เทรนด์ลด Emission ปูนซีเมนต์โลก และนัยต่ออุตสาหกรรมของไทย
การผลิตปูนซีเมนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับต้น ๆ โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คิดเป็นสัดส่วน 6-7% ของการปล่อย CO2 ในภาพรวมของโลก
ทั้งนี้หลายประเทศทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงการผลิตปูนซีเมนต์ ขณะที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
McKinsey คาดการณ์ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นราว 1.1 เท่า จาก 3.8 พันล้านตันในปี 2020 เป็น 4.3 พันล้านตันในปี 2050 โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ใช้ปูนซีเมนต์ปริมาณมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จึงเป็นความท้าทายของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการเพิ่มการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต
ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้ผลิตปูนซีเมนต์ต่างประเทศได้ปรับกลยุทธ์ ทั้งการปรับปรุงเทคโนโลยี การใช้พลังงานทางเลือก ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1) การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตและใช้พลังงานในโรงงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ultratech ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของอินเดีย ที่ติดตั้งระบบการแปลงความร้อนจากการเผาวัตถุดิบเพื่อผลิตปูนเม็ด (clinker) ไปเป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในโรงงาน (waste heat recovery system : WHRS) และ CEMEX ที่ได้นำระบบประมวลผลอัจฉริยะ (AI) มาใช้กับระบบบริหารจัดการพลังงานในโรงงานที่เม็กซิโก
ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 20% ทั้งนี้ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ไทยได้เริ่มใช้เทคโนโลยี WHRS แล้ว
2) การใช้พลังงานทางเลือกทดแทนถ่านหินในสัดส่วนที่มากขึ้น เช่น พลังงานขยะ พลังงานชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ CEMEX ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีการใช้พลังงานทางเลือกในบางพื้นที่ของยุโรปในสัดส่วนที่สูงถึง 60%
ทั้งนี้สัดส่วนการใช้งานพลังงานทางเลือกในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยในปี 2021 อยู่ที่ 5-10% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปตามเป้าหมายของผู้ประกอบการ เช่น ปูนซีเมนต์นครหลวง มีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้ได้อย่างน้อย 20% ภายในปี 2030
3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์รักษ์โลก (low carbon cement : LC2) ด้วยการลดสัดส่วนปูนเม็ด และใช้วัสดุอื่นทดแทน เช่น หินปูน แคลเซียมคาร์บอเนต ฝุ่นจากเตาเผาปูนเม็ด เป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้การผลิตปูนซีเมนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากขั้นตอนการผลิตปูนเม็ด ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของปูนซีเมนต์มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 60% ของการผลิตทั้งหมด
ทั้งนี้สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย และผู้ประกอบการก็ได้ร่วมกันพัฒนาปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ที่ลดสัดส่วนปูนเม็ดลงจาก 93% เป็น 83% อย่างไรก็ดีสัดส่วนปูนเม็ดดังกล่าวยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ทั่วโลก ซึ่งตามรายงานของ Goldman Sachs Research อยู่ที่ 77% ในปี 2021 และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ราว 60% ในปี 2030 จึงถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่จะต้องเร่งลดสัดส่วนปูนเม็ดลงให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของโลกมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ทางเลือกใหม่ ๆ อาทิ limestone calcined clay cement (LC3) ที่มีสัดส่วนปูนเม็ดเพียง 50% โดยมีวัสดุทดแทนเป็นหินปูน และดินเผา ที่พบได้มากในอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย และยังได้มีการพัฒนาปูนซีเมนต์ที่ปราศจากส่วนผสมของปูนเม็ด (Hoffmann Green Cement) โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทดแทน 100% เช่น ตะกรันเหล็ก ดินจากการขุดเจาะอุโมงค์ สะท้อนความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ที่มีความรักษ์โลก และเป็นความท้าทายให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวด้วยเช่นกัน
EIC มองว่า ในอนาคตมีโอกาสที่จะเห็นอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะช่วยให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เข้าถึงเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มประกาศใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (carbon border adjustment mechanism : CBAM) กับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ในปี 2024
รวมถึงเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่สนับสนุนการใช้งานวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ขณะที่การใช้พลังงานทางเลือกนั้น ผู้ประกอบการไทยยังคงมีความท้าทายในการหา feedstock ที่มีความเหมาะสมในต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก ทั้งพลังงานขยะ และชีวมวล อีกทั้ง ผู้ประกอบการรายย่อยยังมีข้อจำกัดในการลงทุน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความรักษ์โลกมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ EIC มองว่า ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอาจกระตุ้นการใช้งานปูนซีเมนต์รักษ์โลก โดยหน่วยงานภาครัฐได้กำหนดมาตรฐานการก่อสร้างให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ทดแทนการใช้งานปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ทั่วไปแล้ว แต่อาจต้องส่งเสริมให้เกิดการใช้งานในภาคเอกชน และผู้บริโภครายย่อยควบคู่กันไป ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การนำค่าใช้จ่ายปูนไฮดรอลิกมาลดหย่อนภาษีสำหรับนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ซึ่งการใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความรักษ์โลกมากขึ้นจะช่วยส่งเสริมให้ภาคก่อสร้างมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามไปด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
แสนสิริ จัดงาน “Sansiri Let’s Make Everyday Better” ครั้งแรก! ของวงการอสังหาฯไทย กับ ไลฟ์สไตล์เฟสติวัลเพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุด
ครั้งแรก! ของวงการอสังหาฯไทย แสนสิริ จัดงาน “Sansiri Let’s Make Everyday Better” ไลฟ์สไตล์เฟสติวัล ของบริษัทอสังหาฯ เพื่อความยั่งยืนยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ชวนทุกคนมารู้จักกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของแสนสิริ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ร่วมเปลี่ยนโลกและสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ขึ้นได้ด้วยกันกับเรา ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเป็นรูปธรรมมาแล้วกว่า 5 ปี พบกัน 16-18 ธันวาคมนี้ เวลา 4 โมงเย็น – 1 ทุ่ม ณ แสนสิริ แบคยาร์ด พื้นที่สีเขียวใจกลางกรุงกว่า 15 ไร่ ที่ T77 Community คอมมูนีตี้สีเขียวต้นแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ที่ลูกบ้านและทุกคนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
พร้อมแท็กทีมกับกว่า 11 เหล่าพันธมิตรรักษ์โลก ชวนคุณมารู้จักกับพันธกิจความร่วมมือเพื่อความยั่งยืนกับแสนสิริ ด้วยการแสดงแนวคิด และสร้างแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดี ให้ดียิ่งขึ้นในทุกวัน อาทิ SCB, UNDP, GC, alt. eatery, freshket, โอ้ กะ จู๋, ไร่กำนัลจุล, Jones Salad, Passion Delivery ร้านต้นไม้ปองโย และ yindii
พบกับกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุดสนุกมากมายสอดแทรกความรู้ สะท้อนแนวคิดพันธกิจแสนสิริ กับความมุ่งมั่นเพื่อร่วมกันเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน
โซนแรก “Climate Care Space” รู้รักษ์โลกอย่างถูกวิธี
พบกับ The Polluted บอลลูนคาร์บอนยักษ์ ขนาดกว่า 10 เมตร ใจกลาง Sansiri Backyard สื่อถึงมลพิษมหาศาลที่เราทุกคนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม เทียบเท่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่โลกใบนี้เฉลี่ยกว่า 3.64 ตันคาร์บอนต่อคนต่อปี พร้อมเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันลดมลพิษ และเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ไปด้วยกัน SCB Sustainability Tree ต้นไม้สอดแทรกความรู้ บอกเล่าวิธีการพัฒนาและเส้นทางการขับเคลื่อนธุรกิจของธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตที่ยั่งยืน ตามหลัก SDGs Goal ของ UN และ ครั้งแรก! กับ “Drive-Thru Recycling Station” รู้ยังว่าขยะรีไซเคิล ต้องใส่ถังสีเหลือง จุดทิ้งขยะรีไซเคิลแบบไดรฟ์ ทรู ในความร่วมมือกับ YOUเทิร์น แพลตฟอร์มจัดการขยะของ GC ที่ช่วยให้ทุกคนจัดการขยะได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ ในงานยังมี UPTOYOU Pop-Up Store แบรนด์รักษ์โลก ขนสินค้าแฟชั่นและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุอัปไซเคิลมาจำหน่ายในราคาพิเศษด้วย สานต่อพันธกิจแคมเปญ waste to WORTH ของแสนสิริ ที่ทำมาแล้วอย่างเป็นรูปธรรมกว่า 3 ปี พบกับ waste to WORTH Installation โซนถังขยะสีสันสดใส สอดแทรกความรู้ทำความรู้จักประเภทขยะและแยกอย่างไรให้ถูกวิธี ที่จะทำให้เรื่องแยกขยะเป็นเรื่องสนุกมากขึ้น จดจำได้ง่ายขึ้น!
“SDGs Giant Jenga” โดย UNDP เกมวงล้อความยั่งยืน ทำความรู้จักกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ องค์กสหประชาชาติ UN Sustainable Development Goals (SDGs) ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
โซนที่สอง “I am Good Market & Eatery” ช้อปผลผลิต อาหารยั่งยืนจากฟาร์มผักนานาชนิด
- I am Good Grocery อุดหนุนผลผลิตสวยน้อยหน่อย อร่อยไม่ต่างจากเกษตรกรในราคามิตรภาพ
- I am Good Art Exhibition เพลิดเพลินกับศิลปะ ผลงานภายใต้ธีม ‘Save Food and Our World’
และร่วมอุดหนุนภาพเพื่อบริจาคเป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ และสมทบทุนแก่โครงการ Giving Mission เพื่อการเกษตรยั่งยืนโรงเรียนจังหวัดราชบุรี - I am Good Citizen เรื่องเล่า DO & DON’T การจัดการอาหารไม่ให้กลายเป็นขยะจากร้านดังมากมาย
- I am Good Eatery อิ่ม อร่อยกับ 10 ร้าน Plant-Based และร้าน (ใจ) รักษ์โลก
โซนที่สาม “Eco-workshop & Games” สนุกไปกับเวิร์คช็อป ลุ้นกิจกรรมรับรางวัลมากมาย เวิร์คชอบทำผลิตภัณฑ์สุดเก๋จากวัสดุรีไซเคิล และบูธ SCB Lucky สนุกกับกิจกรรมรับของรางวัล
มากไปกว่านั้นแสนสิริ ยังชวนคุณรู้จักกับ ‘Sansiri Tree Story’ กับความมุ่งมั่นในการปลูกและเก็บรักษาต้นไม้เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวในโครงการแสนสิริ และขานรับนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น กำแพงกรองฝุ่นของผู้ว่าฯกรุงเทพคุณ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พบกับ โซนสุดท้าย “Urban Farm Activities” กิจกรรม Plant Doctor by Pongyo คลีนิคต้นไม้
ให้คำปรึกษาการซื้อ และปลูกพันธ์ไม้ จากคุณหมอต้นไม้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งต้นไม้ดูดซับคาร์บอน, ต้นไม้ ฟอกอากาศ, ต้นไม้ปลูกในคอนโด พร้อมรับส่วนลด 10% เมื่อซื้อต้นไม้หรือนำกระถางต้นไม้มา รวมถึงสนุกกับกิจกรรมฟาร์มใจกลางเมือง เอาใจคนรักสัตว์และธรรมชาติ EGG Hunting เก็บไข่ไก่ Animal Feeding ให้อาหารน้องแกะ น้องแพะ, ปลา และเป็ดน้อย Butterflies House ชมบ้านผีเสื้อ Super Fresh Market บุฟเฟต์ เก็บผักสดออแกนิคไม่อั้น Cycle Juice Bar ปั่นรับน้ำผลไม้ และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับใครที่มางานนี้ สามารถใช้บริการรถ MuvMi รถยนต์ไฟฟ้าใน T77 ได้ รวมถึงมีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการสำหรับทุกๆคนที่มางานนี้ ร่วมกันรักษ์โลกไปกับเรา ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ FB : Sansiri Family
วันและเวลา : วันศุกร์ 16 – อาทิตย์ 18 ธันวาคม เวลา 16:00-19:00น.
การเดินทาง : สามารถจอดรถได้ที่ลานจอดรถ Visitor หน้าตึก C (สิริ แคมปัส) และลานจอดใต้ทางด่วน หรือ
ใช้บริการรถ MuvMi รถยนต์ไฟฟ้าใน T77
ขอบคุณข้อมูลจาก ryt9.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในกรอบที่กว้าง 34.50-35.20 บาทต่อดอลลาร์ตามคาด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.79 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในกรอบที่กว้าง (34.50-35.20 บาทต่อดอลลาร์) ตามที่เราได้ประเมินไว้ในต้นสัปดาห์
อย่างไรก็ดี หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งจะกดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงหรือแกว่งตัว sideways เงินบาทก็ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
การแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มชะลอลง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองทั้งในฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง บอนด์ รวมถึงสกุลเงินต่างๆ จนกว่าจะรับรู้ความชัดเจนของแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ เฟด ในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ
หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่จะสะท้อนภาพเงินเฟ้อดังกล่าวไม่ได้ชะลอตัวลงมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้นได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าว เราอาจเห็นเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น และอาจปรับตัวขึ้นเหนือโซนแนวต้านแถว 105 จุด (ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY)
ทั้งนี้ เราคงมองว่า เงินบาทจะไม่ได้ผันผวนอ่อนค่าไปมากนัก โดยยังคงมองแนวต้านสำคัญในโซน 35.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยซื้อสุทธิบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและบอนด์ระยะยาว ตามแนวโน้มการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์
รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก ส่วนในฝั่งผู้ประกอบการ บรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็ต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.60-34.80 บาท/ดอลลาร์
ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงมากขึ้นและแย่กว่าคาด ทั้งยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.3 แสนราย รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานอย่างต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.67 ล้านราย
ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมามั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและมีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปได้ไม่ไกลกว่าระดับ 5.00%-5.25% ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยมุมมองดังกล่าวได้ช่วยให้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกครั้ง และทำให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq กลับมาปรับตัวขึ้น +1.13% ส่วนดัชนี S&P500 ก็สามารถปิดตลาด +0.75%
ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป เคลื่อนไหวผันผวนและปรับตัวลงเล็กน้อย -0.17% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนัก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยุโรปเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมของธนาคารกลางหลัก อาทิ เฟด, ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ทำให้ผู้เล่นในตลาดยุโรปเลือกที่จะปรับลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลงบ้าง
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ (ASML +1.0%, Adyen +0.5%) หลังผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าในสัปดาห์หน้าบรรดาธนาคารกลางหลักอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ (ขึ้นดอกเบี้ย +0.50% จากที่เคยขึ้นครั้งละ +0.75% ในการประชุมครั้งก่อนๆ) ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มทยอยขายทำกำไรพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวบ้าง เพื่อรอลุ้นผลการประชุมของธนาคารกลางหลักในสัปดาห์หน้า ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว +4bps สู่ระดับ 3.48% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเฟดเดือนธันวาคม (วันพฤหัสฯ หน้า)
ทั้งนี้ เราประเมินว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นได้ ก็อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นรุนแรง และไม่น่าจะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับไปสู่ระดับ 4.00% ทำให้ ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวได้ ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อเตรียมปรับพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่เสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้กดดันให้ เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 104.8 จุด (หลุดจากโซนแนวรับสำคัญที่ 105 จุด อีกครั้ง)
การปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อยใกล้โซนแนวต้านแถว 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ทำให้ ราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้านได้ ซึ่งเรามองว่า การรีบาวด์ของราคาทองคำใกล้โซนแนวต้านดังกล่าว อาจทำให้มีผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำได้บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญ คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะสะท้อนสถานการณ์เงินเฟ้อ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึง คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ในระยะสั้นและระยะยาวในส่วนของ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) นั้นตลาดคาดว่า ความต้องการสินค้าที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมถึง ปัญหา Supply Chain ที่คลี่คลายลงไปมาก จะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าฝั่งผู้ผลิต โดย ดัชนี PPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 7.2% จาก 8.0% ในเดือนก่อนหน้าสะท้อนว่า แรงกดดันต่อเงินเฟ้อทั่วไปในส่วนราคาสินค้า (Goods Inflation) ก็มีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อในฝั่งการบริการ (Services Inflation) อาจยังคงอยู่ในระดับสูง หลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.5 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก
และดัชนีราคาภาคการบริการก็ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 70 จุด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาวจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment)ต้องระวังในกรณีที่ ดัชนี PPI ไม่ได้ชะลอลงตามคาด หรือเงินเฟ้อคาดการณ์กลับเร่งตัวขึ้น ก็อาจทำให้ตลาดพลิกกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและกลับสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้
ส่วนในฝั่งจีน ภาพเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาจะช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ โดยตลาดมองว่า เงินเฟ้อทั่วไปของจีน (CPI Inflation) จะชะลอลงสู่ระดับ 1.6% ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) สามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อพยุงเศรษฐกิจได้ หากปราศจากแรงกดดันเงินเฟ้อ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 34.65-34.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) จาดระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับสกุลเงินเอเชียในภาพรวม ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังเผชิญแรงเทขายต่อเนื่อง
หลังจากข้อมูลตลาดแรงงานออกมาอ่อนแอ (จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 62,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 1.67 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน) ซึ่งยิ่งหนุนความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มชะลอแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมสัปดาห์หน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.60-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ ทิศทางภาพรวมของสกุลเงินเอเชีย ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. ของจีน และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนธ.ค.(ขั้นต้น)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เมย์-กิ๊ฟ-วิว” ลุ้นชี้ชะตาเข้ารอบตัดเชือกขนไก่เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์
“เมย์” รัชนก อินทนนท์ , กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธารากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ ต้องไปลุ้นเข้าตัดเชือกต่อในศึกแบดมินตัน รายการ “เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ล ยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2022”
การแข่งขันแบดมินตันทัวร์นาเมนต์ใหญ่ รายการ “เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ล ยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2022” ซึ่งมีเงินรางวัลสูงที่สุด 1,500,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 54,000,000 บาท ที่ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพฤหัสฯที่ 8 ธ.ค. 65 เป็นการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มแมตช์ที่สอง
ประเภทหญิงเดี่ยว กลุ่มบี รอบแบ่งกลุ่มแมตช์ที่สอง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 7 ของโลก ลงสนามพบกับ เหอ บิงเจียว มือวาง 3 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลกจากจีน สำหรับสถิติในการพบกันของทั้งคู่ก่อนหน้านี้เคยพบกันมาทั้งหมด 6 ครั้ง เป็นทาง เหอ บิงเจียว ที่ทำผลงานได้เหนือกว่าเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะไปได้ 5 ครั้ง ล่าสุดในศึก โคเรีย โอเพ่น 2019 เหอ บิงเจียว เฉือนเอาชนะมาได้ 2-1 เกม
แมตช์นี้ เมย์ รัชนก เล่นได้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถทำแต้มในจังหวะสำคัญได้ พ่ายไป 0-2 เกม 17-21 และ 22-24 ใช้เวลาแข่งขัน 48 นาที ทำให้เมย์ รัชนก ชนะ 1 แพ้ 1 ยังต้องลุ้นเข้ารอบรอบรองชนะเลิศในแมตช์สุดท้ายที่จะพบกับ ไถ้ ซื่อหยิง จากไต้หวัน ในวันพรุ่งนี้
เมย์ รัชนก กล่าวหลังจบแมตช์นี้ว่า วันนี้เจ้าตัวเตรียมเกมการเล่นกับ เหอ ยิงเจียวมาโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าจะควบคุมตัวเองในการเล่นได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งวันนี้เล่นในรูปเกมที่ถนัดไม่ได้เลย จังหวะออกลูกหน้าไม้มันเลยผิดพลาดไป จะพยายามโฟกัสในแต่ละช็อตให้มากขึ้น จริงๆวันนี้พอใจการเล่นในระดับหนึ่ง แต่เหอ บิงเจียวเล่นในจังหวะสุดท้ายได้ดีกว่า
เมย์ กล่าวปิดท้ายว่า ส่วนแมตช์สุดท้ายกับ ไถ้ ชื่อหยิง นั้นซึ่งเป็นเป็นแมตช์ที่สำคัญมากๆ และมีผลต่อการเข้ารอบรองชนะเลิศโดยตรง ก็เล่นในรูปแบบปกติ ใครชนะก็เข้ารอบใครแพ้ก็ตกรอบไปเลย เป็นสิ่งที่วัดใจและต้องสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้เหมือนกัน
ส่วนผลการแข่งขันในกลุ่มเดียวกัน “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 10 ของโลก ลงสนามพบกับ ไถ้ ซื่อหยิง มือวาง 2 ของรายการ มืออันดับ 3 ของโลกจากไต้หวัน สำหรับสถิติในการพบกันของทั้งคู่ก่อนหน้านี้เคยพบกันมาทั้งหมด 16 ครั้ง เป็นทาง ไต้ จื่ออิง ที่ทำผลงานได้เหนือกว่าเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะไปได้ 13 ครั้ง ล่าสุดในศึก เดนมาร์ก โอเพ่น 2022 ไถ้ ซื่อหยิงเอาชนะมาได้ 2-0 เกม ในแมตช์นี้เกมการแข่งขันทาง บุศนันทน์ พยายามฮึดสู้กับความเหนือชั้นในการวางลูกของ ไถ้ ซื่อหยิง เอาไว้ไม่ได้พ่ายไปแบบสนุก 0-2 เกม20-22,16-21 ใช้เวลาแข่งขัน 44 นาที
“ครีม” บุศนันทน์ กล่าวหลังจบแมตช์นี้ว่า วันนี้พยายามเล่นในสิ่งที่เราแก้ไขมาจากแมตช์แรก ถือว่าทำได้ดีกว่าแมตช์แรกที่เล่นกับ พี่เมย์ รัชนก มากขึ้น ที่ทำให้คนมาชมในสนามสนุกไปกับมันด้วย ในส่วนตัว ครีม เองในเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ เป็นแมตช์ที่ยากและยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งการที่เราติด 1 ใน 8 มาแข่งขันถือว่าเป็นน่าภูมิใจมากกว่า เพราะแต่ละคนเล่นได้อย่างเขี้ยวและดีมากๆ การที่ได้มาเล่นในรายการระดับนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ซึ่งไม่มีใครได้มาเล่นรายการแบบนี้บ่อยครั้ง เรานำผลการแข่งขันในแมตช์ที่ผ่านๆมา ปรับปรุงฝึกซ้อมเพื่อเตรียมการแข่งขันในแมตช์ต่อๆไปดีกว่า เจ้าตัวกล่าวปิดท้ายว่า เราจะสามารถทำผลงานออกมาให้ดีที่สุดในแมตช์สุดท้าย
ประเภทหญิงคู่ กลุ่มเอ “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธารากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มืออันดับ 6 ของโลก ลงสนามพบกับ จอง นาอึน กับ คิม ฮเยจอง คู่มือวาง 1 ของรายการ คู่อันดับ 5 ของโลกจากเกาหลีใต้ สำหรับสถิติในการพบกันของทั้งคู่ก่อนหน้านี้เคยพบกันมาเพียงครั้งเดียว ในศึก อินโดนีเซีย มาสเตอร์ 2021 เป็นทาง จอง นาอึน กับ คิม ฮเยจอง ที่เอาชนะมาได้ 2-0 เกม
ในแมตช์นี้เกมการแข่งขันเป็นทางคู่ จอง นาอึน กับ คิม ฮเยจอง ที่ใช้เกมเร็วชิงจังหวะวางลูกเปิดเกมบุกได้อย่างเด็ดขาดทำคะแนนเอาชนะคู่สาวไทยไปได้ 2-0 เกม 21-14,21-12 ใช้เวลาแข่งขัน 37 นาที จงกลพรรณ กับ รวินดา ยังคงได้ลุ้นผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ถ้าสามารถเอาชนะ วิเวียน โฮ กับ ลิม ชิวเซียง คู่มืออันดับ 24 ของโลกจากมาเลเซีย คู่แข่งขันในแมตช์ที่สาม
ทั้งคู่ กล่าวหลังจบแมตช์นี้ว่า เราเล่นได้อย่างน่าผิดหวังมาก ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างเดิมไว้ได้ แมตช์สุดท้ายเป้นแมตช์ที่สำคัญสำหรับเราทั้งคู่ มันเป็นงานที่ยากแต่เราจะไม่เล่นให้กดดันตัวเองมากเกินไป และจะทำผลงานสำหรัลการแข่งขันในแมตช์สุดท้ายให้ได้ดีกว่าวันนี้อย่างแน่นอน ฝากแฟนแบดมินตันไทยมาให้กำลังใจกิ๊ฟ กับ วิว ได้ที่ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
สำหรับผลการแข่งขันคู่อื่นๆในรอบแบ่งกลุ่มแมตช์ที่สอง มีดังนี้ ประเภทชายเดี่ยว กลุ่มเอ : วิคเตอร์ อเซลเซ่น มือวาง 1 ของรายการ มืออันดับ 1 ของโลกจากเดนมาร์ก ชนะ โคไดอิ นาราโอกะ มืออันดับ 14 ของโลกจากญี่ปุ่น 21-5, 21-15 , ลู่ กวนซู มืออันดับ 17 ของโลกจากจีน ชนะ เอช.เอส.ปรานอย มือวาง 3 ของรายการ มืออันดับ 12 ของโลกจากอินเดีย 21-23,21-17,19-21 ,
วิคเตอร์ อเซลเซ่น ได้กล่าวหลังจบแมตช์นี้ว่า วันฟอร์มการเล่นดีมาก ค่อนข้างมีสมาธิอย่างแน่วแน่ เคลื่อนไหวร่างกายได้ค่อนข้างดี ผมค่อนข้างมีความสุข และภูมิใจในตัวเองเกี่ยวกับเกมส์ในวันนี้นั้นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผม ส่วน โคไดอิ เป็นผู้เล่นที่มีเทคนิคดีที่เดี่ยว คุณก็รู้ใช้มั้ย ถ้าคุณไม่ได้เล่นเต็มที่ ฉะนั้นผมต้องเล่นอย่างเต็มที่
ผมไม่ได้มีความลับอะไร ผมแค่ทำสำหรับตัวผม คุณรู้ใช้ไหมอะทุกๆคนต้องหาทางให้กับตัวเอง แล้วผมก็ต้องหาทางให้กับตัวเองด้วยเช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นไปได้ด้วยดี ผมค่อนข้าวมีความมั่นใจในตัวเอง ทั้งที่มีผู้เล่นหลายคน , ผมรักในการเล่นแบดมินตัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมค่อนข้างพอใจในเกมการเล่นอย่างสูดสุด 2 เกมแรก เป็นความรู้สึกที่ดี 100 % ในเกมการเล่น ดีไปทั้งหมด
จริงแล้วผมรักแฟนๆแบดมินตันในประเทศไทย ผมรักที่จะมาในประเทศไทย ผมรักที่จะมาเล่นที่นี้ ผมรักอาหารไทยผมมีความรู้สึกที่ดี และมีรู้สึกที่ดีที่ได้พาครอบครัวมาเมืองไทย ทุกคนมีความสุขที่ได้มาเมืองไทย โดยรวมแล้วทั้งหมดดีหมดเลย
ทั้งคู่ กล่าวหลังจบแมตช์นี้ว่า เราเล่นได้อย่างน่าผิดหวังมาก ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างเดิมไว้ได้ แมตช์สุดท้ายเป้นแมตช์ที่สำคัญสำหรับเราทั้งคู่ มันเป็นงานที่ยากแต่เราจะไม่เล่นให้กดดันตัวเองมากเกินไป และจะทำผลงานสำหรัลการแข่งขันในแมตช์สุดท้ายให้ได้ดีกว่าวันนี้อย่างแน่นอน ฝากแฟนแบดมินตันไทยมาให้กำลังใจกิ๊ฟ กับ วิว ได้ที่ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
สำหรับผลการแข่งขันคู่อื่นๆในรอบแบ่งกลุ่มแมตช์ที่สอง มีดังนี้ ประเภทชายเดี่ยว กลุ่มเอ : วิคเตอร์ อเซลเซ่น มือวาง 1 ของรายการ มืออันดับ 1 ของโลกจากเดนมาร์ก ชนะ โคไดอิ นาราโอกะ มืออันดับ 14 ของโลกจากญี่ปุ่น 21-5, 21-15 , ลู่ กวนซู มืออันดับ 17 ของโลกจากจีน ชนะ เอช.เอส.ปรานอย มือวาง 3 ของรายการ มืออันดับ 12 ของโลกจากอินเดีย 21-23,21-17,19-21 ,
ประเภทชายเดี่ยว กลุ่มบี : แอนโทนี่ ซูนิซุกะ กินติ้ง มืออันดับ 7 ของโลกจากอินโดนีเซีย ชนะ โจว เทียนเฉิน มือวาง 2 ของรายการ มืออันดับ 4 ของโลกจากไต้หวัน 21-14,12-21,21-19 , โจนาธาน คริสตี้ มือวาง 4 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลกจากอินโดนีเซีย ชนะ โลว เคียงยิว มืออันดับ 3 ของโลกจากสิงคโปร์ 16-21,22-20,21-10
ประเภทคู่ผสม กลุ่มเอ : เจิ้ง ซีเว่ย กับ หวง ย่าเฉียง คู่มือวาง 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 3 ของโลกจากจีน ชนะ รินอฟ รีวัลดรี้ กับ พิตต้า ฮานินยาท เมนทารี่ คู่มืออันดับ 13 ของโลกจากอินโดนีเซีย 21-9 , 22-20 , ทอม กีเซล กับ เดลฟิน เดอรูร์ คู่มืออันดับ 10 ของโลกจากฝรั่งเศส ชนะ โก๊ะ ซุนฮวด กับ เชวอน เจมี่ไล คู่มือวาง 4 ของรายการ คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากมาเลเซีย 16-21, 21-18,21-17
ประเภทชายคู่ กลุ่มบี : โมฮาเหม็ด อาซาน กับ เฮนดร้า เซทเทียวาน คู่มือวาง 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลกจากอินโดนีเซีย ชนะ คิม แอสทรุ๊ป กับ แอนเดรส ราสมุสเซน คู่มืออันดับ 5 ของโลกจากเดนมาร์ก 21-13 , 21-12 , หลิว ยู่เฉิน กับ อู๋ ซวนยี่ คู่มือวาง 4 ของรายการ คู่มืออันดับ 11 ของโลกจากจีน ชนะ อารอน เชี๊ยะ กับ โซว วูยิค คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากมาเลเซีย 23-21,22-24,21-16
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตรวจ ATK แล้วได้ผลบวกลวง-ผลลบลวง เกิดจากอะไร?
การตรวจหาเชื้อโควิด-19 นั้นจะมีผลออกมาสองแบบคือ บวกที่หมายถึงพบเชื้อและลบที่หมายถึงไม่พบเชื้อ แต่การตรวจด้วย ATK หรือ Antigen Test Kit นั้นบางครั้งอาจจะเกิดผลลวง ผลปลอมขึ้นมาได้เนื่องจากปัจจัยต่างๆ
ผลบวกปลอม (False Positive)
เมื่อตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR แล้วไม่ได้ติดเชื้อ แต่ชุดตรวจแอนติเจนแบบเร็ว (Antigen Test Kit) แสดงผลการทดสอบเป็นบวก
สาเหตุ
- การปนเปื้อนจากพื้นที่ที่ทำการทดสอบลงบนอุปกรณ์ที่ใช้
- การติดเชื้อไวรัสหรือจุลชีพอื่นๆ
- ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีทดสอบไม่ถูกต้อง เช่น อ่านผลเกินเวลาที่กำหนด
- สภาพสิ่งส่งตรวจไม่เหมาะสม
- ชุดตรวจไม่ได้มาตรฐาน
ผลลบปลอม (False Negative)
เมื่อตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR แล้วติดเชื้อ แต่ชุดตรวจแอนติเจนแบบเร็ว (Antigen Test Kit) แสดงผลการทดสอบเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)
สาเหตุ
- เพิ่งติดเชื้อในระยะแรก ร่างกายจึงยังมีปริมาณเชื้อไวรัสต่ำ
- การเก็บสิ่งส่งตรวจไม่ถูกต้อง
- ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีทดสอบไม่ถูกต้อง เช่น ไม่อ่านผลในช่วงเวลาที่กำหนด ปริมาณตัวอย่างที่หยดไม่เป็นไปตามที่กำหนด
คำแนะนำจากแพทย์
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 และมีอาการเล็กน้อย หากผลตรวจไม่พบเชื้อ ให้ตรวจซ้ำ 3-5 วันถัดมา ระหว่างนี้ให้แยกกักตัว หากมีอาการรุนแรง ควรไปสถานพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานซ้ำอีกครั้ง
ATK กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ยังไงก็ควรรู้เพื่อเป็นข้อมูลแก่ตัวเองและผู้อื่นและก็อย่าลืม ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างกันด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
หลักการใช้ Present Simple Tense ที่ไม่ควรพลาดอีกต่อไป
เชื่อว่าเพื่อนๆ ต้องเรียน Present simple tense เป็น tense แรกๆ แน่นอนสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งวันนี้เรามาเจาะลึกกับ Tense ที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับ Tense อื่นๆ ให้เราไม่พลาดในเรื่องง่ายๆ
โครงสร้าง Present Simple Tense
Present Simple Tense มีโครงสร้างประโยคที่ง่ายที่สุดแล้วคะ เพียงแต่ต้องระวังการเติม s หรือ es ท้ายกริยาเท่านั้นเอง โดยมีวิธีจำง่ายๆ คือ
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ – เติม s หรือ es ท้ายคำกริยา
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ – ไม่ต้องเติมอะไรท้ายคำกริยา
เราจะใช้ Present Simple Tense เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันในลักษณะต่อไปนี้
1. ใช้พูดถึงความจริงในชีวิตประจำวัน หรือความจริงตามธรรมชาติ
ตัวอย่าง
- I live in Bangkok
- ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพ
- We eat rice.
- พวกเราทานข้าว
- Water freezes at zero degrees
- น้ำค้างมีความเย็นที่ถูกแช่แข่งอยู่ที่ 0 องศา
2. ใช้พูดถึงนิสัย และการกระทำที่เป็นกิจวัตรประจำวัน
โดยเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เป็นประจำ มักจะมีคำวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency)
- always เป็นประจำ สม่ำเสมอ
- never ไม่เคย
- habitually ทำประจำจนเป็นนิสัย
- hardly แทบจะไม่เคย
- often บ่อยๆ
- rarely แทบจะไม่เคย
- frequently บ่อยๆ
- scarcely แทบจะไม่เคย
- sometimes บางครั้ง
- barely แทบจะไม่เคย
- naturally โดยปกติแล้ว
- seldom นานๆครั้ง
- usually โดยปกติ
- infrequently นานๆ ครั้ง
การใช้ควบคู่กับช่วงระยะเวลาหรือจำนวนครั้งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ต่างๆ เช่น every week, once a day, twice a month เป็นต้น
มาดูตัวอย่างกัน
- He usually gets up late on Sunday.
- ปกติแล้วเขามักจะตื่นสายในวันอาทิตย์
- She hardly ever hands in her homework on time.
- เธอแทบจะไม่เคยส่งการบ้านตรงเวลาเลย
3. ใช้พูดถึงความชอบ ( Preference ) หรือเมื่อแสดงความคิดเห็น ( Comments )
ตัวอย่าง
- Kate likes to eat sushi.
- เกดชอบทานซูชิ
- We think that’s a good idea.
- พวกเราว่ามันเป็นความคิดที่ดีนะ
4. ใช้พูดถึงตารางเวลา (Timetable)
ตัวอย่าง
- The restaurant opens at 7 a.m. and closes around 8 p.m.
- ร้านอาหารเปิดตอน 7 โมงเช้า และปิดตอน 2 ทุ่ม
- The flight arrives at the airport every 2 hours.
- เที่ยวบินจะถึงสนามบินทุกๆ 2 ชั่วโมง
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ลืมตาอ้าปาก’ แก้รายได้ภาคเกษตรด้วย AgriTech -กลยุทธ์การพัฒนาเชิงคลัสเตอร์
SCB EIC ชูAgriTech “โดรนทำเกษตร- ระบบดิจิทัล-แพลตฟอร์มเกษตรดิจิทัล –เทคโนโลยีการเงิน”และการพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ มีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากภาคเกษตรราว 9.4 แสนล้านบาท ภายในปี 2030
“…การพัฒนาที่เหมาะกับประเทศไทยเรา ก็คือจะต้องทำนุบำรุงเกษตรกรรมทุกสาขาให้พัฒนาก้าวหน้าเพื่อยกระดับฐานะของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้สูงขึ้น อันจะส่งผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศมีความเข้มแข็งมั่นคงขึ้นด้วย…” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ 24 กรกฎาคม 2541
รายได้ของครัวเรือนเกษตรในภาคเกษตรกำลังเติบโตแบบ “อ่อนแรงลง”
ครัวเรือนเกษตรพึ่งพารายได้มาจากทั้งการทำการเกษตรและการทำงานนอกภาคเกษตร โดยในช่วงปี 1990 – 2001 พบว่ารายได้จากภาคเกษตรเติบโตในระดับที่สูงถึง 7.0% ต่อปี แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2001 – 2010 ระดับการเติบโตปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 5.9% ต่อปี และลดลงต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 2.9% ต่อปี
ในช่วงปี 2010 – 2020 สวนทางกับการเติบโตของรายได้นอกภาคเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งรายได้ที่เติบโตช้าลงดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเนื้อที่ทำการเกษตรของไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าสู่แรงงานสูงอายุ รวมไปถึงผลผลิตต่อไร่และราคาผลผลิตที่เกษตรกรได้รับที่อยู่ในระดับทรงตัว
รายได้ภาคเกษตรที่เติบโตลดลง เป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของอุตสาหกรรมเกษตรในระยะข้างหน้า
อุตสาหกรรมเกษตรไทยจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือการปรับการผลิตให้มีความยั่งยืน โดยความสามารถในการปรับตัวของเกษตรกรต้นน้ำ คือหัวใจสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า อุตสาหกรรมเกษตรไทยจะสามารถปรับตัวได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี รายได้ภาคเกษตรที่เติบโตแบบ “อ่อนแรงลง” กำลังฉุดรั้งความสามารถในการปรับตัวของครัวเรือนเกษตร เนื่องจากครัวเรือนที่ยังคงมีปัญหาหนี้สิน จะขาดแรงจูงใจและศักยภาพในการลงทุนเพื่อปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3 แนวทางสำคัญในการเพิ่มรายได้จากภาคเกษตรให้ครัวเรือนเกษตรไทย
การเพิ่มรายได้จากภาคเกษตรให้ครัวเรือนเกษตรไทย สามารถทำได้ผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. การเพิ่มปริมาณผลผลิต ผ่านการยกระดับผลผลิตต่อไร่
2. การปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูง และ
3. การยกระดับราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรได้รับ
ประยุกต์ใช้ AgriTech เพื่อเพิ่มผลผลิตและราคาที่เกษตรกรได้รับ
AgriTech หรือเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการฟาร์ม ตั้งแต่การเพาะปลูก ไปจนถึงการตลาด โดย SCB EIC พบว่า ตัวอย่าง AgriTech ที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการช่วยยกระดับผลผลิตและราคาที่เกษตรกรได้รับในไทย ประกอบด้วย การใช้โดรนทำการเกษตร (Drone farming) การส่งเสริมการเกษตรผ่านระบบดิจิทัล (Digital agricultural extension) แพลตฟอร์มเกษตรดิจิทัล (Digital agriculture platform) และเทคโนโลยีการเงินสำหรับเกษตร (Agri-Fintech)
ปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่พืชมูลค่าสูง ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาเชิงคลัสเตอร์
ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เช่น ผักและผลไม้ กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพและการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชากร แต่อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยยังไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาดสินค้าเกษตรมูลค่าสูงมากนัก เนื่องจากยังมีขีดจำกัดในการผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพสูงตามที่ตลาดต้องการ
โดยกลยุทธ์การพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ ซึ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแนวนอนและแนวดิ่งของผู้เล่นในห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตรและองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่หนึ่งๆ จะสามารถช่วยให้เกษตรกรและผู้แปรรูปสินค้าเกษตรเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรมูลค่าสูงได้ ผ่านกลไกการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูล และกลไกการทำงานร่วมกัน (Collective actions) ซึ่ง SCB EIC พบว่า แนวทางดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาเกษตรมูลค่าสูงในหลายประเทศ
ศักยภาพการเพิ่มรายได้ของ AgriTech และกลยุทธ์การพัฒนาเชิงคลัสเตอร์
SCB EIC พบว่า AgriTech และการพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ มีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากภาคเกษตรราว 9.4 แสนล้านบาท ภายในปี 2030 โดยกว่า 7.4 แสนล้านบาท เป็นผลจากการปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่พืชมูลค่าสูง ในขณะที่การเพิ่มปริมาณผลผลิตจะมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้เพียง 1.9 แสนล้านบาท
เนื่องจากการเพิ่มปริมาณผลผลิตจะทำได้อย่างจำกัด ตามความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรในปี 2030 ในขณะที่การเพิ่มราคาจะมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้จากภาคเกษตรราว 0.2 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อนำศักยภาพในการเพิ่มรายได้มาหารเฉลี่ยต่อครัวเรือน จะพบว่า ภายในปี 2030 รายได้ครัวเรือนเกษตรจากภาคเกษตรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 67.2% เมื่อเทียบกับปี 2020
การใช้ AgriTech และกลยุทธ์การพัฒนาเชิงคลัสเตอร์ให้ประสบความสำเร็จ
การส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้ AgriTech อย่างแพร่หลายในไทย ถือเป็นเรื่องที่มีความท้าทายอย่างมาก ทั้งในระดับของเกษตรกรและผู้ให้บริการ AgriTech โดยจากประสบการณ์ในต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่า การส่งเสริมให้เกิดการใช้ AgriTech อย่างแพร่หลาย จะต้องมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1.การส่งเสริมให้มีผู้ให้บริการด้าน AgriTech แก่เกษตรกร แทนการให้เกษตรกรครอบครองเทคโนโลยีเอง
2.การใช้บริการ AgriTech จะต้องก่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรอย่างชัดเจน กล่าวคือ ผู้ให้บริการ AgriTech จะต้องมีตัวชี้วัด ที่ทำให้เกษตรกรเห็นว่า การใช้บริการ AgriTech สามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้จริง
3. จะต้องมีคนกลาง ในพื้นที่ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเกษตรคอยช่วยสนับสนุนการใช้ AgriTech แก่เกษตรกร สำหรับการพัฒนาคลัสเตอร์เกษตรมูลค่าสูงให้ประสบความสำเร็จนั้น SCB EIC พบว่า คลัสเตอร์เกษตรมูลค่าสูงที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ มีคุณลักษณะร่วมกันหลายประการ
เช่น สินค้าเกษตรมูลค่าสูงส่วนใหญ่จะเน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยมีความเป็นผู้ประกอบการ มีการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรอยากเข้าร่วมในคลัสเตอร์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการพัฒนาคลัสเตอร์ เป็นต้น
ภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคมจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยยกระดับรายได้ภาคเกษตร
ภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ให้บริการ AgriTech แก่เกษตรกร รวมถึงมองหาโอกาสใหม่ ๆในการนำเกษตรกรไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรมูลค่าสูงในตลาดโลก ในขณะที่ภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรมีการหันมาใช้ AgriTech เข้าร่วมในคลัสเตอร์และปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกบางส่วนไปปลูกพืชมูลค่าสูง
ส่วนภาคประชาสังคม จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เกษตรกรเกิดความตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของ AgriTech และการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันจนสามารถยกระดับรายได้จากภาคเกษตรได้ ก็จะช่วยยกระดับรายได้ครัวเรือนในชนบท ช่วยสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับสังคมไทย และช่วยให้อุตสาหกรรมเกษตรไทยสามารถเติบโตไปกับโลกใหม่ได้อย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Early BKK Café คาเฟ่รักษ์สิ่งแวดล้อมจากวัสดุรีไซเคิล ที่เข้าถึงได้ง่ายทั้งคนและสัตว์เลี้ยง
จากความตั้งใจแรกเริ่มที่ต้องการสร้าง Community Café แบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในบริเวณหมู่บ้านของคุณเคฑิตา ชัยศักดิ์ศิริเอง นำมาสู่ Early BKK คาเฟ่ที่ใช้วัสดุ recycle และยังเป็น neighborhood café ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งเหล่าสัตว์เลี้ยง ออกแบบโดย space+craft
การจัดการขยะถือเป็นปัญหาหนึ่งทางสิ่งแวดล้อม Early BKK Café จึงมุ่งเน้นที่ต้องการลดการใช้ขยะด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิลและ green concept สำหรับอาการออกแบบ
space+craft ทำการศึกษาเกี่ยวกับวัสดุที่ทำจากขยะที่สามารถนำมาใช้งานในการออกแบบครั้งนี้ พบว่าขยะส่วนมากในชุมชนที่สามารถนำมารีไซเคิลและใช้ใหม่ได้ คือขยะประเภทบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กล่องนมและขวดแก้ว ทั้งสองจึงกลายเป็นวัสดุหลักที่จะใช้ในการออกแบบ
“Re-board” บอร์ดจากกล่องนม
เริ่มจาก “Re-board” วัสดุซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายไม้อัดที่นำมาใช้เป็นบานประตู ผนัง ฝ้าเพดานรวมทั้งโต๊ะและเก้าอี้ re-board คือบอร์ดที่ทำจากกล่องนมที่นำมาตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วอัดใหม่เป็นแผ่น โดยเลือกสีเป็นโทนสีส้มและโทนสว่าง
นวัตกรรมจากขวดเบียร์
อีกหนึ่งวัสดุหลักที่นำมาใช้ก็คือขวดเบียร์ โดยจะนำขวดหลายรูปแบบจำนวน 600 ขวด มาเรียงกันตามโครงสร้างของเหล็ก ขวดเหล่านี้ทำให้เกิดการสะท้อนแสงและเงาในระหว่างวันทำให้พื้นที่ภายในคาเฟ่ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ขวดเบียร์ที่ใช้แล้วถูกนำมาทำให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำมาผสมกับวัสดุอื่น ๆ เพื่อทำเคาน์เตอร์เทอร์ราซโซ (Terrazzo) และพื้นห้องน้ำ รวมทั้งการปั๊มขวดลงไปในผนังคอนกรีตทำให้เกิดผนังที่มีลวดลายและพื้นผิวที่น่าสนใจเรียกว่า “Bottles fossil wall” นอกจากนี้ยังมีถังน้ำมันเหล็กเคลือบสังกะสีที่ถูกนำมาให้เป็นเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าและใช้ขวดแก้วเป็นลูกบิดประตู
พื้นที่สำหรับคนทุกเพศทุกวัย
ทางเข้าออกของร้าน Early BKK เป็น “คอร์ตยาร์ต” สูง double space และมีต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง พื้นที่ชั้น 1 เป็นส่วนของบาร์กาแฟประกอบด้วยเครื่องทำกาแฟและสโลว์บาร์ มี refill station สำหรับขายผลิตภัณฑ์รีฟิล, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกาแฟ, ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงและเสื้อผ้ามือสองอยู่ทางด้านหลังบาร์กาแฟ ส่วนชั้น 2 เป็นส่วนของที่นั่งทั้งหมดออกแบบให้มีหน้าต่างบานใหญ่ทั้งสองด้านให้สามารถระบายอากาศได้ดี โดยพื้นที่ส่วนนี้ออกแบบมาเพื่อการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายและสามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องสำหรับการเวิร์คช็อปได้อีกด้วย
การบริหารจัดการของ Early BKK อยู่บนพื้นฐานของ green and sustainable concept ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการไม่ใช้หลอดหรือแก้วพลาสติก หรือการลดราคาสำหรับลูกค้าที่นำแก้วมาเอง รวมถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าหลักของร้าน
ด้วยความมุ่งเน้นที่ต้องการลดการใช้ขยะและลดการสร้าง Carbon footprint ทำให้ Early BKK เป็นงานที่สร้างแรงบันดาลใจในการนำวัสดุเหลือใช้มารีไซเคิลใหม่ให้เป็นวัสดุที่น่าสนใจและสามารถนำมาใช้ในการออกแบบได้ “ผู้คนอาจมาที่นี่เพื่อดื่มกาแฟ แต่จะกลับไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับขยะและแนวคิดเกี่ยวกับการ recycle ” เพราะเชื่อว่าความตั้งใจเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นได้ Early BKK คาดหวังที่จะเป็น
ส่วนเล็ก ๆ ของการสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม
Interior Designers: space+craft
Area: 120 m²
Year: 2022
Photographs: Thanapol Jongsiripipat
Manufacturers: Lamptitude, APK Brick, MR.KEN
Structural Design: AWDC
Contractors: IC96 Studio
Architects & Interior Designers: Sathika Jienjaroonsri, Noppachai Akayapisud
Interior Designer: Paranee Raweenipa
Architect: Natthapat Lothaisong
Structure Engineer: Aphichart Wongdee
City: Bangkok
Country: Thailand
ภาพและข้อมูลจาก
https://www.archdaily.com/992531/early-bkk-cafe-spacecraft?ad_source=search&ad_medium=projects_tab
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 9/12/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,450.00 | 29,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,908.00 | 28,925.28 | 30,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,717.20 | 26,032.75 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,526.40 | 23,140.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 859.00 | 13,022.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 668.00 | 10,126.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,977.00 | 29,971.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 9/12/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.45 | 34.45 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.45 | 34.45 | 34.45 | 34.75 | 34.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.18 | 34.18 | 34.48 | 34.48 | 34.48 | 34.18 | 34.18 | 34.18 | 34.48 | 34.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.74 | 32.74 | 33.04 | 33.04 | 33.04 | – | 32.74 | 32.74 | 33.04 | 32.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.39 | 32.39 | – | – | – | – | – | – | – | 32.39 |
เบนซิน 95 | 41.86 | – | – | – | 42.61 | – | 42.36 | 42.31 | – | 41.86 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.54 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 35.54 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | – | 35.54 | – | 34.94 | 34.94 | 33.04 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.26 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |