เอพี ทุบสถิติ อสังหาฯไทย 9 เดือน โกยกำไรทะลุ 4.7 พันล.
บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ทุบสถิติผลประกอบการ โชว์รายได้รวม 9 เดือน นิวไฮกว่า 37,560 ล้านบาท กำไรโตทะลุ 4,720 ล้านบาท ขณะยอดขาย สิ้น ต.ค. อยู่ที่ 45,410 ล้านบาท
8 พ.ย. 65 – นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจของเอพีในปี 2565 กับการวางเป้าหมายเป็นที่สุดแห่งปี ในการสร้างความต่างที่เหนือกว่าให้กับวิถีชีวิตใหม่ เพื่อมุ่งส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ให้กับลูกค้า ผ่านการเปิดตัวโครงการที่มากที่สุดใอุตสาหกรรม ครอบคลุมทุกทำเล ตอบรับดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยทุกเซกเมนต์ ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างสถิติใหม่สู่การเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งสินค้าทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม สะท้อนได้จากผลประกอบการที่เติบโตเพิ่มขึ้นทั้งรายได้รวม กำไร และยอดขาย
โดยใน 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ (Revenue) จากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ทำนิวไฮสูงสุดถึง 37,566 ล้านบาท คิดเป็น 80% จากเป้ารายได้รวม (100% JV) ทั้งปีที่ 47,000 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 24% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ทำได้ 30,324 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิมากถึง 4,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 3,549 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเท่ากับ 0.52 เท่า มั่นใจถึงเป้ารายได้ทั้งปี 47,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ของปี คีย์ไดรฟ์สำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ จากกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องของลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย ควบคู่กับการฟื้นตัวกลับ เติบโตในทิศทางที่ดีอย่างมีนัยสำคัญของตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่าน Momentum ลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดมิเนียมใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ได้แก่ RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ LIFE สาทร เซียร์รา ทำให้ ณ 31 ตุลาคม 2565 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) มากถึง 37,065 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ถึงปี 2568 จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้รวมได้ตามเป้าหมายในปีนี้ทั้งปีที่ 47,000 ล้านบาท พร้อมทั้งจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตต่ออย่างมั่นคงในอนาคตอย่างแน่นอน
ทุบสถิติ New Record ทะลุ 90% จากเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีผลงานยอดขายที่แข็งแกร่ง และยังคงสร้าง New Record สูงสุดที่บริษัทเคยทำได้ ณ สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายมากถึง 45,408 ล้านบาท หรือคิดเป็น 90% ของเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ที่ 50,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 46% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ 36,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และเป็นยอดขายจากสินค้าแนวสูงที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนที่ 9,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 3 เท่าตัว
โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในมิติยอดขายที่แข็งแกร่ง นอกจากความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อแบรนด์สินค้าเครือเอพีที่มากกว่า 17 แบรนด์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อส่งมอบความปรารถนาในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ให้ทุกนิยามความสุขที่ต้องการเกิดขึ้นได้จริงแล้ว และยังสะท้อนถึงดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงเป็นที่ต้องการ ทั้งตลาดบ้านแนวราบที่เติบโตต่อเนื่อง และโดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ ที่มีการฟื้นคืนกลับของลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 อันดับ ‘ราคาที่ดิน’ สูงสุด บางพลียืน 1 – สายสีม่วงเพิ่ม 9%
อัพเดท ‘ราคาที่ดินเปล่า’ สิ้นไตรมาส 3 ปี 65 REIC เผย กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ราคาที่ดิน เฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น 4% ขณะ 5 อันดับแรก ราคาที่ดินสูงสุด พบ อยู่ที่ บางพลี-บางบ่อ ส่วน ที่ดินแนวรถไฟฟ้า โดยรอบ สายสีม่วงเพิ่มสูงสุด 9%
9 พ.ย.2565 – ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนี ‘ราคาที่ดินเปล่า’ ก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า มีค่าดัชนีเท่ากับ 368.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 (ปี 2558 – 2562) โดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 ต่อไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 จากไตรมาสก่อนหน้า
โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นตามปัจจัยประกอบสำคัญ คือความคืบหน้าด้านการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ และการที่ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาประกาศแผนการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
ราคาที่ดินเปล่าเพิ่มขึ้น แต่ยังน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราโดยไม่ได้รับส่วนลดร้อยละ 90 เหมือนเช่นในปี 2562 – 2563 ทำให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาการซื้อที่ดินสะสมลดลง เพื่อควบคุมภาระภาษีที่ดินซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการ
รวมถึงในช่วงก่อนหน้าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่เพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกลับมาของกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงในปี 2565 ยังได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งหมดนี้มีผลให้อัตราขยายตัวของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ – ปริมณฑลยังไม่กลับมาใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 5 ปี แม้จะดีขึ้นในรายไตรมาสก็ตาม
ราคาที่ดิน ชานเมือง โตแรง
โซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรกในไตรมาส 3 ปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑล เนื่องจากมีความต้องการที่ดินเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ และราคาที่ดินยังอยู่ในระดับไม่สูง ทำให้สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ ในขณะที่ราคาที่ดินในเขตชั้นในและชั้นกลางของกรุงเทพฯ มีราคาที่สูงอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นบ้างแต่ก็ทำให้ไม่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่สูงดังเช่นในพื้นที่ชานเมือง
5 อันดับ ราคาที่ดิน กทม.-ปริมณฑล สูงสุด
- อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธงมีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึงร้อยละ 55.7
- อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด มีอัตราการเปลี่ยนราคาร้อยละ 42.8
- อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 28.1
- อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 26.4
- อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 11.6
5 อันดับ ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้า แพงสุด
สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่า เส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีแผนจะพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต โดยมีรายละเอียดดังนี้
- อันดับ 1 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2559 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ราคาที่ดินในอำเภอเมืองนนทบุรี และอำเภอบางบัวทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก
- อันดับ 2 ได้แก่ สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วกว่าร้อยละ 92.82 ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) เขตหลักสี่ และเขตคันนายาว เป็นบริเวณที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาก
- อันดับ 3 ได้แก่ สาย BTS สายสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการ มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้นมากอยู่ในเขตจตุจักร บางนา พญาไท และพระโขนง เป็นบริเวณที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาก
- อันดับ 4 ได้แก่ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วกว่าร้อยละ 96.79 ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) เขตบางพลี ประเวศ และเมืองสมุทรปราการ เป็นบริเวณที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาก
- อันดับ 5 ได้แก่ สายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี) ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินในอำเภอเมืองนนทบุรี และเขตหลักสี่ เป็นบริเวณที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 36.95 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ที่กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.95 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”ากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.27 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าอย่างรวดเร็วและมากกว่าที่เราคาดของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ที่กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้าน อาจทำให้ภาพในเชิงเทคนิคัลของเงินบาทเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
หากตลาดยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อ เงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับใหม่แถว 36.80-36.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ นอกจากนี้ การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทล่าสุด อาจทำให้ในเชิงจิตวิทยา ผู้ส่งออกบางส่วนอาจปรับลดระดับของเงินบาทเพื่อรอขายเงินดอลลาร์ โดยอาจมีการรอขายเงินดอลลาร์ในช่วง 37.50-37.70 บาทต่อดอลลาร์ จากช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่จะรอแถว 38.00 บาทต่อดอลลาร์หรือสูงกว่านั้น ทำให้โซนแนวต้านของเงินบาทจะขยับลงมา
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ควรระมัดระวังความผันผวนในตลาดการเงินจากรายงานผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ รวมถึงไฮไลท์สำคัญอย่างรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯนี้ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะการถือครองที่ชัดเจนก่อนจะรับรู้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ และรายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.80-37.10 บาท/ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว +0.56% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ยังคงออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ
แต่ผลสำรวจส่วนใหญ่ที่คาดว่า พรรครีพลับริกันจะกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ นั้น ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลโอกาสที่พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเดินหน้าคุมเข้มภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ รวมถึงการปรับขึ้นภาษีบริษัทเอกชน อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่ปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนจนกว่าจะรับรู้ผลการเลือกตั้งว่าพรรครีพลับริกันจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ได้ตามคาด
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.78% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ อาทิ ASML +5.2%, Adyen +2.7% ปัจจัยบวกที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปยังคงเป็น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ยังคงออกมาดีกว่าคาด รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ ท่าทีของรัฐบาลยูเครนที่เริ่มส่งสัญญาณอยากให้มีการเจรจาสันติภาพก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้ผู้เล่นลดความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนได้บ้าง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับไม่ได้ช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแต่อย่างใด กลับกันมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า หากพรรครีพลับริกันกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ก็อาจกดดันการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยิ่งสนับสนุนโอกาสที่เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย โดยมุมมองดังกล่าวได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.13%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดหวังเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย หากพรรครีพลับริกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ได้กดดันให้เงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับสำคัญที่ 110 จุด สู่ระดับ 109.6 จุด
นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นแรงสู่ระดับ 1,713 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งใกล้กับโซนแนวต้าน ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรทองคำและเราคาดว่าโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้
สำหรับวันนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก โดยผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ เพื่อประเมินความต้องการใช้พลังงาน ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตาม เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หลังจากที่ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณในการประชุม FOMC ล่าสุด ว่าเฟดอาจเริ่มพิจารณาชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ แต่การขึ้นดอกเบี้ยก็ยังจะต้องดำเนินต่อไปจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้
อนึ่ง อีกปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ (the US Midterm Election) ซึ่งอาจใช้เวลาในการนับคะแนนพอสมควร ทำให้กว่าที่จะทราบผลเป็นแน่ชัดว่า พรรคไหนจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนและวุฒิสภาอาจจะใช้หลายวัน ทำให้ตลาดการเงินอาจผันผวนไปตามผลการเลือกตั้งเบื้องต้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
SCOOP : การพลิกบทบาทของ “รัศมี แข” จากกองเชียร์สู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ
กลายเป็นที่ฮือฮาในวงการกีฬาวอลเลย์บอลไทยเมื่อ ‘ไดม่อนฟู้ด-ไฟน์เซฟ’ ทีมสโมสรวอลเลย์บอลจากลีกไทยอาชีพประกาศเปิดตัวนักกีฬาในสังกัดคนใหม่อย่าง ‘รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น’ นักแสดงอารมณ์ดีที่สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมายเข้าสู่การเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลอาชีพอย่างเต็มตัว
การเป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพของรัศมีแขคือความฝันที่เป็นจริงเพราะด้วยความที่เขาเติบโตมากับกีฬาชนิดนี้ กอปรกับเรื่องราวมากมายที่เขาได้สร้างสานสัมพันธ์กับทัพนักตบลูกยางสาวไทยมาตั้งแต่ยุคเจ็ดเซียน ทำให้การก้าวขึ้นมาสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพครั้งนี้มีความหมายสำหรับรัศมีแขเป็นที่สุด
จาก ‘คนคลั่งวอลเลย์บอลสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ’ ของรัศมีแข การพลิกบทบาทครั้งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร StadiumTH จะพาไปรู้จักกับเขาในมุมมองของการเป็นนักกีฬาให้มากขึ้น
วอลเลย์บอลมันอยู่ในสายเลือด
คงไม่ต่างอะไรกับเด็กคนอื่นทั่วไปเมื่อได้เห็นและลองเล่นในกีฬาใดๆ สักชนิดหนึ่งคงหลงใหลใคร่รู้ไม่น้อย รัศมีแขก็เช่นกัน เขาบอกกับเราว่า เริ่มเล่นกีฬาวอลเลย์บอลมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม สมัยที่ยังอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่กระทั่งสืบเนื่องเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้
“ตอนนั้นโรงเรียนที่เรียนอยู่จะมีทีมวอลเลย์บอลทีมหญิง เราก็ได้แต่ไปนั่งดูเขาเล่นกัน คอยเก็บลูกวอลเลย์ให้เขาบ้าง เอาลูกมาอันเดอร์เล่นบบ้าง กระทั้งไปอยู่ที่สวีเดนที่นั่นเราก็มีเพื่อนเป็นคนไทยซึ่งเขาเล่นวอลเลย์บอลให้กับทีมเขตอยู่แล้วและเห็นว่าเราพอที่จะเล่นได้ก็เลยลองชวนเราไปเล่น เราได้เข้าร่วมเก็บตัวกับทีมได้ระยะนึงก็ได้ไปเจอสมาคมวอลเลย์บอลของ LGBTQ+ ซึ่งที่นั่นก็มีพี่ๆ คนไทยร่วมอยู่ด้วยเราก็เลยได้เล่นจริงๆ จังโดยมีพี่ๆ คอยช่วยสอน แต่ว่ากีฬาวอลเลย์บอลที่ประเทศสวีเดนนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ซึ่งมีทีมแข่งขันน้อยมากๆ”
รัศมีแขบอกต่อว่า สำหรับวอลเลย์บอลในประเทศไทย เขาเริ่มติดตามผลงานมาตั้งแต่ปี 2009 ในช่วงที่ยุคเจ็ด เซียนได้แชมป์เอเชี่ยน วอลเลย์บอลคัพในปีเดียวกัน กระทั่งเขาเดินทางกลับมาประเทศไทยและได้พบปะกับพ้องเพื่อนที่เล่นวอลเลย์บอลชายหาดจึงทำให้รัศมีแขผันตัวเองจากในร่มสู่กลางแจ้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรคำว่าวอลเลย์บอลก็ยังเข้มข้นอยู่ในตัวรัศมีแขเช่นเดิม
“ความรู้สึกที่มีต่อวอลเลย์บอลไทยถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนั้นก็รู้สึกว่า เฮ้ย! วอลเลย์ไทยมันก็ยิ่งใหญ่อยู่เหมือนกันนะโดยเฉพาะทีมหญิง ในกลุ่มเพื่อนก็ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้กันเยอะขึ้นมันเลยทำให้เราต้องไปหาแมตช์การแข่งขันย้อนหลังมาดู เรามีโอกาสที่ได้เข้าไปเชียร์ทีมชาติไทยในการแข่งขันเวิร์ล กรังด์ ปีส์ ที่ตอนนั้นรู้สึกว่าจะจัดแข่งที่ประเทศไทยเราก็ไปดูด้วย ยิ่งเรามีเพื่อนที่รู้จักกันพวกเขาได้เข้าร่วมเป็นคู่ซ้อมให้กับพี่ๆ ทีมชาติมันยิ่งทำให้เราอยากที่จะเข้าไปดู เข้าไปทักทายพวกพี่ๆ ตอนซ้อมด้วยมันเลยทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักกับโค้ชอ๊อดและพี่ๆ เจ็ดเซียน ซึ่งเราก็ทำน้องเหมือนเป็นน้องในทีมคนนึง ซื้อขนมไปให้บ้าง โทรถามว่าใครอยากกินอะไรบ้างมั้ย เวลาที่พี่ๆ ไปแข่งต่างประเทศเราก็ตามไปส่งและรับที่สนามบินพูดง่ายๆ ว่าเริ่มเข้าโหมดแฟนคลับตั้งแต่นั้น”
จากแฟนคลับสู่การเป็นขวัญใจแคมป์ทีมชาติ
กระทั่งนานวันเข้า รัศมีแขก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกับบรรดานักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติมากขึ้น กล่าวได้ว่าเขาได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้จนกลายเป็นขวัญใจของแคมป์นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงไปโดยปริยาย
“ในช่วงที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมในแมตช์อำลาเจ็ดเซียน หลายคนอาจจะมองว่า รัศมีแขจะอยากเล่นอะไรขนาดนั้น มากไปหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงพวกพี่ๆ เขาได้มีการพูดคุยกันไว้แล้วว่าจะให้เราเป็นแขกเซอร์ไพรส์ในช่วงท้ายเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศซึ่งทางสมาคมวอลเลย์บอลก็รับรู้เรื่องนี้ด้วยก็เลยกลายเป็นว่าเราได้ไปอยู่ในฝั่งของเจ็ดเซียน
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น รัศมีแขได้มีโอกาสเข้าไปสร้างปฎิสัมพันธ์ต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน
“ในแมตช์ที่อำลาเจ็ดเซียนโค้ชอ๊อดก็ได้เดินเข้ามาขอบคุณกับทุกๆ เรื่องที่ทำให้เจ็ดเซียนและเขายังฝากกับเราว่า อย่าลืมน้องๆ นะฝากพวกเขาด้วยและนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงเข้ามาเกี่ยวพันธ์กับทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดนี้ ซึ่งมันก็มีคนมองว่าเราหิวแสงบ้าง อะไรต่างๆ นานา โดยเฉพาะในโลกโซเชี่ยลมีเดียทั้งที่คนพวกนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย เราเลยรู้สึกว่าควรจะมีความคิดมากกว่านั้น พวกเขาคิดแค่ว่าเรามาเกาะกระแสวอลเลย์บอล ถามว่าทำไมเรามาอยู่ตรงนี้มันเริ่มที่เรารักในกีฬาวอลเลย์บอลแล้วถูกดึงดูดด้วยนักกีฬาวอลเลย์บอลที่คอยเข้ามาซัพพอร์ทกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”
รัศมีแขเสริมว่า ศักยภาพของนักกีฬาคือสิ่งที่ทำให้ทั่วทั้งโลกยอมรับ เราอาจจะไม่มีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สู้นาซ่าได้ เราอาจจะไม่มีทีมฟุตบอลที่จะสู้กับพวกยุโรปได้แต่เรามีทีมวอลเลย์บอลที่สามารถสู้กับนานาชาติได้ นั่นคือจุดเด่นของประเทศไทยเลยและไม่ใช่แค่นักกีฬาวอลเลย์บอล ชาวต่างชาติมองประเทศไทยเราว่าเป็นชาติที่เล่นวอลเลย์บอลเก่งนี่คือสิ่งที่เขามองกลับมา มันไม่ใช่แค่ระดับทีมชาติเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมไปถึงวอลเลย์บอลอาชีพด้วย
“อย่างตัวแขเองเป็นนักแสดงก็ชอบที่จะออกกล้อง ชอบการแสดง เช่นกันนักกีฬาก็จะแฮปปี้ที่ได้เล่นมันสามารถสร้างอาชีพได้อย่าลืมว่าอาชีพวอลเลย์บอลเต็มที่ก็เล่นได้แค่ 10 ปี ยกตัวอย่างเช่นบุ๋มบิ๋มและเพียวที่ทีมจากลีกตุรเคียซื้อตัวไปเล่นนั่นก็เพราะศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของเขา”
บทบาทในการเป็นนักกีฬาอาชีพ
ด้วยทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอลบวกกับสรีระที่สูงใหญ่ของรัศมีแขและการที่เขาได้เฉิดฉายในแมตช์อำลาเจ็ดเซียนทำให้ ‘ไดม่อนฟู้ด-ไฟน์เซฟ’ ทีมวอลเลย์บอลชายไทยอาชีพมอบสัญญาการเป็นนักกีฬาในสังกัดให้กับรัศมีแขลุยศึกวอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีก แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้ครั้งนี้ได้ รัศมีแขจึงได้ทำตามความฝันของเขาได้สำเร็จ
“การที่ได้เข้ามาเล่นในทีมไดม่อน ฟู้ด คือแขเองรู้จักกับเจ้าของทีมอยู่ก่อนหน้านี้แล้วประกอบกับกระแสวอลเลย์บอลชายไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ การดึงตัวแขเข้ามาร่วมทีมก็เพื่อเป็นการสร้างกระแสนิยมให้กับวอลเลย์บอลชายและเป็นการสร้างสีสันให้กับวงการวอลเลย์บอลบ้านเราเพื่อทำให้คนหันมาสนใจวอลเลย์บอลชายมากขึ้น ซึ่งการที่จะพัฒนาให้วอลเลย์บอลชายนั้น ส่วนตัวมองว่าเราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างที่สวีเดนเขาปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่สนใจในกีฬาสามารถเข้ามาร่วมทีมได้หมดและพร้อมสนับสนุน แต่อีกเหตุผลนึงอาจเป็นเพราะอาชีพในฝันของเด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นนักกีฬา อาจจะอยากเป็นหมอ ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่การที่อยากเป็นนักกีฬามันเป็นส่วนที่น้อยมาก แต่ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดใดก็ได้ แล้วทำให้เห็นว่าการเป็นนักกีฬาก็สามารถขึ้นมายืนอยู่ในจุดที่มีชื่อเสียงในระดับโลกได้อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักแต่ในแวดวงกีฬาคุณจะมีชื่อเสียงแน่นอน”
สำหรับการปรับตัวให้เข้ากับระเบียบ ระบบและรูปแบบการฝึกซ้อมขอบทีม รัศมีแขบอกว่า สิ่งที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเริ่มลุยศึกไทยแลนด์ลีกคือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ส่วนสำคัญที่สุดที่เขามองว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้เขายืนระยะในการแข่งขันได้นานขึ้นพร้อมทั้งเสริมอีกว่า อย่าเห็นว่าเคยเป็นดารานักแสดงไม่ต้องเกรงใจเพราะ ณ.เวลานี้รัศมีแขเป็นนักกีฬาอาชีพเต็มตัว
“ด้วยความที่เราไม่เคยซ้อมหนักแบบนี้มาก่อน มัดกล้ามเนื้อส่วนตัวต่างๆ จำเป็นที่จะต้องเข้าฟิตเนสตามที่โค้ชสั่งแต่ในส่วนอื่นๆ เช่น เบสิคการอันเดอร์บอล รับส่งลูก แบบนั้นเรามันได้อยู่แล้ว ด้านอื่นๆ เราบอกกับเจ้าของทีมเลยว่าไม่ต้องมาดูแลอะไรเป็นพิเศษให้ปฏิบัติเหมือนกับนักกีฬาคนอื่นๆ ได้เลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตัวก็ให้เป็นไปตามมาตรฐานของสโมสร คือแขอยากจะใช้ชีวิตและสร้างความสัมพันธ์กับคนในทีมได้พูดคุยกันเข้าใจซึ่งกันและกัน”
รัศมีแขบอกว่า เป้าหมายหนึ่งเดียวนั่นคือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์และทำในสิ่งที่ท้าทายให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการวัดศักยภาพว่าจะสามารถทำได้ดีมากน้อยเพียงใด พร้อมกันกับต้องการให้ตัวรัศมีแขเองเป็นเนมือนหนึ่งแรงบันดาลใจ ให้กับเยาวชนที่สนใจ
“สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬาที่ได้รับค่าตัวถูกหรือแพงมันก็ต้องมาจากความพยายามแทบทั้งนั้น ส่วนตัวรู้สึกว่าอยากที่จะมีเรื่องเล่าเวลาที่เราเดินทางไปต่างจังหวัดพบเจอเด็กๆ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลเราก็จะเอาประสบการณ์ตรงนี้ไปบอกเล่าให้พวกเด็กๆ ฟังได้เป็นเหมือนการส่งต่อแรงบันดาลใจ คือถ้าเราไม่ได้มาอยู่จุดนี้มันก็พูดไม่ได้มันไม่สุด”
การส่งต่อกำลังใจคือสิ่งสำคัญ
สำหรับแฟนๆ กีฬาที่ติดตามวอลเลย์บอลรัศมี แข ฝากบอกว่า ควรจะต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน ในการวิพากษ์วิจารณ์ต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่เกินเลยหรือล้ำเส้นจนกลายเป็นประเด็นดราม่าเดือดระอุ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการสร้างสังคมที่น่าอยู่ร่วมกัน
“จะมาบอกว่าคุณ (ตัวนักกีฬา) ก็ต้องเจอกับความกดดัน ต้องรับมันให้ได้ มันไม่ใช่แบบนั้น การที่ทำแบบนั้นมันจะส่งผลกับตัวนักกีฬาโดยตรง คนที่สูง 170 เซนติเมตรจะให้มายืนตีเหมือนคนสูง 200 เซนติเมตรก็ไม่ได้ หรืออย่างนักกีฬาระดับโลกเขาก็เคยเล่นพลาด บราซิล อเมริกา พวกเขาก็เคยแพ้ แขเชื่อว่าน้องๆ นักกีฬาพวกเขาก็ต้องการกำลังใจมากที่สุดในเวลาที่ผิดพลาด ต้องเข้าใจด้วยว่าน้องๆ เหล่านั้นก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นอยากคุยกับคนนั้นคนนี้ ไหนจะต้องไปเรียนด้วยหรืออะไรก็ตาม แต่ต้องสละเวลานั้นไปกว่าจะมาอยู่ตรงจุดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่น้องๆ แบกเอาไว้ตอนนี้มันไม่ควรมีอะไรไปทับถมควรจะให้กำลังใจกันมากกว่า ทุกคนมีสิทธิ์ในโซเชี่ยลแต่ก็มีกฏเกณฑ์ของมัน
ตัวแขเองก็เคยผ่านจุดที่ถูกโซเชี่ยลโจมตีมาก่อน คือจะบอกว่าถ้าเรารักในการดูวอลเลย์บอลมากแค่ไหนก็จำเป็นที่จะต้องรักในตัวนักกีฬาด้วย อย่างแขเองไม่ได้รักแค่ตัวน้องๆ แต่รวมไปถึงปัญหาที่พวกเขาเจอ เรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งมันก็ทำให้แขรู้สึกว่าเราได้ทำให้พวกเขาจริงๆ ตอนแรกก็รู้สึกท้อกับคำว่าหิวแสงถึงขั้นเกลียดเลยแต่สุดท้ายก็กลับมาคิดว่าเราทำในสิ่งที่เรารักต่อไปดีกว่าและหันมาให้ความสำคัญกับคนที่เข้าใจและรักเรานั้นดีที่สุด แขพอใจในส่วนนี้ไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตามปค่เราเห็นน้องๆ ยิ้มเราก็มีความสุขแล้ว”
รัศมีทิ้งท้ายก่อนจบการสนทนาที่น่าสนใจนี้ว่า “ความสุขไม่ได้อยู่ที่แพ้หรือชนะ แต่มันอยู่ที่การที่เราได้เห็นน้องๆ ชุดนี้ได้เข้าร่วมแข่งขันในแมตช์ใหญ่ๆ มันก็เหมือนการประกวดนางงามถ้าไม่มีเวทีต่อให้สวยแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น เหมือนกันต่อให้เล่นดีแค่ไหนแต่ไม่มีรายการใหญ่ๆ ให้แข่งขันก็ไม่มีทางได้เปล่งแสงเหมือนกันซึ่งมันจะส่งผลถึงการได้เข้าร่วมเล่นลีกอาชีพในประเทศต่างๆ ด้วยหากเรามีศักยภาพมากพอ ตัวอย่างเช่น เพียวกับบุ๋มบิ๋มที่ได้ไปเล่นลีกตุรเคียจะบอกว่ามันยากมากนะกับการที่จะได้ไปเล่นที่นั่นแต่น้องทำได้ เรามีความสุขกับการที่ได้เห็นน้องไปยืนตรงจุดนั้น …
… เพราะฉะนั้นเบื้องหลังของพวกเขาก็คือการได้ทำให้ครอบครัวสุขสบาย หาเงินให้พ่อแม่ใช้ แขบอกเลยว่าทุกครั้งที่เห็นน้องๆ เล่นไม่ว่าแพ้หรือชนะแขภูมิใจที่สุดและไม่รู้ว่ามันยิ่งใหญ่กว่าฟุตบอลหรือเปล่า แค่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากขนาดที่ว่าต้องสานต่อมันหยุดไม่ได้ ต้องมีเด็กรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมาตรฐานมันสูงขึ้นก็ต้องทำให้ดีขึ้นเพราะมันหมายถึงการทำให้กีฬาวอลเลย์บอลเติบโตในระยะยาว”
อีกไม่นานแฟนวอลเลย์บอลจะได้เห็น ‘รัศมีแข’ ในอีกบทบาทหนึ่งนอกเหนือจากภาพจำที่เขาเคยสร้างสีสันให้กับวงการบันเทิง สำหรับครั้งนี้รัศมีแขจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการวอลเลย์บอลชายไทยได้มากหรือน้อยนั้นไม่ใช่ใจความหลักแต่อย่างใด หากแต่เป็นการทำในสิ่งที่ตัวเขาเองชื่นชอบและเล็งเห็นว่าจะช่วยให้กีฬาวอลเลย์บอลเติบโตต่อไปอย่างไร นั่นต่างหากคือสิ่งที่รัศมีแขต้องการจะแสดงออกมาให้แฟนคลับกีฬาวอลเลย์บอลชาวไทยทุกคนเข้าใจและมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการกีฬาไปพร้อมกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 อันตรายที่ “วัยทำงาน” เสี่ยงร่างพัง
สำหรับมนุษย์งาน เกือบทั้งหมดของชีวิตมีแต่คำว่า “งาน ประชุม อีเมล ลูกค้า” คงไม่ผิดหรอกที่หลายคนภาคภูมิใจกับความสำเร็จของงานที่เกิดจากความทุ่มเทของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าแม้ใจยังสู้ แต่ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร ย่อมมีวันที่เหนื่อยและอ่อนล้า ถ้ามัวแต่เลือกงานแล้วมองข้ามตัวเอง เชื่อแน่ว่าร่างกายไปก่อนแน่ๆ แต่ถ้ายังอยากสนุกกับงานไปได้อีกนานๆ ก็ลองให้เวลาตัวเองสักนิดหันกลับมาสำรวจความผิดปกติของร่างกาย จะได้รู้ว่า ร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนภัยแล้ว ให้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข
กว่า 10% ของคนเมือง มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็น โรคออฟฟิศ ซินโดรม – Office Syndrome ซึ่งมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นและมลพิษต่างๆ ที่สำคัญ “พฤติกรรมการทำงาน” ก็นับว่าเป็นปัจจัยให้เกิดความเสี่ยงสูงที่สุด ด้วยสภาพการทำงานที่ต้องรีบเร่ง ล้วนมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ทั้งการใช้คอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อทำงานให้เสร็จ ทำให้ร่างกายของเราก็ต้องแบกรับภาวะความตึงเครียด ปราศจากการผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว
5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมืองมีอะไรบ้าง
- “ไมเกรน” โรคปวดศีรษะเรื้อรัง
เคยรู้สึกไหมว่าเวลานั่งทำงานเครียดเราจะรู้สึกปวดหัว ตึ้บ…ตึ้บ… บริเวณขมับ ด้านหน้าศีรษะหรือหลังต้นคอ นั่นคือ สัญญาณเตือนให้คุณรู้ล่วงหน้าว่า สภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรค ‘ไมเกรน’ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุด “Trigger Point” และจุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เส้นเลือดหลังจุด “Trigger Point” เกิดการขยายตัวผิดปกติ ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น นอกจากนี้ แสงแดด ความร้อน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิด “ไมเกรน” ได้เช่นกัน
“ไมเกรน” มักจะพบในช่วงอายุ 10 – 50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง ร้อยละ 18 และเพศชาย ร้อยละ 6 วิธีการดูแลให้ห่างไกลจาก “ไมเกรน” ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์ นักกายภาพบำบัด เพื่อทำการกดจุดสลาย “Trigger Point” บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- สภาวะเสียสมดุล
ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้น เพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม พร้อมขจัดและปรับระบบให้สามารถทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี “สมอง” เป็นจุดศูนย์รวมของการทำงานของร่างกาย “สมอง” จะทำหน้าที่ออกคำสั่งและส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ ซึ่งระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ (เช่น ค่อม งอ คด แอ่น)
สาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศที่ผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายก็จะฟ้องออกมาในรูปแบบของความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชาหรือแขนขาไม่มีแรงเป็นต้น ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลอย่างชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย
การดูแลและป้องกันนั้น มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย เช่น การยืดหยุ่นร่างกายไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถทำการปรึกษากับนักกายภาพบำบัดเพื่อทำการปรับโครงสร้างร่างกาย พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน
- กระดูกสันหลังคดงอ “อาการปวดหลังเรื้อรัง”
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสมัยใหม่ ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน และรู้หรือเปล่าว่านั้นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งโดยค่าเฉลี่ย 80% มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่า 20% จะพบว่ามีอาการปวดหลังแบบเรื้อรังมาจาก “กระดูกสันหลังคดงอ”
วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธี คือ การรักษาด้วยการให้ยาและกายภาพบำบัดแบบ Passive ซึ่งช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียงที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากในอนาคตได้ ส่วนวิธีการรักษาแบบ “Active Rehabilitation” นั้นเป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้อย่างถาวร ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดนั้นได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียวอย่างชัดเจน
- ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ
อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้น “ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ” หรือ “Carpal Tunnel Syndrome (CTS)” ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเมาส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบและเกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังบริเวณข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบนั้นก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน
อยากห่างไกลความเสี่ยงเลือกวิธีปฏิบัติง่ายๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือทุก 15 – 20 นาที หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการรักษาแบบ “Manual Therapy” หรือการบำบัดด้วยวิธีการใช้มือเป็นหลัก ผสานเข้ากับการใช้เครื่องมือบำบัดเฉพาะทาง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการบาดเจ็บที่รุนแรง และลดอัตราการผ่าตัดลง
- “หูดับ” โรคประสาทหูเสื่อม
อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา “หูดับ” หรือโรคประสาทหูเสื่อม ซึ่งส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินเสียงลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 30 – 50 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิกโฟนผ่านทางมือถือและเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประสาทหูเสื่อมสภาพ ในขั้นต้นหากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนาต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือปรึกษาศูนย์ฯ บริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับของการได้ยินพร้อมรับคำปรึกษา และแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ
และนี่เป็นเพียง 5 อันดับโรคยอดฮิตเรียกน้ำย่อยสำหรับคนเมือง พ.ศ. นี้ แต่ความเป็นจริงยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา ถ้าเรายังเลือกทำแต่งาน แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง…ใส่ใจตัวเองสักนิด หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วจะรู้ว่า ชีวิตที่มีสุขเป็นอย่างไร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ข้อดี 6 ข้อของการเรียนภาษาอังกฤษ
กิจกรรมชะลอวัยที่ดีที่สุดคือการเรียนภาษาต่างประเทศ!
เวลาที่ผู้ใหญ่สงสัยว่าทำไมต้องมาใช้เวลาเรียนภาษาต่างประเทศ ครูและผู้เชี่ยวชาญมักจะยกข้อดีต่างกันไป ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงการได้ใช้เข้าสังคม หรือพัฒนาชีวิต เช่นมีโอกาสได้งานดีขึ้น เงินเดือนดีขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ไปเที่ยวที่ไหนก็มั่นใจและได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ มีโอกาสได้เจอเพื่อนจากประเทศอื่น หรือใช้โซเชียล เน็ตเวิร์คได้ดีขึ้น เป็นต้น
แต่มีน้อยคนนักที่จะพูดถึงหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุดว่าทำไมผู้ใหญ่ควรหันมาเรียนภาษาต่างประเทศ นั่นก็คือการพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาจะช่วยให้สมองของเราฟิตและยังช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
การเข้าใจและสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้หมายความว่าคุณเข้าใจระบบการคิดอันซับซ้อนของภาษาใหม่ในการถอดรหัว่าคำศัพท์มาเรียงร้อยต่อกันสร้างเป็นวลีได้อย่างไร สามารถแต่งประโยคและออกเสียงคำต่าง ๆ ได้ และที่สำคัญที่สุดคุณได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและส่งสารที่สื่อความอย่างที่ใจต้องการ กระบวนการเหล่านี้ทำให้เราได้บริหารสมอง คุณเคยฉุกคิดไหมว่าถ้าเราต้องออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง สมองก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน
งานวิจัยวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าการเรียนภาษาต่างประเทศมีประโยชน์ต่อสมองผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง ทำให้เซลล์ประสาทที่ช่วยในส่วนการคิด ภาษา ความจำ และสติแข็งแรงขึ้น ส่งผลดีหลายประการ โดยตัวอย่างที่นำมาเล่าให้ฟังนี้เป็นข้อดีเพียงแค่ส่วนเดียวที่พูดถึงได้งานวิจัยต่าง ๆ
เวลาเราโตเป็นผู้ใหญ่ เรารู้แล้วว่าเรียนอย่างไรถึงจะได้ผล เรารู้ว่าเราเหมาะกับวิธีการเรียนรู้แบบใด และวิธีใดเสียเวลาเปล่า ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้คุณเป็นนักเรียนได้ดีกว่าเด็กหรือวัยรุ่น
1) เรียนรู้ปรับตัวได้ดีกว่า: หมายความว่าคนที่พูดได้สองภาษาสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่หรือสิ่งที่ไม่คาดคิดได้เร็วกว่าคนที่รู้ภาษาเดียวเพราะการเรียนรู้ภาษาใหม่จะพัฒนาจิตใจและสร้างสมาธิในการประมวลผลข้อมูล
2) พัฒนาความจำ และทำให้คุณเป็นนักคิดที่มีสติมากขึ้น เวลาที่คุณได้เจอคำศัพท์หรือโครงสร้างประโยคใหม่ ๆ คุณจะต้องจำและนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งเป็บการบริหารความจำและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์
3) ลับคมทักษะการฟัง และทำให้จิตใจทำงานได้เต็มศักยภาพ เพื่อให้ฟัง เข้าใจ แปล และออกเสียงภาษาใหม่ได้ ผู้เรียนจะต้องมองหาข้อมูลที่คลุมเครือ และสกัดให้เหลือแต่ข้อมูลที่สำคัญ
4) สร้างสมาธิและความสามารถในการตัดสินใจ: ภาษาใหม่จะมีถ้อยคำและสำนวนที่มีความหมายต่างกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนว่าใช้อย่างไรจึงเหมาะสมกับกาละเทศะและอะไรที่จะเสียมารยาทกับเจ้าของภาษา
5) สร้างทักษะการทำหลายอย่างได้พร้อมกัน: คนที่พูดได้สองภาษาจะมีทักษะการสลับระบบการพูด การเขียนและโครงสร้างประโยคระหว่างสองภาษา นั่นคือของภาษาแม่ตัวเองและภาษาที่สอง การเปลี่ยนโครงสร้างภาษาที่ต่างกันนี้ทำให้คนที่พูดได้สองภาษาสามารถทำหลายอย่างไปพร้อมกันได้ดี
6) ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์: สาเหตุของโรคทั้งสองนี้ยังไม่ทราบที่มาแน่ชัด แต่งานวิจัยด้านการแพทย์ได้ระบุว่าการเรียนรู้ภาษาที่สองช่วยป้องกันการเกิดหรือทำให้เกิดผลกระทบช้าลง
ตัวอย่างที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ภาษาตอนโตมีประโยชน์ต่อสุขภาพและสร้างความสุขได้อย่าง
เพราะฉะนั้น ทำไมไม่ลองหาอะไรท้าทายให้ตัวเองทำ ดูว่าประโยชน์เหล่านี้มีจริงไหม! ลองดูสักตั้งแล้วเอาผลลัพธ์มาแชร์ให้เพื่อนคนอื่นฟังกันดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
Honda e:N2 Concept ใหม่ ต้นแบบรถไฟฟ้าดีไซน์ล้ำเผยโฉมครั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้
Honda e:N2 Concept ใหม่ ต้นแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าดีไซน์ล้ำถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ประเทศจีน พร้อมห้องโดยสารที่ถูกออกแบบให้มีความมินิมอลแบบสุดๆ แต่ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดว่าจะถูกนำมาต่อยอดเพื่อวางจำหน่ายจริงเมื่อใด
Honda e:N2 Concept เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม e:N Architecture F ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าตระกูล e:N Series โดยเฉพาะ โดยฮอนด้าระบุว่ารถต้นแบบคันนี้ถูกออกแบบเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่เฉพาะตัว ด้วยการการให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวรถ อันเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนขั้นสูงของฮอนด้า ซึ่งรวมไปถึงเสถียรภาพในการควบคุมและการบังคับที่เฉียบคม
ดีไซน์ภายนอกของ Honda e:N2 Concept ถูกออกแบบให้ดูแปลกตาไปจากรถยนต์ฮอนด้ารุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน ด้วยไฟหน้าที่ถูกออกแบบให้เป็นรูปตัว H พร้อมแถบส่องสว่างที่พาดยาวตลอดความกว้างของหน้ารถ เส้นสายตัวถังถูกออกแบบเน้นความเฉียบคม ขณะที่รูปลักษณ์ด้านท้ายโดดเด่นด้วยไฟท้ายรูปตัว H ขนาดใหญ่เพื่อให้ดูกลมกลืนกับด้านหน้า ประดับด้วยตัวอักษร HONDA ที่สามารถเรืองแสงสีขาวได้
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความมินิมอลเต็มพิกัด มาพร้อมพวงมาลัยที่ถูกออกแบบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมหน้าจอกลางที่ถูกฝังให้เป็นเนื้อเดียวกับแผงคอนโซล ขณะที่ข้อมูลการขับขี่ต่างๆ จะไปปรากฏบนกระจกบังลมหน้าเพื่อความสะดวกต่อการมองเห็น ไม่เพียงเท่านี้ บริเวณแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูยังถูกออกแบบให้สามารถเรืองแสงเป็นไฟล้อมรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างบรรยากาศได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้บริหารของฮอนด้ามอเตอร์ยังระบุเพิ่มเติมว่า ฮอนด้ามีแผนเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในประเทศจีนอย่างต่อเนื่องอีกหลายต่อหลายรุ่น โดยรถต้นแบบ e:N2 Concept สามารถสะท้อนถึงคุณค่าของรถยนต์ไฟฟ้าตระกูล e:N Series ที่มุ่งเน้นความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับสนุกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญของฮอนด้าในการปรับเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัวอีกด้วย
Honda e:N2 Concept ถูกนำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกที่งาน China International Import Expo 2022 จัดขึ้นที่กรุงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 5 – 10 พฤศจิกายนนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ว่านพญานาคราช ว่านมงคลเลี้ยงง่าย มีลาภ ป้องกันพิษ งูไม่ชอบ..ปลูกขายรายได้ดี
ว่านพญานาคราช” ว่านมงคลเลี้ยงง่าย มีลาภ ป้องกันพิษ งูไม่ชอบ..ปลูกขายรายได้ดี
“ว่านพญานาคราช” ซึ่งคนโบราณมีความเชื่อกันว่า “ปลูกไว้เพื่อป้องกันงูเข้าบ้าน” นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณอเนกอนันต์ในการถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย อาทิ งู, แมลงป่อง, ตะขาบ ฯลฯ รวมถึงใช้บรรเทาอาการปวดจากสุนัขกัดได้อีกด้วย โดยวิธีการคือ นำลำต้นมาตำผสมกับเหล้าขาว 40 ดีกรี หรือน้ำซาวข้าวพอกปิดบาดแผลไว้ อาการปวดก็จะทุเลาลง
นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว คนไทยโบราณยังมีความเชื่อกันว่า “พญานาคราช” เป็นว่านมงคลแห่งยศฐาบรรดาศักดิ์ เมื่อนำมาปลูกไว้ในบ้านจะเป็นมงคลกับชีวิต ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง มีคนนับหน้าถือตา และยังเชื่อกันว่าหากใครปลูกเลี้ยงจนกระทั่งผลิดอกออกช่อจะมีโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา อย่างไม่น่าเชื่อ .
“คุณนงลักษณ์ ระงับภัย” เจ้าของสวนผู้ปลูกพญานาคราชเพื่อการค้า เท้าความถึงความเป็นมาให้ฟังว่า
..บ้านติดกับทุ่งนา และพื้นที่รอบ ๆ บริเวณบ้านร่มรื่นมาก ซึ่งความร่มรื่นนี้นอกจากคนจะชอบแล้ว สรรพสัตว์ที่มีพิษต่าง ๆ ก็ชอบเหมือนกัน ตอนนั้นก็พยายามหาวิธีป้องกันอยู่หลายวิธีแต่ก็ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายเลยตัดสินใจซื้อ “ว่านพญานาคราช” มาปลูกและเลี้ยงไว้ในบริเวณหน้าบ้าน พอลูกค้ามีความต้องการไม้แดดก็เลยลองขยายพันธุ์ออกตลาดดู ช่วงแรก ๆ ทำเป็นต้นเล็ก ๆ ในกระถางขนาด 5 นิ้ว ออกขายควบคู่กับแก้วกาญจนา โดยขายเพียงกระถางละ 50 บาท
หลังจากนั้นก็นำมาเลี้ยงเองจนเติบโต จากลำต้นขนาดกระถาง 5 นิ้วเป็นขนาดกระถาง 8 นิ้ว ขยับราคาขายเพิ่มขึ้นเป็นกระถางละ 150 – 200 บาท คนก็ยังไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ก็เลยนำมาเลี้ยงต่ออีกจากกระถางขนาด 8 นิ้ว เติบโตเป็นกระถางขนาด 12 นิ้ว พอครบ 3 เดือนเริ่มแตกกอสวยมาก มีลำต้นเลื้อยระย้าลงรอบ ๆ กระถาง ก็เอาไปวางขายอีก และขยับราคาขายเป็นต้นละ 1,000-5,000 บาท ปรากฏว่าลูกค้าให้ความสนใจ หลังจากลูกค้าให้ผลตอบรับที่ดีขึ้น ก็เริ่มขยายเป็นการค้าอย่างเต็มตัวค่ะ” คุณนงลักษณ์ กล่าว..
ว่านพญานาคราช เป็นพืชตระกูลกระบองเพชร เป็นไม้มงคล สวยแปลก น่าสะสม มีลักษณะเป็นไม้ฉ่ำน้ำ ลำต้นยาวรูปทรงกระบอก สามารถตั้งได้สูงถึง 60 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 – 4 เซนติเมตร รอบลำต้นมีตาคล้ายรูปขนมเปียกปูน หรือหกเหลี่ยม มีหนาม 2 อันขนาด 1 – 2 มิลลิเมตร สีแดง อยู่ตรงกลางตาออกมาพร้อมใบ ลักษณะของใบคล้ายกับใบพายตรงปลายใบแหลม ใบออกจากลำต้นไม่มีก้าน
ความยาวสูงสุด 10 เซนติเมตร เมื่อโดนแดดจัดใบจะเป็นสีแดง เป็นไม้ชอบแดด ทนแล้ง จะแตกตายอดใหม่จากโคนต้นและแตกกิ่งได้
“พญานาคราช จะออกดอกเมื่อต้นแก่ ดอกจะออกจากลำต้นระหว่างตา ลักษณะของดอกจะเป็นเหมือนหูกระต่ายหงายท้อง กลีบดอกชั้นนอกที่อยู่ข้างบนจะสั้นแบน ส่วนกลีบดอกชั้นนอกที่อยู่ข้างล่าง จะยาวเหมือนหูกระต่ายมีรอยหยักตรงปลายกลีบ ดอกชั้นในเป็นวงกลมสีแดง มีเกสรสีเหลือง ดอกจะออกห่างจากยอดประมาณ 3 – 4 ชั้นตาล้อมยอดไว้ “ซึ่งมีความเชื่อกันว่า เมื่อไหร่ที่พญานาคราชออกดอก เมื่อนั้นเจ้าของจะมีโชคลาภ”
สำหรับการปลูกเลี้ยงว่านพญานาคราชให้ได้กอสวยงามนั้น เริ่มจากการเตรียมดิน คือ ดินปลูกจะต้องมีส่วนผสม 3 อย่าง ได้แก่..
หน้าดินใบก้ามปู 1 ส่วน, กาบมะพร้าว 3 ส่วน และปุ๋ยคอกนิดหน่อย โดยจะต้องเปลี่ยนดินปลูกทุก ๆ 3 เดือนเพื่อให้ลำต้นเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับการดูแลนั้นให้ใส่ปุ๋ยออสโมโค้ท สูตรเสมอทุก ๆ 3 เดือนและฉีดฮอร์โมนบำรุงใบและลำต้นทุก 15 วัน การให้น้ำฤดูหนาวและฤดูร้อน ควรให้น้ำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ในฤดูฝนไม่ควรรดน้ำเนื่องจากอาจทำให้เน่าตายได้เพราะอากาศมีความชื้นเพียงพออยู่แล้ว
“พญานาคราช เป็นพืชที่มีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือ โรคเน่า ซึ่งเกิดในฤดูกาลเดียวคือ ฤดูฝน ฉะนั้นวิธีป้องกันคือต้องทำที่วางกระถางให้สูงจากพื้นดินอย่างน้อย 60 – 80 เซนติเมตร และที่ก้นกระถางจะต้องโปร่งโล่ง ไม่ควรมีภาชนะรองที่ก้นกระถาง เวลารดน้ำจะต้องให้น้ำไหลผ่านลงพื้นดินได้เลย ถ้าน้ำขังจะมีปัญหาเน่า ซึ่งจริง ๆ พญานาคราชเป็นพืชที่เลี้ยงง่ายมาก ปลูกทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่กลางแดดยังไงก็ไม่ตาย และเป็นพืชที่ไม่มีโรคและศัตรูรบกวนเลยค่ะ” คุณนงลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย..
ทั้งนี้การขยายพันธุ์พญานาคราชสามารถขยายพันธุ์ด้วยการตัดยอดปักชำ ซึ่งราคาซื้อขายยอดในปัจจุบันนั้นอยู่ที่ยอดละ 50 – 80 บาท ขึ้นอยู่กับความสวยงาม แต่ถ้าหากปักชำจนงอกรากแล้วราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก..
ขอบคุณข้อมูลจาก 108kaset.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 9/11/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,650.00 | 29,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,921.00 | 29,122.36 | 30,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,728.90 | 26,210.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,536.80 | 23,297.89 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 864.00 | 13,098.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 672.00 | 10,187.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,991.00 | 30,183.56 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 9/11/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.65 | 36.65 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 36.65 | 36.65 | 36.65 | 37.35 | 36.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.38 | 36.38 | 37.08 | 37.08 | 37.08 | 36.38 | 36.38 | 36.38 | 37.08 | 36.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.54 | 35.54 | 36.24 | 36.24 | 36.24 | – | 35.54 | 35.54 | 36.24 | 35.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.14 | 34.14 | – | – | – | – | – | – | – | 34.14 |
เบนซิน 95 | 44.06 | – | – | – | 45.21 | – | 44.56 | 44.51 | – | 44.06 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.64 | 34.94 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.64 | 34.94 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.64 | – | 35.44 | – | 34.94 | 34.94 | 36.24 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 45.86 | 45.56 | 45.56 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |