer Activities
Ice Fishing – ตกปลาในน้ำแข็ง
- You’ve obviously never been ice fishing before (เห็นได้ชัดเลยว่าคุณไม่เคยตกปลาในน้ำแข็งมาก่อน)
Ice hockey – กีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง
- The basic of Ice hockey is same with hockey. (พื้นฐานของกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งเหมือนกับกีฬาฮอกกี้ปกติ)
Ice scraper – แกะสลักรูปน้ำแข็ง
- Kids love the Ice scraper (เด็กๆชอบแกะสลักน้ำแข็ง)
Snow shovel – (N) แปลว่า พลั่วขุดหิมะ / (V) แปลว่า ขุดหิมะ
- My children always like snow shovel in the winter. (ลูกของฉันชอบขุดหิมะเล่นในช่วงหน้าหนาว)
Ski – สกี
- Tourist always play ski in the winter. (นักท่องเที่ยวชอบเล่นสกีในช่วงหน้าหนาว)
หมวดเครื่องนุ่งห่มและอุปกรณ์ในหน้าหนาว – Winter clothing and equipment
Boots – รองเท้าบูท
Gloves – ถุงมือ
Socks – ถุงเท้า
Coat – เสื้อคลุม
Overcoat – เสื้อคลุมใหญ่
Overshoes – รองเท้าใส่เพื่อปกคลุมความหนาวเย็น
Scarf – ผ้าพันคอ
Show shoes – รองเท้าลุยหิมะ
Sweater – เสื้อทักไหมพรม
Woolen – ผ้าขนสัตว์
Stove – เตาอบ เตาผิง
Thermometer – อุปกรณ์วัดอุณหภูมิ
Heater – ตัวทำความร้อน
Ice Blanket – ถังน้ำแข็ง
เป็นยังไงกันบ้างกับคำศัพท์สำหรับฤดูหนาว ถึงแม้ว่าบางคำเราจะไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวันแต่อย่างน้อยเพื่อนๆ ลองเอาไปใช้กันได้ในหน้าหนาวนี้กันดูนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
สำคัญ จำเป็น อยู่รอบตัว ไม่เสียหายหากจะลงทุนกับเทคโนโลยี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกยุคศตวรรษที่ 21 นี้ เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ ส่งผลให้พฤติกรรมของประชากรโลกเปลี่ยนไปชนิดที่ว่าเราคงคาดเดาไม่ออกว่าถ้าเกิดระบบอินเทอร์เน็ตล่มทั้งโลกเพียงแค่ 30 นาที
จะใช้ชีวิตอยู่กันได้อย่างไร และความเสียหายจะสูงมากแค่ไหน ด้วยพฤติกรรมแทบทุกอย่างของเราล้วนผูกโยงเข้ากับอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ถ้าให้เห็นภาพง่ายที่สุด แค่ลืมสมาร์ตโฟนไว้ที่บ้าน หลายคนก็เดือดร้อนได้ทั้งวันแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกหลายคนก็รู้ว่าสมาร์ตโฟนเครื่องนั้นต้องใช้ทำอะไรบ้างในหนึ่งวัน
นั่นหมายความว่าชีวิตของเราคงจะขาดเทคโนโลยีไม่ได้เสียแล้ว การที่อุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ด้านของการใช้ชีวิต ส่งผลให้เทคโนโลยีจำเป็นต้องพัฒนาเป็นเวอร์ชันที่สูงกว่าอยู่เรื่อย ๆ ทำให้การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเป็นกลุ่มที่สามารถเติบโตได้ดีแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว มีความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การลงทุนในเทคโนโลยีจะไม่เสียหาย ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานชนิดที่ขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิต ยังไม่รวมถึงเรื่องการแข่งขันนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่านี้
เว็บไซต์ Morgan Stanley จึงได้วิเคราะห์ 5 เทรนด์การลงทุนในเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2023 ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ตัวเราอย่างมาก มาดูกันว่าเทรนด์เทคโนโลยีที่ว่ามันเชื่อมโยงกับชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
การก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรม
การลงทุนในซอฟต์แวร์หรือระบบที่ช่วยจัดการในด้านต่าง ๆ ของธุรกิจในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมให้ความสนใจ โดยกำลังหาแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตของตนให้ก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถจัดการกระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับระบบตนเอง ทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตมากยิ่งขึ้นไปอีก บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งก็เริ่มที่จะขยับเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ดิจิทัลอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในซอฟต์แวร์นั้นต้นทุนค่อนข้างสูง จึงมีการเพิ่มโอกาสให้กับเอกชนในการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งก็จะได้ผลตอบแทนที่ต่อเนื่องสำหรับการผลิตต่าง ๆ
บริษัทประกันภัยกับระบบ Insurtech บริการดิจิทัลบนแอปพลิเคชัน
บริษัทประกันภัยหลาย ๆ เจ้า ให้ความสนใจกับ Insurtech กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างตอบโจทย์กับการใช้งานที่หลากหลายของธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะในการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านต่าง ๆ Insurtech จึงจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ ทั้งตัวแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ มีการคาดการณ์ว่าแอปพลิเคชัน Insurtech จะมีการใช้งานและพัฒนาที่เทียบเท่ากับแอปพลิเคชันของธนาคารในทศวรรษที่ผ่านมาเลยทีเดียว ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในรูปแบบ Physical Devices และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ประหยัดต้นทุนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Healthcare Technology เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่รอไม่ได้
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เข้ากับเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจำเป็น โดยเฉพาะในส่วนของการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาโรคและการดูแลสุขภาพ ที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับการบริการด้านสุขภาพบ้างแล้ว เช่น การรักษาทางไกลผ่านระบบเทเลเมดิซีน (telemedicine) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพบแพทย์ทางไกลแบบเห็นหน้าและสนทนากันได้ทั้ง 2 ฝ่าย ไร้ข้อจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่ ได้รับบริการเหมือนไปโรงพยาบาล ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีที่ด้านการดูแลสุขภาพจำเป็นต้องสร้างความต่อเนื่องในการรักษาโรคได้ รวมถึงความแม่นยำในการวินิจฉัย ความน่าเชื่อถือของระบบต่าง ๆ
แนวโน้มเกี่ยวกับ Digital Infrastructure และข้อมูลที่มีมหาศาล
เนื่องจากการบริโภคข้อมูลในยุคปัจจุบันเติบโตแบบทวีคูณ จึงผลักดันให้โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับดิจิทัลทุกประเภทเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการจัดการและดูแลฐานข้อมูลขนาดใหญ่และการบริการอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Data Center เสาสัญญาณเคลื่อนที่ ไฟเบอร์ ระบบคลาวด์ เป็นต้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน สร้างประสบการณ์ที่สะดวกสบายและราบรื่น ขยายขอบเขตไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ให้ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่ของสังคมเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเทคโนโลยีโครงสร้างเบื้องหลังเหล่านี้มีการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก เพื่อทำลายพรมแดนในการเชื่อมต่อโลกเข้าด้วยกันจากเทคโนโลยี
Cloud และ AI สำหรับการวางแผนทรัพยากรในองค์กรและทรัพยากรบุคคล
เทคโนโลยี AI จะไม่หายไปจากแวดวงด้านอาชีพและการทำงาน ซึ่งก็อยู่ที่ว่าแต่ละองค์กรจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร และบุคลากรที่เป็นมนุษย์จะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหนหลังจากองค์กรนำ AI มาใช้ ถึงอย่างนั้น AI ก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไป หากนำมาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรในองค์กร (ERP) และทรัพยากรบุคคล (HR) ในส่วนของการบริหารจัดการทรัพยากรในองค์กร มีแนวโน้มสูงที่จะนำระบบคลาวด์เข้ามาปรับใช้ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่า และสำหรับในส่วนของทรัพยากรบุคคล AI จะเข้ามามีบทบาทสำหรับการสรรหา การรับเข้าทำงาน และการมีส่วนร่วมของพนักงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กิน “มะเขือเทศ” อย่างไรให้ผอม ตามสูตรคนญี่ปุ่น
มีคำกล่าวว่า “เมื่อมะเขือเทศสุกเป็นสีแดงหน้าคุณหมอมักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน” และ “หากรับประทานมะเขือเทศวันละหนึ่งผลจะทำให้ไกลห่างจากการหาหมอ” คำกล่าวเหล่านี้บ่งบอกว่ามะเขือเทศมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ทำให้ผู้คนสุขภาพดีจนคุณหมอต้องเดือดร้อนเพราะไม่มีผู้ป่วยมาให้รักษา นอกจากประโยชน์มากมายต่อสุขภาพแล้ว คนญี่ปุ่นยังใช้มะเขือเทศเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักด้วย มาดูกันว่ามะเขือเทศช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร และมาดูวิธีการนำมารับประทานเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักของคนญี่ปุ่นกันนะคะ
เหตุผลที่ “มะเขือเทศ” เป็นทางเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก
- มะเขือเทศเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ
มะเขือเทศขนาด 150 กรัม 1 ผลให้พลังงานเพียง 30 กิโลแคลอรี่ อีกทั้งการเคี้ยวมะเขือเทศยังช่วยทำให้รู้สึกอิ่มไว ส่งผลในการลดการรับพลังงานจากแป้งและอาหารอื่นๆ เข้าสู่ร่างกาย
- มีสารอาหารที่ช่วยเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
จากการศึกษาของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโตพบว่า มะเขือเทศประกอบไปด้วยสาร 13-Oxo-9,11-Octadecadienoic acid (13-Oxo-ODA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยรักษาระบบเผาผลาญไขมันที่ผิดปกติในหนูให้ดีขึ้น อีกทั้งจากงานวิจัยในมนุษย์พบว่า การดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำจะช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดและช่วยเพิ่มการใช้พลังงานในร่างกาย ซึ่งคาดว่าจะมีผลช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี
- อุดมไปด้วยโพแทสเซียม
มะเขือเทศเป็นผักที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งทำหน้าที่ช่วยขับน้ำออกจากร่างกายและลดอาการบวมน้ำในร่างกายได้ดี ร่างกายบวมน้ำเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตัวหนัก การรับประทานมะเขือเทศสดเป็นวิธีการที่ดีเพื่อรับโพแทสเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่
- อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
การลดน้ำหนักที่ดีต้องทำไปพร้อมกับการมีร่างกายที่แข็งแรง มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารอาหารที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมความงามไปพร้อมกับการลดน้ำหนักดังนี้คือ
- วิตามินซี ซึ่งมีความสำคัญในการผลิตคอลลาเจนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวพรรณ ป้องกันผิวหนังจากแสงแดด และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
- เบต้า แคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย วิตามินชนิดนี้จะช่วยให้เยื่อเมือกและผิวหนังแข็งแรง ช่วยบำรุงสายตา และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
- วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอความแก่ และทำให้การไหลเวียนเลือดดี
- ไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอี ประมาณ 100 เท่า ช่วยชะลอความแก่ และป้องกันโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง เป็นต้น
- ง่ายต่อการนำมารับประทานติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง
สิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักคือ การหาวัตถุดิบที่รับประทานได้ง่ายอย่างต่อเนื่อง มะเขือเทศเป็นวัตถุดิบทางเลือกที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งในรูปแบบมะเขือเทศสด น้ำมะเขือเทศ และมะเขือเทศกระป๋อง
วิธีการนำ “มะเขือเทศ” มารับประทานเพื่อช่วยลดน้ำหนัก
- มะเขือเทศสด น้ำมะเขือเทศ และมะเขือเทศกระป๋อง ต่างมีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนัก
ข้อดีของการใช้มะเขือเทศเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักคือ สามารถเลือกรับประทานได้ทั้งมะเขือเทศสดและมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปแล้ว แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีจากกระบวนการแปรรูป แต่ร่างกายคนเราจะดูดซึมไลโคปีนจากมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปแล้วได้ดีกว่า ดังนั้นหากไม่ชอบมะเขือเทศสด ก็สามารถเลือกรับประทานน้ำมะเขือเทศหรือมะเขือเทศกระป๋องได้
- รับประทานหรือดื่มก่อนอาหารวันละ 1 ครั้ง
วิธีการรับประทานมะเขือเทศเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้นควรรับประทานวันละหนึ่งครั้งก่อนอาหารเย็น โดยหากเป็นมะเขือเทศสด การเคี้ยวจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและช่วยป้องกันการรับพลังงานจากข้าวหรือแป้งได้ดี อย่างไรก็ดี ปริมาณมะเขือเทศสดที่แนะนำให้รับประทานนั้นอยู่ที่ประมาณ 250-500 กรัม (มะเขือเทศผลขนาดกลาง 2-3 ผล และมะเขือเทศราชินี 17-18 ผล) ซึ่งอาจจะยากในการนำมารับประทานให้ต่อเนื่องทุกวัน การดื่มน้ำมะเขือเทศที่ไม่มีส่วนผสมของเกลือและน้ำตาลจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี โดยดื่มก่อนอาหารวันละประมาณ 200 มิลลิลิตร ทั้งนี้หากคำนึงถึงคุณค่าของไลโคปีน ร่างกายคนเราจะดูดซึมไลโคปีนได้ดีในช่วงเช้า การรับประทานมะเขือเทศก่อนอาหารเช้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเช่นกัน
- รับประทานพร้อมกับอาหารที่มีคุณต่อร่างกายอื่นๆ
วิธีการลดน้ำหนักที่ดีควรหลีกเลี่ยงการอดอาหาร แม้ว่ามะเขือเทศจะมีคุณค่าของสารอาหารมากมาย แต่การรับประทานมะเขือเทศเพียงอย่างเดียวจะทำให้ร่างกายขาดโปรตีนซึ่งเป็นหน่วยสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ และขาดพลังงานจากแป้งได้ วิธีการลดน้ำหนักโดยใช้มะเขือเทศเป็นตัวช่วยนั้นควรจะรับประทานแป้ง (ข้าว อาหารประเภทเส้นต่างๆ และขนมปัง) โปรตีน (เนื้อสัตว์ไร้มัน ไข่ ปลา ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง) ผัก สาหร่าย บุกและเห็ดต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพื่อช่วยให้เกิดความสมดุลของสารอาหารไปพร้อมกับการลดน้ำหนักให้ผอมเพรียวตามต้องการ
การลดน้ำหนักให้ได้ผลดีไม่กลับมาอ้วนอีกคือการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน หมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย การลดน้ำหนักโดยมีมะเขือเทศเป็นตัวช่วยนอกจากจะทำให้ผอมเพรียวแล้วก็ยังทำให้ผิวพรรณสวยงาม แข็งแรง และไม่แก่ก่อนวัย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/01/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,550.00 | 29,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,914.00 | 29,016.24 | 30,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,722.60 | 26,114.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,531.20 | 23,212.99 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 861.00 | 13,052.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 670.00 | 10,157.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,983.00 | 30,062.28 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/01/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.05 | 34.75 | 35.05 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.48 | 34.48 | 34.78 | 34.48 | 34.78 | 34.48 | 34.48 | 34.48 | 34.48 | 34.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.84 | 32.84 | 33.14 | 32.84 | 33.14 | – | 32.84 | 32.84 | 32.84 | 32.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.99 | 32.99 | – | – | – | – | – | – | – | 32.99 |
เบนซิน 95 | 42.16 | – | – | – | 42.91 | – | 42.66 | 42.61 | – | 42.16 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | – | 34.94 | – | 34.94 | – | 32.84 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.26 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |