บุญถาวร ทุ่ม1พันล.ผุด’Design Village’ ปักหมุด’บางนาและรัชดา’รองรับการใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่
“บุญถาวร กรุ๊ป”มูฟออนแผนลงทุนต่อถึงปี 66 ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เดินหน้าเตรียมเปิดโครงการ Design Village 2 ทำเลศักยภาพ ทั้งโซนบางนา และ รัชดา สาขาโฉมใหม่แห่งที่ 4 และ 5 รองรับผู้บริโภคในยุค Next Normal เป็นศูนย์รวมด้านการออกแบบการอยู่อาศัย ตั้งเป้ารวม 5 สาขาในปี 66 มียอดขายรวมยอดใช้จ่ายของลูกค้าแตะ 11,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายปี 66 เติบโต 7-8% มูลค่าแตะ 15,000 ล้านบาท
นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญถาวร กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในขณะที่กำลังซื้อของครัวเรือนโดยรวม ยังมีความเปราะบางจากภาระค่าครองชีพและหนี้ที่สูง ล้วนแล้วแต่เป็นความท้าทายของผู้ประกอบการ ที่ต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับกับปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ทั้งนี้ การทำงานแบบไฮบริด ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ยังคงเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและเป็นระยะยาวหลังจากนี้ ผู้คนมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น และเห็นความสำคัญของบ้าน เพื่อมองหาคุณภาพชีวิตที่ดีในการอาศัยด้วยการปรับปรุงที่อยู่อาศัยกันมากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมการช้อปปิ้งที่ผู้คนมองหาสถานที่ในการใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ในรูปแบบใหม่ จึงเป็นโอกาสของ Design Village ที่ทางบริษัทฯได้ปรับปรุงสาขาของบุญถาวรให้เหมาะกับเทรนด์ใหม่ของคนรักบ้านมากขึ้น
นอกเหนือจากที่จะสามารถจับจ่ายใช้สอยอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแล้ว ยังสามารถเข้ามาใช้บริการโซนอื่นๆ อาทิ สินค้าแฟชั่น ร้านอาหาร ฯลฯ เราได้นำร่องโครงการ Design Village 3 โครงการแรกในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ Design Village ราชพฤกษ์, พุทธมณฑล และเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยมีจำนวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่สาขารวมเฉลี่ยกว่า 20,000 คน ต่อวัน มีแบรนด์ชั้นนำกว่า 200 แบรนด์ และสร้างรายได้รวมทั้ง 3 สาขา กว่า 4,500 ล้านบาท
ในขณะที่ปี 2566 ทางบริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการ Design Village เพิ่มอีก 2 สาขาได้แก่ Design Village บางนา พื้นที่ 30 ไร่ ครอบคลุมการให้บริการลูกค้า 5 กิโลเมตร ซึ่งมีที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 180 โครงการ และ สาขารัชดา เนื้อที่ 14 ไร่ เป็นเรือธงรองรับกลุ่มคนในซีบีดี รวม 2 สาขาใหม่ ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ทางบริษัทฯได้วางเป้า 5 Design Village ที่เปิดรวมในปีหน้า จะมียอดขาย (รวมยอมใช้จ่ายของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้า) ประมาณ 11,000 ล้านบาท
“Design Village ใน 2 สาขาที่เพิ่มขึ้น จะพร้อมให้บริการในปีหน้า ซึ่งจะเพิ่มปริมาณยอดผู้เข้ามาใช้ในสาขามากขึ้น และในแผนธุรกิจระยะสั้น 3 ปี คือ ในปี 2569 ก็คาดว่าจะมีการเปิด Design Village เพิ่มให้ครบ 8 แห่ง ขณะที่สาขาในต่างจังหวัด อาจจะพิจารณาความเหมาะสมจะปรับสาขาเดิม หรือ ลงทุนในแปลงที่บุญถาวรมีที่ดินอยู่ เช่น ที่จังหวัดภูเก็ต มีประมาณ 27 ไร่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ และ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นที่ดินเดิมในที่ตั้งของสาขาบุญถาร เป็นต้น”
สำหรับแนวโน้มของผลการดำเนินงานในปีนี้ ทางบุญถาวร ประเมินผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และโควิดที่คลี่คลาย คาดว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 14,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2566 จะเติบโตประมาณ 7-8% แต่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้ถึง 10% จะส่งผลให้ยอดขายรวมอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท
“ภาพรวมของราคาสินค้าตกแต่งบ้านนั้น ได้ปรับขึ้นตามต้นทุนที่ขึ้นมาเร็ว ซึ่งได้รับผลกระทบจากเรื่อง ต้นทุนพลังงาน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่ามากถึงร้อยละ 38 ปัญหาเรื่องเรือขนส่งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมถึงราคาสินค้าวัสดุและตกแต่งปรับขึ้นมาเฉลี่ยร้อยละ 5-20” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
นายสาโรจน์ เจิมธเนศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญถาวร แอสเซท จำกัด ผู้ดูแลการพัฒนาและบริหารโครงการ Design Village กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการ Design Village บางนา สามารถปิดพื้นที่โซนร้านค้าไปกว่า 80% และในส่วนพื้นที่ที่เหลืออยู่ในช่วงที่บริษัทฯ กำลังพิจารณาข้อเสนอจากทางร้านค้า ทั้งนี้สำหรับการก่อสร้างโครงการ Design Village สาขาบางนา ได้คืบหน้าไปแล้วกว่า 60% และคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือน เมษายน ปี 2566
ขณะที่โครงการ Design Village รัชดา ตั้งอยู่ในย่าน New CBD บนถนนรัชดาภิเษก ที่มีความพร้อมและศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับ Flagship Stores ของแต่งบ้านจากแบรนด์ดัง และ Co-working x Living x Shopping space เปิดพื้นที่สำหรับการช้อป ทาน ทำงาน สัมมนา และการเป็นศูนย์กลางการเปิดตัวสินค้าแห่งใหม่ใจกลางเมือง พร้อมทั้งตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีใจรักงานดีไซน์ด้วยเอกสิทธิ์พิเศษมากมาย ครบครันด้วยร้านค้ารวมถึงร้านอาหารชั้นนำที่คัดสรรอย่างดี ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นรีโนเวท คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Design Village ทุกโครงการของเราจะเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยผลักดันยกระดับ Design Community ของคนไทยให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เราเชื่อว่า การกระจายตัวของ Design Village ไปในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองต่างๆ ทั้งนี้ในอนาคตจะสามารถนำพาคุณค่าในเชิงการใช้งานไปกระจายไปยังทุกพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่ส่งต่อพลังบวกให้แก่ชุมชน และเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าในแง่เศรษฐกิจและความเป็นอยู่”นายสาโรจน์กล่าว.
ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com
“บริทาเนีย x นิปปอนเพนต์” ร่วมสร้าง ‘Living Sustainable Innovation’ ผ่านนวัตกรรมสี เพื่อชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อม
“บริทาเนีย” และ “นิปปอนเพนต์” ขานรับเทรนด์สิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ดี ร่วมสร้าง ‘Living Sustainable Innovation’ ผ่านนวัตกรรมสีนิปปอนเพนต์ วีนิเลกซ์ อะคริลิก ซึ่งเป็นสีที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ และยังได้รับฉลาก Carbon Footprint และฉลากเขียว (Green Label) ช่วยประหยัดพลังงาน เพื่อชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อม
นายนาวิน เล็กนาวา กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อสังคมแห่งคุณภาพ กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ภายในโครงการบ้านจัดสรรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยความร่วมมือกับนิปปอนเพนต์ฯ ครั้งนี้ ได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สีนิปปอนเพนต์ วีนิเลกซ์ อะคริลิก กับโครงการของบริทาเนีย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สีคุณภาพ ทนทาน ได้รับฉลาก Carbon Footprint ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมและโลก สามารถสะท้อนรังสียูวี ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเน้นการประหยัดพลังงาน และยังมีคุณสมบัติไม่มีกลิ่นฉุน ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย ยกระดับโครงการสู่ “Living Sustainable Innovation” บ้านที่ใส่ใจต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เสริมความมั่นใจแก่ลูกบ้านและผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย มองหาบ้านหลังใหม่ที่ใส่ใจทุกคนในครอบครัวและสิ่งแวดล้อม
“โครงการบ้านเดี่ยว, บ้านแฝดและทาวน์โฮม ของบริทาเนียนอกจากจะตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยด้วยฟังก์ชันบ้านและส่วนกลาง ที่สอดรับกับการใช้ชีวิต ยังห่วงใยสุขภาพผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง บริทาเนียจึงตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สีนิปปอนเพนต์ ที่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมเพื่อผู้อยู่อาศัยและ การันตีความปลอดภัยต่อโลก ด้วยการมุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี พร้อมกับการดูแลลูกบ้านอย่างดีที่สุด” นายนาวิน กล่าว
นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาระดับโลกที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติอย่างต่อเนื่องและกระจายไปทั่วทุกแห่งรวมถึงในประเทศไทย ส่วนสำคัญของปัญหาเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การใช้พลังงาน เป็นต้น ส่งผลให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญและนำไปสู่หนทางแก้ไขนานัปการ ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ ในฐานะผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก จากประเทศญี่ปุ่น เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยแนวราบชั้นนำ ที่คำนึงถึงการสร้างบ้านอย่างมีความรับผิดชอบต่อลูกบ้านและสังคม ร่วมสร้างบ้านที่ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม จากนวัตกรรมของสีทาบ้าน สอดคล้องตามแนวคิด “Living Sustainable Innovation”
โดยผลิตภัณฑ์สีนิปปอนเพนต์ วีนิเลกซ์ อะคริลิก สีน้ำอะคริลิกแท้ 100% ที่บริทาเนียเลือกใช้ เป็นสี เทคโนโลยีพิเศษจากญี่ปุ่น คุณภาพเหนือมาตรฐานอุตสาหกรรม ด้วยคุณสมบัติเด่นสะท้อนแสงแดดอย่างเต็มประสิทธิภาพถึง 90% ช่วยประหยัดพลังงานภายในบ้าน มีอายุการใช้งานทนทานกว่า 8 ปี เหมาะกับทุกสภาพอากาศ กลบพื้นผิวได้ดี ป้องกันเชื้อราและตะไคร่น้ำ ทำความสะอาดง่าย ไม่มีกลิ่นรุนแรง ปราศจากสารตะกั่วและสารปรอท จึงปลอดภัยต่อทุกชีวิตของผู้อยู่อาศัย และยังได้รับการรับรองฉลาก Carbon Footprint และฉลากเขียว (Green Label) ช่วยประหยัดพลังงาน จึงเป็นสีที่ให้มากกว่าสีทั่วไป ดีทั้งในเรื่องของคุณภาพ สุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายวัชระ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก ryt9.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่านัก มองแนวต้านสำคัญในโซน 35.20 บาทต่อดอลลาร์ เหตุ นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยซื้อสุทธิบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้น-ยาว
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.08 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา
ปัจจัยหนุนก็มาจากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ แต่ค่าเงินบาทก็ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้
โดยเฉพาะในกรณีที่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวและปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนัก ก็อาจทำให้ผู้เล่นต่างชาติทยอยขายทำกำไรการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้
อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า เงินบาทอาจไม่ได้ผันผวนอ่อนค่าไปมากนัก โดยยังคงมองแนวต้านสำคัญในโซน 35.20 บาทต่อดอลลาร์
เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยซื้อสุทธิบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและบอนด์ระยะยาว ตามแนวโน้มการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์
รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก ส่วนในฝั่งผู้ประกอบการ บรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็ต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ
ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80–35.00 บาท/ดอลลาร์
บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนอาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนัก
และเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สอดคล้องกับมุมมองของบรรดาผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
อาทิ Goldman Sachs, JPM และ Bank of America ที่ออกมาแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในปีหน้า
จากผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ความกังวลดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.51% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.19%
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.62% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก อย่าง สหรัฐฯ และยุโรป อาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP -2.2%, TotalEnergies -2.0%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากรายงานยอดสต็อกน้ำมันเบนซินรวมถึงน้ำมันกลั่น (Heating Oil และ Diesel) ในสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
ด้านตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังคงหนุนความต้องการถือ บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลง สู่ระดับ 3.43%
ทั้งนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเฟดเดือนธันวาคม (วันพฤหัสฯ หน้า)
อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่รุนแรงมากนัก หรือ ยากที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับไปสู่ระดับ 4.00% (ยกเว้นว่า เฟดจะส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าระดับ 5%-5.25% ไปมาก)
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเพิ่มสถานะถือครอง ตามมุมมองที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่เสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 105.2 จุด กดดันโดยการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินฝั่งยุโรป อาทิ เงินยูโร (EUR) และ
เงินปอนด์ (GBP) จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของฝั่งยุโรป ที่ออกมาดีกว่าคาด อย่าง GDP ยูโรโซยในไตรมาสที่ 3 ที่โต +2.3%y/y ดีกว่าที่ตลาดคาด ทั้งนี้ บรรยากาศตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่ถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
กอปรกับ ทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ต่างปรับตัวลดลง ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านแถว 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ซึ
เรามองว่า การรีบาวด์ของราคาทองคำดังกล่าว อาจทำให้มีผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำได้บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่าน ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดคาดว่า ความต้องการสินค้าที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมถึง ปัญหา Supply Chain ที่คลี่คลายลงไปมาก จะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าฝั่งผู้ผลิต โดย PPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 7.2% จาก 8.0% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนว่า แรงกดดันต่อเงินเฟ้อทั่วไปในส่วนราคาสินค้า (Goods Inflation) ก็มีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อในฝั่งการบริการ (Services Inflation) อาจยังคงอยู่ในระดับสูง
หลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.5 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก และดัชนีราคาภาคการบริการก็ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 70 จุด
ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า ภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทยจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่อาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 47 จุด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“บาส-ปอป้อ” ประเดิมคว้าชัย ขนไก่ “เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์”
การแข่งขันแบดมินตันเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2022 รายการใหญ่ส่งท้ายปี เปิดฉากเป็นวันแรก เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ที่อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
รายการนี้คัดนักแบดมินตันที่ทำคะแนนสะสมรายการระดับเวิลด์ทัวร์ อันดับ 1-8 ของแต่ละประเภทเข้าร่วมการแข่งขัน โดยมีนักแบดมินตันไทยผ่านเข้ามาชิงชัย 10 คนใน 3 ประเภท
ระบบการแข่งขันจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 4 คน(4 คู่) แข่งพบกันหมดในกลุ่ม คัดอันดับ 1-2 ของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองชนะเลิศ
นักตบลูกขนไก่ไทยเปิดฉากลงสนามในประเภทคู่ผสม ซึ่งมีนักแบดฯไทยผ่านเข้ามา 2 คู่คือ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 1 ของโลก แชมป์เก่า 2 สมัยล่าสุด และ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 12 ของโลก (อันดับ 9 คะแนนสะสมเวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์)ที่ได้สิทธิเข้ามาแทนคู่ของญี่ปุ่นที่ถอนตัว
คู่ผสมทั้งสองคู่ของไทยที่ถูกจับสลากมาอยู่ร่วมกันในกลุ่มบี กับ หวัง ยี่ลู่ กับ หวง ตงปิง อันดับ 4 ของโลกจากจีน และ ตัน เคียงเม้ง กับ ไล่ เป่ยจิง อันดับ 8 ของโลกจากมาเลเซีย โคจรมาเจอกันในแมตช์แรก
ผลปรากฏว่า บาส-ปอป้อเป็นฝ่ายชนะเอาชนะคู่รุ่นน้องไปอย่างสนุก 2-0 เกม 21-6, 25-23
สำหรับนัดต่อไปวันที่ 8 ธันวาคม บาส-ปอป้อจะพบกับตัน เคียงเม้ง-ไล่ เป่ยจิง ส่วนเอ็ม-เฟมพบกับหวัง ยี่ลู่-หวง ตงปิง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 สัญญาณเตือนภัย “ไตวาย”
สมัยนี้ใครๆ ก็ทราบดีว่าหากไม่อยากเป็นโรคไต ก็อย่ากินเค็ม หรือลดอาหารรสจัด แต่หากเราดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆ กินอาหารดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เมื่อไรล่ะที่เราจะรู้สึกตัวว่า เราอาจกำลังเข้าสู่ภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคไต Sanook! Health ให้ข้อสังเกตกับตัวคุณว่า หากมีอาการแบบนี้ รีบไปพบแพทย์ด่วนๆ เลย
10 สัญญาณเตือนภัย “ไตวาย”
1. ปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะ โดยมักพบเฉพาะผู้หญิง หากผู้ชายมีอาการนี้ อาจเป็นอาการของโรคนิ่วแทน
2. ปัสสาวะลำบาก รู้สึกเหมือนปัสสาวะไม่สุด ต้องเบ่งแรง หรือสะดุดกลางคัน เป็นสัญญาณของการอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะ
3. ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนมากกว่า 1-2 ครั้ง เนื่องจากไตทำงานไม่ปกติ ไม่สามารถดูดน้ำกลับเข้าร่างกายได้ จึงต้องขับออกบ่อยๆ
4. ปัสสาวะมีเลือดผสม ปัสสาวะเป็นสีแดงอ่อนๆ หรือสีน้ำล้างเนื้อ หรืออาจมีความขุ่นมากกว่าปกติ เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
5. ปัสสาวะมีฟอง เนื่องจากพบโปรตีนในปัสสาวะ
6. หนังตา มือ เท้าบวม โดยเฉพาะหลังตื่นนอนตอนเช้า
7. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย เนื่องจากมีปริมาณน้ำในตัวมากเกินไป และมีภาวะโลหิตจาง
8. ความดันโลหิตสูง
9. เลือดออกง่าย กระดูกหักง่าย เจ็บเอว ปวดหลัง เนื่องจากแคลเซียมในเลือดต่ำ
10. คันตามผิวหนัง
หากพบอาการเหล่านี้ ไม่ว่าจะข้อเดียวหรือหลายข้อ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วนเลยค่ะ เพราะหากพบก่อนก็จะรักษาได้ง่าย แต่หากปล่อยให้อาการหนักขึ้น อาการอาจทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว เพราะไตมีหน้าที่ฟอกเลือด ฟอกของเสีย หากร่างกายเต็มไปด้วยของเสีย คราวนี้แม้แต่ปาฏิหาริย์ก็อาจช่วยอะไรคุณไม่ได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จำลอง 3 สถานการณ์!!! 20 ประโยคในการเริ่มต้นบทสนทนากับเพื่อนชาวต่างชาติ
ใครที่อยากลองมีเพื่อนชาวต่างชาติหรืออยากฝึกสกิลการสนทนาภาษาอังกฤษห้ามพลาด เพราะเรามีจำลอง 3 สถานการณ์ที่พบเจอบ่อย เราจะเริ่มต้นประโยคและสนทนาด้วยเรื่องอะไรกันบ้างเป็นภาษาอังกฤษกัน
จำลองสถานการณ์ในมหาวิทยาลัย (University scenerio)
- Have you seen that movie? I think it was awesome !
- เธอได้ดูหนังเรื่องนี้หรือยัง ฉันว่ามันสุดยอดมากเลย
- We just finished the final exam , are you guys going out tonight?
- เราพึ่งสอบไฟนอลเสร็จ พวกเธอจะไปฉลองคืนนี้ไหม
- How about the previous lesson ? wasn’t that interesting ?
- คาบเรียนที่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง มันน่าสนใจบ้างไหม
- Are you ready for the upcoming exam? I am definitely not.
- เธอพร้อมสำหรับการสอบครั้งที่จะถึงหรือยัง สำหรับฉันแน่นอนคือไม่พร้อมเลย
- The orientation last night was great ; It was filled with warm welcome from alumni.
- การปฐมนิเทศเมื่อคืนมันดีมากเลยนะ พวกพี่ๆ ที่จบไปแล้วได้ต้อนรับเราอย่างอบอุ่นมากเลย
แถมให้อีกอันที่หลายๆ คนชอบถามบ่อยเป็นภาษาไทย
- Have you started on your homework yet?
- เธอได้เริ่มทำการบ้านหรือยัง
จำลองสถานที่ในที่ทำงาน (Business scenario)
- How was your weekend?
- สุดสัปดาห์ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
- Any plan for this Friday? I Just can’t wait.
- สำหรับวันศุกร์นี้ได้วางแผนอะไรแล้วหรือยัง สำหรับฉันแล้วแทบจะรอไม่ไหวเลยหล่ะ
- How long have you been working here?
- คุณทำงานที่นี้มานานแค่ไหนแล้วคะ
- Any new idea about our department’s next project?
- คุณมีไอเดียอะไรสำหรับแผนกของเราบ้างไหม สำหรับโปรเจคหน้า
- I consider myself that I am very lucky to work here, how about you?
- ฉันพิจารณาแล้วและคิดว่าฉันเป็นคนที่โชคดีมากๆที่ได้ทำงานที่นี้ คุณล่ะ
จำลองสถานการณ์ทั่วไป (General occasion scenario)
- The weather is crazy these days , don’t you think?
- สภาพอากาศในปัจจุบันนี้มันประหลาดมากเลย คุณว่าไหม
- It’s great to see you again! , how have you been?
- ดีใจจริงๆที่ได้เจอคุณ คุณเป็นอย่างไรบ้าง
- Do you like shopping? I need some advice about my wedding ring.
- เธอชอบช้อปปิ้งไหม ฉันอยากจะขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแหวนวันงานแต่งงานของฉัน
- Do you have a hobby? For me , i am personally love to go swimming.
- คูณมีงานอดิเรกบ้างไหม สำหรับฉันส่วนตัวแล้วรักการว่ายน้ำมากๆ เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ล้ำไปอีก! Dyson เปิดตัว Dyson Zone หูฟังกรองอากาศพร้อมระบบตัดเสียงแบบ Active วางขายปีหน้า
Dyson เผยข้อมูลล่าสุดของ Dyson Zone™ หูฟังกรองอากาศพร้อมระบบตัดเสียงแบบ Active โดยจะวางขายในประเทศจีน เดือนมกราคมปีหน้า และวางขายในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสิงคโปร์ หลังจากประกาศอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Dyson Zone™ กลับมาพร้อมข้อมูลรายละเอียดในการเป็นหูฟังที่มอบประสบการณ์การฟังเพลงแบบอิมเมอร์ซีฟที่มาพร้อมความสามารถในการกรองอากาศ
ด้วยการวิจัยและพัฒนากว่า 6 ปี Dyson Zone™ สามารถให้เสียงเต็มคุณภาพ คมชัด สมจริง ได้นานสูงสุดถึง 50 ชั่วโมง พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนอันทรงพลัง และการทำสำเนาเสียงที่แม่นยำ เต็มสเป็กตรัม มาพร้อมกับความสามารถในการกรองอากาศ สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กสุดที่ 0.1 ไมครอน และตัวกรอง K-Carbon เคลือบโพแทสเซียมที่ทำหน้าที่ดักจับก๊าซมลพิษที่เกิดจากกิจกรรมในเมือง เช่นไนโตรเจนไดออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ออกแบบมาเพื่อปกป้องคุณจากมลพิษในตัวเมืองทุกรูปแบบ
ประชากรของโลกจำนวนมากกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในตัวเมือง โดยคาดว่าสัดส่วนของคนที่อาศัยในตัวเมืองจะอยู่ที่ 7 ใน 10 ภายในปี 2050 แน่นอนว่าเมื่อประชากรในเมืองขยายตัว โครงข่ายสาธารณูปโภคต่างๆ ก็เติบตัวควบคู่ไปด้วย ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของการขนส่ง การก่อสร้าง การเดินทาง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสภาพแวดล้อมภายในเมืองทั้งมลภาวะทางอากาศและมลภาวะทางเสียง ตัวอย่างเช่น
- ชาวนิวยอร์คจำนวน 90% โดยประมาณที่เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะมักพบเจอกับมลภาวะทางเสียงที่มีความดังเกินค่าที่แนะนำ ในขณะที่ประชากรในสหภาพยุโรปจำนวน 1 ใน 5 ได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางเสียง
- 99% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีค่ามลภาวะสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ
- ในหลายภูมิภาคปัญาหามลภาวะทางอากาศไม่ได้เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างเช่นในทวีปยุโรป เอเชียตะวันตก และแอฟฟริกา ตามรายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ สาเหตุหลักของมลภาวะทางอากาศเกิดจากฝุ่นขนาดเล็กที่เกิดจากกระแสลม
Dyson Zone™ จะมาแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
Dyson Zone™ หูฟังกรองอากาศถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับปัญหามลภาวะในตัวเมืองทั้งเสียงรบกวนและมลพิษในอากาศ ด้วยขุมพลังจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และระบบชาร์จ USB-C Dyson Zone สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 50 ชั่วโมงเมื่อใช้เฉพาะตัวหูฟัง หรือใช้ได้สูงสุดถึง 4 ชั่วโมงเมื่อใช้ทั้งหูฟังและเครื่องกรองอากาศพร้อมกัน โดยสามารถชาร์จเต็มได้ภายใน 3 ชั่วโมง
Dyson Zone™ หูฟังกรองอากาศชิ้นนี้เกิดจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านการไหลของอากาศ การกรอง และมอเตอร์ ของ Dyson และความเข้าใจเชิงลึกเรื่องคุณภาพอากาศทั้งภายในและภายนอกอาคาร การทำงานของเครื่องกรองอากาศจะอาศัยคอมเพรสเซอร์บริเวณฝาครอบหูทั้งสองข้างในการนำอากาศเข้ามาสู่เครื่องผ่านตัวกรองสองชั้นและปล่อยกระแสอากาศบริสุทธิ์ไปยังจมูกและปากของผู้สวมใส่ผ่านกะบังหน้าแบบไร้สัมผัส ในส่วนของตัวกรองจะประกอบด้วยตัวกรองประจุไฟฟ้าที่สามารถดักจับอนุภาคได้ขนาดเล็กสุดที่ 0.1 ไมครอน ในขณะที่ตัวกรอง K-Carbon ที่เคลือบโพแทสเซียมทำให้สามารถดักจับก๊าซมลพิษที่เกิดจากกิจกรรมในเมือง เช่นไนโตรเจนไดออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์
Dyson Zone™ ออกแบบมาเพื่อมอบเสียงที่คมชัด สมจริง โดยสูญเสียคุณภาพเสียงน้อยที่สุด ครอบคลุมทุกย่านเสียงทั้งต่ำ กลาง สูง นอกจากนั้นยังสามารถใช้คุยโทรศัพท์ อัดเสียง และรับคำสั่งเสียงได้ด้วย ไมโครโฟนสำหรับการสนทนาจะทำงานร่วมกับไมโครโฟนที่ใช้ในฟังก์ชัน ANC ในการบีมฟอร์มมิ่ง ซึ่งทำให้สามารถรับเสียงพูดจากผู้สวมใส่ได้โดยป้องกันเสียงรบกวนจากทั้งด้านข้างและด้านหลังของผู้สวมใส่ได้
Dyson บนเส้นทางของวิศวกรรมด้านเสียงที่แตกต่าง
Dyson Zone™ มอบประสบการณ์การฟังเพลงแบบอิมเมอร์ซีฟ โดยถึงแม้ผู้พัฒนาเครื่องเสียงส่วนมากในตลาดมักจะใช้ Golden Listener ในการทดสอบเครื่องเสียง บุคคลที่ได้รับการฝึกให้ฟังและจำแนกเสียงเหล่านี้จะเป็นผู้กำหนดว่าเสียงแบบไหน เป็นเสียงที่ “ดี” แต่วิศวกรของ Dyson ต้องการที่จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการวิจัยและยืนยันผลลัพธ์ด้วยการขยายกลุ่มคนในการทดสอบไปมากกว่าเหล่า Golden Listener
- ออกแบบมาเพื่อมอบเสียงที่ผิดเพี้ยนน้อยที่สุด: ทั้งไดร์เวอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเครื่องกล วัสดุที่ใช้ ล้วนแล้วแต่ออกแบบมาอย่างดีเพื่อลดการผิดเพี้ยนของเสียง โดยเทคโนโลยีสัญญาณอัจฉริยะที่ทำงานถึง 48,000 ครั้งทำให้ได้เสียงที่สมดุล ผนวกกับเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนที่ทำหน้าที่ลดการผิดเพี้ยนของเสียงในทุกย่านความถี่
- ระบบตัดเสียงแบบ Active ทรงประสิทธิภาพ: ใช้ไมโครโฟน 8 จาก 11 ตัวภายในเครื่องเพื่อตรวจสอบเสียงรอบข้างได้มากถึง 384,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้สามารถตัดเสียงรบกวนได้มากสุดที่ 38 เดซิเบล ตั้งแต่ 20Hz ถึง 20kHz
- เสียงสมจริง เต็มสเป็กตรัม: Dyson Zone สามารถทำสำเนาเสียงได้ในย่าน 6Hz ถึง 21kHz เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถมอบเสียงได้ครบทุกโน๊ต ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายในการทำสำเนาเสียงให้ตรงกับเรนจ์เสียงของคนพูด ดังนั้นการที่ Dyson Zone สามารถทำสำเนาเสียงในย่านที่เหนือการรับรู้ของบุคคล ทำให้เราสามารถมอบเสียงที่คมชัด และสมจริง เก็บครบทุกสเป็กตรัมเสียง โดยเรนจ์เสียงที่กว้างเกิดจากระบบวิศวกรรมอิเล็กโทรอคูสติก และส่วนประกอบหลักได้แก่ สปีคเกอร์ไดร์เวอร์ นิโอดิเมี่ยม ขนาด 40 มม. 16 โอห์ม
- ปรับแต่งมาเพื่อให้ได้ยินครบทุกเสียง: ขับเคลื่อนด้วยมาตรวัดทางวิทยาศาสตร์และยืนยันด้วยการทดสอบโดยกลุ่มคนที่หลากหลาย วิศวกรของ Dyson สามารถระบุย่านเสียงที่สามารถมอบเสียงที่คมชัดและสมจริงที่สุดได้ และด้วยการตั้งค่า EQ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้สามารถมอบประสบการณ์เสียงที่ชัดเจน
- สัมผัสประสบการณ์การฟังแบบสบาย: ไม่มีศีรษะไหนที่เหมือนกันแบบ 100% ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เองทำให้ความสบายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ส่งผลในการออกแบบทั้งแรงกดของที่ครอบหัว รูปทรงและวัสดุของกะบังหน้าแบบถอดได้ การปรับแต่งอุปกรณ์ และอีกมากมาย โดยโฟมครอบหูถูกออกแบบมาให้แบรนกว่าหูฟังแบบปกติเพื่อลดเสียงจากภายนอก โดยทำองศาเพื่อสอดรับกับบริเวณหูเพื่อความสบายสูงสุด
เสียงคมชัดในทุกสถานการณ์จริง
มีประชากรทั่วโลกจำนวนกว่า 190 ล้านคนที่เดินทางโดยรถไฟใต้ดิน ที่ทำให้ผู้เดินทางถูกสัมผัสโดยมลภาวะทางอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และ PM10 ซึ่งในบางประเทศอากาศในรถไฟใต้ติดมีฝุ่นละอองมากกว่าบนถนน
ระบบเซนเซอร์ การเชื่อมต่อ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน
ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) คือหนึ่งในก๊าซมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ที่เกิดจากทั้งรถยนต์และการก่อสร้าง และยังมีซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ที่พบได้บ่อยที่สุดในตัวเมือง โดยตัวกรองคาร์บอนเคลือบโพแทสเซียมถูกออกแบบมาเพื่อดักจับแก๊ซเหล่านี้ เพื่อต่อสู้กับปัญหามลภาวะทางอากาศในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นใน Dyson Zone™ ยังมีเซนเซอร์ที่คอยวัดระดับไนโตรเจนไดออกไซด์และระดับมลพิษทางเสียงแบบเรียลไทม์และแสดงผลผ่านแอปฯ MyDyson™ นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์แบบเดียวกับที่เครื่องฟอกอากาศของ Dyson ทำได้ด้วยการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้สวมใส่และให้คำแนะนำด้านสุขภาพ หนึ่งในฟังก์ชันของ Dyson Zone™ คือการที่สามารถปรับระดับความแรงของอากาศได้อัตโนมัติเมื่อเปิดโหมด Auto และสวมกะบังหน้า ระบบตรวจจับศีรษะจะเปิดเครื่องในโหมด Standby เมื่อไม่ได้สวม และเมื่อถอดกะบังหน้าจะเข้าสูโหมดพูดคุยอัตโนมัติ ทำการปิดเครื่องกรองอากาศ และหยุดเพลง ทำให้สามารถยืดอายุแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
MyDyson™ สามารถใช้เพื่อควบคุม Dyson Zone™ ปรับความเร็วของกระแสลม และเปิด-ปิดระบบตัดเสียงรบกวน รวมไปถึงปรับการตั้งค่า EQ ได้ตามความต้องการ โดยสามารถเลือกจาก 3 โหมด Dyson EQ (คุณภาพเสียงสูง) Bass Boost (เน้นเบส) และ Neutral (flatter response curve) นอกจากนั้นใน MyDyson™ ยังสามารถปรับเสียงรวมถึงรับคำแนะนำเรื่องสุขภาพของหูได้ด้วย
Dyson Zone™ หูฟังกรองอากาศถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรจากทั้งสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน โดยสำนักงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์ การพัฒนาแอปฯและการบูรณาการถือเป็นโครงการที่สำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้การเชื่อมต่อเป็นไปอย่างราบลื่น และมอบฟีเจอร์ในการติดตามมลภาวะทั้งทางเสียงและอากาศอย่างชาญฉลาด
เช่นเดียวกันกับเครื่อง Dyson ทุกเครื่อง Dyson Zone™ หูฟังกรองอากาศพร้อมระบบตัดเสียงแบบ Active ถูกทดสอบอย่างถึงที่สุด ทั้งในห้องควบคุมอุณหภูมิ ทดสอบการตกจากที่สูง ทดสอบการสึกหรอของวัสดุ ทดสอบความทนทานของปุ่ม และอีกมากมาย โดยผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากคือเหล่าวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบที่ Dyson Malaysia Development Centre ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งทำให้สามารถทดลองสวมใส่ได้ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนชื้นนอกเหนือจากห้องปฏิบัติการในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังมีการทดสอบในผู้ใช้จริงในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และสิงคโปร์
Dyson Zone™ หูฟังกรองอากาศพร้อมระบบตัดเสียงแบบ Active จะเปิดตัวในปี 2023 ในบางภูมิภาคเท่านั้น โดยระยะเวลาการวางจำหน่ายจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยทาง Dyson จะแจ้งให้ทราบเมื่อใกล้ถึงเวลาจัดวางขาย โดยสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารล่าสุดได้ที่เว็บไซต์ Dyson.co.th
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มะเขือเทศสด VS น้ำมะเขือเทศกล่อง อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน
เป็นกระแสมาเรื่อยๆ สำหรับน้ำมะเขือเทศบรรจุกล่อง ที่สาวๆ แห่กันไปหาดื่มกันยกใหญ่ ด้วยว่าอยากให้ผิวของตัวเองขาว ใส นุ่ม ฟู (ผิวนะไม่ใช่ทุเรียน) ถึงแม้จะมีสาวๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่โอเคกับรสชาติสักเท่าไร แต่ก็พยายามทนดื่มหวังจะให้ผิวสวยใส เปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ
แต่อีกกระแสหนึ่งก็บอกว่า น้ำมะเขือเทศกล่องนั้น มีรสชาติ “เค็ม” ถึงแม้หน้ากล่องจะเขียนว่า น้ำมะเขือเทศแท้ 100% ก็ตาม จึงเชียร์ให้ทานสดเป็นลูกๆ จะดีกว่า ได้รับประโยชน์จากธรรมชาติเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าแน่นอน
จริงๆ แล้ว มะเขือเทศ ทานแบบไหนถึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดล่ะ?
ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่ามะเขือเทศมีสารอาหารชนิดใด ถึงช่วยบำรุงผิวให้เนียนใสอย่างที่สาวๆ ปรารถนากันทั้งบ้านทั้งเมือง
ประโยชน์ของมะเขือเทศ
- วิตามินซี ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ช่วยให้ผิวแลดูเต่งตึง ป้องกันอันตรายจากรังสียูวีจากแสงแดด และช่วยให้เซลล์ผิวหนังได้ปรับสภาพคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้แข็งแรง ทำให้ผิวชุ่มชื่น เรียบเนียนสวยงาม
- ไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา ต้านความเสื่อมของร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังเบต้าแคโรทีน วิตามิน และสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ทีนี้สาวๆ ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า ทั้งวิตามินซีและไลโคปีน ก็ช่วยเรื่องลดริ้วรอย และกระชับผิวให้เนียนใสเต่งตึงได้เหมือนกัน
แล้วมะเขือเทศสด กับน้ำมะเขือเทศกล่อง อันไหนมีเจ้าสองตัวนี้มากกว่ากันล่ะ?
มะเขือเทศสด
เพราะวิตามินซีเป็นสารอาหารที่ยิ่งโดนความร้อน หรือถูกแปรรูปมากๆ เข้าก็จะค่อยๆ ลดหายไปเรื่อยๆ ดังนั้น หากอยากได้รับวิตามินซีเต็มๆ (ซึ่งมะเขือเทศลูกขนาดปานกลาง 1 ลูกเท่ากับวิตามินซีในส้มโอ 1 ลูกเลยทีเดียว) ต้องทานมะเขือเทศสด
น้ำมะเขือเทศกล่อง
มะเขือเทศจะเพิ่มไลโคปีนมากขึ้น หากนำไปทำให้ผ่านความร้อน หรือปรุงให้สุก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำน้ำมะเขือเทศบรรจุกล่องนั่นเอง ดังนั้นหากอยากได้รับสารไลโคปีนเต็มๆ ให้เลือกดื่มน้ำมะเขือเทศกล่อง
ถ้าอยากได้ทั้งสองอย่างเลยล่ะ?
ก็เลือกทานทั้งสองอย่าง อาจจะทานทั้งสดๆ และทำไปปรุงมื้ออาหารต่างๆ ก็ได้
แต่ถึงกระนั้น การรับประทานมะเขือเทศ หรือน้ำมะเขือเทศมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป ซึ่งไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายมากนัก นอกจากเปลือง เพราะวิตามินซีส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะอยู่ดี แต่หากรับวิตามินซีมากเกินไปมากจริงๆ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเป็นโรคนิ่วในไตได้
ปริมาณวิตามินซีที่เหมาะสมกับร่างกาย
ราว 60-90 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับมะเขือเทศสด 3-4 ลูก หรือน้ำมะเขือเทศกล่อง 2 แก้ว
คราวนี้เราเลือกได้สักทีว่าจะทานมะเขือเทศแบบไหน ทางที่ดีควงคุณผู้ชายมาทานมะเขือเทศด้วยกันเสียเลย เพราะวิตามินซีจากมะเขือเทศสดยังช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากอาการหวัดได้เร็วขึ้น บำรุงฟันและเหงือกจากโรคลักปิดลักเปิด แถมไลโคปีนจากมะเขือเทศปรุงสุกยังช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย ดังนั้นเราจึงสามารถทานมะเขือเทศกันได้ทั้งครอบครัวนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 8/12/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,350.00 | 29,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,901.00 | 28,819.16 | 29,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,710.90 | 25,937.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,520.80 | 23,055.33 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 855.00 | 12,961.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 665.00 | 10,081.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,970.00 | 29,865.20 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 8/12/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 35.05 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.48 | 34.48 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.48 | 34.48 | 34.48 | 34.78 | 34.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.04 | 33.04 | 33.34 | 33.34 | 33.34 | – | 33.04 | 33.04 | 33.34 | 33.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.39 | 32.39 | – | – | – | – | – | – | – | 32.39 |
เบนซิน 95 | 42.16 | – | – | – | 42.91 | – | 42.66 | 42.61 | – | 42.16 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.54 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.54 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | – | 35.54 | – | 34.94 | 34.94 | 33.34 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.26 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |