สาระน่ารู้ประจำวันที่ 6 มกราคม 2566

ชามา เอกมัย กรุงเทพฯ Pet Friendly เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

เยี่ยมชมโครงการวันนี้ “มิสเตอร์โฮม” ชวนออกไปเปิดหูเปิดตากับโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุง

ยี่ห้อ “ชามา” เป็น 1 ใน 3 แบรนด์หลักของกลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ บริษัทสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจครอบคลุมด้านบริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์


สำหรับ FC เอ่ยชื่อ “ชามา” เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นแบรนด์ระดับ upper upscale มีจุดกำเนิดมาจากฮ่องกง โดยกลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ เข้าซื้อแบรนด์ชามาตั้งแต่ปี 2553 และมีการลงทุนขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน

โดย “ชามา เอกมัย กรุงเทพฯ” นับเป็นแห่งที่ 6 ในประเทศไทย ปักหมุดย่านอโศก-พระรามสี่ ถือว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย และ BTS อโศก

พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “live like a local experience” ออกแบบเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 7 ชั้น จำนวน 46 ห้อง ไซซ์ใหญ่ 100-290 ตารางเมตร

ไทป์ห้องมีตั้งแต่แบบ 1-4 ห้องนอน พร้อมห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว พื้นที่ทำงานกว้างขวางจัดแบ่งเป็นสัดส่วน ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบครันต่อการอยู่อาศัย ค่าเช่า 5 หมื่น-2.2 แสนบาท/เดือน

จุดเด่นมีพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง สนามหญ้าสีเขียวเหมาะสำหรับจัดปาร์ตี้สังสรรค์ริมสระน้ำ จัดบาร์บีคิวกับผองเพื่อนได้ทุกวัน และฟรี WiFi

แผนธุรกิจแบรนด์ชามา โฟกัสรองรับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาพำนักระยะยาวเพื่อทำงาน หรือ expat รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยที่ต้องการพักระยะสั้น 5-14 วัน

แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยคำเรียก “เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์” ย่อมจะต้องมีการบริการเป็นตัวดึงดูดผู้เช่า โดย “ชามา” เซตบริการระดับมาตรฐานโรงแรมไว้คอยให้บริการกับผู้เข้าพัก รวมถึงมี “ชามา โซเชียลคลับ” เพื่อช่วยสร้างความคุ้นเคยและเชื่อมต่อผู้เข้าพักกับสิ่งแวดล้อมใหม่ และชุมชนโดยรอบทำเลที่ตั้งโครงการ

ไฮไลต์อยู่ที่จุดขาย “ชามา” เสนอออปชั่นการเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงทั้งโครงการ ไม่มีอะไรว้าวไปกว่านี้อีกแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


LWS ส่องที่อยู่อาศัยปีเถาะ บ้านยังมาแรง-คอนโดฯขานรับจีนเปิดประเทศ

เปิดศักราชปีเถาะ 2566 “ลุมพินี วิสดอม” คาดการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่เติบโตในแดนบวก 2-12%

ปัจจัยที่ทำให้ชุ่มชื่นคึกคักมาจากจีนเปิดประเทศ 8 มกราคม 2566 ที่คาดว่าจะเป็นตัวช่วยทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

จบปี 2565 คาดเติบโตเท่าตัว

“ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ” กรรมการผู้จัดการบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด หรือ LWS บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ LPN คาดการณ์จำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตเกือบเท่าตัว

หลังจากที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เร่งลงทุนใหม่ในช่วง 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2565) โดยพบว่ามีทั้งสิ้น 99,338 หน่วย เพิ่มขึ้น 90% มูลค่าเปิดตัวใหม่ 432,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564

แบ่งเป็น การเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 90 โครงการ จำนวน 90,797 หน่วย เพิ่มขึ้น 151% มูลค่ารวม 133,349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 และมีอัตราขายเฉลี่ยอยู่ที่ 29%

คอนโดฯคึกรับจีนเปิดประเทศ

สำหรับนโยบายการเปิดประเทศของจีน 8 มกราคม 2566 จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดฯในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ข้อมูลการซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของลูกค้าต่างชาติปี 2561-ครึ่งปีแรก 2565 “ลูกค้าจีน” เป็นผู้ซื้อและโอนห้องชุดสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

โดยครึ่งปีแรก 2565 ลูกค้าต่างชาติโอนห้องชุดทั่วประเทศ 4,433 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.4% มูลค่า 22,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564

ในด้านราคาพบว่า กลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอน 52.6%, ราคา 3-5 ล้านบาท 23.9%

และไซซ์ห้องพบว่า พื้นที่ใช้สอย 31-60 ตร.ม. แบบ 1-2 ห้องนอน มีการโอนมากที่สุด 46%, พื้นที่ไม่เกิน 30 ตร.ม. แบบสตูดิโอและ 1 ห้องนอน 37.8%

“ยุคโควิดปี 2563-2565 จีนปิดประเทศแต่ยังมีลูกค้าจีนเข้ามาซื้อห้องชุดในไทยต่อเนื่อง ทั้งซื้อเพื่อลงทุนและเป็นบ้านพักหลังที่ 2 จุดขายคอนโดฯ ไทยมีราคาถูกกว่าโครงการในเมืองใหญ่ของจีน 50% จีนเปิดประเทศเร็วขึ้นจึงเป็นโอกาสสำหรับดีเวลอปเปอร์ในปี’66 โดยตรง”

บ้านแนวราบ “ฟู” ทุกเซ็กเมนต์

สำหรับการเปิดตัวบ้านแนวราบมี 280 โครงการ 48,379 หน่วย เพิ่มขึ้น 52% มูลค่ารวม 299,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90% และมีอัตราขายเฉลี่ยอยู่ที่ 12%

โดยสินค้าทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเปิดตัวสูงสุด อัตราขายได้เฉลี่ย 10% ทำเลการแข่งขันรอบกรุงเทพฯ เช่น รังสิต บางบัวทอง และบางนา

สินค้าบ้านแฝดราคา 3-6 ล้านบาท มีหน่วยเปิดตัวสูงสุด อัตราขายได้เฉลี่ย 10% เปิดตัวชุกชุมในทำเลบางนา บางพลี รังสิต และบางบัวทอง-นนทบุรี

และบ้านเดี่ยวราคา 6-10 ล้านบาทเปิดขายมากสุด มีอัตราขายได้เฉลี่ย 10% เปิดตัวสะสมในทำเลรังสิต-ลำลูกกา บางพลี-สมุทรปราการ และบางบัวทอง-นนทบุรี

สำหรับโครงการบ้านระดับพรีเมี่ยมมี 85 โครงการ มูลค่ารวม 129,026 ล้านบาท เน้นรูปแบบบ้านเดี่ยวคิดเป็นสัดส่วน 80%

เทรนด์ปี 2566 โตตามจีดีพี

LWS ประเมินแนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2566 ทั้งคอนโดฯ และบ้านแนวราบ คาดว่ามีอัตราเติบโต 2-12% เทียบกับปี 2565

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง (2555-2565) เปรียบเทียบอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ 10 ปีในช่วงดังกล่าว การลงทุนคอนโดฯ และบ้านแนวราบยังคงมีแนวโน้มเติบโตตามจีดีพีประเทศ ซึ่งคาดการณ์ปี 2566 อยู่ที่ 3.5-4.5%

ในขณะที่ 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน 2565) ประมาณการจีดีพีเติบโต 3.2%

ส่วนประมาณการจีดีพีปี 2566 เติบโตที่ 3.7%

ในด้านดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 เพิ่มขึ้น 3.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ส่งผลให้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเฉลี่ย 11 เดือนแรกของปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 6.0%

โดยหมวดของ “ไม้และซีเมนต์” มีการปรับราคาสูงขึ้น 8.1% และ 4.9% ตามลำดับ

นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน 2565 จาก 1% เป็น 1.25% เพื่อลดความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินทุน ที่จะกระทบกับค่าเงินบาท

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจปี 2566 ยังคงต้องจับตาดูเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากผลกระทบสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น ระบบ supply chain ของโลก การส่งออกรวมถึงการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ

รวมถึงการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็น 3.5% และมีแนวโน้มเป็น 4% ในครึ่งปีแรกของปี 2566

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับตัวลงของราคาทองคำ แนวต้านสำคัญในระยะสั้นจะอยู่ในโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์

 
นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้น มาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

รวมถึงการปรับตัวลงของราคาทองคำ ซึ่งทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้

ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยต้องระวังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม การเติบโตของค่าจ้าง และดัชนี PMI ภาคการบริการ 


เนื่องจากในช่วงที่ตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด

และสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้ออาจชะลอตัวลงได้ช้า จะกลายเป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดยิ่งกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด 

และส่งผลให้ตลาดยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงได้ (Good News is Bad News for the Market) ซึ่งในภาวะดังกล่าว

เราอาจเห็นเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้



อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก โดยแนวต้านสำคัญของเงินบาทในระยะสั้นจะอยู่ในโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนในตลาด อาทิ บรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์

ขณะที่ผู้เล่นต่างชาติที่ยังคงมีมุมมองว่าเงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ ก็รอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการเพิ่มสถานะ Short USDTHB



อนึ่ง การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น

โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.20 บาท/ดอลลาร์

บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อีกครั้ง

ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากล่าสุดรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด

อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP ในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 2.35 แสนรายดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 1.5 แสนราย นอกจากนี้ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims)

รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.04 แสนราย และ 1.69 ล้านราย ดีกว่าที่ตลาดคาด ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดนั้น

สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดแตะระดับ 5.25%  (จาก CME FedWatch Tool) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.73% กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ

และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวลงแรง และทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.57% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.16%
 

ส่วนในทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.20% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +1.3%, Equinor +0.7%) ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

หลังภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 105 จุด อีกครั้ง

นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลงแรงสู่ระดับ 1,836 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการทยอยเข้าซื้อ โดยเฉพาะหากราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
 

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)

อาจลดลงสู่ระดับ 2 แสนตำแหน่ง ตามการปรับแผนการจ้างงานของภาคธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง (Average Hourly Earnings) อาจขยายตัวในอัตราชะลอลง +0.4% จากเดือนก่อนหน้า (+5.0%y/y)

ซึ่งภาพดังกล่าวจะชี้ว่า แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นการชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อผ่านตลาดแรงงาน (การเติบโตของค่าจ้าง) อาจชะลอลงตัวลงช้ากว่าที่เฟดต้องการ

ทำให้เฟดยังคงกังวลแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ ซึ่งอาจสะท้อนในรายงานการประชุมล่าสุดของเฟด (FOMC Meeting Minutes) ที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง

และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ

โดย ISM (Services PMI) ในเดือนธันวาคม โดยตลาดประเมินว่า ภาคการบริการจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง

สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นและการขยายตัวของการใช้จ่ายในภาคการบริการ ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 55 จุด

ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคการบริการนั้น อาจทำให้เงินเฟ้อในส่วนภาคการบริการยังอยู่ในระดับสูงและอาจทำให้เงินเฟ้อโดยรวมชะลอลงยาก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่ากลับมาที่แนว 34.00 โดยปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.04-34.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) หลังปรับตัวแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 8 เดือนที่ 33.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานนี้

โดยแม้เงินบาทจะมีแรงหนุนจากสัญญาณที่สะท้อนว่า ยังน่าจะมีการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย

แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด และอาจมีการอ่อนค่ากลับตามการปรับโพสิชั่น ประกอบกับมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และเครื่องชี้ตลาดแรงงานอื่นๆ ของสหรัฐฯ ในวันนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.85-34.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม

ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์เงินทุนต่างชาติ สถานการณ์เงินหยวนและค่าเงินในภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร และดัชนี ISM ภาคบริการเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของยูโรโซน  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คิดถึงแหละดูออก! FIVB เอาใจทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยด้วยการโพสต์แบบนี้

ตอกย้ำความเป็นทีมสุดป็อปของวงการวอลเลย์บอลหญิงโลกอีกครั้ง สำหรับทีมลูกยางสาวไทย เมื่อล่าสุดอินสตาแกรม volleyballworld ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) จัดหนักจัดเต็มให้แฟนคลับชาวไทย

โดยไอจีดังที่มีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน ลงรูปทีมสาวไทยและแนบช็อตเด็ดอีก 9 คลิป พร้อมแคปชั่นประกอบแปลเป็นภาษาไทยว่า “ทีมไทยแลนด์ เชิญรับชมและสนุกกับการเล่นเหล่านี้ จากหนึ่งในทีมที่มีความคิดสร้างสรรค์และรวดเร็วที่สุดในโลก!”

งานนี้โพสต์ดังกล่าวได้รับหัวใจทะลุ 1 หมื่นครั้งภายในระยะเวลาแค่ 2 ชม. และมีคอมเมนต์อีกมากมายจากผู้ติดตาม รวมไปถึง นุศรา ต้อมคำ, แก้วกัลยา กมุลทะลา สองสาวนักวอลเลย์บอลหญิงไทย และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น นักแสดงสายฮาคนสนิทของทัพลูกยางไทยด้วย

ทั้งนี้ ประเทศไทย เตรียมเป็นเจ้าภาพวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2023 สัปดาห์ที่ 3 ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน 2566 ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก หลังจากที่ไม่ได้เป็นเจ้าภาพในปี 2022 ที่ผ่านมา

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รู้จัก “Brain Fog” ภาวะสมองล้า คุณกำลังเสี่ยงอยู่หรือเปล่า ?

ภาวะสมองล้า เป็นภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวเพราะสมองทำงานหนักนาน ๆ อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ความจำ และการทำงานของสมองลดลง วัยทำงานอาจเสี่ยงได้

Brain Fog ภาวะสมองล้า คืออะไร ?

Brain Fog หรือ ภาวะสมองล้า เป็นภาวะที่วัยทำงานหลายคนมีความเสี่ยง เพราะเกิดจากภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวจากการที่สมองทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ทั้งเกิดจากการจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน พักผ่อนน้อย สมองคิดแต่เรื่องงานโดยไม่ได้พักคิดเรื่องอื่น ๆ ทำให้สารสื่อประสาทในสมองซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเสียสมดุล ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจึงแย่ลง

ภาวะสมองล้า สาเหตุหลักมาจากความเครียด ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคอันตรายหลายอย่างที่มักเกิดขึ้นในวัยทำงาน เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคอ้วน โรคเบาหวาน รวมถึงภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นต้น

 
สาเหตุของ Brain Fog ภาวะสมองล้า

  1. คลื่นแม่เหล็ก จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ฯลฯ ที่เราอาจเผลอใช้งานมากเกินไป
  2. ความเครียดสะสมจากการทำงาน ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองน้อยลง เกิดอาการมึนงง ความจำแย่ลง
  3. พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา
  4. ขาดสารอาหารบางชนิด จากการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ เช่น ขาดกรดอะมิโน วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ
  5. ได้รับสารพิษต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น มลภาวะ สารเคมี โลหะหนัก ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอากาศ อาหาร และน้ำ เป็นต้น

 
สัญญาณอันตราย Brain Fog ภาวะสมองล้า

  1. นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท แม้ว่าจะเหนื่อย
  2. ปวดศีรษะบ่อย ๆ
  3. สายต่ออ่อนเพลีย พร่ามัว
  4. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้นลงง่าย
  5. หลงลืมง่าย
  6. สมาธิสั้น
  7. เริ่มคิดไอเดียใหม่ ๆ ไม่ค่อยออก สมองไม่ค่อยแล่น
  8. ทำงานงานพลาดในจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ค่อยพลาดบ่อย ๆ
  9. นอนมากเท่าไรก็ไม่รู้สึกสดชื่น ง่วงแม้จะนอนเยอะ
  10. ลางานบ่อยขึ้น

 
วิธีลดความเสี่ยงภาวะสมองล้า

วัยทำงานคงจะหลีกเลี่ยงการทำงานหนักไปไม่ได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงภาวะสมองล้าได้ ดังนี้

  1. จัดเวลาในชีวิตให้ดี กำหนดเวลาทำงาน ทำกิจกรรมส่วนตัว เวลาพักผ่อน กินอาหาร พบปะเพื่อนและครอบครัว ไม่ให้ช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตขาดหายไป
  2. พยายามมองโลกในแง่บวก มองหาข้อดีของทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
  3. จัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ไว หากรู้สึกเครียด เริ่มคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ในแง่ร้าย หงุดหงิด โมโห ควรเอาตัวออกห่างจากสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์เหล่านั้นสักพัก หยุดคิดถึงเรื่องนั้นจนกว่าจะใจเย็นลง แล้วค่อยกลับไปแก้ปัญหานั้นใหม่
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อคืน ถ้ามีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ ควรพบแพทย์
  5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
  6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสิ่งเสพติดทุกชนิด
  7. หาเวลาทำกิจกรรมที่อยากทำ เพื่อปรับอารมณ์ และสร้างแรงบันดาลใจในการทำสิ่งใหม่ ๆ เรื่อย ๆ
  8. รับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ เน้นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ไก่ (ไม่กินหนัง) ปลา ผัก และผลไม้ต่าง ๆ และลดการรับประทานแป้งขัดสี และน้ำตาลให้น้อยลง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เรียนศัพท์ภาษาอังกฤษต้อนรับหน้าหนาวกัน (Winter Vocabulary)

นานทีๆ ประเทศไทยจะเริ่มมีอากาศหนาวมาให้พวกเราได้สัมผัสบ้าง ดังนั้นโอกาสมาทั้งทีแล้วเราจะไม่ให้เพื่อนๆ ที่ติดตามเราพลาดอย่างแน่นอน เราได้รวบรวมคำศัพท์ต่างๆ ที่เพื่อนๆ สามารถเอาไปใช้ในหน้าหนาวนี้ได้ ไปดูกันเลย

หมวดเกี่ยวกับอากาศ (Weather condition)

Cold snap – ความหนาว (เพียงระยะสั้นๆ)

  • It is cold snap in this week. (อากาศหนาวเพียงแค่ระยะสั้นๆในสัปดาห์นี้)

Bitter cold – หนาวจัด

  • It is bitter cold in Chiangmai. (อากาศหนาวจัดในเชียงใหม่)

Wind chill – ลมหนาว

  • It is wind chill outside here. (ข้างนอกมีลมหนาวพัดผ่าน)

Freezing – หนาวจัด (แบบเหมือนถูกแช่แข็ง)

  • It is freezing outside. (ข้างนอกหนาวจัดมาก)

Artic – หนาวจัด หนาวมาก (เป็นการเปรียบเทียบเหมือนหนาวอยู่ขั่วโลก)

  • There is no artic feeling in Thailand. (ในประเทศไทยไม่มีความรู้สึกหนาวจัดเหมือนอยู่ขั่วโลก)

Blizzard – พายุหิมะ

Below zero – อากาศหนาวต่ำกว่า 0 องศา (เราจะไม่ใช้คำว่า less than zero หรือ under zero ในกรณีนี้)

Cool / Chilly / Frosty – หนาวเย็น (แต่ไม่ได้หนาวจัด)

Frostbitten – เนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะเย็นจัด

Gust – ลมที่พัดแรง

Hailstone – ลูกเห็บ

Fog – หมอก

หมวดกิจกรรมหน้าหนาว – Winer Activities

Ice Fishing – ตกปลาในน้ำแข็ง

  • You’ve obviously never been ice fishing before (เห็นได้ชัดเลยว่าคุณไม่เคยตกปลาในน้ำแข็งมาก่อน)

Ice hockey – กีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง

  • The basic of Ice hockey is same with hockey. (พื้นฐานของกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งเหมือนกับกีฬาฮอกกี้ปกติ)

Ice scraper – แกะสลักรูปน้ำแข็ง

  • Kids love the Ice scraper (เด็กๆชอบแกะสลักน้ำแข็ง)

Snow shovel – (N) แปลว่า พลั่วขุดหิมะ / (V) แปลว่า ขุดหิมะ

  • My children always like snow shovel in the winter. (ลูกของฉันชอบขุดหิมะเล่นในช่วงหน้าหนาว)

Ski – สกี

  • Tourist always play ski in the winter. (นักท่องเที่ยวชอบเล่นสกีในช่วงหน้าหนาว)

หมวดเครื่องนุ่งห่มและอุปกรณ์ในหน้าหนาว – Winter clothing and equipment

Boots – รองเท้าบูท

Gloves – ถุงมือ

Socks – ถุงเท้า

Coat – เสื้อคลุม

Overcoat – เสื้อคลุมใหญ่

Overshoes – รองเท้าใส่เพื่อปกคลุมความหนาวเย็น

Scarf – ผ้าพันคอ

Show shoes – รองเท้าลุยหิมะ

Sweater – เสื้อทักไหมพรม

Woolen – ผ้าขนสัตว์

Stove – เตาอบ เตาผิง

Thermometer – อุปกรณ์วัดอุณหภูมิ

Heater – ตัวทำความร้อน

Ice Blanket – ถังน้ำแข็ง

เป็นยังไงกันบ้างกับคำศัพท์สำหรับฤดูหนาว ถึงแม้ว่าบางคำเราจะไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวันแต่อย่างน้อยเพื่อนๆ ลองเอาไปใช้กันได้ในหน้าหนาวนี้กันดูนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


สำคัญ จำเป็น อยู่รอบตัว ไม่เสียหายหากจะลงทุนกับเทคโนโลยี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกยุคศตวรรษที่ 21 นี้ เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ ส่งผลให้พฤติกรรมของประชากรโลกเปลี่ยนไปชนิดที่ว่าเราคงคาดเดาไม่ออกว่าถ้าเกิดระบบอินเทอร์เน็ตล่มทั้งโลกเพียงแค่ 30 นาที

จะใช้ชีวิตอยู่กันได้อย่างไร และความเสียหายจะสูงมากแค่ไหน ด้วยพฤติกรรมแทบทุกอย่างของเราล้วนผูกโยงเข้ากับอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ถ้าให้เห็นภาพง่ายที่สุด แค่ลืมสมาร์ตโฟนไว้ที่บ้าน หลายคนก็เดือดร้อนได้ทั้งวันแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกหลายคนก็รู้ว่าสมาร์ตโฟนเครื่องนั้นต้องใช้ทำอะไรบ้างในหนึ่งวัน

นั่นหมายความว่าชีวิตของเราคงจะขาดเทคโนโลยีไม่ได้เสียแล้ว การที่อุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ด้านของการใช้ชีวิต ส่งผลให้เทคโนโลยีจำเป็นต้องพัฒนาเป็นเวอร์ชันที่สูงกว่าอยู่เรื่อย ๆ ทำให้การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเป็นกลุ่มที่สามารถเติบโตได้ดีแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว มีความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การลงทุนในเทคโนโลยีจะไม่เสียหาย ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานชนิดที่ขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิต ยังไม่รวมถึงเรื่องการแข่งขันนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่านี้

เว็บไซต์ Morgan Stanley จึงได้วิเคราะห์ 5 เทรนด์การลงทุนในเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2023 ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ตัวเราอย่างมาก มาดูกันว่าเทรนด์เทคโนโลยีที่ว่ามันเชื่อมโยงกับชีวิตของเราอย่างไรบ้าง

การก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรม 

การลงทุนในซอฟต์แวร์หรือระบบที่ช่วยจัดการในด้านต่าง ๆ ของธุรกิจในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมให้ความสนใจ โดยกำลังหาแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตของตนให้ก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถจัดการกระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับระบบตนเอง ทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตมากยิ่งขึ้นไปอีก บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งก็เริ่มที่จะขยับเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ดิจิทัลอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในซอฟต์แวร์นั้นต้นทุนค่อนข้างสูง จึงมีการเพิ่มโอกาสให้กับเอกชนในการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งก็จะได้ผลตอบแทนที่ต่อเนื่องสำหรับการผลิตต่าง ๆ

บริษัทประกันภัยกับระบบ Insurtech บริการดิจิทัลบนแอปพลิเคชัน

บริษัทประกันภัยหลาย ๆ เจ้า ให้ความสนใจกับ Insurtech กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างตอบโจทย์กับการใช้งานที่หลากหลายของธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะในการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านต่าง ๆ Insurtech จึงจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ ทั้งตัวแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ มีการคาดการณ์ว่าแอปพลิเคชัน Insurtech จะมีการใช้งานและพัฒนาที่เทียบเท่ากับแอปพลิเคชันของธนาคารในทศวรรษที่ผ่านมาเลยทีเดียว ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในรูปแบบ Physical Devices และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ประหยัดต้นทุนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Healthcare Technology เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่รอไม่ได้

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เข้ากับเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจำเป็น โดยเฉพาะในส่วนของการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาโรคและการดูแลสุขภาพ ที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับการบริการด้านสุขภาพบ้างแล้ว เช่น การรักษาทางไกลผ่านระบบเทเลเมดิซีน (telemedicine) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพบแพทย์ทางไกลแบบเห็นหน้าและสนทนากันได้ทั้ง 2 ฝ่าย ไร้ข้อจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่ ได้รับบริการเหมือนไปโรงพยาบาล ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีที่ด้านการดูแลสุขภาพจำเป็นต้องสร้างความต่อเนื่องในการรักษาโรคได้ รวมถึงความแม่นยำในการวินิจฉัย ความน่าเชื่อถือของระบบต่าง ๆ

แนวโน้มเกี่ยวกับ Digital Infrastructure และข้อมูลที่มีมหาศาล

เนื่องจากการบริโภคข้อมูลในยุคปัจจุบันเติบโตแบบทวีคูณ จึงผลักดันให้โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับดิจิทัลทุกประเภทเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการจัดการและดูแลฐานข้อมูลขนาดใหญ่และการบริการอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Data Center เสาสัญญาณเคลื่อนที่ ไฟเบอร์ ระบบคลาวด์ เป็นต้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน สร้างประสบการณ์ที่สะดวกสบายและราบรื่น ขยายขอบเขตไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ให้ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่ของสังคมเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเทคโนโลยีโครงสร้างเบื้องหลังเหล่านี้มีการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก เพื่อทำลายพรมแดนในการเชื่อมต่อโลกเข้าด้วยกันจากเทคโนโลยี

Cloud และ AI สำหรับการวางแผนทรัพยากรในองค์กรและทรัพยากรบุคคล

เทคโนโลยี AI จะไม่หายไปจากแวดวงด้านอาชีพและการทำงาน ซึ่งก็อยู่ที่ว่าแต่ละองค์กรจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร และบุคลากรที่เป็นมนุษย์จะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหนหลังจากองค์กรนำ AI มาใช้ ถึงอย่างนั้น AI ก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไป หากนำมาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรในองค์กร (ERP) และทรัพยากรบุคคล (HR) ในส่วนของการบริหารจัดการทรัพยากรในองค์กร มีแนวโน้มสูงที่จะนำระบบคลาวด์เข้ามาปรับใช้ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่า และสำหรับในส่วนของทรัพยากรบุคคล AI จะเข้ามามีบทบาทสำหรับการสรรหา การรับเข้าทำงาน และการมีส่วนร่วมของพนักงาน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กิน “มะเขือเทศ” อย่างไรให้ผอม ตามสูตรคนญี่ปุ่น

มีคำกล่าวว่า “เมื่อมะเขือเทศสุกเป็นสีแดงหน้าคุณหมอมักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน” และ “หากรับประทานมะเขือเทศวันละหนึ่งผลจะทำให้ไกลห่างจากการหาหมอ” คำกล่าวเหล่านี้บ่งบอกว่ามะเขือเทศมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ทำให้ผู้คนสุขภาพดีจนคุณหมอต้องเดือดร้อนเพราะไม่มีผู้ป่วยมาให้รักษา นอกจากประโยชน์มากมายต่อสุขภาพแล้ว คนญี่ปุ่นยังใช้มะเขือเทศเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักด้วย มาดูกันว่ามะเขือเทศช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร และมาดูวิธีการนำมารับประทานเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักของคนญี่ปุ่นกันนะคะ

เหตุผลที่ “มะเขือเทศ” เป็นทางเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก

  1. มะเขือเทศเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ

มะเขือเทศขนาด 150 กรัม 1 ผลให้พลังงานเพียง 30 กิโลแคลอรี่  อีกทั้งการเคี้ยวมะเขือเทศยังช่วยทำให้รู้สึกอิ่มไว ส่งผลในการลดการรับพลังงานจากแป้งและอาหารอื่นๆ เข้าสู่ร่างกาย

  1. มีสารอาหารที่ช่วยเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

จากการศึกษาของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโตพบว่า มะเขือเทศประกอบไปด้วยสาร 13-Oxo-9,11-Octadecadienoic acid (13-Oxo-ODA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยรักษาระบบเผาผลาญไขมันที่ผิดปกติในหนูให้ดีขึ้น  อีกทั้งจากงานวิจัยในมนุษย์พบว่า การดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำจะช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดและช่วยเพิ่มการใช้พลังงานในร่างกาย ซึ่งคาดว่าจะมีผลช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี

  1. อุดมไปด้วยโพแทสเซียม

มะเขือเทศเป็นผักที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งทำหน้าที่ช่วยขับน้ำออกจากร่างกายและลดอาการบวมน้ำในร่างกายได้ดี  ร่างกายบวมน้ำเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตัวหนัก การรับประทานมะเขือเทศสดเป็นวิธีการที่ดีเพื่อรับโพแทสเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่

  1. อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

การลดน้ำหนักที่ดีต้องทำไปพร้อมกับการมีร่างกายที่แข็งแรง มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารอาหารที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมความงามไปพร้อมกับการลดน้ำหนักดังนี้คือ

  • วิตามินซี ซึ่งมีความสำคัญในการผลิตคอลลาเจนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวพรรณ ป้องกันผิวหนังจากแสงแดด และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
  • เบต้า แคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย วิตามินชนิดนี้จะช่วยให้เยื่อเมือกและผิวหนังแข็งแรง ช่วยบำรุงสายตา และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
  • วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอความแก่ และทำให้การไหลเวียนเลือดดี
  • ไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอี ประมาณ 100 เท่า ช่วยชะลอความแก่ และป้องกันโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง เป็นต้น
  1. ง่ายต่อการนำมารับประทานติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง

สิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักคือ การหาวัตถุดิบที่รับประทานได้ง่ายอย่างต่อเนื่อง มะเขือเทศเป็นวัตถุดิบทางเลือกที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งในรูปแบบมะเขือเทศสด น้ำมะเขือเทศ และมะเขือเทศกระป๋อง

วิธีการนำ “มะเขือเทศ” มารับประทานเพื่อช่วยลดน้ำหนัก

  1. มะเขือเทศสด น้ำมะเขือเทศ และมะเขือเทศกระป๋อง ต่างมีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนัก

ข้อดีของการใช้มะเขือเทศเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักคือ สามารถเลือกรับประทานได้ทั้งมะเขือเทศสดและมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปแล้ว แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีจากกระบวนการแปรรูป แต่ร่างกายคนเราจะดูดซึมไลโคปีนจากมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปแล้วได้ดีกว่า ดังนั้นหากไม่ชอบมะเขือเทศสด ก็สามารถเลือกรับประทานน้ำมะเขือเทศหรือมะเขือเทศกระป๋องได้

  1. รับประทานหรือดื่มก่อนอาหารวันละ 1 ครั้ง

วิธีการรับประทานมะเขือเทศเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้นควรรับประทานวันละหนึ่งครั้งก่อนอาหารเย็น โดยหากเป็นมะเขือเทศสด การเคี้ยวจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและช่วยป้องกันการรับพลังงานจากข้าวหรือแป้งได้ดี อย่างไรก็ดี ปริมาณมะเขือเทศสดที่แนะนำให้รับประทานนั้นอยู่ที่ประมาณ 250-500 กรัม (มะเขือเทศผลขนาดกลาง 2-3 ผล และมะเขือเทศราชินี 17-18 ผล) ซึ่งอาจจะยากในการนำมารับประทานให้ต่อเนื่องทุกวัน การดื่มน้ำมะเขือเทศที่ไม่มีส่วนผสมของเกลือและน้ำตาลจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี โดยดื่มก่อนอาหารวันละประมาณ 200 มิลลิลิตร  ทั้งนี้หากคำนึงถึงคุณค่าของไลโคปีน ร่างกายคนเราจะดูดซึมไลโคปีนได้ดีในช่วงเช้า การรับประทานมะเขือเทศก่อนอาหารเช้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเช่นกัน

  1. รับประทานพร้อมกับอาหารที่มีคุณต่อร่างกายอื่นๆ

วิธีการลดน้ำหนักที่ดีควรหลีกเลี่ยงการอดอาหาร แม้ว่ามะเขือเทศจะมีคุณค่าของสารอาหารมากมาย แต่การรับประทานมะเขือเทศเพียงอย่างเดียวจะทำให้ร่างกายขาดโปรตีนซึ่งเป็นหน่วยสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ และขาดพลังงานจากแป้งได้ วิธีการลดน้ำหนักโดยใช้มะเขือเทศเป็นตัวช่วยนั้นควรจะรับประทานแป้ง (ข้าว อาหารประเภทเส้นต่างๆ และขนมปัง) โปรตีน (เนื้อสัตว์ไร้มัน ไข่ ปลา ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง) ผัก สาหร่าย บุกและเห็ดต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพื่อช่วยให้เกิดความสมดุลของสารอาหารไปพร้อมกับการลดน้ำหนักให้ผอมเพรียวตามต้องการ

การลดน้ำหนักให้ได้ผลดีไม่กลับมาอ้วนอีกคือการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน หมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย การลดน้ำหนักโดยมีมะเขือเทศเป็นตัวช่วยนอกจากจะทำให้ผอมเพรียวแล้วก็ยังทำให้ผิวพรรณสวยงาม แข็งแรง และไม่แก่ก่อนวัย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/01/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,550.0029,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,914.0029,016.2430,150.00
ทองรูปพรรณ 90%1,722.6026,114.62n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,531.2023,212.99n/a
ทองรูปพรรณ 50%861.0013,052.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%670.0010,157.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,983.0030,062.28n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/01/2566



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.7534.7535.0534.7535.0534.7534.7534.7534.7534.75
แก๊สโซฮอล์ 9134.4834.4834.7834.4834.7834.4834.4834.4834.4834.48
แก๊สโซฮอล์ E2032.8432.8433.1432.8433.1432.8432.8432.8432.84
แก๊สโซฮอล์ E8532.9932.9932.99
เบนซิน 9542.1642.9142.6642.6142.16
ดีเซล B734.9434.9435.5434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล34.9434.9435.5434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล B2034.9434.9435.5434.9434.9432.8434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6644.2644.2644.2634.94
แก๊ส NGV16.5916.5916.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า