เปิดสูตรสำเร็จ “แสนสิริ” สู่ท็อปแบรนด์อสังหาฯไทย
เปิดสูตรสำเร็จ “แสนสิริ” สู่ท็อปแบรนด์อสังหาฯไทย “อุทัย อุทัยแสงสุข” มองเทรนด์ปัจจัยบวก สะท้อนวิธีคิด บริหารจัดการองค์กรให้เติบโตก้าวกระโดดทำอย่างไร
การประกาศผลดำเนินงานปีที่ผ่านมา (2565) ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สร้างผลตอบแทนกำไรกันอย่างถ้วนหน้า ที่โด่นเด่น และเติบโตแบบก้าวกระโดด ต้องยกให้บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ (SIRI) ค่ายดังเบอร์ระดับต้นของวงการ กับยอดขาย 50,000 ล้านบาท เติบโต 49%
เมื่อเทียบจากปีก่อนและทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 38 ปี ถึง 4,280 ล้านบาท หรือเติบโต 112% จากรายได้รวม 34,983 ล้านบาท พร้อมประกาศเดินหน้าว่าปีนี้ (2566) จะสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 52 โครงการ มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท สะท้อนความเป็นท็อปแบรนด์ ในตลาดอสังหาฯที่มีผู้บริโภคให้ความนิยมรวมถึงปัจจัยสนับสนุนรอบด้าน
เทรนด์ปัจจัยบวก
สำหรับการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าได้มองเห็น เทรนด์ปัจจัยบวก 3 ด้านที่คือ
1. ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากลูกค้าในช่วงโควิด
2.เศรษฐกิจต้องเป็นบวก และ
3. ท่องเที่ยว จะกลับเข้ามาสร้างความต้องการของตลอดคอนโดมิเนียมส่งผลให้แสนสิริวางแผนลงทุนคอนโดมิเนียมรองรับตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะจีนเป้ายอดขาย 12,000 ล้านบาท ในทำเลกรุงเทพมหานครและหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ
ขณะการมาของโควิด ตัวแปรทำให้คนหันมองบ้านแนวราบโดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ของแสนสิริมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จุดประกายมองหาที่ดินพัฒนาในโซนที่ แสนสิริไม่เคยพัฒนา และแทรกโครงการเติมเต็มตอบสนองกลุ่มลูกค้า โดยในปีนี้แสนสิริมั่นใจว่าจะก้าวแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ รุกขยายธุรกิจสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย
โดยวางแผนเปิดตัว 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมสูงถึง 75,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นการเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เติบโตขึ้นจากปีก่อน 74% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 1,000% หรือ 10 เท่าตัว ครอบคลุมทุกโปรดักส์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มเรียล ดีมานด์ โดยเฉพาะแนวราบ วางแผนเปิดตัว 30 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 50,700 ล้านบาท
กว่าจะเป็น 52 โครงการ7.5หมื่นล้าน
นายอุทัย ขยายความย้อนไปในช่วงที่ แสนสิริผ่านโควิดมา 3ปี โดยพบว่าตั้งแต่กลางปี หรือไตรมาส 2 ปี 2565 ความต้องการของลูกค้าเริ่มกลับมาโดยบ้านแนวราบช่วงโควิดกลับขายดี หากย้อนหลังไป 3 ปี ช่วงนั้นขายบ้านเดี่ยวได้ประมาณ 11,000ล้านบาท ถัดมาอีกปี แสนสิริโตขึ้นเป็น 14,000 ล้านบาท ปี 2564 ขายได้ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาท ปี 2565 ยอดขายอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท
จนกระทั่งปีนี้ มั่นใจเศรษฐกิจเพราะ ในช่วงที่ผ่านมามี ความต้องการลูกค้าสูงขึ้นสำหรับสาเหตุ บ้านเดี่ยวช่วงโควิดขายดี เพราะ มาตรการ โซเชียล ดิสแทนซิ่ง คนกลับไปอยู่บ้าน บางคนธุรกิจเดินต่อไปได้
นายอุทัยให้คำตอบที่แสนสิริเติบโตว่า เพราะส่วนหนึ่งบ้านของแสนสิริ เริ่มมีลูกค้ากลับเข้ามาประกอบกับ เริ่มมีที่ดิน มีการเปิดตัวโครงการ สิ่งที่ บริษัทหยุดไปคือคอนโดฯ และ ในระหว่างโควิด
เกิด “ปรากฏการณ์ Pent Up Demand” หรือ ความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่ผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอยในช่วงก่อนหน้าจากโควิด ดังนั้นบ้านเดี่ยวของแสนสิริจึงขายดี แต่ เหนือสิ่งอื่นใด ภาพความมั่นใจที่สำคัญของลูกค้าคือ สินค้าที่มีคุณภาพ
ประเด็นสำคัญที่ แสนสิริ เติบโตได้ แบบก้าวกระโดดแสดงว่าลูกค้าไม่มั่นใจดีเวลลอปเปอร์รายเล็กเพราะจะเห็นว่าดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่โตแทบทุกรายที่ผ่านมาเคยมีการพูดคุยกันเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่คลุมตลาดสัดส่วน50-60% วันนี้เชื่อแล้ว ว่ามาถึง70-80%
โดยพบว่าในช่วง 1-2ปีมานี้ ทุกค่ายรายใหญ่ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เติบโตหมดทุกรายทั้งที่อยู่ในช่วงโควิด จุดสังเกต ที่นายอุทัยพบ คือ รายใหญ่ ต้องไปกินเค้กหรือส่วนแบ่งตลาดของใครมาเพราะเค้กเท่าเดิม
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ที่ 10 เจ้ารายใหญ่ ตลาดอสังหาฯ โดย มูลค่าตลาดรวม อยู่ประมาณกว่า 6แสนล้านบาท รายใหญ่อยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท กว่า 70-80% อันนี้คือสิ่งที่เห็นภาพอยู่ในปัจจุบัน
วิธีคิดนำไปสู่เป้าหมาย
ถามว่าทำไมแสนสิริถึงขยายโครงการมากคำตอบเพราะ เรื่องแรก แสนสิริเห็นเทรนด์บ้านเดี่ยวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่สอง แสนสิริได้ ทำวิจัย ค่อนข้างมากก่อนจะซื้อที่ดิน ซึ่งก่อนหน้านี้ มีโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดฯกระจายอยู่ในกทม. และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีโครงการประมาณ80-90 โครงการ โดยดูตำแหน่งว่าโซนไหนที่แสนสิริไม่มีโครงการ แต่ยังมีดีมานด์อยู่ทำให้ปีที่แล้ว เริ่มซื้อที่ดินไป กว่า1หมื่นล้านบาท
“เราเห็นว่ามันมีช่องบ้านเดี่ยวยังขยายได้สมมุติว่าตรงนี้มีเศรษฐสิริแต่สามารถทำบุราสิริได้ ผมทำสิริเพลสได้ตัวอย่างทำเลกรุงเทพกรีฑาเปิดโครงการแรกเศรษฐสิริ 1 เปิดเศรษฐสิริ 2 เริ่มขายหมดเราเปิดนราสิริปีที่ผ่านมา 76 ยูนิตขายหมดภายในเดือนเดียวเมื่อนราสิริขายได้ก็ทำบุราสิริ และบูก้านด้วย มันเริ่มเห็นตลาดแถวนั้น สามารถรองรับโปรดักส์อื่นๆ ของแสนสิริไม่จำเป็นต้องเป็นมาเก็ตตัวเดียวกัน”
การพัฒนาโปรดักส์ที่ขยายกว้างมากขึ้นในโซนเดียวกัน โดยพิจารณาดูข้อมูลที่วิจัยมาสอดแทรกเข้าไปในตลาดทำเลศักยภาพดังนั้นกรุงเทพกรีฑา จึงมีทั้งนาราสิริ เศรษฐสิริ บุราสิริ บูก้าน และอนาคตจะมีแบรนด์ใหม่ๆเกิดขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่เห็นเป็นโซนเดียวที่เกิดขึ้น ในโซนตะวันออกของกทม.ซึ่งจะมีการพัฒนารูปแบบดังกล่าวที่ประสบความสำเร็จครอบคลุมในทุกทำเลซึ่ง 7 พื้นที่ที่แสนสิริซื้อที่ขนาดใหญ่ กว่า100ไร่
โดยนำที่ดินมาซอยแบ่งเป็นโครงการ A-B-C ซึ่งในทำเลเหล่านี้ มองแล้วว่า ลูกค้ามีความต้องการได้หลายรูปแบบ ประเด็นนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แสนสิริ มีส่วนขยายโครงการได้มากขึ้น นอกจากโซนตะวันออกกรุงเทพกรีฑา พร้อมกับดูที่ดินแถวบางนา-ตราด รวมถึงพัฒนาการด้วยเป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะเดินต่อไปอาจได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยปรับตัวสูง แต่ดอกเบี้ยขึ้นที่ละ 1 สลึง หรือ 25 สตางค์ ขยับขึ้นอีก50สตางค์และขึ้นอีก1สลึง เป็น75สตางค์ มันอยู่ในวิสัยถ้าคนอยากได้บ้านจ่ายดอกเบี้ยแพงอีก1 % แสนสิริ ได้หาโปรดักส์ที่ตรงใจลูกค้า เดิมเคยขาย 10ล้านบาทก็ทำราคา 10 ล้านเหมือนเดิมแต่พื้นที่ขนาดเล็กลงมาหรือแทนที่จะทำบ้านราค า10 ล้าน สามารถทำราคา 9.5 ล้านบาท
ขณะลูกค้าผ่อนเท่าเดิมหรือแสนสิริ เจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อช่วยเหลือ ซึ่งนายอุทัยมองว่า มีกรรมวิธีหลายด้านที่ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินเท่าเดิมถึงแม้ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นก็ตาม หรือใช้วิธีผ่อนระยะยาวขึ้นจากเคยผ่อน 15 ปี ขยายเป็น 18 ปีแต่ผ่อนเท่าเดิม มีเงินเท่าเดิมหรือทำบ้านเล็กลงมา ขนาด เคยทำ 200 ตารางเมตรสามารถปรับลดเหลือ 180 ตารางเมตรเพราะค่าก่อสร้างสูงขึ้นสิ่งแหล่านี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยที่ ฟังก์ชันยังเหมือนเดิมตามที่ลูกค้าต้องการ
ดังนั้นวิธีคิดเหล่านี้ทำให้แสนสิริ กล้าขยายตัวปีนี้ 75,000 ล้านบาทหลักๆ คือ แสนสิริ ยังมีโปรดักส์ที่สามารถสอดแทรกเข้าไปในทำเลได้อีกมากนั่นเอง ส่วนการบริหารความเสี่ยง บริษัทพิจารณามาโดยตลอด โดยปีที่ผ่านมามี กว่า 80โครงการ ปัจจุบันมี110 โครงการคาดว่าจะดันไปถึง140- 150โปรเจ็กต์
อย่างไรก็ตามประเมินว่าแนวโน้มทำเลที่น่าจับตาจะเป็นโซนตะวันออกของกทม. และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่มีโครงสร้างพื้นฐานรัฐ ขณะเดียวกันทำเลกลางใจเมืองยังเป็นที่หมายตาของดีเวลลอปเปอร์เพราะเป็นศูนย์รวมของทุกกิจกรรมและทิ้งท้ายสำหรับดีเวลลอปเปอร์น้องใหม่ที่จะเข้ามาสู่สนาม หนทางความสำเร็จต้อง ดูทำเล สำรวจกำลังซื้อ รูปแบบที่แตกต่าง รวมถึงการมีสายป่านที่ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บ้านเดี่ยว 10-25 ล้าน โตรับกลุ่มรายได้สูง แรงหนุนเศรษฐกิจไทย ส่งสัญญาณบวก
TerraBKK ฟันธง เศรษฐกิจไทย ส่งสัญญาณบวก โฟกัส บ้านเดี่ยว 10-25 ล้าน แนวโน้มโตรับกลุ่มรายได้สูง สวนทางบ้าน 25 ล้านอัพ – กลุ่มทาวน์โฮมพรีเมียม 5 ล้าน เสี่ยงโอเวอร์ซัพพลาย เหตุ เปิดตัวสูง สวนขายชะลอ
8 มีนาคม 2566 – นางสาวสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด (TerraBKK.com) ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นส่วนสำคัญหนุนให้ตลาดอสังหาฯสามารถเติบโตตาม โดยเฉพาะกำลังซื้อจากกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร การบริการและการบินที่กลับมาฟื้นตัว
โดยข้อมูลจาก TerraBYTE แอปพลิเคชั่น เห็นว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ปี 2566 มีทิศทางเติบโตได้ดีโดยเฉพาะแนวราบ คือ กลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 10-25 ล้านบาท โดยลูกค้าเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูง มีเงินออม ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยและมีความต้องการเปลี่ยนที่อยู่อาศัย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในปี 2565 ที่พบว่า
บ้านเดี่ยวระดับราคา 10-25 ล้านบาท มีการเปิดตัวใหม่ราว 25% และยอดขายสามารถเติบโต 15% ซึ่งถือว่าตลาดบ้านเดี่ยวมีอัตราการขายเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดบ้านกลุ่มอื่นๆ ส่วนกลุ่มบ้านทาวน์โฮม ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ยังสามารถเติบโตได้ดี จากจำนวนการเปิดตัวน้อย ขณะที่ยอดขายเติบโตราว 7-10%
สำหรับกลุ่มที่น่ากังวลในปี 2566 คือ บ้านเดี่ยวราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันพบว่ามีการเปิดตัวมากจนเกิดอุปทานส่วนเกิน (Over Supply) และกลุ่มทาวน์โฮมพรีเมี่ยม ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีการเปิดตัวมาก
ขณะที่อัตราการขายชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคอนโดมิเนียม ปี 2566 มองว่าทิศทางตลาดคอนโดฯ อยู่ในช่วงฟื้นตัวโดยการเปิดตัวโครงการใหม่ยังไม่มากนัก สวนทางคอนโดฯลักชัวรี่ ราคามากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม. ที่ปัจจุบันยังขายได้ช้าอยู่
สำหรับเทรนด์ตลาดอสังหาฯในปีนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ Well-Being โดยปีนี้จะเริ่มเห็นพฤติกรรม digital detox คือ พฤติกรรมที่ผู้คนจะเว้นจากการใช้เทคโนโลยีชั่วคราว สู่โลกออฟไลน์มากขึ้น เลือกการเสพสื่อออนไลน์ในเฉพาะเรื่องที่สนใจเท่านั้น โดยหันมาสนใจกับ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพจิตตนเองมากขึ้น
อย่างไรก็ดีการกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯปี 2566 กลับมาฟื้นตัวได้ทันที เห็นว่าภาคธนาคารควรปรับเกณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยผ่านการขยายระยะเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้นเป็นสูงสุด 35-40 ปี ก็จะช่วยลดผลกระทบของแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นได้ เพื่อช่วยกระตุ้นกำลังซื้อบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จากลูกค้าตลาดกลางถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้ตลาดอสังหาฯกลับมาดีขึ้นจากที่คาดหวังไว้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9มี.ค.ที่ระดับ 35.07 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทในระยะสั้น โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ยังคงเห็นความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จากผู้นำเข้าและบริษัทข้ามชาติ ส่วนโซนแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 32.25 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9มีนาคม 2566 ที่ระดับ 35.07 บาทต่อดอลลาร์“ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มเข้าสู่โหมด Wait and See หรือ รอประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองอย่างชัดเจน ทำให้ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงระยะสั้น โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรายังคงเห็นความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่ อาทิ บรรดาผู้นำเข้าและบริษัทข้ามชาติ ส่วนโซนแนวต้านสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 35.25 บาทต่อดอลลาร์ (ถ้าอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าว ก็อาจอ่อนค่าต่อทดสอบ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้)
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งยังมีทิศทางไม่แน่นอน แต่โดยรวม เราประเมินว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยได้เริ่มชะลอลงบ้าง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงไฮไลท์สำคัญในวันศุกร์ที่จะมีการรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง (ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก) ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.95-35.15 บาท/ดอลลาร์
บรรดาผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ทำให้ดัชนี S&P500 เคลื่อนไหวผันผวน ก่อนปิดตลาด +0.14% หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ยังคงออกมาดีกว่าคาด
สะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool โอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคม ได้เพิ่มสูงขึ้น สู่ระดับเกือบ 80%
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย +0.09% ตามการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่เผชิญแรงขายหนักในช่วงที่ผ่านมา (ASML +1.4%, Kering +0.7%) อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก ซึ่งผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) จนเกือบแตะระดับ 4.00% ได้ในปีนี้
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด พร้อมกับเปิดโอกาสการเร่งขึ้นดอกเบี้ย (+50bps) ในการประชุมเดือนมีนาคม ทำให้ บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 2 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุระดับ 5% ทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 16 ปี
ส่วนบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 3.98% ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยอาจประเมิน Break-even yield (คิดจาก Current Yield/Duration) ในการช่วยประเมินจุดเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงเหมาะสม อาทิ
บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ 4% ขึ้นไป ก็อาจมี Break-even yield > 40bps ซึ่งถือว่า เป็นระดับที่เผื่อโอกาสการปรับตัวขึ้นไปพอสมควร แต่ถ้าเป็นบอนด์ระยะสั้นอย่าง บอนด์ยีลด์ 2 ปี สหรัฐฯ ปัจจุบัน อยู่ที่ 5% Break-even yield อาจสูงกว่า 200-250bps ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดพอสมควร
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมทรงตัว โดยมีจังหวะที่อ่อนค่าลงในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก่อนที่จะรีบาวด์กลับขึ้นมาที่ระดับเดิม หลังข้อมูลการจ้างงานเบื้องต้น ออกมาดีกว่าคาด โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 105.6 จุด
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การเคลื่อนไหวของ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ค่อนข้างผันผวน ตามทิศทางของเงินดอลลาร์ โดยราคาทองคำมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้าน ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ก่อนจะพลิกกลับมาปรับตัวลงกลับสู่โซนแนวรับแถว 1,815-1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานที่ดีกว่าคาด
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) ซึ่งตลาดประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส อาจทำให้ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำหรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจากช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในระยะถัดไป
ในฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.75% ต่อ หลัง BNM อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ โดยที่ไม่กดดันการเติบโตเศรษฐกิจจนเกินไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.07-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.08 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าเช่นเดียวกับเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งหนุนการคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 50 bps. อีกครั้งในการประชุม FOMC ในเดือนมี.ค.นี้ นอกจากนี้ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สะท้อนการเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดของตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ. และการปรับตัวลงน้อยกว่าที่คาดของตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเดือนม.ค. ก็เป็นปัจจัยบวกต่อเงินดอลลาร์ฯ ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้คาดไว้ที่ 34.95-35.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามน่าจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“จุฑาธิป” เฉือนเจ้าถิ่น ผงาดแชมป์จักรยาน ศึก “บีวาเซ คัพ 2023” ที่นครโฮจิมินห์
“เสธ.หมึก” พล.อ.เดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แผนการทำงานของสมาคมกีฬาจักรยานฯ ในช่วงปี 2566-2567 จะแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ แผนระยะแรกจะเป็นการเตรียมทีมเข้าแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศกัมพูชา ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งขณะนี้นักกีฬาทีมหญิงก็ไปแข่งขันจักรยานทางไกล “บีวาเซ คัพ 2023” ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ส่วนทีมชายจะเดินทางไปแข่งขันรายการ “ทัวร์ ไต้หวัน” ในวันที่ 9 มีนาคมนี้ ขณะที่ประเภทบีเอ็มเอ็กซ์ จะเดินทางไปแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย 2023 ที่ประเทศอินโดนีเซีย
ด้านประเภทลู่ จาย อังค์สุธาสาวิทย์ ก็ตระเวนแข่งรายการเนชั่นส์ คัพ เพื่อเก็บคะแนนสะสมไปโอลิมปิกเกมส์ 2024 แผนระยะที่สองจะเป็นการเตรียมทีมเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว ประเทศจีน ในเดือนกันยายน ซึ่งมีแข่งขันครบทั้งประเภทถนน, เสือภูเขา, ลู่ และบีเอ็มเอ็กซ์ สำหรับแผนระยะที่ 3 จะเป็นการพุ่งเป้าหมายที่สู่ “ปารีสเกมส์” ก็ต้องขอแรงใจจากพี่น้องชาวไทยช่วยเป็นกำลังใจให้แก่นักปั่นทีมชาติไทยด้วย
ขณะที่ผลการแข่งขันจักรยานทางไกลสตรีนานาชาติ “บีวาเซ คัพ 2023” ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 8 มีนาคม เป็นการแข่งขันสเตจที่ 1 ในรุปแบบเซอร์กิตในโฮจิมินห์ ระยะทาง 66 กม. ผลปรากฏว่า “บีซ” จุฑาธิป มณีพันธุ์ นักปั่นประเภทถนนทีมชาติไทยชุดเตรียมซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ทำผลงานสุดยอดด้วยการเร่งสปรินท์ในช่วง 50 เมตรสุดท้าย คว้าแชมป์ไปครองด้วยเวลา 1.40.48 ชั่วโมง เฉือนชนะ เหงียน ธิ ธู มัย นักปั่นเจ้าถิ่นไปอย่างหวุดหวิด
ส่วนที่ 3 เป็นของ นูร์ อิสยา บินติ มูฮัมหมัด ซูบีร์ จากมาเลเซีย ขณะที่นักปั่นจากชาติอื่น ๆ รวมทั้งนักปั่นไทยปั่นเกาะกลุ่มเข้าเส้นชัยตามหลังมาติด ๆ โดย ชนิภรณ์ บัตริยะ นักปั่นไทยอีกคนได้อันดับที่ 11 เวลา 1.40.48 ชั่วโมงเท่ากัน นอกจากนี้ จุฑาธิป ยังได้อันดับ 2 เจ้าความเร็วจุดที่ 2 หรือ IS2 อีกด้วย ส่งผลให้ได้ครองเสื้อเหลืองในวันแรก และได้ครองตำแหน่งผู้นำคะแนนรวมเจ้าความเร็วด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำความเข้าใจผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ หรือคนสองบุคลิก ให้ชัดเจนขึ้น
ระยะหนึ่งแล้วที่คนไทยเริ่มรู้จักกับโรค “ไบโพลาร์” หรือบางคนอาจเรียกว่าโรค “คนสองบุคลิก” ที่เมื่อเสียใจก็เสียใจสุดๆ แต่เมื่อดีใจก็ดีใจเสียโอเวอร์ แต่ถึงแม้ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์จะมีจำนวนมากขึ้นในสังคมไทยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการเหล่านี้จะถูกเรียกว่าเป็นโรคไบโพลาร์กันเสียหมด
Sanook Health ทำข้อมูลดีๆ จาก เฟซบุ๊คเพจ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ที่จะมาอธิบายถึงโรคไบโพลาร์ให้ชัดเจนขึ้น ให้คนทั่วไปเข้าใจถึงโรคนี้ และทำความเข้าใจผู้ป่วยโรคนี้ให้มากขึ้นด้วยค่ะ
ขอเพียงความเข้าใจ “ไบโพลาร์”
ปัจจุบันหากได้มีโอกาสติดตามข่าวในโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ คงได้มีโอกาสได้ยินเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า สังคมมักจะมีความคิดประมาณว่า ถ้าใครมีลักษณะผิดปกติอะไรสักอย่าง ต้องถามขึ้นมาเลยว่า “นี่เป็นไบโพลาร์รึเปล่าเนี่ย!?!” ซึ่งคงไม่ยุติธรรมกับคนไข้ที่เป็นไบโพลาร์เท่าไหร่นัก แล้วในความเป็นจริง ไบโพลาร์คือโรคอะไรกันแน่
* ที่แน่ๆ มันไม่ใช่อารมณ์ร้ายเพียงเพราะไม่ได้ดั่งใจ ไม่ใช่คนนิสัยเอาแต่ใจหรือเห็นแก่ตัว *
โรคอารมณ์สองขั้ว หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Bipolar Disorder นั้น จากงานวิจัยพบว่า คนเรามีโอกาสป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วได้ประมาณ 1% การที่มีความเข้าใจเรื่องโรคนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันและดูแลคนรอบข้างที่มีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคได้ โรคอารมณ์สองขั้ว ลักษณะทั่วไปก็เป็นตามชื่อ ก็คือ มีลักษณะของอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างแตกต่าง 2 แบบ
- ช่วงซึมเศร้า (Depressive episode) ที่เป็นนานอย่างน้อย2สัปดาห์ (รายละเอียดในบทความโรคซึมเศร้า)
- มีลักษณะ คึกคักพลุ่งพล่าน ที่เรียกว่าเมเนีย (Mania หรือ Manic episode)
คนที่เป็นโรคไบโพลาร์นี้อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ
- ช่วงที่ว่านี้คือเป็นสัปดาห์ ไม่ใช่เป็นชั่วโมงหรือวันสองวัน
- โดยอาจเป็นลักษณะซึมเศร้า ตามด้วยช่วงเวลาที่เป็น “ปกติ” ดี เป็นคนเดิมของเขา จากนั้นอาจเกิดอาการแบบเมเนียขึ้นมา
- โรคไบโพลาร์ ต้องมีช่วงเมเนีย (ขั้วบวก = เมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า) แต่อาจจะมีช่วงซึมเศร้าหรือไม่ก็ได้
- บางคนแสดงอาการซึมเศร้าก่อน ต่อมาค่อยแสดงอาการเมเนีย การวินิจฉัยจึงเปลี่ยนจากโรคซึมเศร้า เป็นโรคไบโพลาร์
- ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการซึมเศร้าก่อนมากกว่า
อาการหลักๆคือ “เยอะ” ไม่ว่าความคิด ความมั่นใจ การพูด ”ล้น” ไปหมด (โดยที่แต่ก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้) แต่มักไม่เกิดผลดี เพราะมาจากสมองที่กำลังปั่นป่วน
เราอาจเคยเห็นเพื่อนๆหรือคนที่อยู่รอบข้าง ที่อยู่ดีๆก็ขยันทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางคนดูเหมือนมีแผนการและความคิดสร้างสรรค์มากมาย เวลาพูดคุยด้วยจะสังเกตว่าพูดมาก พูดเร็ว แต่ดูกระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อ เปลี่ยนเรื่องเร็วจนตามไม่ทัน มีพลังงานเหลือเฟือในการทำงาน วางแผนโครงการต่างๆมากมาย บางคนไปดาวน์รถ จองคอนโดหลายที่ ต้องมาตามใช้หนี้ตอนหลัง รวมทั้งดูมีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตัวเองมีความสามารถสูง เช่น ถ้าลงเลือกตั้งต้องได้ตำแหน่งแน่ๆ
บางคนเป็นมากอาจมีความคิดหลงผิด (delusion) ว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ มีพลังอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ หากค่อนข้างสนิทจะเห็นว่ามีลักษณะใช้จ่ายเกินตัวผิดปกติ ถ้าเป็นคนประหยัดจะใช้เปลืองมากขึ้น ถ้าเป็นคนใช้เงินอยู่แล้วก็จะมากขึ้นอีก บางคนบริจาคเงินมากมาย บางทีเอาเงินมาแจกเพื่อน ถ้าเป็นระดับหัวหน้างานก็อาจแจกเงินลูกน้อง พาลูกน้องไปเลี้ยงใหญ่ทุกวัน นอนดึกมากขึ้น (ไม่ใช่นอนไม่หลับ) แต่ไม่ง่วงไม่อยากนอน มีพลังเหมือนสังเคราะห์แสงได้ อารมณ์อาจเป็นลักษณะดีผิดปกติ ดูไม่สมเหตุสมผล หรืออาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้ ความอดทนต่ำ หุนหันพลันแล่น ทำให้มีเรื่องกับใครได้ง่ายๆ อาจถึงขั้นอาละวาดทำร้ายคนหรือสิ่งของ
ผลกระทบสำหรับคนที่เป็นโรคไบโพลาร์
อาการต่างๆจะส่งผลเสียต่อการทำงาน การใช้ชีวิตส่วนตัว ครอบครัวและคนรอบข้าง
การดูแลรักษาคนที่เป็นโรคไบโพลาร์
มีความจำเป็นจะต้องให้ยาปรับอารมณ์ให้คงที่ (mood stabilizer) ดังนั้นหากสงสัยว่าเพื่อนๆหรือคนรอบข้างมีอาการที่เข้าได้กับโรคอารมณ์สองขั้ว ก็ควรหาทางให้เขาไปพบจิตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรักษา เพราะอาการเช่นนี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆก็ได้ เช่น ยาเสพติด ยาลดน้ำหนัก หรือโรคทางกายบางอย่าง ดังนั้นจึงต้องพบจิตแพทย์เพื่อหาสาเหตุก่อน
คนที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ส่วนใหญ่เมื่อได้รับประทานยา อาการจะดีขึ้นจนเป็นปกติ และสามารถทำงาน ใช้ชีวิตปกติได้เหมือนไม่เคยมีช่วงป่วยมาก่อน ที่สำคัญคือระวังการกำเริบของโรค เพราะคนไข้ไบโพลาร์ ช่วงเมเนียมักไม่คิดว่าตัวเองป่วย หากอาการดีขึ้นก็มักหยุดยาเอง ซึ่งโรคจะกำเริบได้หากรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ การพักผ่อนไม่เป็นเวลา การดื่มแอลกอฮอล์และความเครียดที่มากระทบ
ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรทำงานที่พักผ่อนไม่เป็นเวลา เช่น งานที่ต้องอยู่เวรเป็นกะ และควรหลีกเลี่ยงการทำงานที่สร้างความเครียดหรือกดดันมากเกินไป อย่างไรก็ตาม อาการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น บางครั้งอาจเกิดจากโรคอื่นๆที่ไม่ใช่โรคอารมณ์สองขั้วก็ได้ ดังนั้นการไปพบจิตแพทย์จึงมีความจำเป็น
การกลับมาเป็นคนปกติของคนที่เป็นโรคไบโพลาร์
คนที่มีโรคไบโพลาร์ หรือเป็นโรคทางจิตเวชใดๆก็ตาม สามารถรักษาให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตเป็นปกติได้ได้ เขาต้องการความเข้าใจ ไม่ต่างจากคนไข้โรคทางกายอื่นๆ ว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเกิดจากความเจ็บป่วย ที่ต้องการการดูแลรักษา แต่น่าเศร้าที่หลายครั้งคนในสังคมมาองคนไข้จิตเวชด้วยอคติ ทั้งการขาดความรู้และความไม่สนใจจะรู้ อย่างที่เราอาจจะพบเห็นบ่อยๆในสื่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็มีสิทธิเจ็บป่วยทางสมองได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐี ยาจก เชื้อชาติไหน ภาษาใดๆ คนเหล่านั้นล้วนต้องการความเข้าใจและยอมรับ
มีคนมากมายในสังคมเราที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยทางจิต แต่ก็สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ซึ่งคนเหล่านั้นจิตแพทย์หรือใครๆก็รักษาไม่ได้ ตรงนี้หมอว่าน่าเหนื่อยใจกว่ามาก แต่คนไข้ไบโพลาร์ หรือคนไข้โรคทางจิตเวช ซึ่งเกี่ยวกับสมดุลของสารเคมีตัวต่างๆในสมองนั้น รักษาให้หายได้ และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ถ้าทุกคนในสังคมให้โอกาส
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครจะเจ็บป่วย โดยเฉพาะป่วยทางสมอง ที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม แต่ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ง่ายพอที่จะเลือกได้ทุกเรื่อง และไม่แน่ว่าในอนาคต อาจจะเป็นตัวเราเองหรือคนที่เรารักก็ได้ ที่จะต้องประสบกับโรคเหล่านี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีบอกทางเป็นภาษาอังกฤษให้ถูก พร้อมต้อนรับชาวต่างชาติ
สังเกตไหมคะว่าพอเข้าสู่ยุค AEC อย่างเต็มตัวแล้ว บ้านเราก็มีชาวต่างชาติเข้ามามากมาย บ้างก็มาทำงาน บ้างก็ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักอยู่อย่างถาวร อาจจะเพราะชื่นชอบในวิถีชีวิตของเรานั่นเอง แต่ที่มากที่สุดก็คือมาท่องเที่ยว แถมเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เห็นเพียงแค่ฝรั่งผมทองเท่านั้น มีมาครบทั้งจากโซนยุโรป และโซนเอเชีย กลุ่มไหนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เวลาสื่อสารกับเจ้าบ้านที่เป็นคนไทยอย่างเรา เขาก็มักจะพอเดาได้ว่าเราต้องการสื่ออะไร แม้ว่าภาษาอังกฤษของเราจะไม่แข็งแรงก็ตามที
คำถามหนึ่งที่เจอบ่อยมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวก็คือ การสอบถามเส้นทาง ส่วนมากคนที่เตรียมตัวมาเที่ยวก็มักจะมีแผนที่ติดมือมาด้วยอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ชัดเจนเพียงพอในบางกรณี สู้ถามเอาจากคนท้องที่นี่แหละน่าจะดีกว่า ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นเจ้าบ้าน อย่างน้อยเราก็ควรจะรู้ประโยคพื้นฐานเพื่อให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติเหล่านี้
ก่อนอื่นก็คงต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่เขากำลังพูดนั้นคือการถามทาง รูปประโยคที่จะพบได้บ่อยมีดังนี้
ประโยคสำหรับการสอบถามเส้นทาง
- How do I get to…?
[ฉันจะไป…ได้อย่างไร]
- Could you please tell me where…is?
- Could you please tell me how to get to…?
[ช่วยบอกทางไป…]
ตัวอย่าง
- Excuse me. Could you please tell me where the restroom is?
[ขอโทษนะคะ ช่วยบอกทางไปห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ]
- Excuse me. How do I get to the post office?
[ขอโทษนะคะ ฉันจะไปไปรษณีย์ได้อย่างไรคะ]
- Could you please tell me how to get to the supermarket?
[ช่วยบอกทางไปซุปเปอร์มาร์เก็ตหน่อยค่ะ]
หรือบางครั้งเราอาจจะเจอรูปประโยคที่ไม่ได้เป็นทางการมากนัก ตัวอย่างเช่น
- Do you know where…is?
- Where is…?
[….อยู่ที่ตรงไหน?]
- Is there…near here?
- Where is…around here?
- [มี…ใกล้ๆ แถวนี้ไหม/แถวนี้มี…ไหม]
ตัวอย่าง
- Excuse me. Do you know where the bus station is?
[ขอโทษนะคะ คุณรู้ไหมว่าป้ายรถประจำทางอยู่ที่ไหน]
- Excuse me. Where is the coffee shop?
[ขอโทษนะคะ ร้านกาแฟอยู่ตรงไหนคะ]
- Excuse me. I’m looking for the Chinese restaurant?
[ขอโทษนะคะ ฉันกำลังมองหาร้านอาหารจีนอยู่ค่ะ]
- Is there a beauty salon near here?
[มีร้านเสริมสวยแถวนี้ไหม]
- Where is the hospital around here?
[แถวนี้มีโรงพยาบาลบ้างไหม]
เมื่อเราเข้าใจในคำถาม และเราพอจะรู้เส้นทางที่ถูกต้อง ก็สามารถบอกเขาได้ด้วยประโยคเหล่านี้
ประโยคสำหรับการบอกเส้นทาง
- Go along this street until…
[ตรงไปตามถนนเส้นนี้จนกระทั่ง…]
- Keep walking until you see…
[เดินไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะมองเห็น…]
- Then turn left..
[จากนั้น เลี้ยวซ้าย…]
- Then turn right into…road.
[จากนั้น เลี้ยวขวาไปยังถนน…]
- Walk past…
[เดินผ่าน…]
- It’s on the left/right hand side.
[มันอยูทาง ซ้ายมือ/ขวามือ]
- It’s near…
[มันจะอยู่ใกล้ๆ กับ…]
- It’s next to…
[มันจะอยู่ถัดจาก…]
- It’s opposite…
[มันอยู่ตรงข้ามกับ…]
- It’s in front of…
[มันอยู่ด้านหน้าของ….]
- It’s behind…
[มันอยู่หลัง…]
ตัวอย่าง
A : Excuse me. Where is the toilet ?
[ขอโทษนะ ห้องน้ำไปทางไหน]
B : Go along this way until you see the bookstore. Then turn right and keep walking until you see the coffee shop. Turn right again. It’s opposite the laundry service.
[เดินไปตามทางนี้จนกว่าคุณจะเห็นร้านขายหนังสือ จากนั้นเลี้ยวขวาและเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นร้านกาแฟ เลี้ยวขวาอีกครั้ง คุณจะพบห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับร้านซักรีด]
ถ้าหากสถานที่ที่เขาต้องการจะไปอยู่ใกล้ๆ และคุณไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็สามารถเดินพาเขาไปเลยก็ได้ ด้วยการบอกว่า
- I will show you.
[ฉันจะพาคุณไป]
แต่ถ้าสิ่งที่ถาม เป็นสิ่งที่คุณไม่รู้จริงๆ ก็สามารถตอบได้เช่นกันด้วยประโยคเหล่านี้
- Sorry. I don’t know.
[ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้]
- I’m sorry. I’m not from around here.
[ขอโทษด้วย ฉันไม่ใช่คนแถวนี้]
นี่เป็นประโยคพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ได้ง่ายๆ ด้วยการเติมคำที่ต้องการเข้าไปในประโยค เมื่อคุณฝึกพูดบ่อยๆ ก็จะได้ประโยคหรือสำนวนในการบอกทางเพิ่มมากขึ้นเอง ชาวต่างชาติไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และการพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร การบอกเส้นทางเท่าที่จะทำได้ด้วยรอยยิ้มคือสิ่งที่จะทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจและเราก็ได้ฝึกภาษาไปด้วยในตัวนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
Samsung เริ่มพัฒนา CPU เพื่อมือถือเรือธง คาดจะได้ใช้ในปี 2027 ที่จะถึงนี้
ก่อนหน้านี้ Samsung เคยเปิดเผยว่า กำลังพัฒนาชิป CPU ร่วมกับทีม Samsung MX หรือ ฝ่ายผลิตมือถือโดยคาดว่าจะได้ใช้กับมือถือ Galaxy ภายในปี 2025 นี้ แต่ล่าสุดมีการรายงานเพิ่มว่า การพัฒนาครั้งนี้อจะไม่ได้ใช้การออกแบบด้วย ARM แต่จะออกแบบเพื่อกับมือถือเรือธงโดยเฉพาะ คาดว่าจะขยับไปเปิดตัวในปี 2027 แทน
ทั้งนี้การพัฒนาชิปในช่วงก่อนหน้านี้กับโครงการที่มีชื่อว่า Mongoose โดยจะมีระบบการทำงานที่ดีแต่ว่ายังมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพและการใช้พลังงานและการจัดการความร้อนพอสมควร ทำให้ Samsung ตัดสินใจหยุดพัฒนาในช่วงปี 2019 จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่นำชิป Qualcomm มาใช้และมีการปรับปรุงต่อยอดนั่นเอง
โดยรายงานล่าสุดที่มีการเปิดเผยว่าขุมพลังตัวใหม่อาจจะลดการพึ่งพาของสถาปัตยกรรมแบบ ARM ซึ่งถือว่าเป็นความกล้าพอสมควร และหากพัฒนาได้สำเร็จและกลับดีขึ้นมาก็จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ MediaTek และ Qualcomm เลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“SCG” พร้อมขนทัพนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง และโซลูชั่นสมาร์ท ลิฟวิ่ง ร่วมโชว์ในงาน สถาปนิก’66
คุณศุภแมน มรรคา (คนซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะออแกไนเซอร์จัดงานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน พร้อมด้วย คุณวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ (คนขวา) Vice President–Housing Products and Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี ผู้นำด้านนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างครบวงจรของไทย ประกาศพร้อมขนทัพนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง และโซลูชั่นสมาร์ท ลิฟวิ่ง มาร่วมจัดแสดงภายในงาน สถาปนิก’66 ภายใต้แนวคิด “ตำถาด : Time of Togetherness” เพื่อช่วยเติมเต็มดีไซน์ให้กับงานด้านสถาปัตยกรรม ตอบโจทย์ทุกการออกแบบและก่อสร้าง โดยงาน สถาปนิก’66 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ArchitectExpo.com
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/03/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,050.00 | 30,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,947.00 | 29,516.52 | 30,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,752.30 | 26,564.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,557.60 | 23,613.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 876.00 | 13,280.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 681.00 | 10,323.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,018.00 | 30,592.88 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/03/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.85 | 36.85 | 37.44 | 36.85 | 36.85 | 36.85 | 36.85 | 36.85 | 36.85 | 36.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.58 | 36.58 | 37.14 | 36.58 | 36.58 | 36.58 | 36.58 | 36.58 | 36.58 | 36.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.54 | 34.54 | 34.84 | 34.54 | 34.54 | – | 34.54 | 34.54 | 34.54 | 34.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.99 | 34.99 | – | – | – | – | – | – | – | 34.99 |
เบนซิน 95 | 44.66 | – | – | – | 44.71 | – | 45.16 | 44.81 | – | 44.66 |
ดีเซล B7 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล | 33.94 | 33.94 | 34.44 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล B20 | 33.94 | 33.94 | 34.44 | – | 33.94 | – | 33.94 | – | – | 33.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.06 | 43.16 | 45.34 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 43.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |