ผ่าอนาคต ‘อสังหาฯ’ ปี 66 รายใหญ่ เดินหน้ากินรวบตลาดทั่วประเทศ
ภาคอสังหาฯ ที่ยังเผชิญกับปัจจัยลบหลายแง่ ได้สร้างความกังวลให้กับผู้พัฒนา โดยเฉพาะผู้พัฒนาที่สายป่านสั้น มีความเชื่อมั่นต่ำ ในด้านผลประกอบการ ยอดขาย การเปิดโครงการใหม่ และการจ้างงาน จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าจ้างแรงงาน และค่าโสหุ้ยธุรกิจ
ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกปี 2566 โดย 1 ในเทรนด์ที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ คาดการณ์ ปีนี้ ธุรกิจจำนวนมากอาจล้มละลาย เนื่องด้วยมรสุม อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ,ต้นทุนแพง ขณะการใช้จ่ายของผู้บริโภคน้อยลง
เจาะภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยนั้น ถูกจับตามองถึงความอยู่รอดปลอดภัยอีกครั้ง จากกระแสข่าว ผู้พัฒนาอสังหาฯรายหนึ่ง ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก เบี้ยวนัดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ ให้แก่นักลงทุนเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท แม้ภายหลัง สมาคมตราสารหนี้ไทย จะออกมาระบุ เป็นสถานการณ์วิกฤติรายกรณี ภาพรวมยังไม่เกิดปัญหา แต่ยอมรับว่า เห็นแนวโน้มความเสี่ยง โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯรายเล็ก ที่มักระส่ำระส่าย เจอโจทย์ยาก เมื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจไม่ดี
รายใหญ่ครองสัดส่วนตลาดที่อยู่อาศัย
เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของผู้พัฒนาอสังหาฯ โดยข้อมูลรวบรวมของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ก็มีความสอดคล้อง พบว่า ภาคอสังหาฯที่ยังเผชิญกับปัจจัยลบหลายแง่ ได้สร้างความกังวลให้กับผู้พัฒนา โดยเฉพาะผู้พัฒนาที่สายป่านสั้น มีความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้าค่อนข้างต่ำ ในด้านผลประกอบการ ยอดขาย การเปิดโครงการใหม่ และการจ้างงาน ซึ่งมาจากภาวะทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าจ้างแรงงาน และค่าโสหุ้ยในการประกอบธุรกิจ ที่ยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า แม้ดัชนีรวม จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ก็ตาม
“ฐานเศรษฐกิจ” เจาะข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาด และคาดว่า ในปี 2566 จะถูกตอกย้ำมากขึ้น ถึงการล้มหายตายจากของผู้พัฒนาฯที่มีปัญหาสภาพคล่อง
จากสัดส่วนของผู้พัฒนารายใหญ่ที่ค่อยๆ กินรวบในตลาด โดยข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ 25,758 หน่วย และ การเปิดตัวโครงการใหม่ (กทม.-ปริมณฑล) ทั้งหมด 24,112 หน่วย มูลค่า 147,276 ล้านบาท นั้น มาจากสัดส่วนของผู้พัฒนารายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะผู้พัฒนารายเล็กลดลง อยู่ที่ 79.7% ต่อ 20.3% ตามลำดับ ซึ่งสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากไตรมาสที่ 2 ที่อยู่ 73.2% ต่อ 26.8% โดยเฉพาะในตลาดแนวราบ กลุ่มบ้านเดี่ยว ที่รายใหญ่กินพื้นที่ตลาดในแง่ซัพพลายใหม่ มากถึง 86.5% อาจสะท้อนถึงความอ่อนแอ และไม่เชื่อมั่นผู้กำลังซื้อผู้บริโภค ในกลุ่มผู้พัฒนานอกตลาด
รายใหญ่บุกหนัก ‘ออริจิ้น’ เคลื่อนทัพสู่ ตจว.
อย่างไรก็ดี เมื่อไปจับทิศทางการเคลื่อนไหวของผู้พัฒนารายใหญ่ระดับท็อปของตลาด พบความเชื่อมั่นสวนทาง และมองว่าเต็มเปี่ยมเป็นด้วยโอกาส โดยนาย พีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย คาดการณ์ไว้ว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดฯ ในปี 2566 จะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้สมมุติฐาน ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี ทั้งจากการคลี่คลาย COVID-19 ,การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ และ การเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ ทั้งหมดจะส่งผลให้ จีดีพีไทย โตได้ 4-5% ดันให้’กำลังซื้อ’ของผู้บริโภค ในตลาดอสังหาฯ มีโอกาสกลับมาเติบโตในทุกเซ็กเมนต์
ตอกย้ำด้วยแผนธุรกิจของนายพีระพงศ์ ซึ่งสวมหมวกอีกใบ ในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ย้อนไป เมื่อปี 2565 ออริจิ้น ขึ้นแท่นเป็น เจ้าตลาดคอนโดฯ ด้วยจำนวนโครงการเปิดใหม่มากสุดราว 2.86 หมื่นล้านบาท ขณะแนวโน้ม ปี 2566 มีกระแสข่าวว่า ออริจิ้น เตรียมทำสถิติใหม่ในแง่การเปิดโครงการใหม่เช่นกัน
‘ฐานเศรษฐกิจ’ เจาะ ‘แหล่งข่าว’ ของออริจิ้น ได้รับคำยืนยันว่า ปีนี้ ออริจิ้น จะขยับทั้งองคาพยพ ไม่ใช่แค่คอนโดฯ แต่เคลื่อนทัพโครงการอสังหาฯ ทั้ง บ้าน ,คอนโดฯ และ โรงแรม ไปสู่ตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก โดยเป็นการขยายขอบเขตจาก ตลาดคอนโดฯ กทม. และ อสังหาฯเพื่อการลงทุน พื้นที่ยุทธศาสตร์เดิม อีอีซี ไปสู่เมืองท่องเที่ยวใหม่ๆ และ หัวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น อุดรธานี ,ขอนแก่น ,ภูเก็ต และ เชียงใหม่ เป็นต้น เป็นแผนพัฒนาที่มีที่ดินรองรับแล้วทั้งหมด คาดไม่ต่ำกว่า 40 โครงการ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยังไม่นิ่ง และไม่นับรวมกับจำนวนที่ดินที่อยู่ระหว่างการศึกษา ภายใต้กระแสข่าว ว่าออริจิ้น จะเปิดอสังหาฯใหม่มากถึง 60 โครงการในปีนี้นั้น ให้รอติดตาม
คาด ‘เอพี’ โค่นแชมป์ตัวเอง
อีกบริษัทใหญ่ที่ต้องจับตามองมากที่สุด กับ สเต็ปการต่อยอดความสำเร็จ ของบมจ.เอพี ไทยแลนด์ หลังจากเมื่อปี 2565 สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ด้วยสถิติ การเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่เปิดตัวโครงการมากที่สุดในอุตสาหกรรมกว่า 7 หมื่นล้านบาท และมาพร้อมกับยอดขายสูงสุด ที่คาดว่าทั้งปีจะคว้าไปได้มากกว่าเป้าหมาย 5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งหากพิจารณาจากกลยุทธ์ และ เป้าหมายการเติบโต คาด ปี 2566 เอพี คงไม่เปิดโครงการต่ำกว่า 65 โครงการที่เคยทำไว้แน่ๆ ประเมิน ยังคงเร่งเครื่องการปูพรมแนวราบในภูมิภาคเป็นหลัก ผ่านแบรนด์ ‘อภิทาวน์’ ควบคู่การขยายทำเลเชื่อมต่อ กทม. ในเขต ปริมณฑล ในแบรนด์หลัก โดยเฉพาะการใช้แบรนด์ใหม่ อย่าง PLENO TOWN และ MODEN เจาะตลาด เซกเม้นท์ ECONOMY ของทาวน์โฮม และ บ้านเดี่ยว พร้อมๆกับ การทะลวง กลุ่มบ้านระดับบน ส่ง ‘บ้านกลางเมือง’ 8-25 ล้านบาท กินรวบ ยืนหนึ่งตลาดแนวราบต่อเนื่อง ที่สำคัญ การกลับมาผงาดในตลาดคอนโดฯ ที่นำแบรนด์ ASPIRE มานำร่องเขย่าตลาดทิ้งทวนไว้เมื่อปลายปี 2565 ภายใต้ความเชื่อมั่นของหัวเรือคนสำคัญ ‘วิทการ จันทวิมล’ ที่เคยระบุไว้ ดีมานด์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค จะเอาชนะ ความท้าทายของเศรษฐกิจได้
ศุภาลัย มองบวก ศก.หนุนอสังหาฯ
ขณะ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย เชื่อมั่นแรงบวกทางเศรษฐกิจ จะสนับสนุนการเติบโตของอสังหาฯ โดยคาด ปี 2566 จะเป็นปีที่ภาพรวมของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น มีการคาดการณ์ชาวต่างจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวที่ดีมากขึ้น ถึงแม้มาตรการ LTV จะไม่ผ่อนคลายแล้วก็ตาม บริษัทฯ ยังเชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยมากนัก และเชื่อว่าบรรยากาศซื้อขายอสังหาฯ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนยังคงคึกคักไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา
สำหรับ บมจ.ศุภาลัย เป็นบริษัทรายใหญ่ที่สร้างผลงานโดดเด่นเบอร์ต้นในอุตสาหกรรม ทั้งรายได้และส่วนกำไร ในปี 2565 โดย ณ สิ้น ต.ค. พบมีกำไรมากกว่า 6 พันล้านบาท คาดปีที่ผ่านมา จะทุบสถิติต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ทำรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 3 ทศวรรษ (ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา) โดยคาด การบุกตลาดแนวราบ พื้นที่ ภูมิภาคในหัวเมืองเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการคอนโดฯ รองรับการลงทุนในเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ยังคงจะเป็นกุญแจสำคัญสร้างความเติบโตของศุภาลัยในปีนี้
กสิกร – REIC มองสวน คาดตลาดหดตัว
ทั้งนี้ สำหรับแรงบวกของอสังหาฯในช่วงปี 2566 คือ การที่รัฐต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยมือ 1 และมือ 2 ที่มีระดับราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกินมูลค่า 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาทอีก 1 ปี (ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 66) ซึ่งแม้มีการลดหย่อนน้อยลงบางเงื่อนไขหากเทียบกับปี 65 แต่ก็เป็นแรงหนุนให้ผู้พัฒนาฯ มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จริงอยู่ การต่ออายุมาตรการดังกล่าวยังคงเป็นหนึ่งปัจจัยหนุนตลาดที่อยู่อาศัยในระยะข้างหน้า แต่คาด ตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2566 ยังอยู่ท่ามกลางแรงกดดัน จากความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค
สอดคล้องการประเมินของ REIC ที่คาดว่า ภายใต้กรอบตลาด ได้รับแรงกดดัน จากการกลับมา บังคับใช้มาตรการ LTV ตั้งแต่ 1 ม.ค.2566 อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยคาดว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 คาดว่าจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 98,581 หน่วย มูลค่า513,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% และ 1. 1% ตามลำดับ ขณะการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาจลดลง -5.5% เมื่อเทียบกับปี 2565
อีกทั้ง สิ่งที่ตลาดกำลังเผชิญ คือ สต็อกหน่วยเหลือขายคงค้างในตลาด กว่า 1.77 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 8.71 แสนล้านบาท หลังจากยอดขายช่วงท้ายของปี 2565 ชะลอตัวลงของพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะ โครงการ บ้านจัดสรร ที่มูลค่าเพิ่มขึ้น 39,164 ล้านบาท (ณ ไตรมาส 3 ปี 2565) ในทำเลน่าห่วง บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ,บางใหญ่-บางบัวทอง และ ลำลูกกา-ธัญบุรี เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘แสนสิริ’ จ่อเปิดโครงการใหม่ทุบสถิติ คาดกำไรปี 65 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
“เศรษฐา ทวีสิน” บิ๊กแสนสิริ สวนกระแสอสังหาฯระส่ำ ลั่น! ปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่ ทำมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเชื่อมั่นดีมานด์ตลาด ขณะคาด ผลงานปีที่ผ่านมา จะส่งผลกำไรพุ่งเกิน 4 พันล้าน ทำ New record High ในรอบ 38 ปี
6 ม.ค.2565 – จับกระแสธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2566 ว่า มีสัญญาณบวกจากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเปิดประเทศของจีน ขณะที่การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงล่าสุดภาครัฐได้ประกาศต่อมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการลดค่าโอนและค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.-31 ธ.ค.2566
“จากการที่ตลาดอสังหาฯ ทยอยฟื้นตัว รวมทั้งมาตรการช่วยลดภาระให้ผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย และช่วยส่งเสริมการซื้อขายอสังหาฯ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวหลังวิกฤติโควิดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่สร้างความคึกคักให้ตลาดด้วยการรุกเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อตลาดโดยรวม”
แสนสิริ จ่อเปิดโครงการใหม่ ปี 2566 มูลค่ารวมทุบสถิติ
ทั้งนี้ ส่งผลให้บริษัท ยังคงจะเน้น การมุ่งตอกย้ำความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาฯ ด้วยกลยุทธ์ “Speed to Market” การมองตลาดเร็ว-รุกไว รับการฟื้นตัวของตลาดและดีมานต์ของลูกค้าต่างชาติ
ขณะ กุญแจสำคัญซึ่งผลักดันผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดมาของแสนสิริ คือ การบริหารเงินสดในมือที่ดี (Cash is King) ที่ผลักดันให้แสนสิริมีสภาพคล่องสูง มีกระแสเงินสดที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ ล่าสุดบริษัทมีสภาพคล่องในมือรวม 15,000 ล้านบาท สนับสนุนความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์และพร้อมเดินหน้าธุรกิจ โดยเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ มูลค่ารวมมากที่สุด ทุบสถิติ New High Record ในปี 2566
“แบรนด์ที่แข็งแกร่งของแสนสิริ ยังมาจากความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด ที่เป็นหัวใจสำคัญของแสนสิริ จนส่งผลให้แสนสิริเป็นแบรนด์อันดับหนึ่ง ครองใจลูกค้าอย่างต่อเนื่องยาวนานติดต่อกันถึง 5 ปีซ้อน รวมทั้งผลักดันผลงานที่แข็งแกร่ง”
ปี 2565 กำไรทะลุ 4 พันล้านสูงสุดรอบ 38 ปี
โดยปีที่ผ่านมาแสนสิริ Sold Out ปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมเกือบ 20 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท คาดว่าผลประกอบการปี 2565 จะสร้างยอดขายได้ถึง 50,000 ล้านบาท เกินเป้าหมาย ซึ่งเป็นการเติบโตเกือบ 50% จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 33,500 ล้านบาท นับเป็นปีที่แสนสิริสามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
รวมถึงคาดการณ์รายได้รวมปี 2565 จะสามารถทำได้เกินกว่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% จากปีก่อนหน้า ที่มีรายได้รวม 29,558 ล้านบาท และมียอดโอนเกือบ 37,000 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายที่วางไว้
“ส่งผลให้แสนสิริมีกำไรสุทธิทุบสถิติ New record High พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 38 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หรือคาดว่าจะมีกำไรสุทธิพุ่งสูงได้เกินกว่า 4,000 ล้านบาท และสามารถเสนอบอร์ดพิจารณาจ่ายปันผลได้ไม่ต่ำกว่า 0.10 บาทต่อหุ้น”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการย่อตัวของราคาทองคำ ทิศทางนโยบายการเงินเฟดยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดเงิน
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้(9ม.ค.2566) ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.04 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังการเติบโตของค่าจ้างในสหรัฐฯ
ชะลอลงมากกว่าคาด ทำให้ตลาดมั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อชะลอตัวต่อเนื่อง หนุนโอกาสเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ทิศทางนโยบายการเงินเฟด ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาด โดยต้องติดตาม รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ทิศทางนโยบายการเงินเฟดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนธันวาคม
บริการหลายรายการตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน ก็จะชะลอลงสู่ระดับ 5.7% จากระดับ 6.0% ในเดือนก่อนหน้า
ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความสบายใจมากขึ้นว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง จนอาจทำให้เฟดพิจารณาชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต เหลือ +0.25% (ลดลงจาก +0.50% ในการประชุมเดือนธันวาคม)
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell ซึ่งเรามองว่า หากในช่วงนี้ ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) จากความหวังว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็อาจพยายามปรับลดความคาดหวังดังกล่าวของผู้เล่นในตลาด ด้วยการส่งสัญญาณเน้นย้ำจุดยืนว่า เฟดจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ
▪ ฝั่งยุโรป – รายงานข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปในช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งแนวโน้มเงินเฟ้อ CPI ก็ชะลอลงชัดเจนมากขึ้น ทำให้บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์อาจมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงินยุโรป สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนโดย Sentix (Investor Confidence) เดือนมกราคม ที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -18 จุด
▪ ฝั่งเอเชีย – การค้าระหว่างประเทศของจีนในเดือนธันวาคม อาจยังคงซบเซาต่อเนื่อง กดดันโดยผลกระทบของการระบาด COVID-19 ในจีน โดยตลาดประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) ของจีนในเดือนธันวาคม อาจหดตัวกว่า -12%y/y ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
และปัญหาในภาคการผลิตท่ามกลางสถานการณ์การระบาด COVID-19 ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ก็อาจหดตัวราว -10%y/y อย่างไรก็ดี แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนจะยังไม่สดใส แต่ผู้เล่นในตลาดอาจมองข้ามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว จากความหวังว่า การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดและ
การเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนอาจทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งภาพดังกล่าวได้สะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง รวมถึงการแข็งค่าของเงินหยวน (CNY)
ในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.25% สู่ระดับ 3.50% หลังเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงราว 5.0% เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ 2.0%
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 49.5 จุด ท่ามกลางความหวังการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้นต่อเนื่อง
ล่าสุดก็มีความหวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่เร็วขึ้นกว่าคาด ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 ของทางการจีน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ หลังจากที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำและแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ดี ระหว่างสัปดาห์ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการย่อตัวของราคาทองคำ แต่เราคงมองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก
เนื่องจากผู้ส่งออกบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติก็รอจังหวะเพิ่มสถานะ Short USDTHB ตามความคาดหวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ตลาดการเงินอาจปิดรับความเสี่ยงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด (Good News is Bad News for the market) ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและหนุนให้เงินดอลลาร์
รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ควรระวังถ้อยแถลงประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก่อนตลาดรับรู้รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยเราคาดว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ
กดดันให้ตลาดอาจระมัดระวังตัวมากขึ้นและเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงชัดเจน ตลาดก็พร้อมเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.20 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เทพบิว” ม้วนเดียวจบ! กระชากทองทุบสถิติกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 42
การแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 42 “เทียนนกแก้วเกมส์” เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่จังหวัดเชียงใหม่ ชิง 53 เหรียญทอง มีผลการแข่งขันดังนี้
กรีฑา ที่สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ วิ่ง 200 ม. ชาย “เทพบิว” ภูริพล บุญสอน เจ้าของเหรียญทองวิ่ง 200 ม. กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม และกรีฑาเยาวชนเอเชีย ที่ประเทศคูเวต จากเขต 2 จ.สมุทรปราการ วิ่งนำแบบม้วนเดียวจบ เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ด้วยเวลา 21.09 วิ. ทำลายสถิติเดิมของญาณากร หมุดรอด จากเขต 9 จ.ตรัง ที่เคยทำไว้ปี พ.ศ. 2560 ในการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 40 “ย่าโมเกมส์” ซึ่งเคยทำไว้ด้วยเวลา 21.43 วินาที
เหรียญเงิน วัชรพล ถันทอง เขต 6 จ.นครสวรรค์ เวลา 21.48 วิ., เหรียญทองแดง พงศกร จิตตรง เขต 8 นครศรีธรรมราช เวลา 22.02 วิ.
ส่วน วิ่ง 200 ม. หญิง ทอง สุวิมล สระเทียนทอง เขต 6 จ.กำแพงเพชร เวลา 24.51 วิ.,(ทำลายสถิติเดิม 24.62ของ ชลลดา เกิดบุตร์ เขต 3 จ.นครราชสีมา ที่ทำไว้ พ.ศ.2554 “เพชรบุรีเกมส์”) เงิน ภัทราภรณ์ เดชานนท์ เขต 10 กรุงเทพฯ เวลา 25.11 วิ., ทองแดง อธิชา เพ็ชรกุล เขต 1 จ.ปทุมธานี เวลา 25.22 วิ., เดิน 5,000 เมตร หญิง ทอง ณัฏฐกมล มนเหมย เขต 5 จ.ลำพูน เวลา 28.48 น., เงิน ชลธิชา ประจักรจิตร เขต 4 จ.อุดรธานี เวลา 29.07 น., ทองแดง ธนัญญา ปัญญาคำ เขต 5 จ.ลำพูน เวลา 29.56 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“งดอาหาร” มื้อไหน เผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด แถมสุขภาพดีขึ้น
ก่อนหน้านี้เรามีความเชื่อกันว่าต้องกินอาหารให้ครบ 3 มื้อทุกวัน แต่จริงๆ แล้วการอดอาหารในบางมื้อ บางช่วงเวลาของวัน อาจส่งผลดีต่อร่างกายได้มากกว่า นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน อาจารย์ที่ปรึกษา แผนกศัลยศาสตร์หลอดเลือด ร.พ.พระมงกุฎเกล้า หรือ หมอท็อป มีคำอธิบาย พร้อมคำแนะนำว่า ควรงดอาหารในมื้อไหน ช่วงเวลาไหน ถึงจะช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้ดีที่สุด
งดมื้ออาหาร อาจส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด
ในผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี การรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ เป็นเรื่องที่แนะนำ เพราะฮอร์โมนในร่างกายยังไม่คงที่ และยังต้องการสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโตมากกว่าวัยอื่นๆ แต่คนที่อายุเลย 20 ปีไปแล้ว อาจไม่ได้ต้องการปริมาณอาหารมากเท่าเดิม การรับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย จะเสี่ยงอ้วน และโรคอันตรายอย่างเบาหวาน ความดัน ได้มากกว่า
จริงๆ แล้วเราสามารถลดจำนวนมื้ออาหารลงได้ โดยแนะนำให้ลองลดจำนวนมื้ออาหารลงเป็น 2 มื้อต่อวัน หรือในบางคนที่ลองรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียวต่อวัน (One Meal A Day หรือ OMAD) มีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่า สามารถช่วยชะลอวัย และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งได้ด้วย แต่ถ้าใครกลัวหิว สามารถลองเริ่มลดเหลือ 2 มื้อต่อวันดูก็ได้
“งดอาหาร” มื้อไหน เผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด แถมสุขภาพดีขึ้น
นพ.นันทพล แนะนำให้งดมื้อเช้า แม้ว่าเราจะเคยได้ยินมาว่ามื้อเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน แต่จากการศึกษาใหม่พบว่า ในช่วงเช้าฮอร์โมนเกรลิน หรือฮอร์โมนที่ทำให้เราหิวจะหลั่งออกมาไม่มาก เราจึงไม่ค่อยรู้สึกหิวมากในช่วงเช้า และหากเรารับประทานอาหารเน้นให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่ไม่าดีต่อร่างกายมากเกินไป (แป้งและน้ำตาล เช่น ขนมปังขาวทาแยมที่น้ำตาลสูง คอนเฟลก กราโนล่าเคลือบน้ำผึ้งหรือช็อกโกแลต) อาจไม่ดีต่อร่างกายนัก
เราสามารถรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกายได้ โดยมาจากผักตระกูลหัวที่แม้จะมีแป้ง แต่ก็มีใยอาหารสูงด้วย รวมถึงผลไม้ที่ไม่หวานมาก
ลองกินมื้อเช้ากับมื้อกลางวันรวบเป็นมื้อเดียว แล้วกินมื้อเย็นอีกทีไม่เกิน 2 ทุ่ม จะทำให้เราได้ทำ IF (Intermittent Fasting) ได้ในสูตร 10/14 หรือ 16/8 ได้ (จำนวนชั่วโมงที่งดมื้ออาหาร/กินอาหารได้)
หากมีการงดมื้ออาหาร ให้ร่างกายได้พักจากการรับอาหารไว้บ้าง จะส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญไขมันร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน ที่ควรรู้
การทักทาย / แนะนำตัว
Hello, my name is ‘….’. สวัสดีฉันชื่อ….
What is your name? คุณชื่ออะไร?
Nice to meet you. ยินดีที่ได้รู้จัก
How are you? คุณสบายดีไหม?
Fine thanks, and you? ฉันสบายดี แล้วคุณล่ะ?
I’m okay, thank you. ฉันสบายดี ขอบคุณ
Where are you from? คุณมาจากไหน?
I’m from Thailand. ฉันมาจากประเทศไทย
What’s your job? คุณทำงานอะไร?
How old are you? คุณอายุเท่าไหร่?
I’m twenty-six years old. ฉันอายุ 26 ปี
When is your birthday? วันเกิดคุณคือวันไหน?
My birthday is on April, 1st. วันเกิดของฉันคือวันที่ 1 เมษายน
Do you have a mobile phone? คุณมีโทรศัพท์มือถือใช่ไหม?
Yes, I do. ใช่ ฉันมี
How long have you been in Thailand? คุณอยู่เมืองไทยมานานเท่าไหร่แล้ว
Do you like living in Thailand? คุณชอบอยู่เมืองไทยไหม
Yes, I like living here very much. ค่ะ ฉันชอบอยู่ที่นี่มาก
What’s your nationality? คุณถือสัญชาติอะไร?
How tall are you? คุณสูงเท่าไหร่?
What is your weight? คุณน้ำหนักเท่าไหร่?
Everybody can be my friend. ทุกคนสามารถเป็นเพื่อนกับฉันได้
So we’ve met again,eh? เราจะได้พบกันอีกใช่ไหม?
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
เทรนด์เทคโนโลยีและธุรกิจที่สำคัญในปี 2566
บทเรียนสำคัญที่เราได้รับในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็คือ อนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เราได้เห็นหลายๆ องค์กรในภูมิภาคนี้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปภายหลังการแพร่ระบาด และสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก สำหรับปี 2566 องค์กรธุรกิจต่างๆ จะต้องตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดที่มุ่งเน้นดิจิทัลและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ธุรกิจและเทคโนโลยีที่สำคัญในปีใหม่นี้มีอะไรบ้าง และองค์กรธุรกิจต่างๆ จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร
ธุรกิจจำเป็นต้องปรับปรุงเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เพื่อให้ทันกับแลนด์สเคปที่เปลี่ยนแปลงไป
การเชื่อมต่อระหว่างผู้คน อุปกรณ์ และข้อมูลมีการขยายตัวอยู่ตลอดเวลา โดยมีจุดเชื่อมต่อที่เปิดกว้าง รองรับการใช้งานร่วมกัน และเข้าถึงได้นับพันล้านจุด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการทำงานแบบไฮบริดที่ใช้ระบบคลาวด์ “เครือข่าย” เปรียบเสมือนระบบประสาทที่ทำให้ทุกสิ่งสามารถทำงานร่วมกัน และแม้ว่าเครือข่ายจะรองรับความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความซับซ้อนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
เนื่องจากองค์กรและผู้ใช้กระจัดกระจายมากขึ้น อีกทั้งยังมีความต้องการในการเข้าถึงแอปพลิเคชันได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครือข่าย เพื่อรองรับการเชื่อมต่ออย่างราบรื่น ควบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัย จากการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 7 ใน 10 คนในอาเซียนเชื่อว่าปัญหาการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับบุคลากรที่ทำงานนอกสถานที่ อย่างไรก็ดี 27% ระบุว่าบริษัทของพวกเขายังคงต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่เหมาะสม ธุรกิจต่างๆ ยังต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ทันสมัยโดยใช้เทคโนโลยี SD-WAN ซึ่งจะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อผู้ใช้ อุปกรณ์ต่างๆ และอุปกรณ์ IoT เข้ากับระบบ แอป และข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ด้วยการจัดการแบบรวมศูนย์และการบริหารนโยบายด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังต้องเปลี่ยนย้ายจากระบบรักษาความปลอดภัยแบบสแตนด์อโลน ไปสู่กลยุทธ์แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อที่มุ่งเน้นไปที่การตรวจจับ การตอบสนอง และการกู้คืน
ยุคใหม่ของเครือข่ายที่ “รองรับการคาดการณ์” ได้มาถึงแล้ว และจะเปลี่ยนความคล่องตัวของธุรกิจ
การแข่งขันในโลกดิจิทัลปัจจุบันมีความมุ่งหมายเดียว นั่นคือ อะไรก็ตามที่สามารถส่งมอบในรูปแบบดิจิทัลได้ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ แอปพลิเคชันเป็นเพียงประตูที่เปิดไปสู่โลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของขนาดและความซับซ้อน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าตลาด Super App ในอาเซียนจะมีรายได้สูงถึง 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568
กุญแจสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีเยี่ยมก็คือ ความสามารถในการตรวจสอบทั่วทุกจุด ทั้งในส่วนของข้อมูล การโต้ตอบกับระบบ ความเชื่อมโยงระหว่างกัน และดัชนีชี้วัดทางธุรกิจที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เฟซดิจิทัล โดยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการในส่วนนี้ก็คือ เอนจิ้นเครือข่ายสำหรับการคาดการณ์ซึ่งทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลการตรวจวัดทางไกลจำนวนมาก และผสานรวมเข้ากับโมเดลต่างๆ เพื่อคาดการณ์ปัญหาเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยลดช่องว่างระหว่างทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายธุรกิจ โดยผู้บริหารฝ่ายไอทีจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นจริง ขณะที่ทีมงานฝ่ายธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่ความคล่องตัวและการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อให้โดนใจลูกค้า
Physical spaces หรือพื้นที่ทางกายภาพ เช่น ออฟฟิศ และสถานพยาบาล จะถูกพลิกโฉมเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดสำหรับทุกคน
ผลการสำรวจล่าสุดเปิดเผยว่า พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า 98% ของการประชุมจะมีผู้เข้าร่วมผ่านรีโมทอย่างน้อยหนึ่งคน อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกมีห้องประชุมและห้องเรียนเพียง 6% เท่านั้นที่รองรับวิดีโอ และในปีใหม่นี้ การทำงานแบบไฮบริดจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ทำงานทางกายภาพ โดยองค์กรต่างๆ ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมจะต้องคิดใหม่ทำใหม่เกี่ยวกับพื้นที่ทำงานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศหรือสถานพยาบาล เพื่อขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกคน
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นผ่านการทำงานร่วมกันที่ใกล้ชิดยิ่งระหว่างฝ่ายไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายอาคารสถานที่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การผสานรวมฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบเสียงอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI/การตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ไปจนถึงการจัดเตรียมพื้นที่ทางกายภาพโดยใช้อุปกรณ์การประชุมทางวิดีโอที่เหมาะสม เพื่อรองรับการทำงานร่วมกันแบบไฮบริดที่ราบรื่นและปลอดภัย รวมถึงการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับพนักงานและแนวทางปฏิบัติของบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมในระยะยาว ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานจากที่ใดก็ตาม
Private 5G พร้อมด้วย Wi-Fi6 จะปฏิวัตินวัตกรรมคลาวด์, เอดจ์ (Edge) และ IoT
เนื่องจากองค์กรธุรกิจจำนวนมากในเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคต เราจึงคาดการณ์ว่าจะมีการปรับใช้ 5G เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รายได้รวมของ 5G ในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นจาก 2.13 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 เป็น 23.89 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568
นอกจากนี้ การรวมกันของ Wi-Fi 6 และ 5G จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญ และจะปูทางสู่อนาคตใหม่ของการเชื่อมต่อสำหรับเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยจะให้แบนด์วิธเพิ่มขึ้นสามเท่า และความเร็วเพิ่มขึ้นห้าเท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 เทคโนโลยีนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเช่น ภาคการผลิต ซึ่งต้องการความสามารถทางวิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง เพื่อใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ระบบโรงงานอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติภายในกระบวนการต่างๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
พลังของเทคโนโลยีมาจากความสามารถในการตรวจสอบและจัดการทรัพย์สินหลายพันรายการ และความสามารถในการปรับขนาดจะช่วยรองรับการใช้งานหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในวงกว้าง รวมไปถึงยานยนต์ไร้คนขับ และด้วยเหตุนี้ เราจึงคาดการณ์ว่าบริษัทต่างๆ จะมองหาหนทางในการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เมื่อมีการกำหนดคลื่นความถี่และจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
Purpose หรือจุดมุ่งหมายจะเชื่อมโยงทุกสิ่งที่ธุรกิจทำ ขณะที่ ESG จะเป็นวาระการประชุมของคณะกรรมการบริหาร
Purpose หรือจุดมุ่งหมาย จะมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นและมีความสำคัญอย่างมากต่อบริษัทต่างๆ ในปีใหม่นี้ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจ โดยจากผลการศึกษาของ Harvard Business Review พบว่ามากกว่า 50%ของบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายมีการเติบโตทางธุรกิจ 10% เมื่อเทียบกับ 42% ของบริษัทที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย นอกจากนี้ ยังนับเป็นเรื่องดีสำหรับบุคลากร เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า “จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน” คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และสุดท้าย นับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลกของเรา กล่าวคือ แทนที่จะเป็นแบบฝึกหัดที่กาเครื่องหมายในช่องตัวเลือก การวัดผลกระทบของการดำเนินงานตามจุดมุ่งหมายของแต่ละบริษัท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นเวทีกลางสำหรับการตัดสินใจขององค์กรมากขึ้น และเราจะเห็นองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อกำหนดกรอบการรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการกำหนดกฎระเบียบและเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ลิฟท์ที่ติดได้ทั้งในบ้านและนอกบ้านกับคาเลีย : รุ่นขายดี KOSMOS Gen 3
รุ่นที่ขายดีตลอดกาล! สามารถติดได้ทั้งภายในและภายนอก อาคารและทนทานกับสภาพอากาศของประเทศไทย
มีเจ้าของบ้านหรือแม้แต่สถาปนิกจำนวนมากที่สอบถามทาง คาเลีย ลิฟท์ ว่ามีลิฟท์รุ่นไหนบ้างที่สามารถติดตั้งนอกบ้านหรือนอกอาคาร เนื่องจากหน้างานเป็นบ้านหรืออาคารเดิมที่ต้องการติดตั้งลิฟท์บ้านแต่ภายในอาคารติดปัญหาตรงที่ไม่มีพื้นที่สำหรับติดตั้งลิฟท์ หรือมีพื้นที่แต่การเตรียมหน้างานเพื่อติดตั้งลิฟท์นั้นอาจมีความเสี่ยงในการทำลายโครงสร้างของบ้านหรืออาคารเพราะต้องเจาะพื้นบ้านด้านบนสำหรับเปิดเป็นช่องลิฟท์ ซึ่งบริเวณที่จะเจาะพื้นนั้นอาจเป็นจุดของคานบ้าน ซึ่งต้องให้สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญมาตรวจเช็คให้ดีก่อนทำการเจาะช่องลิฟท์เพื่อเตรียมหน้างานสำหรับติดตั้งลิฟต์อีกด้วย
ซึ่งทางออกของปัญหานี้ก็คือการติดตั้งลิฟท์ด้านนอกอาคารนั่นเอง เพราะนอกจากมีการเตรียมงานที่ง่ายกว่าแล้วลูกค้ายังสามารถเลือกขนาดลิฟท์ที่ใหญ่ขึ้นได้เพราะหากเลือกติดตั้งลิฟท์ในอาคารอาจได้ลิฟท์ขนาดเล็กกว่าเนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่และช่องลิฟท์ภายในบ้าน อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องดีไซน์ของลิฟท์นอกอาคารว่าจะเข้ากับรูปทรงของบ้านหรืออาคารหรือไม่ เพราะลิฟท์บ้านนอกอาคารของ Kalea สามารถออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ของบ้านได้อย่างสวยงาม ลงตัว เรามาดูกัน! ว่าลิฟท์ของเรารุ่นไหนบ้าง? ที่สามารถติดตั้งนอกอาคาร และขายดีตลอดกาล, ดีไซน์สวย เรียบหรู แต่ทนทานต่อสภาพอากาศของไทยที่ทั้งร้อนจัดและฝนตกหนักต่อเนื่องกันหลายเดือน
อธิบายรุ่น Kosmos Model 2021 : Platform Lift Generation 3 (Ecosilent)
ซึ่งเป็นลิฟท์บ้านรุ่นที่ขายดีตลอดกาลเพราะได้เปิดขายในปี 2021 และตั้งแต่เปิดตัวลิฟท์รุ่น Kosmos ลิฟท์ระบบสกรูมาพร้อมปล่องกระจก ไม่ต้องมีห้องเครื่อง และบ่อลิฟท์ ก็มีลูกค้าให้ความนิยมในการสั่งจองและผลิตถึง 15 units ในเวลา 3 เพียงแค่ 3 เดือนหลังจากเปิดตัว เนื่องจากระบบสกรูที่พัฒนามาถึง Generation 3 ที่เป็นระบบ Ecosilent ประหยัดทั้งค่าไฟเพียงแค่ 30-50 สตางค์ต่อการกดใช้ 1 ครั้ง และประหยัดค่าการบำรุงรักษาจากปีละ 2 ครั้งเหลือเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
อีกทั้งการออกแบบดีไซน์ของลิฟท์ที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือสไตล์นอดิก ที่ดูเรียบแต่หรู ดูทันสมัย เข้ากับการตกแต่งของบ้านและเฟอร์นิเจอร์ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญสามารถติดตั้งได้ทั้ง ลิฟท์บ้านภายในอาคาร และลิฟท์บ้านภายนอกอาคาร ได้อย่างสวยงาม และทนทานต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งลิฟท์รุ่น Kosmos นี่แยกออกเป็น 3 รุ่นให้ลูกค้าได้เลือกได้ตามความชอบ และสามารถเลือกสีของลิฟท์แบบ Premium Color ได้มากกว่า 200 สี โดยแยกเป็นรุ่นดังนี้
รุ่น Kosmos K60
ก้าวแรกสู่ประสบการณ์หรูหราอย่างแท้จริง ด้วยหน้าจอสัมผัสที่ล้ำสมัยสไตล์นอดิกและแพลตฟอร์มที่ดีไซน์อย่างเรียบง่ายแต่โดดเด่น K60 จะยกระดับบ้านหลังใหม่ให้คุณด้วยลิฟท์ที่มาพร้อมปล่องกระจกรอบด้าน สีปล่องลิฟท์คือสี Premium Color Graphite Black ที่ให้เนื้อสัมผัสที่เป็นเนื้อ Matt ที่ดูหรูหรามากกว่าสี RAL ที่ให้ความมันวาว และสามารถเลือกสี Options Premium Color ให้เข้ากับบ้านได้มากกว่า 200 สี โทรศัพท์ในลิฟท์ที่สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้หากเกิดเหตุฉุกเฉินติดอยู่ในลิฟท์
รุ่น Kosmos K70
จะมีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือน K60 โดยเพิ่มเติมคือเหมาะสำหรับลูกค้าที่ใส่ใจรายละเอียดเรื่องความหรูหราด้วยการเคลือบหนัง PU จากยุโรปที่ให้ความโดดเด่นในดีไซน์ที่เรียบแต่โก้ จุดแจ้งชั้นอัตโนมัตที่ประตูลิฟท์ทุกชั้นและตรงแผงคอนโทลลิฟต์ซึ่งจุดบอกชั้นสามารถแจ้งสถานะของลิฟท์หากเกิดภายในลิฟท์ และแสงสว่างพิเศษบริเวณปุ่มกดลิฟท์
รุ่น Kosmos K90
จะมีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือน K70 แต่เพิ่มเติมก็คือเป็นลิฟท์รุ่นสูงสุดที่สุดแห่งความงดงาม ดีไซน์ยุคใหม่ของรุ่น Kosmos ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติสูงสุดที่ไม่มีในลิฟท์อื่นๆ เช่นพัดลมที่สามารถปรับความแรงได้แบบ built-in ในตัว และไฟ LED รอบขอบ Safety Edge เพื่อสัมผัสที่สุดแห่งความลงตัวพร้อมเพิ่มความหรูหราในขณะใช้ลิฟท์ซึ่งยกระดับความโอ่อ่าในขั้นสุด
โดยทั้ง 3 รุ่นของ Kosmos K60/K70/K90 นั้น
ณ ปัจจุบัน ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเพราะด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครสามารถเข้าได้ทุกดีไซน์ของบ้าน แม้จะข้ามช่วง Generation ของอายุ เพราะลิฟท์มีอายุการใช้งาน 25-30 ปี และด้วยการใส่ใจในการออกแบบที่ทั้งทนทานต่อสภาพอากาศในเมืองไทย ประหยัดในด้านพลังงานและการบำรุงรักษา และใช้วัสดุที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมที่ช่วยให้อายุการใช้งานของลิฟท์ยาวนาน 25-30 ปี
ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ทาง Kalea Lifts ดูแลคุณและครอบครัว
คุณชอบลิฟท์ของเราที่เห็นในภาพมั้ย?
เราพร้อมและยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ!คุณสามารถ ติดต่อเรา เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือรับ Catalog ได้ฟรี!
สามารถเข้าทดลองลิฟท์ของเราที่โชว์รูมได้ทุกวัน เวลา10.00-19.00น : Kalea Lift 891/62 ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ โทรเพื่อโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดเข้าทดลองลิฟท์ : 02-114 6900
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/01/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,700.00 | 29,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,924.00 | 29,167.84 | 30,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,731.60 | 26,251.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,539.20 | 23,334.27 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 866.00 | 13,128.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 673.00 | 10,202.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,994.00 | 30,229.04 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/01/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.45 | 34.45 | 34.75 | 34.45 | 34.75 | 34.45 | 34.45 | 34.45 | 34.45 | 34.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.18 | 34.18 | 34.48 | 34.18 | 34.48 | 34.18 | 34.18 | 34.18 | 34.18 | 34.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.54 | 32.54 | 32.84 | 32.54 | 32.84 | – | 32.54 | 32.54 | 32.54 | 32.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.99 | 32.99 | – | – | – | – | – | – | – | 32.99 |
เบนซิน 95 | 41.86 | – | – | – | 42.61 | – | 42.36 | 42.31 | – | 41.86 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.54 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.54 | – | 34.94 | – | 34.94 | – | 32.54 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.26 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 16.59 | 16.59 | – | – | – | – | – | – | – | 16.59 |