“ชาวจีน – รัสเซีย” กระตุก อสังหาฯพัทยา ราคาคอนโดฯ จ่อพุ่ง 40-50%
อสังหาฯ พัทยาฟื้น รับกระแสนิยม ชาวรัสเซีย-จีน แห่ซื้อบ้านหลังสอง จับตา ตลาดพลูวิลล่า 10-20 ล้านมาแรง ขณะคอนโดฯ ส่งสัญญาณราคาขึ้น 40-50% อีก 2-3 ปี ด้าน“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ดันพูลวิลล่า-คอนโดริมหาด ชิงยอดขาย
8 พฤษภาคม 2566 – ตลาดเมืองท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอย่างมากนับตั้งแต่ต้นปี โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดการณ์ในปี 2566 มีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 22.7 ล้านคน และในปี 2567 มีเป้าหมายอยู่ที่ 35.3 ล้านคน ซึ่งจุดหมายปลายทางหลักของชาวต่างชาติ มุ่งไปที่ 3 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญของไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา
อสังหาพัทยา คึกกลับมาเนื้อหอม
สำหรับเมืองพัทยาซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวเป้าหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สูงเกินไปนั้น นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เปิดเผยว่า ขณะนี้ พัทยา กลับมามีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซียและจีน
ซึ่งจากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาพบว่าผู้ซื้อจะเป็นชาวต่างชาติ 45% และอีก 55% เป็นชาวไทย ขณะที่โครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา (Highland Park Pool Villas Pattaya) ซึ่งเป็นฮอลิเดย์ โฮม เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดย Sold Out เฟสแรก จำนวน 20 หลัง และกำลังเปิดขายเฟส 2 อีกจำนวน 20 หลัง ในราคาเริ่มต้น 9.9 – 20 ล้านบาท
“ปัจจุบันการเดินทางสู่พัทยานั้นง่ายยิ่งขึ้นด้วยการเดินทางเพียง 90 นาที เป็นเมืองแห่งการรองรับความต้องการหลากหลายเป็นทั้งแหล่งงานในโซนอีอีซี (Eastern Economic Corridor: ECC) และสถานที่พักผ่อนระดับโลก ด้วยศักยภาพทำเลที่โดดเด่นนี้ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” จึงเลือกปักหมุดพัฒนาโครงการของบริษัทที่เน้นไลฟ์สไตล์ อินเวสเมนต์ (Lifestyle Investment) คือ การซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า รวมถึงเป็นตลาดฮอลิเดย์ โฮม (Holiday Home) ไว้สำหรับเป็นบ้านหลังที่สองของครอบครัวและรองรับชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งผู้ซื้อจะได้รับประโยชน์ในเรื่องอัตราผลตอบแทนการลงทุน (Yield)” นายชนินทร์กล่าว
ฮาบิแทท รุกโครงการพัทยา ชิงต่างชาติ
จากแนวโน้มการขยายตัวของกำลังซื้อชาวต่างชาติในจังหวัดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นสูง โดยเฉพาะจากชาวรัสเซียและจีน โดยในส่วนของชาวรัสเซียมีแนวโน้มการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ทั้งในดูไบ ตุรกี ภูเก็ต และพัทยา
โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฮาบิแทท กรุ๊ป รุกทำการตลาดไปในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่องรวมถึงการร่วมมือกับเอเยนต์ไทยและต่างชาติ โดยนำเสนอทั้งโครงการฮอลิเดย์โฮม อย่างโครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา (Highland Park Pool Villas Pattaya) ปัจจุบันมียอดขายจากลูกค้าคนไทยในสัดส่วน 70% และลูกค้าต่างชาติ 30%
ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือ ไลฟ์สไตล์ อินเวสเมนต์ ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากผลตอบแทนจากค่าเช่าสำหรับโครงการไลฟ์สไตล์ อินเวสเมนต์ จะอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าคอนโดมิเนียมทั่วไป อีกทั้งเรามีบริษัทในเครือคือ Habitat Hospitality ทำงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำ (Branded Residence) มีระบบบริหารจัดการห้องพัก ห้องสัมมนา ห้องอาหาร โดยมืออาชีพและแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ทั้งยังเป็นการลงทุนที่มีความแน่นอน และความเสี่ยงจากภาวะราคาที่ผันผวนจากการลงทุนที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างน่าพอใจเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารในปัจจุบัน
“พูลวิลล่าในพัทยาราคา 10-20 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีอัตราการขายดี คนต่างชาติซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือบ้านหลังวัยเกษียณ ด้านอสังหาฯ เพื่อการลงทุนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและได้ผลตอบแทนค่อนข้างดี ในขณะที่ดีมานด์ของคอนโดที่พัทยาเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามามากขึ้น ส่วนคอนโดในพัทยาปัจจุบันราคาสูงสุดอยู่ที่ ตร.ม.ละ 2 แสนบาท คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าราคาจะกระโดดขึ้นไปอีก 30-40% หรือประมาณ 2.5-3 แสนบาท ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ซื้อทั้งคนไทยและชาวต่างชาติสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่ออยู่เองเป็นบ้านหลังที่สอง และการลงทุนสร้างผลตอบแทนในระยะยาว” นายชนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ได้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในพัทยาไปแล้ว 8 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน 6,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมและพูลวิลล่าแล้วจำนวน 4 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน (The Ville Jomtien), ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (X2 Vibe Pattaya Seaphere), ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere), เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา (Bayphere Hotel Pattaya)
ส่วนในปี 2566 เตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 4 แห่ง คือ เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท (Bayphere Premier Suites) จะเปิดบริการไตรมาส 3 ส่วนวินด์ดัม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา (Wyndham Atlas Wongamat Pattaya), บลูเฟียร์ พัทยา (Bluphere Pattaya) พร้อมเปิดให้บริการไตรมาส 4 และรามาด้า มิรา นอร์ท พัทยา (Ramada Mira North Pattaya) เตรียมให้บริการในปี 2567
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คอนโด 200 แห่ง ระส่ำ! ต้นทุนเพิ่ม 5% “อาคารประหยัดพลังงาน” เกณฑ์ก่อสร้างใหม่
LWS เผย คอนโดฯเกือบ 200 แห่ง ระส่ำ ต้องออกแบบตามเกณฑ์อาคารประหยัดพลังงาน ที่มีผลบังคับใช้ปี 2566 ส่งผลต้นทุนก่อสร้างเพิ่ม 5% แต่คาด สามารถประหยัดค่าพลังงานได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ระยะเวลาคืนทุน 3.5 ปี
8 พฤษภาคม 2566 – นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด(LWS) บริษัทวิจัยพัฒนาและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตพลังงานไฟฟ้า ทำให้กระทรวงพลังงานโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดประเภท ขนาดของอาคาร และกำหนดวิธีในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2563
โดยกฏกระทรวงดังกล่าวได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 รวมทั้งออกประกาศกระทรวงฯ และประกาศกรมฯ ในปี พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้กับอาคารที่จะสร้างใหม่ หรือดัดแปลงอาคาร ให้มีการออกแบบเป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมายโดยเริ่มนำร่องใช้กับอาคารภาครัฐมาตั้งแต่ ปี 2554 และเริ่มมีผลบังคับใช้กับการก่อสร้างอาคารสำหรับภาคเอกชนในวันที่ 13 มีนาคม 2566
เกณฑ์มาตรฐานอาคารประหยัดพลังงาน จุดเปลี่ยนของอาคาร 3 กลุ่ม
โดยกฎกระทรวงดังกล่าว นายประพันธ์ศักดิ์ อธิบายว่า เป็นเกณฑ์ที่เรียกว่า “เกณฑ์มาตรฐานอาคาร ด้านพลังงาน (Building Energy Code หรือ BEC)” ที่มีผลบังคับใช้กับอาคาร 9 ประเภท ที่มีขนาดพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียว ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป โดยสาระสำคัญของการกำหนดค่ามาตรฐาน การออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ด้วยกันทั้งสิ้น 6 ระบบ
ได้แก่ ระบบเปลือกอาคาร (OTTV, RTTV), ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง (LPD), ระบบปรับอากาศ, อุปกรณ์ผลิตน้ำร้อน, การใช้พลังงานโดยรวมของอาคาร และ การใช้พลังงานหมุนเวียนพร้อมกับแบ่งกลุ่มของอาคารเป็น 3 กลุ่มตามระยะเวลาการใช้งานของอาคารในแต่ละวัน ซึ่งใน 3 กลุ่มมีประเภทอาคารรวมทั้งหมด 9 ประเภท กล่าวคือ
- กลุ่มที่ 1 ใช้งานวันละไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้แก่ สถานศึกษา, สำนักงานหรือที่ทำการ
- กลุ่มที่ 2 ใช้งานวันละไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้า, สถานบริการ, โรงมหรสพ, อาคารชุมนุมคน
- กลุ่มที่ 3 ใช้งานวันละไม่เกิน 24 ชั่วโมงต่อวัน ได้แก่ สถานพยาบาล อาคารชุด โรงแรม
เกณฑ์ในการพิจารณาจะใช้โปรแกรม Building Energy Code (BEC) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการคำนวณค่าการอนุรักษ์พลังงาน ที่ต้องผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานออกเป็น 2 ลักษณะคือ การประเมินผ่านทุกรายระบบทั้ง 6 ระบบ หรือ การประเมินการใช้พลังงานโดยรวมของอาคาร ซึ่งสามารถดาวน์โหลดเพื่อดูหลักเกณฑ์การประเมินค่าอนุรักษ์พลังงาน เอกสารรายละเอียดเพิ่มเติม และข่าวสารสำคัญได้ทาง https://2e-building.dede.go.th/
กว่า 200 คอนโด ทั่วกรุง – ปริมณฑล เข้าข่ายออกแบบตามกฎ
หลังจากที่เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน(BEC) มีผลบังคับใช้กับภาคเอกชนในวันที่ 13 มีนาคม 2566 “LWS” ได้สำรวจข้อมูลคอนโดมิเนียมที่เข้าเกณฑ์ต้องขออนุญาติในการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารตามเกณฑ์ BEC ในปี 2566 ทั้งสิ้น 168 อาคาร เป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะสร้างเสร็จ ในปี 2566 ทั้งสิ้น 76 โครงการ มูลค่ารวม 94,224 ล้านบาท และเป็นโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2565 และ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2566 จำนวน 92 โครงการ มูลค่า 135,297 ล้านบาท
ในขณะที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน รายงานว่าปัจจุบันมีอาคารที่ผ่านเกณฑ์ของ BEC แล้วทั้งสิ้น 4,782 อาคาร แบ่งเป็นอาคารที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า 2,000 ตารางเมตร จำนวน 1,780 อาคาร อาคารที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 2,001-5,000 ตารางเมตร 1,360 อาคาร อาคารขนาดพื้นที่ 5,001-10,000 ตารางเมตร 785 อาคาร อาคารขนาด 10,001-20,000 ตารางเมตร 190 อาคาร และโครงการขนาดมากกว่า 20,001 ตารางเมตร 667 อาคาร โดยเป็นอาคารชุดพักอาศัยคิดเป็นสัดส่วน 53% ของอาคารทั้งหมด ตามมาด้วยอาคารสำนักงาน 13% และ อาคารประเภทที่ใช้งานหลากหลายประเภทหรือ Mixed Use 8%
ต้นทุนก่อสร้างเพิ่ม 5% แต่ประหยัดพลังงานระยะยาว
จากรายงานของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานระบุว่า อาคารที่ก่อสร้างภายใต้มาตรฐานของ BEC จะมีต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับอาคารทั่วไป(Typical Building) ในขณะเดียวกันอาคารที่ก่อสร้างตามมาตรฐานของ BEC จะสามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าอาคารทั่วไปไม่น้อยกว่า 10% จากผลการศึกษาพบว่าอาคารที่ก่อสร้างใหม่ (New Building) จำนวน 3,300 อาคารต่อปี เป็นส่วนของอาคารของภาคเอกชน 3,000 อาคารต่อปี และของภาครัฐ 300 อาคารต่อปี ภายใต้มาตรฐานของ BEC จะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ 1,400 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นมูลค่าเม็ดเงินที่ประหยัดได้ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี เมื่อคำนวณกับต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นจากการก่อสร้างภายใต้มาตรฐาน BEC จะใช้ระยะเวลาในการคืนทุนในส่วนของต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นได้ภายในระยะเวลา 42 เดือนหรือ 3 ปี 6 เดือน
“จากผลการศึกษาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า อาคารที่ถูกออกแบบและก่อสร้างตามเกณฑ์ BEC ถึงแม้จะมีต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น แต่ระยะเวลาคืนทุนเร็ว และสามารถประหยัดค่าพลังงานได้ในระยะยาว ในภาวะ ที่ราคาพลังงานในปัจจุบันมีความผันผวนและมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ มาตรฐานของ BEC นอกจากจะมีผลบังคับใช้กับอาคารใหม่ที่ขออนุญาติหลังวันที่ 13 มีนาคม 2566 แล้ว ยังมีผลกับอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่จะสร้างเสร็จหลังวันที่ 13 มีนาคม 2566 เนื่องจากตามเกณฑ์ดังกล่าว ในการเข้าตรวจสอบอาคารเพื่อเปิดใช้อาคารจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจสอบว่าผ่านเกณฑ์ของ BEC หรือไม่ ภายใน 15 วันทำการ หากอาคารและระบบอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในอาคารไม่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจในการสั่งให้แก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนดจึงจะสามารถเปิดใช้อาคารได้
“จากมาตรฐานและเกณฑ์ BEC ดังกล่าว ทำให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งอาคารเพื่อการพาณิชย์ อาคารสำนักงาน อาคารชุด จำเป็นต้องให้ความสำคัญและได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่มีใบอนุญาตจากกระทรวงพลังงาน เพื่อให้การออกแบบและปรับปรุงอาคารเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ LWS มีความเชี่ยวชาญ โดยเรามีทีมงานที่ได้รับใบอนุญาติในการให้คำแนะนำ การเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงวิธีการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง และดัดแปลงอาคารด้านพลังงานด้วยโปรแกรมการประเมิน BEC เพื่อที่จะสามารถให้บริการและข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของโครงการ ผู้ประกอบกิจการด้านการก่อสร้าง และผู้ประกอบกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9พ.ค.ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9พ.ค.2566ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนไปตามทิศทางเงินดอลลาร์
รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำ โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวบางส่วน
นอกจากนี้ แม้เงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ยังมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากผู้เล่นบางส่วนในตลาดยังช่วยหนุนให้เงินบาทแกว่งตัวเหนือระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ได้บ้าง (โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นการขายทำกำไร Long THB ของผู้เล่นบางส่วน)
ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบเดิมต่อ โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าในการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) นอกจากนี้ ผู้นำเข้าบางส่วนก็อาจรอจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นในการเข้าซื้อเงินดอลลาร์
ขณะเดียวกัน โฟลว์จ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ และจะเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า ในขณะที่ปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทนั้น อาจมาจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นและบอนด์
รวมกันมากกว่า 9 พันล้านบาทในวันก่อนหน้า (นอกจากนี้ดัชนี SET ยังส่งสัญญาณพร้อมรีบาวด์ขึ้นในระยะสั้น) ทำให้ เราประเมินว่า โซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ จะยังคงเป็นโซนแนวต้านสำคัญในระยะสั้น ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 33.75-33.80 บาทต่อดอลลาร์
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันพุธนี้ก่อน
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงรอจับตาความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้ (US Debt Ceiling) ซึ่งในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีกำหนดประชุมกับผู้นำ สส จากพรรครีพับลิกัน เพื่อหาทางออกร่วมกันในประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ใหญ่ ไม่กี่ตัว อาทิ Alphabet +2.1%, Nvidia +1.6% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.05%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.35% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +3.3%, Shell +1.9%) หลังราคาน้ำมันดิบได้รีบาวด์และทรงตัวเหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงชัดเจน ทว่าการรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ และความกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นใกล้ระดับ 3.50% เข้าใกล้โซนแนวต้านอีกครั้ง
ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ทยอยปรับตัวสูงขึ้นในการเข้าสะสมการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทำให้ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัวใกล้โซนแนวต้านแถว 3.50%-3.65%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับขึ้นสู่ระดับ 101.5 จุด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด
หรืออัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงชัดเจน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามองว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ได้นานกว่าคาด ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในเดือนพฤษภาคม ความเสี่ยงการเมืองสหรัฐฯ จากประเด็นการขยายเพดานหนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะพยายามปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านเหนือระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำยังคงเผชิญแรงขายทำกำไร นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และ
บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยกดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ย่อตัวลงต่อเนื่องใกล้โซนแนวรับระดับ 2,025 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เช่นเดียวกันกับในฝั่งยุโรป ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็อาจช่วยให้ผู้เล่นในตลาดประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ได้ ซึ่งล่าสุด ตลาดได้คาดว่า ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อจนแตะระดับ 3.75% เป็นอย่างน้อย
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดคาดว่า ยอดการส่งออกของจีนในเดือนเมษายนอาจโตราว +10%y/y ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากฐานของยอดการส่งออกในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับที่ต่ำ ตามภาวะ Lockdown ของเมืองใหญ่ๆ อย่าง เซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ดี ยอดการนำเข้าอาจหดตัว -0.3%y/y ซึ่งส่วนหนึ่งอาจสะท้อนว่าความต้องการสินค้าในประเทศอาจยังฟื้นตัวได้ไม่ดีมาก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.73-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสัญญาณซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดีกรอบการแข็งค่าของเงินบาทในระหว่างวันอาจเป็นไปอย่างจำกัด ขณะที่ภาพรวมของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ อ่อนค่าลงเล็กน้อย หลังเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นบางส่วน
สอดคล้องกับการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ (ก่อนการรายงานตัวเลข CPI และ PPI ของสหรัฐฯ ในวันพุธและพฤหัสบดีตามลำดับ)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.70-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ สถานการณ์แบงก์และปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ทิศทางเงินทุนต่างชาติและการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค และตัวเลขการส่งออกเดือนเม.ย. ของจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ส่องโปรแกรม+ถ่ายทอดสด “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” ศึกซีเกมส์ 2023
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ 2023 ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งจะลงทำการแข่งขันในประเภทหญิง ระหว่างวันที่ 9-14 พฤษภาคม 2566
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” อยู่ในกลุ่ม กลุ่ม เอ ร่วมกับ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และ เมียนมา ซึ่งจะแข่งขันแบบพบกันหมดในรอบแรกเพื่อหาทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ และรอบจัดอันดับต่อไป
สำหรับโปรแกรมการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ในรายการ ซีเกมส์ 2023
วันที่ 9 พฤษภาคม 2566
เวลา 17.00 น. ไทย พบ อินโดนีเซีย
วันที่ 10 พฤษภาคม 2566
เวลา 14.30 น. ไทย พบ เมียนมา
วันที่ 11 พฤษภาคม 2566
เวลา 14.30 น. ไทย พบ มาเลเซีย
วันที่ 13 พฤษภาคม 2566
รอบรองชนะเลิศ
วันที่ 14 พฤษภาคม 2566
รอบชิงชนะเลิศ
สำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะมีการถ่ายทอดสดการแข่งขัน T Sports 7, ช่อง 5 TV5HD, ช่อง 9 Mcot หมายเลข 30, NBT2HD, True ID ช่อง 920 และช่อง 921 จะแบ่งการถ่ายทอดสด 2 ช่วงเวลา ช่วงแรก เวลา 9.00-12.00 น. และช่วงที่ 2 เวลา 13.00-18.00 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อน
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ทำการพยากรณ์และประกาศว่า ประเทศไทยจะเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป และจะไปสิ้นสุดประมาณช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2562 โดยคาดว่าในปีนี้จะร้อนกว่าปี 2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยอีก 1-2 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้ Tonkit360 จึงมีเคล็ด(ไม่)ลับ ในการดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อน มาฝากทุกคนกัน
- ดื่มน้ำเปล่าเพื่อดับกระหาย
ในช่วงอากาศที่ร้อนระอุสิ่งที่สามารถดับกระหายได้ดีที่สุดคือ น้ำเปล่า ซึ่งหาดื่มได้ง่ายและเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ สำหรับการดื่มน้ำในช่วงหน้าร้อนนั้น ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆ แต่ให้จิบไปเรื่อยๆ ระหว่างวัน ซึ่งปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับกิจกรรมในวันนั้นๆ และไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด เพราะน้ำเย็นปริมาณมากจะไปเจือจางน้ำย่อย ส่งผลให้เลือดที่มาหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารทำการย่อยได้น้อยลง และก่อให้เกิดโรคกระเพาะลำไส้อักเสบได้ง่าย นอกจากนั้นน้ำแข็งที่ไม่สะอาด ก็มีส่วนทำให้เกิดท้องร่วงท้องเสียอีกด้วย - หาผลไม้กินแก้ร้อนกินผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ขับร้อน และเพิ่มน้ำในร่างกาย เช่น แตงโม ส้ม สับปะรด เป็นต้น เพราะผลไม้เหล่านี้ช่วยดับกระหายและทำให้สดชื่นได้ แถมยังมีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ แต่แนะนำว่าผลไม้ไม่ควรแช่เย็นจัด หรือกินในตอนกลางคืน รวมถึงกินในขณะที่ท้องว่างและเวลาหิวจัด
- หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด และทาครีมกันแดดป้องกันผิวอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระวังในช่วงฤดูร้อนก็คือรังสียูวี เพราะความเข้มข้นของรังสียูวีในประเทศไทย ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม นับว่าร้อนมาก ฉะนั้นควรงดทำงานหนักกลางแจ้ง และเลี่ยงที่ต้องเจอกับแดดจัด เพราะอากาศร้อนจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น อาจมีผลทำให้เป็นลมแดดและถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีด้วย
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เสี่ยง ทำให้เกิดอาการท้องร่วงท้องเสียหน้าร้อนอาหารจะบูดเสียง่าย เนื่องจากเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชื้น ดังนั้นจึงควรจะระมัดระวังเรื่องการกิน เช่น กินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ ไม่กินอาหารที่ค้างคืน หลีกเลี่ยงอาหารประเภทกะทิ ยำ ส้มตำ และของหมักดอง เพราะเสี่ยงทำให้เกิดอาการท้องเสียท้องร่วงได้
- เลือกใส่เสื้อผ้าที่ดูดซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดีแน่นอนว่าในช่วงหน้าร้อนจะต้องใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมตามสภาพอากาศ ดังนั้นควรเลือกเสื้อผ้าที่สามารถดูดซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดีมาใส่ แต่ในผู้หญิงตั้งครรภ์การสวมใส่เสื้อผ้าจะต้องมิดชิด และเพื่อป้องกันการกระทบความเย็น จึงควรหลีกเลี่ยงการเปิดพัดลมใส่โดยตรง ขณะเดียวกันต้องป้องกันความร้อนอบอ้าวด้วย การระบายอากาศในห้องจึงต้องดี
- อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอโดยธรรมชาติของฤดูร้อน กลางวันจะยาวกลางคืนจะสั้น (คนทั่วไปที่ไม่ได้นอนในห้องปรับอากาศ กว่าอากาศจะเย็นแล้วนอนหลับได้ก็มักจะดึก) จึงเป็นสาเหตุทำให้ได้นอนน้อยกว่าปกติ ดังนั้นการได้พักผ่อนนอนหลับในช่วงกลางวันบ้าง ก็ถือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับผู้ที่ทำงานในที่ทำงาน คงจะนอนหลับกลางวันไม่สะดวก อาจใช้วิธีนั่งพิงพนักตัวตรง หลับตา สงบนิ่งๆ ในช่วงกลางวันก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
พูดอีกครั้งได้ไหม (Asking to repeat)
เคยมั้ย? เดินอยู่ดีๆมีนักท่องเที่ยวฝรั่งที่ไหนไม่รู้เข้ามาทักทาย ยิงภาษาอังกฤษมาเป็นชุดๆเลย ไอ้เราก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง แล้วจะตอบยังไงดี? อย่างแรกตั้งสติก่อนนะครับ ถ้าฟังไม่ทันจริงๆก็ขอให้เค้าพูดซ้ำอีกครั้งซะก็หมดเรื่อง แต่คำว่า Again please? เนี่ยมันเช๊ยเชย ลองเปลี่ยนมาใช้คำใหม่ๆพวกนี้ดู
สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
Excuse me? อิ๊กส์-คิวส์-มี
I’m sorry? ไอม์-ซอรี๋
2 คำนี้ใช้ได้กว้างขวางมาก และคงได้ยินกันบ่อยที่สุดแล้ว ความหมายก็ประมาณว่า “อะไรนะ พูดอีกทีซิ”
What do you mean? ว็อท-ดยู-มีน
ใช้ตอนที่เราได้ยินชัดแล้ว แต่ไม่เข้าใจ ก็ให้คนพูดอธิบายให้เคลียร์นิดนึงว่าที่พูดมาหมายความว่าไง
Could you repeat that? ขุด-ดยู-รีพีท-แ(th)ท
คำนี้ใช้ให้เค้าพูดซ้ำ ซึ่งมักจะใช้กับข้อมูลที่มีรายละเอียดเยอะ ถ้าเป็นบทสนทนาทั่วไปใช้คำอื่นดีกว่านะ
Pardon? – ผาร์-เดิ้น
อันนี้ถ้าไม่ใช่ผู้ดี๊ ผู้ดีจริงๆคงไม่ค่อยมีใครใช้แล้วล่ะครับ เพราะมันเป็นทางการมากกว่าทุกคำข้างบนซะอีก แต่ยังไงก็รู้ไว้เผื่อเจอเนาะ
สำหรับใช้กับเพื่อนๆ หรือคนแปลกหน้าแต่ไม่อยากเป็นทางการมาก
Hmm? / Huh? – หืม/ หา
ไม่มีอะไรมาก กับเพื่อนสนิทแค่ “ห๊ะ หา” ก็คงเข้าใจว่าเราให้มันพูดอีกครั้ง
What? (อะไรนะ)
What was that?
จะพูดสั้นๆ หรือยาวก็ได้ทั้งคู่
Speak up! (พูดดังๆหน่อยว้อย ไม่ได้ยิน!)
Come again? (มาอีกรอบซิ)
เฮ้ยยย ไม่ใช่แล้ว ในบริบทนี้มันหมายความว่า “ไหนพูดอีกทีซิ” นะครับ อย่าเข้าใจผิดนะ
โอเคครับ แค่นี้ก็คงพอเอาตัวรอดให้ฝรั่งเค้าพูดซ้ำให้เราฟังได้แล้ว แต่จากนั้นจะตอบยังไงก็ตัวใครตัวมันแล้วนะจ๊ะ ทางที่ดีฝึกการฟังให้คล่อง พยายามฟังรอบเดียวไม่ต้องขอ repeat ดีกว่านะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ทวิตเตอร์เตรียมลบบัญชีผู้ใช้งานที่ไม่เคลื่อนไหวหลายปี
สื่อสังคมออนไลน์ ทวิตเตอร์ เตรียมลบบัญชีผู้ใช้งานที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานหลายปีแล้ว ตามคำประกาศของ อิลอน มัสก์ ทางทวิตเตอร์ในวันจันทร์
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า มัสก์ ซีอีโอของทวิตเตอร์ โพสต์ด้วยว่า ผู้ใช้งานที่ใช้แพลตฟอร์มนี้อาจประสบภาวะจำนวนผู้ติดตามลดลงในเร็ว ๆ นี้ด้วย
นโยบายของทวิตเตอร์ระบุว่า ผู้ใช้งานควรเข้าระบบบัญชีของตนอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุก ๆ 30 วันเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลบ เนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานาน
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มัสก์ “ขู่” ว่าจะยกบัญชีใช้งานทวิตเตอร์ของสื่อ National Public Radio (NPR) ให้บริษัทอื่นใช้ หลังสื่อสาธารณะแห่งนี้หยุดโพสต์เนื้อหาผ่านทวิตเตอร์ฟีดทางการของหน่วยงานทั้งหมด 52 ฟีดเพื่อประท้วงบริษัทสื่อสังคมออนไลน์แห่งนี้ที่ออกมาให้ความเห็นเป็นนัย ๆ ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทบรรณาธิการของสื่อแห่งนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“กระเจี๊ยบเขียว” กับเมนูของชาวญี่ปุ่น ลดอาการเหนื่อย-เพลียจากอากาศร้อนได้ดี
ปัญหาหนึ่งที่คนญี่ปุ่นกังวลกันมากในช่วงฤดูร้อน คือ อาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากความร้อนหรือนะซึบาเตะ (Natsubate, 夏バテ) มาดูสาเหตุและอาการป่วยเนื่องจากอากาศร้อน และเมนูเด็ดจากกระเจี๊ยบเขียวที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหนื่อยล้าจากความร้อนได้ดีเยี่ยมกันนะคะ
สาเหตุและอาการป่วยจากความร้อน
ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากความร้อนเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียวิตามินบี 1 และโพแทสเซียมทางเหงื่อในปริมาณมาก ด้วยวิตามินบี 1 มีความสำคัญในการเสริมการเปลี่ยนแป้งให้เป็นพลังงาน การสูญเสียวิตามินบี 1 ทางเหงื่อจะส่งผลให้อัตราการเปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นพลังงานต่ำจนนำไปสู่อาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้า กินไม่ได้นอนไม่หลับจนถึงขั้นทำให้เกิดการป่วยและเสียชีวิตได้ อีกทั้งการสูญเสียโพแทสเซียมในปริมาณที่สูงทำให้ร่างกายอ่อนแรง หน้ามืด อาเจียน เป็นลม และอาจจะรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
วิธีป้องกันอาการป่วยจากความเหนื่อยล้าจากความร้อน
วิธีการป้องกันอาการป่วยทำได้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานและและหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง
- หากอยู่ในบ้านที่อากาศไม่ถ่ายเทก็ไม่นิ่งทนร้อน แต่ให้เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศที่ปรับให้ห้องมีอุณหภูมิที่สบายตัวประมาณ 28 องศาเซลเซียส
- ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มบ่อยๆ ก่อนจะรู้สึกกระหายน้ำ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 3 มื้อเพื่อให้ร่างกายรับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุอย่างครบถ้วน
เมนูเด็ดจากกระเจี๊ยบเขียวที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหนื่อยล้าจากความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม
ในญี่ปุ่นกระเจี๊ยบเขียวหรือโอคุระ (Okura, オクラ) เป็นผักที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาภาวะมีโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ความเหนื่อยล้าจากความร้อนและลมแดด เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วย (1) เส้นใยเพคติน ซึ่งมีลักษณะเป็นเมือกหนืด เส้นใยชนิดนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกกระเพาะอาหารถูกทำลาย ช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้และช่วยเสริมความอยากอาหาร (2) โพแทสเซียมซึ่งจะช่วยทดแทนโพแทสเซียมที่สูญเสียไปทางเหงื่อ
วิธีการนำมารับประทานเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด คือ การนำกระเจี๊ยบเขียวต้มสุกมาปั่นและรับประทานกับไข่ออนเซ็น การปั่นจะเพิ่มความหนืดของกระเจี๊ยบเขียว ส่งผลในการดูแลสุขภาพกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ดีขึ้น ส่งเสริมให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารสำคัญเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น อีกทั้งเพคตินยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนจากไข่เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ต่อสู้กับความเหนื่อยล้าได้ดี
วัตถุดิบ
- กระเจี๊ยบเขียว 5-7 ผล
- ไข่ออนเซ็นหรือไข่ต้มยางมะตูม 1 ฟอง
- น้ำซุปเข้มข้นเมนซึยุ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
- ข้าวสวย 1 ถ้วย
วิธีทำ
- นำกระเจี๊ยบเขียวมาล้างให้สะอาด ใช้มีดหั่นเอาขั้วผลออกเล็กน้อย
- ต้มน้ำในหม้อพอเดือด เติมกระเจี๊ยบเขียวลงไปต้มประมาณ 1 นาที แล้วนำมาล้างในน้ำเย็น
- หั่นกระเจี๊ยบเป็น 3 ท่อน นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำซุปเข้มข้นเมนซึยุและน้ำลงไป ปั่นจนกระเจี๊ยบเขียวละเอียด จากนั้นใช้ช้อนตักราดหน้าข้าวสวย เติมไข่ออนเซ็นหรือไข่ต้มยางมะตูมลงไป หากชอบรสชาติเผ็ดก็เพิ่มกิมจิลงไป รับประทานได้ทุกวันตามชอบ
นอกจากกระเจี๊ยบเขียวแล้วผักที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหนื่อยล้าจากความร้อนได้ดีมีดังนี้ คือ ถั่วแระญี่ปุ่นหรือเอดามาเมะ มะเขือเทศ มะเขือม่วง ฟักเขียว และมะระญี่ปุ่น เป็นต้น
เราคนไทยอาจจะชินกับอากาศร้อนตลอดทั้งปี แต่หากเมื่อใดที่มีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าและเบื่ออาหารก็ลองทำเมนูกระเจี๊ยบเขียวปั่นดูนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/05/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,250.00 | 32,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,089.00 | 31,669.24 | 32,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,880.10 | 28,502.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,671.20 | 25,335.39 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 940.00 | 14,250.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 731.00 | 11,081.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,165.00 | 32,821.40 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/05/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.05 | 35.05 | 35.54 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 | 35.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.78 | 34.78 | 35.24 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 | 34.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.74 | 32.74 | 33.14 | 32.74 | 32.74 | – | 32.74 | 32.74 | 32.74 | 32.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.19 | 33.19 | – | – | – | – | – | – | – | 33.19 |
เบนซิน 95 | 42.84 | – | – | – | 42.91 | – | 43.34 | 43.01 | – | 42.84 |
ดีเซล B7 | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
ดีเซล | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
ดีเซล B20 | 32.44 | 32.44 | 32.94 | – | 32.44 | – | 32.44 | – | – | 32.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.56 | 41.66 | 43.54 | 43.16 | 43.16 | – | – | – | – | 41.56 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |