“บ้านผู้สูงวัย” ตลาดใหม่มาแรง พีดีเฮ้าส์ลุยเจาะกลุ่มวัยเกษียณ

“พีดีเฮ้าส์” นำเทรนด์ผ่านการต่อยอดแนวคิดบ้านเพื่อผู้สูงวัยออกแบบเฉพาะพร้อมเปิดตัวแบบบ้านซีรีส์ใหม่ภายใต้ชื่อ Well-Being House II ตอบโจทย์คนวัยเกษียณ
นางสาวจิราภา สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่าการวางแผนชีวิตหลังเกษียณ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะชีวิตจะเปลี่ยนไปทั้งในมิติของสุขภาพ การเงิน และการอยู่อาศัย ข้อมูลจากกรมการปกครอง ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ระบุชัดว่า ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุถึง 13.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 21.44% ของประชากรทั้งประเทศ
โดยจังหวัดที่มีผู้สูงอายุสูงสุดคือ เชียงใหม่ ตามมาด้วยอุบลราชธานีและเชียงราย ตัวเลขเหล่านี้คือสัญญาณเตือนสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชน ว่าตลาดที่อยู่อาศัยไม่อาจละเลยกลุ่มผู้บริโภควัยเกษียณได้อีกต่อไป

แบบบ้านใหม่ที่เข้าใจ “มากกว่าผู้สูงอายุ”
การตอบโจทย์กลุ่มวัยเกษียณในมิติของการออกแบบบ้าน ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ทางลาด” หรือ “ราวจับ” เท่านั้น หากแต่เป็นการพิจารณาทั้งระบบของบ้านในฐานะ “เครื่องมือดูแลสุขภาพแบบองค์รวม”
พีดีเฮ้าส์จึงเปิดตัวแบบบ้านใหม่ Well-Being House II ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่เข้าใจชีวิตของผู้สูงวัย” ด้วย 6 แบบบ้านขนาด 100-151 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.2-4.5 ล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ใส่ใจ
- ฟังก์ชันใช้งานง่าย
- พื้นราบ ไม่มีระดับต่าง
- ระบบระบายอากาศ PD Fresh Airflow
- วัสดุก่อสร้างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- พื้นที่ใช้แสงธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ให้มากที่สุด
บ้านเกษียณโอกาสที่ไม่ควรมองข้าม
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภควัยเกษียณในวันนี้ ไม่เพียงแต่มองหา “ความปลอดภัย” แต่ยังต้องการ “ความคุ้มค่า” และ “ความยั่งยืน” มากกว่าที่เคย นั่นทำให้การสร้างบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ไม่อาจเป็นเพียงการ “ปรับปรุงบ้านเก่า” หรือ “ใส่อุปกรณ์ช่วยเดิน” ได้อีกต่อไป
พีดีเฮ้าส์ ชูความแตกต่างผ่านการเป็นผู้นำด้าน “บ้านประหยัดพลังงาน” ด้วยผลงานที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพลังงานถึง 36 รางวัล ทั้งระดับดี และดีมาก พร้อมทั้งเดินหน้าวางกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งยังมีผู้ประกอบการไม่กี่รายที่เข้าใจเชิงลึกเช่นนี้
อนาคตของตลาดบ้านผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือ “New Standard”
จากเดิมที่บ้านถูกออกแบบเพื่อคนหนุ่มสาว หรือครอบครัวขนาดเล็ก เทรนด์ใหม่กำลังผลักดันให้ “บ้านผู้สูงวัย” กลายเป็น New Standard ที่ตลาดอสังหาฯ ต้องเรียนรู้ และปรับตัวอย่างจริงจัง
“บ้านผู้สูงอายุไม่ใช่แค่บ้านของคนอายุเยอะ แต่คือบ้านของคนที่วางแผนชีวิต”
ในวันที่สังคมสูงวัยไม่ใช่อนาคตอีกต่อไป แต่คือ “ปัจจุบัน” ที่ขยายตัวขึ้นทุกวัน บ้านที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และเข้าใจชีวิตผู้สูงวัย จึงกลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ ในทศวรรษใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ราคาบ้านพุ่ง ดันตลาดคอนโดฟื้น แสนสิริชี้เรียลดีมานด์เปลี่ยนเกม

- ตลาดคอนโดมิเนียมเปลี่ยนจากตลาดนักลงทุนไปสู่ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) โดยมองคอนโดเป็นที่อยู่อาศัยหลัก ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย
- ความต้องการเช่าคอนโดขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคหลายกลุ่มยังไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวดของธนาคาร
- แสนสิริปรับกลยุทธ์พัฒนาโครงการโดยยึดกำลังซื้อจริงเป็นหลัก ตั้งราคาขายในช่วง 3-5 ล้านบาท เจาะกลุ่มพนักงานที่มีรายได้ประจำ
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจและปัจจัยกดดันต่อเนื่องตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์แผ่นดิไหว และความไม่แน่นอนหล่ยปัจจัยที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมไทยกำลังเดินเข้าสู่ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” จากตลาดนักลงทุน (Investor) ไปสู่แรงซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) เพิ่อการอยู่อาศัยที่แท้จริง
นายสมัตถ์คม ต่างวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยมุมมองว่า ในวันนี้คอนโดมิเนียมไม่ใช่สินค้าหรูหราหรือเป็นบ้านหลังที่สองอีกอย่างที่เคยเป็นต่อไป แต่กลับกลายเป็น “ที่อยู่อาศัยหลัก” สำหรับกลุ่มคนทำงานที่ต้องการความสะดวกเรื่องทำเลและเวลาเดินทางในตัวเมือง
ในอีกมุมหนึ่ง ตลาดเช่าคอนโดยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคหลายกลุ่มยังไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ภายใต้เกณฑ์เงื่อนไขเข้มงวดของธนาคาร แม้อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลง และมีการผ่อนคลาย LTV ส่งผลให้คอนโดทำเลดียังมีผู้เช่าหนาแน่น โดยค่าเช่าเฉลี่ยในย่านศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ราว 20,000 บาทต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าความต้องการอยู่อาศัยในเมืองยังแข็งแรง
ทั้งนี้ แม้ว่ากลุ่มนักลงทุนมีบทบาทที่น้องลงไป แต่แสนสิริมองว่าไม่ได้กระทบเชิงโครงสร้าง เนื่องจากซัพพลายใหม่ในตลาดลดลงมากกว่าดีมานด์ ส่งผลให้การแข่งขันเบาบางลง และเป็นโอกาสของผู้พัฒนาที่ฐานะการเงินแข็งแรงในการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่
อย่างไรก็ตาม บริษัทปรับกลยุทธ์พัฒนาโครงการโดยยึด “กำลังซื้อจริง” เป็นหลัก ตั้งราคาอยู่ในช่วง 3–5 ล้านบาท เจาะกลุ่มพนักงานที่มีรายได้ประจำราว 50,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักในปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังเน้นโปรโมชั่นที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจริง เช่น การทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อลดดอกเบี้ยและเพิ่มโอกาสกู้ผ่าน มากกว่าการจัดโปรโมชั่นหวือหวาแบบในอดีต
นายสมัตถ์คม ยังเน้นย้ำมุมมองที่ว่าว่า “คอนโดมิเนียมในวันนี้คือบ้าน” ที่ตอบโจทย์ความจำเป็นของการใช้ชีวิตในเมือง มากกว่าการเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยหรือการลงทุนระยะสั้น การซื้อคอนโดในปัจจุบันจึงสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย สู่การเติบโตบนฐานดีมานด์จริง ซึ่งแม้จะไม่หวือหวาเหมือนยุคก่อน แต่มีเสถียรภาพและยั่งยืนกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9ก.ย. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 31.68 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ตลาดคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น และรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐสำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ก.ย.2568 ที่ระดับ 31.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาท (USDTHB) ได้แข็งค่าขึ้น มากกว่าที่เราประเมินไว้ในตอนแรก (กรอบล่างของทั้งสัปดาห์ 31.85 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ ยังคงทยอยอ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ
ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง การ Stop Loss สถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็มีส่วนเร่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้างและมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในวันนี้ ตั้งแต่ช่วง 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง จากที่ตลาดเคยประเมินไว้ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน
อย่างไรก็ดี หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าทะลุระดับดังกล่าว ได้จริง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เมื่อตลาดทยอยรับรู้ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI
และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หากทั้งสองข้อมูลดังกล่าว สะท้อนแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จากผลกระทบของนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0
นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองฝรั่งเศสก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ อีกทั้งตลอดทั้งสัปดาห์ จนถึงวันที่ 18 กันยายน นี้ ก็อาจมีการประท้วงเกิดขึ้นหลายครั้ง รวมถึง ทาง Fitch Rating ก็จะมีการรีวิวอันดิบเครดิตเรทติ้งของฝรั่งเศส ซึ่งอาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์ฝรั่งเศสและเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง เช่นเดียวกัน กับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ที่อาจทำให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจนในระยะสั้นได้ยากมากขึ้น
ส่วนในการประเมิน Valuation ของเงินบาท ผ่านโมเดล BEER ของเรานั้น พบว่า เงินบาทที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นกว่านั้น จะเป็นการแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ -2 SD (เทียบ Fair Value แถว 34-35 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา เราพบว่า เงินบาทก็มีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงบ้าง จากระดับแข็งค่ามากดังกล่าว ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
อนึ่ง เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.50-31.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวรับ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.66-31.86 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
และการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุดออกมาแย่กว่าคาดไปมาก จะหนุนให้ เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ (โอกาสราว 88%) และผู้เล่นในตลาดยังมองว่า เฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ได้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับผลโหวตมติไว้วางใจ (Vote of Confidence) นายกฯ François Bayrou ซึ่ง นายกฯ ได้พ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจดังกล่าวตามคาดการณ์ของตลาด และจะนำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ ในเร็ววันนี้ และนอกเหนือจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์
รวมถึงอานิสงส์จากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด อย่าง การ Stop Loss ของฝั่งสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทด้วยเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Broadcom +3.2%, Amazon +1.5% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.21%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.52% หลังนายกฯ François Bayrou ได้พ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ ในเร็ววันนี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +2.5% ตามความคาดหวังต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่สูงขึ้น ซึ่งหนุนการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ฝั่งสหรัฐฯ เช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะ การเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ของเฟด ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.04%
ทั้งนี้ เนื่องจาก เรามีมุมมองที่ต่างจากผู้เล่นในตลาด ซึ่งมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ (เราปรับมุมมองใหม่ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุด แย่กว่าคาด) ทำให้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร ในช่วงระยะสั้น
จึงมีความเสี่ยงที่อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักก็ยังคงอยู่
เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่คลี่คลายลงบ้าง หลังนายกฯ François Bayrou แพ้ในการโหวตมติไว้วางใจตามคาด นำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ในเร็ววันนี้ ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
ทว่า ราคาทองคำก็เผชิญแรงกดดันบ้างจากโฟลว์ขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,670-3,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของการจ้างงาน ซึ่งจะมีผลต่อการปรับนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) เดือนสิงหาคม
รวมถึง การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2025 (BLS Preliminary Benchmark Revision to Establishment Survey Data) ซึ่งอาจยิ่งสะท้อนภาพการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้นได้ อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2025 อาจลดลงจากที่รายงานก่อนหน้า เฉลี่ยเดือนละ 3-5 หมื่นตำแหน่ง
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาพัฒนาการของสถานการณ์การเมือง ทั้งในฝั่งไทย ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีครั้งใหม่ที่ 31.62 ก่อนจะกลับมาปรับตัวที่ระดับประมาณ 31.64-31.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 31.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าตามทิศทางสกุลเงินเอเชียอื่นๆ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ จากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งตลาดประเมินโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือน ก.ย. นี้เกือบเต็ม 100% (บางส่วนเริ่มมองความเป็นไปได้ที่จะมีการลดดอกเบี้ยรอบนี้มากกว่า 0.25% และอาจมีการปรับลดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีซึ่งจะมีการประชุมเดือนก.ย. ต.ค. และธ.ค.)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 31.50-31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ท่าทีของธปท. ต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และการคาดการณ์เรื่องดอกเบี้ยของเฟด (รวมถึงตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจะรายงานวันพฤ. นี้)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ต้องแบ่งกันยังไง! สรุปเงินรางวัล วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2025 ปิดฉากอย่างเป็นทางการ
โดย ทีมอิตาลี ผงาดคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ หลังเป็นเป็นฝ่ายเบียดเอาชนะ ตุรกี 3-2 เซต (25-23, 13-25, 26-24, 19-25 และ 15-8) ทำสถิติชนะรวดทุกนัด สร้างประวัติศาสตร์ซิวแชมป์โลกสมัยที่ 2
ขณะที่อันดับสาม เป็นทางด้าน “สาวแซมบ้า” บราซิล ที่สามารถเอาชนะ ญี่ปุ่น ไปได้แบบลุ้นเหนื่อย 3-2 เซต (25-12, 25-17, 19-25, 27-29 และ 18-16) คว้าอันดับ 3 ไปครอง
ซึ่งในรายการ วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ในครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม 2,200,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 70 ล้านบาท) แบ่งจ่ายให้กับ อิตาลี ทีมแชมป์ 1,000,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 32 ล้านบาท), ตุรกี รองแชมป์ 500,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 16 ล้านบาท) และ บราซิล 250,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8 แสนบาท)
เงินรางวัล วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025
แชมป์ : 1,000,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 32 ล้านบาท)
รองแชมป์ : 500,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 16 ล้านบาท)
อันดับสาม : 250,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8 แสนบาท)
นอกจากนี้เงินรางวัลที่เหลืออีกจำนวน 450,000 เหรียญสหรัฐฯ จะถูกนำไปมอบให้กับ นักกีฬายอดเยี่ยม (MVP) ในแต่ละสาขาต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ภัยร้าย! ความเครียด ส่งผล ‘กระดูกบางเกิดโรคกระดูกพรุน’

- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ “กระดูกบางเกิดโรคกระดูกพรุน” มาจากวิถีชีวิตอิสระหลาย อาทิ ความเครียด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติด
- ผู้หญิงเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าและเร็วกว่าผู้ชาย รวมถึงอายุ กรรมพันธุ์ ยา รวมถึงเคยกระดูกหัก ผอมเกินไป ขาดสารอาหาร และขาดการออกกำลังกาย
- ควรลดความเครียด รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กุ้งแห้ง ถั่วแดง ผักคะน้า ฯลฯ และควรออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมง
รู้หรือไม่? “ความเครียด” ส่งผลให้คนเรา “กระดูกบางสู่โรคกระดูกพรุน” ได้ เพราะความเครียดเรื้อรังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และสารสื่อประสาทบางชนิด ซึ่งจะไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ที่สร้างกระดูก (Osteoblasts) และเร่งการสลายของเซลล์กระดูก (Osteoclasts) ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงและกระดูกเปราะบางขึ้น
ผลกระทบของความเครียดทางจิตใจและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) โรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวล ต่อความเสี่ยงและการรักษาโรคกระดูกพรุน
ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมากกว่า 1 ล้านคน คนไทยประมาณร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ไม่ทราบว่าโรคกระดูกพรุนรุนแรงถึงขั้นทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้
ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน”
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ “กระดูกบางเกิดโรคกระดูกพรุน” มาจากวิถีชีวิตอิสระหลาย อาทิ ผลกระทบจากความผิดปกติทางสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน กลไกโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก
อย่างไรก็ตาม การศึกษาโดย Ko และคณะ แสดงให้เห็นว่าซีรัมจากสัตว์ที่สัมผัสกับการสูบบุหรี่ส่งผลให้มีการสร้างกระดูกใหม่จากแมคโครฟาจเพิ่มขึ้นในการตอบสนองต่อ RANKL รวมถึงการลดลงของเอนไซม์อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส (ALP) และการลดลงของการสร้างกระดูกใหม่ของเซลล์สร้างกระดูก ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาสุขภาพจิต 28.2% รายงานว่าสูบบุหรี่ เทียบกับ 17.5% ในประชากรทั่วไป
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าความเครียดทางจิตใจสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการสูบบุหรี่ เนื่องจากผลกระทบด้านลบของการสูบบุหรี่ที่มีต่อสุขภาพกระดูก ความเครียดทางจิตใจอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนทางอ้อมด้วยเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะชราภาพและการผลิต ROS ใน MSCs ที่ได้จากไขกระดูก ซึ่งส่งผลให้ศักยภาพในการสร้างกระดูกลดลง การใช้สารเสพติด เช่น การติดโอปิออยด์ ก็เพิ่มขึ้นในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องกับความเครียดทางจิตใจ (18.7% เทียบกับ 5% ในกลุ่มที่ไม่มีความผิดปกติทางสุขภาพจิต) พบว่าอัตราการเกิดภาวะกระดูกพรุนและภาวะกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่ติดโอปิออยด์
ความเครียดเรื้อรังส่งผลเกิดกระดูกพรุน
ศ.ดร.นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สังกัดหน่วยวิจัยด้านแคลเซียมและกระดูก และภาควิชาสรีรวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ภาวะเครียดทางอารมณ์เรื้อรังของคนในสังคมปัจจุบันทั้งในเมืองและชนบท ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนได้
“โดยมีปัจจัยกระตุ้นที่หลากหลาย อาทิ ความเจ็บป่วยทางกายจากโรคเรื้อรัง ตลอดจนสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ไม่พึงปรารถนา ซึ่งพิษภัยของความเครียดเรื้อรังจะนำชักนำให้เกิดโรคทางกาย เช่น โรคกระเพาะ และความดันโลหิตสูง รวมถึงโรคทางจิตใจ เช่น วิตกกังวลและซึมเศร้า แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือความเครียดทำให้กระดูกพรุนได้เช่นกัน” ศ.ดร.นพ.นรัตถพล ระบุ
ทั้งนี้ ศ.ดร.นพ.นรัตถพลอธิบายว่า โรคกระดูกพรุนพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงภายหลังหมดประจำเดือน ในช่วงแรกมักไม่แสดงอาการจึงดูเหมือนกระดูกแข็งแรงเช่นคนปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปีอาจเกิดกระดูกหักอย่างไม่คาดคิดแม้จากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนที่มีกระดูกต้นขาหักจำนวนหนึ่งอาจไม่สามารถเดินได้ดังเดิม ซึ่งส่งผลต่อทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัวในระยะยาว
“ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความเครียดเรื้อรังทำให้เกิดภาวะกระดูกบาง โรคกระดูกพรุน หรือเสริมให้โรคกระดูกพรุนที่เป็นอยู่ก่อนแล้วรุนแรงขึ้นได้หรือไม่และอย่างไร เดิมเชื่อกันว่า ความเครียดทำให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนชื่อ “คอร์ติซอล” ซึ่งกระตุ้นให้กระดูกสลายแคลเซียมต่อเนื่อง จนทำให้มวลกระดูกลดลง” ศ.ดร.นพ.นรัตถพลกล่าว
จากงานวิจัยในหลายประเทศและงานวิจัยของ ศ.ดร.นพ.นรัตถพลที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกว. ได้แสดงแนวคิดใหม่ว่า ระบบประสาทส่วนกลางทั้งสมองและไขสันหลัง ส่งเส้นประสาทมาควบคุมการทำงานของกระดูกโดยตรง โดยเซลล์สร้างกระดูกที่เรียกว่า “ออสติโอบลาสต์” ตอบสนองต่อสารเคมีจากปลายประสาทที่มาเลี้ยง แต่ผลที่ได้จะสร้างกระดูกเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมีที่ปล่อยออกมาและตัวรับของสารเคมีนั้นๆ ที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์
“ความเครียดที่มีต้นกำเนิดจากสมอง รวมถึงโรคของจิตใจที่สัมพันธ์กับความเครียด เช่น โรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวลอย่างรุนแรง กระตุ้นให้ปลายประสาทที่ควบคุมเซลล์สร้างกระดูกหลั่งสารเคมีหลายชนิด เช่น นอร์อิพิเนฟรินและเซโรโทนิน ซึ่งล้วนยับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก แต่กลับเพิ่มการทำงานของเซลล์ออสติโอคลาสต์ ซึ่งทำหน้าที่สลายกระดูก ผลลัพธ์คือ มวลกระดูกที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและสุดท้ายอาจนำไปสู่ภาวะกระดูกบาง โรคกระดูกพรุน หรือทำให้กระดูกพรุนที่เป็นอยู่แล้วรุนแรงขึ้น” ศ.ดร.นพ.นรัตถพลกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อชะลอการลดลงของมวลกระดูกให้ช้าที่สุด ควรการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารแคลเซียมสูง เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม ล้วนช่วยให้สุขภาพกระดูกสมบูรณ์แข็งแรง ขณะที่การเคลื่อนไหวร่างกายเพิ่มขึ้น เช่น เดิน วิ่ง หรือขี่จักรยาน และการเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะกระตุ้นให้มีการสร้างกระดูกได้ดียิ่งขึ้นโดยตรงแล้ว ยังช่วยลดความเครียดความกังวล ส่งผลดีทางอ้อมต่อกระดูกด้วย
ศ.ดร.นพ.นรัตถพล แนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคลายเครียดหรือยาคลายกังวลเพื่อหวังเพียงผลเรื่องสุขภาพของกระดูก เนื่องจากมีงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า ยาคลายเครียดทั่วไปไม่ช่วยให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้น การใช้ยาคลายเครียดหรือคลายกังวล จึงควรมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และควบคุมการจ่ายยาโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะการลดความเครียดและความวิตกกังวลสามารถทำได้โดยอาศัยปรัชญาที่เป็นสากล เช่น ทางสายกลางและความพอเพียง จะส่งผลให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นในระยะยาว
“โรคกระดูกพรุน” ภัยเงียบที่เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโรคกระดูกพรุนกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น นับเป็น “ภัยเงียบ” อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตัวเองมีภาวะกระดูกพรุน เพราะไม่พบว่ามีอาการใด ๆ จนกระทั่งล้มแล้วมี “กระดูกหัก” จึงรู้ว่าเป็น “โรคกระดูกพรุน” สาเหตุเกิดจากการสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะ หักง่าย บางคนอาจตัวเตี้ยลง (มากกว่า 3 เซนติเมตร) เนื่องจากกระดูกสันหลังโปร่งบางและยุบตัวลงช้า ๆ หรือบางคนมีอาการปวดหลังจากการล้มหรือยกของหนัก
แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมีโอกาสเกิดกระดูกหักได้ง่ายกว่าคนทั่วไปเพียงแค่มีแรงกระแทกเบา ๆ การบิดเอี้ยวตัวอย่างทันทีทันใด ไอ จาม หรือลื่นล้ม ทำให้กระดูกสะโพกหรือกระดูกสันหลังหักได้ง่าย ก่อให้เกิดความพิการหรือทุพพลภาพตามมา และคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง
กลุ่มเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุน
- ผู้หญิงเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าและเร็วกว่าผู้ชาย
โดยเฉพาะเมื่อหมดประจำเดือน หรือผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง การสลายกระดูกจะเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศ จึงเริ่มสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเกิดกระดูกหักได้ถึง 40 – 50%
- อายุ
มวลกระดูกของคนเราหนาแน่นที่สุดเมื่ออายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ
– ผู้หญิงอายุเกิน 60 ปี โอกาสเกิดกระดูกพรุน 10 คน ใน 100 คน
– ผู้หญิงอายุเกิน 70 ปี โอกาสเกิดกระดูกพรุน 20 คน ใน 100 คน
– ผู้หญิงอายุเกิน 80 ปี โอกาสเกิดกระดูกพรุน 40 คน ใน 100 คน
- กรรมพันธุ์
ในครอบครัวที่พ่อหรือแม่มีโรคกระดูกพรุนแล้วมีกระดูกหัก ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วกระดูกหักด้วย
- เชื้อชาติ
ชาวต่างชาติที่มีผิวขาวและคนเอเชียมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูง
- ยา
การได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานานทำให้มวลกระดูกบางลง เช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, ผู้ป่วยโรค SLE (โรคพุ่มพวง)ยาทดแทนธัยรอยด์ ยาป้องกันการชัก เป็นต้น
- เคยกระดูกหัก
โอกาสที่จะเกิดกระดูกหักซ้ำเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2.5 เท่า
- แอลกอฮอล์ การดื่มเหล้า เบียร์ หรือแม้แต่ไวน์
ในปริมาณมากกว่า 3 แก้ว/วัน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนเร็วขึ้น
- บุหรี่
สารพิษนิโคตินเป็นตัวทำลายเซลล์สร้างมวลกระดูกทำให้กระดูกบางลง หากสูบบุหรี่มากกว่า 20 มวน/วัน ความเสี่ยงต่อกระดูกสะโพกหักสูงขึ้น 1.5 เท่าของคนไม่สูบบุหรี่
- ผอมเกินไป
คนที่ผอมเกินไปจะเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่า และมีความเสี่ยงกระดูกหักเพิ่มขึ้น 2 เท่าของคนรูปร่างปกติ
- ขาดสารอาหาร
การรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ นอกจากทำให้ร่างกายเสียสมดุลแล้วยังอาจขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างมวลกระดูก โดยเฉพาะแคลเซียม วิตามินดี และโปรตีน
- ขาดการออกกำลังกาย
คนไม่ออกกำลังกายมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่า พบว่า ผู้หญิงที่นั่งมากกว่า 9 ชั่วโมง/วัน เสี่ยงกระดูกสะโพกหักมากกว่าผู้หญิงที่นั่งน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันถึง 50%
- การรับประทานอาหาร
ถ้าได้รับเกลือมากกว่า 1 ช้อนชา/วัน ชา กาแฟมากกว่า 3 แก้ว/วัน น้ำอัดลมมากกว่า 4 กระป๋อง/สัปดาห์ และทานโปรตีนมากกว่า 10 – 15% ในแต่ละมื้อของอาหาร มีความเสี่ยงกระดูกพรุนสูง เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม ส่วนอาหารเค็มจัดและคาเฟอีนยังทำให้ร่างกายขับแคลเซียมมากขึ้นอีกด้วย
วัยทองกับโรคกระดูกพรุน
ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีเนื้อกระดูกน้อยกว่าผู้ชายประมาณ 10 – 30% และเมื่อหมดประจำเดือนจะมีการสลายของกระดูกมากถึงร้อยละ 3.5 ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหมดประจำเดือนเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปหรือที่เรียกว่า “วัยทอง” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลง ทำให้เนื้อกระดูกเปราะบาง มีผลทำให้กระดูกหักได้ง่าย ๆ
ป้องกันกระดูกพรุนคนวัยทอง
ผู้หญิงในวัยทองควรดูแลตัวเองให้มากกว่าปกติ ควรลดความเครียด รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กุ้งแห้ง ถั่วแดง ผักคะน้า ฯลฯ ซึ่งเป็นสารหลักในการสร้างเนื้อกระดูก ทั้งนี้ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน การเสริมแคลเซียมไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรง แต่ช่วยยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูกเท่านั้น
ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมง จะช่วยลดการสลายของแคลเซียมจากกระดูกได้ด้วย นอกจากนี้ควรงดการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และพยายามป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการหกล้ม เป็นต้น
อาหารเสริมพลัง ป้องกันกระดูกพรุน
- แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการอาจแตกต่างในแต่ละวัย และสภาวะร่างกาย ดังนี้
- อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า บรอกโคลี
- นมและผลิตภัณฑ์ของนม
- ปลาซาร์ดีนพร้อมกระดูก ปลาตัวเล็ก ๆ พร้อมกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง งาดำ กะปิ เป็นต้น
- วิตามินดี มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม โดยร่างกายต้องการวิตามินดี วันละ 400-800 หน่วย
- นม 1 แก้ว = มีวิตามินดี 100 หน่วย และแคลเซียม 300 มิลลิกรัม
- ออกกำลังทุกวัน ป้องกันกระดูกพรุน สมดุลการทรงตัว
เด็กเล็ก พบว่าเด็กไทยมีปัญหาขาดการออกกำลังกายในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงพบว่ามีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง เนื่องจากขาดการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักผ่านกระดูก
ผู้ใหญ่ พบว่า ผู้ที่นั่งมากกว่า 9 ชั่วโมง/วัน มีโอกาสเกิดกระดูกสะโพกหักมากกว่าผู้ที่นั่งน้อยกว่า 6 ชั่วโมง/วัน ถึง 50%
ผู้สูงอายุ ควรออกกำลังกายชนิดที่มีการลงน้ำหนัก เช่น เต้นรำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ทั้งบนถนนหรือลู่วิ่ง ทั้งนี้การฝึกการทรงตัวเพื่อป้องกันการหกล้มเป็นวิธีการที่ดีที่จะลดอุบัติการณ์ของกระดูกหักได้ เช่น การรำมวยจีนบางประเภท แต่ถ้าไม่แน่ใจให้ปรึกษาแพทย์ก่อน
ตรวจวัดมวลกระดูก Bone Mineral Density (BMD)
การตรวจวัดมวลกระดูก Bone Mineral Density (BMD) ด้วยเครื่องมือรังสีชนิดพิเศษ เป็นวิธีการที่ไม่เจ็บปวด ใช้ตรวจกระดูกได้ทุกส่วน แต่ที่นิยมและใช้เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนด คือ ที่กระดูกสันหลังช่วงเอวและกระดูกสะโพก ซึ่งจะได้ค่าเป็นตัวเลขแสดงความเบี่ยงเบนจากค่ามาตรฐาน
ส่วนภาพ X-rays ในภาวะกระดูกพรุนจะเห็นเนื้อกระดูกจาง ๆ โพรงกระดูกกว้างออก ความหนาของผิวกระดูกลดลงและมีเส้นลายกระดูกหยาบ ๆ โดยจะเห็นขอบของกระดูกเป็นเส้นขาวชัด ในบางราย อาจเห็นกระดูกหักหรือกระดูกสันหลังทรุดตัว
ตรวจกระดูกตอนไหนดี
- ผู้ที่มีอาการปกติ ไม่มีภาวะเสี่ยง ควรเริ่มตรวจความหนาแน่นกระดูกเมื่ออายุ 60 ปี
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เคยมีประวัติกระดูกหักในครอบครัวจากภาวะกระดูกพรุน หรือรับประทานยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจความหนาแน่นกระดูกเร็วขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ChatGPT เพิ่มมาตรการคุ้มครองเด็ก ใช้ AI ตรวจจับภาวะเครียด แจ้งเตือนผู้ปกครอง

- OpenAI ประกาศเพิ่มมาตรการคุ้มครองเด็กใน ChatGPT หลังเผชิญคดีฟ้องร้องกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายของเด็ก 16 ปีในสหรัฐ
- มาตรการใหม่จะใช้เอไอช่วยตรวจจับภาวะเครียดหรือความทุกข์รุนแรงของเยาวชนระหว่างการสนทนา และสามารถส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองได้
- เพิ่มฟีเจอร์ Parental Controls ให้ผู้ปกครองสามารถเชื่อมบัญชีกับบุตรหลานเพื่อตั้งค่าความเหมาะสมตามวัย และมีสิทธิ์ปิดประวัติการสนทนาเพื่อลดความเสี่ยง
บริษัท OpenAI ผู้พัฒนาแชตบอต ChatGPT ประกาศแผนเพิ่มมาตรการคุ้มครองเด็กและเยาวชน หลังถูกครอบครัวในสหรัฐฟ้องร้องว่า ระบบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจฆ่าตัวตายของวัยรุ่นอายุ 16 ปี
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความกังวลที่ว่า เด็กจำนวนมากกำลังใช้เอไอเป็นที่พึ่งทางใจ และอาจเสี่ยงต่อการเผชิญคอนเทนต์อันตรายโดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแรงกดดันครั้งนี้คือ คดีของ อดัม เรน (Adam Raine) จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวได้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยกล่าวว่า ChatGPT มีส่วนสนับสนุนการเสียชีวิตของเขา
เอกสารฟ้องระบุว่า แชตบอตได้พูดคุยกับเรนเรื่องวิธีการฆ่าตัวตายเป็นเวลาหลายเดือน และถึงขั้น “เสนอจะช่วยเขียนจดหมายลาตาย” ก่อนที่เขาจะลงมือในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ครอบครัวเรนอ้างว่า OpenAI รีบปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดทั้งที่ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ขณะที่ OpenAI ยอมรับกับสื่อว่า ระบบของตนอาจเกิดปัญหาเมื่อมีการสนทนายาวนาน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของระบบความปลอดภัยด้อยลง
มาตรการใหม่: แจ้งเตือนผู้ปกครอง-ปิดประวัติแชตได้
OpenAI ระบุว่าผ่านบล็อกโพสต์ว่า จะเพิ่ม Parental Controls ภายในเดือนตุลาคม ประกอบด้วย
- การแจ้งเตือนผู้ปกครอง หากระบบตรวจพบว่าวัยรุ่นมีภาวะเครียดหรือทุกข์อย่างรุนแรงระหว่างแชต
- ผู้ปกครองสามารถเชื่อมบัญชีของตนกับบัญชีลูกหลาน และตั้งค่าพฤติกรรมของโมเดลให้เหมาะสมตามวัย
- สิทธิ์ในการปิดฟีเจอร์ความจำ (Memory) และประวัติการสนทนา เพื่อลดความเสี่ยงที่เอไอจะสะสมข้อมูลและนำกลับมาใช้ซ้ำในอนาคต
- ตัวเตือนพัก (Break reminder) ฟังก์ชันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อคอยแจ้งเตือนผู้ใช้ว่ามีการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานแล้ว ควรพักสายตา พักสมอง หรือเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย เพื่อป้องกันอาการล้า โดยเฉพาะเมื่อการสนทนามีความยาวต่อเนื่อง
OpenAI อธิบายว่า วัยรุ่นจำนวนมากกำลังเป็น AI Natives เติบโตมากับเทคโนโลยีนี้เหมือนรุ่นก่อนๆ ที่โตมากับอินเทอร์เน็ตหรือสมาร์ตโฟน สิ่งเหล่านี้สร้างโอกาสใหม่ แต่ก็หมายความว่าครอบครัวจำเป็นต้องมีเครื่องมือกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย
องค์กรด้านสิทธิเด็กเตือน “ยังไม่พอ”
แอนดี เบอร์โรวส์ (Andy Burrows) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิ Molly Rose Foundation ที่ตั้งขึ้นหลังการเสียชีวิตของเด็กหญิง Molly Russell วัย 14 ปีจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย กล่าวว่า “เป็นเรื่องให้อภัยไม่ได้ที่ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดก่อนจะมั่นใจว่าปลอดภัยสำหรับเด็ก แล้วค่อยๆ แก้ทีหลัง”
พร้อมเรียกร้องให้ Ofcom ตรวจสอบการละเมิดภายใต้ Online Safety Act หาก ChatGPT ทำผิดเงื่อนไข
ด้าน โทนี บรันตัน-ดักลาส (Toni Brunton-Douglas) เจ้าหน้าที่นโยบายอาวุโส องค์กรการกุศลคุ้มครองเด็ก NSPCC กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของ OpenAI เป็นก้าวในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ยังไม่พอ โดยชี้ว่าหากไม่มีระบบตรวจสอบอายุที่เข้มงวด บริษัทก็ไม่อาจรู้ได้จริงว่าใครกำลังใช้แพลตฟอร์ม และเด็กเปราะบางยังคงเสี่ยงต่ออันตราย
งานวิจัยชี้ เด็กจำนวนมากใช้เอไอเป็นเพื่อนทางใจ
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก งานสำรวจโดย Common Sense Media ในสหรัฐ พบว่า เกือบสามในสี่ของวัยรุ่นสหรัฐเคยใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI companions) เพื่อพูดคุย เล่นบทบาทสมมติ หรือแม้แต่สร้างความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกับเอไอ
ในสหราชอาณาจักร งานวิจัยขององค์กร Internet Matters ระบุว่า 71% ของเด็กที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางกำลังใช้แชตบอตเอไอ และ 6 ใน 10 ผู้ปกครอง แสดงความกังวลว่า ลูกหลานอาจเชื่อว่าแชตบอตเป็นคนจริง ซึ่งอาจทำให้ความเสี่ยงทางอารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น
บริษัทอื่นรับมืออย่างไร
ไม่เพียงแค่ OpenAI เท่านั้นที่เผชิญแรงกดดัน ด้านบริษัท Anthropic ผู้พัฒนาแชตบอต Claude ประกาศชัดว่าไม่อนุญาตให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้งาน
Google อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีใช้แอป Gemini ได้ หากผู้ปกครองควบคุมผ่านระบบ Family Link โดยมีคำเตือนชัดเจนว่า “เอไอไม่ใช่มนุษย์ ไม่สามารถคิดหรือรู้สึกได้เอง” และผู้ปกครองสามารถปิดการใช้งานได้
ขณะที่ Meta ระบุว่าบริษัทกำลังเสริมมาตรการ เช่น ฝึกให้เอไอไม่สนทนากับวัยรุ่นในประเด็นเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเองหรือการกินผิดปกติ และส่งต่อไปยังแหล่งข้อมูลผู้เชี่ยวชาญแทน
อย่างไรก็ตาม มาตรการใหม่ของ OpenAI ถูกกำหนดให้ปล่อยใช้งานจริงภายในเดือนหน้า พร้อมโรดแมป 120 วันเพื่ออัปเดตด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม ขณะเดียวกันคดีของครอบครัวเรนกำลังให้ศาลสหรัฐพิจารณาอย่างจริงจังว่า บริษัทเทคโนโลยีควรถูกกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยอย่างไรเมื่อผลิตภัณฑ์ของตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตเด็กและเยาวชน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
15 คำชมเชยภาษาอังกฤษ ไว้พูดกับลูกง่าย ๆ

การพูดชื่นชมลูกน้อย
คำชื่นชมจากพ่อแม่ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการเพิ่ม Self-esteem ความรู้สึกในการชื่นชอบตัวเองซึ่งจะภูมิต้านทานอย่างดี ต่อสุขภาพจิต เพื่อให้ลูกมีกำลังใจ ในบางเวลาที่ลูกสามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ดี และเป็นการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่ง
ในบทความนี้ EduFirst ได้นำคำชมเชยภาษาอังกฤษ มาแบ่งปัน ใน 15 คำชื่นชมภาษาอังกฤษ ไว้พูดกับลูกและหากคุณพ่อคุณแม่อยากฝึกภาษาอังกฤษให้กับลูกเพิ่มเติม สามารถฝึก สนทนาภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันง่ายๆ กับลูกน้อย ได้เลยค่ะ
15 คำชมเชยภาษาอังกฤษ
1. Well done ดีมากจ้ะ
คุณพ่อ คุณแม่ สามารถชื่นชมลูกๆ “well done” ในสถานการณ์ที่ลูกสามารถทำบางสิ่ง หรือกำลังทำบางสิ่งจนสำเร็จตามต้องการได้นะคะ
2. Great! เยี่ยมมากจ้ะ
สำหรับคำชมนี้ “Great” ลองใช้คำนี้มาถามลูกในขณะที่น้องทำบางสิ่งได้ดีมาก เป็นที่ประทับใจของคุณพ่อคุณแม่จนต้องชื่นชมน้องได้เช่นกัน
3. Good job เก่งมากลูก
สำหรับคำว่า “Good Job” คำชมเชยนี้สามารถใช้กับลูก ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกกระทำบางสิ่งสำเร็จ หรือทำบางสิ่งที่น่าชื่นชม จนต้องเอ่ยปากชมว่า เก่งมาก นั่นเอง
4. Nice one! ทำได้ดีมากจ้า
พูดชื่นชมว่า “Nice one” ในสถานการณ์ที่น้องทำภารกิจบางอย่าง หรือต้องออกไปลุยกิจกรรมต่าง ๆ แล้วทำสิ่งนั้นได้ตามหวัง
5. Brilliant! / Excellent! ยอดเยี่ยมเลยจ้ะ
เมื่อน้องๆ ทำบางสิ่งถูกใจคุณพ่อคุณแม่ หรือว่าน้องได้พูดบางสิ่งที่ดี แสดงความคิดเห็นบางสิ่งที่ยอดเยี่ยม ก็นำคำ Brilliant! / Excellent! นี้ไปชื่นชมได้เช่นกันค่ะ
6. You are so smart. ลูกเก่งมากจ้ะ
สำหรับประโยคคำชมนี้สามารถใช้ได้ในกรณีที่น้องทำบางสิ่งได้ดี โดยเฉพาะการทำบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้อย่างดี ก็สามารถใช้คำนี้เป็นคนชมได้ด้วยค่ะ
7. I’m so proud of you. แม่ภูมิใจในตัวลูกมากจ้ะ
ประโยคนี้สามารถชื่นชมและนำไปใช้ในการให้กำลังใจลูกได้นะคะ อย่างกรณีที่น้องทำบางสิ่งได้ดีมาก ๆ แล้วบอกน้องว่าภูมิใจในตัวเขา น้องก็จะรู้สึกดีและรู้สึกดีใจว่าทำได้ออกมาดีค่ะ
8. I know you can do it! แม่รู้ว่าลูกทำได้
ในส่วนของประโยคนี้เป็นการให้กำลังที่ดีมากเลยนะคะ ซึ่งสามารถใช้ในขณะที่น้องกำลังทำบางสิ่ง แล้วต้องการกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่นั่นเองค่ะ
9. You are very good at this. ลูกเก่งเรื่องนี้มาก
ประโยคนี้สามารถใช้ในการชมลูกได้เช่นกัน อย่างกรณีที่ลูกทำบางสิ่งได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงทำในเรื่องนี้ได้ดีตลอด ไม่เคยผิดหวัง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอีกกำลังใจที่ดีเช่นกันนะคะ
10. That’s a great idea! นั่นเป็นความคิดที่เยี่ยมมากค่ะลูก
ซึ่งประโยคนี้เป็นประโยคที่ใช้บอกกับลูกเวลาที่น้องมีความคิดเห็นหรือไอเดียที่ดี ๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาชื่นชมน้องได้เช่นกันค่ะ
11. You outdid yourself today. ลูกทำได้ดีกว่าเดิมที่เคยทำนะ
ถ้าเราอยากให้กำลังใจ ว่าเค้าทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ (แต่ยังไม่ดีที่สุด) อาจใช้คำชมกลุ่มนี้ที่แปลว่า คุณทำได้ดีขึ้นทุกวันเลยนะ
12. I have confidence in you. แม่มั่นใจในตัวลูกมากเลยจ้ะ
13. You are a great example to others. ลูกเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนอื่นนะ
14. You are really something special. ลูกเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ
15. You are doing much better today. วันนี้ลูกทำได้ดีมากจ้ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
“ผักปู่ย่า” ผักพื้นบ้านชื่อแปลก แต่คุณค่าอาหารสูง มีสารยับยั้งการสร้างเซลล์มะเร็ง

ผักพื้นบ้านในบ้านเรานั้นมีมากมายหลายชนิด โดยแต่ละชนิดอาจมีชื่อแปลกๆ น่าสนใจ อย่างผักปู่ย่าเอง ก็เป็นผักพื้นบ้านชื่อแปลก แต่ผักปู่ย่านั้นกลับมีสรรพคุณโดดเด่นมากมายเลยทีเดียว
เพจอุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพเฉลิมพระเกียรติบึงฉวาก ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผักปู่ย่าว่า
ผักปู่ย่าเป็นชื่อพื้นเมืองภาคเหนือ จากการศึกษาพบว่าผักชนิดนี้ชาวเหนือและชาวอีสานรับประทานเป็นผัก ชาวบ้านนิยมรับประทาน และมีจำหน่ายในตลาดสด ชาวเหนือมีตำนานเล่าเรื่องสั้นต่อกันมาว่า มีสองเฒ่าสามีและภรรยาเดินไปทำนา ระหว่างทาง ทั้งสองได้พักรับประทานอาหารกลางวัน และได้เหลือบไปเห็นไม้นี้เข้าจึงได้เด็ดยอดมาจิ้มน้ำพริกรับประทาน หลักจากรับประทานผักนี้เข้าไปรู้สึกว่ามีแรงมีพละกำลังเพิ่มขึ้น จึงทำให้เรื่องนี้เล่าลือกันต่อมา ทำให้คนรุ่นหลังรู้จักและเก็บผักนี้มารับประทานต่อกันเรื่อยมา และชาวบ้านจึงเรียกผักนี้เพื่อระลึกถึงผู้ที่เริ่มรับประทานก่อนว่า “ผักปู่ย่า”
ส่วนชาวอีสานเรียกผักนี้ว่า “ผักกาดย่า”ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ผักปู่ย่าเป็นไม้เถา ลำต้นตั้งตรงหรือเลื้อยพันต้นไม้อื่น สูงมากกว่า 1 เมตร ลำต้นมีหนามแหลมมากมายทั้งลำต้น ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเป็นคู่ข้ามกัน ก้านใบยาว 25-40 ซม. ใบย่อยมี 10-30 คู่ และแตกออกไปอีก 10-20 คู่ กว้าง 4 มม. ก้านใบสีแดง มีหนามแหลมตามกิ่งก้านทั่วไป ดอกเป็นดอกช่อยาว 20-40 ซม. ดอกสีเหลืองดอกบานในช่วงฤดูหนาว ดอกยาว 1.2-2 ซม. กว้าง 1-1.8 ซม. ลักษณะเป็นแผ่นแบนและปลายเรียวแหลม ผลเป็นฝัก ขนาดเท่าหัวแม่มือ ภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด ใบและช่อดอกมีกลิ่นฉุนรุนแรง คล้ายกลิ่นแมงกะแท้หรือแมงดา ชาวบ้านว่าผักปู่ย่ามีกลิ่นหอมนวลน่ารับประทาน การปลูก ผักปู่ย่าพบขึ้นในแหล่งธรรมชาติ บริเวณเป็นป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง ป่าผสม ผลัดใบและบริเวณชายป่า ที่รกร้าง ชอบขึ้นรวมกับต้นไม้อื่นๆ ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด
ส่วนที่เป็นผัก/ฤดูกาล ยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกของผักปู่ย่ารับประทานเป็นผักได้ ยอดอ่อนและใบอ่อนผลิออกในช่วงฤดูฝน ส่วนดอกพบในฤดูหนาว (เดือนตุลาคม-เดือนกุมภาพันธ์) การปรุงอาหาร ชาวเหนือรับประทาน ยอดอ่อน ใบอ่อนของผักปู่ย่าเป็นผักสดกับน้ำพริก หรือซอยใส่กับลาบ ส่วนดอกและยอดอ่อนนำไปปรุงเป็น “ส้าผัก” ได้ โดยปรุงร่วมกับมะเขือแจ้ ยอดมะม่วงและเครื่องปรุงรสหลายชนิด รสของยอดอ่อนและดอกมีรสเปรี้ยว ฝาดเผ็ดร่วมกัน
ยอดอ่อนและดอก มีรสเปรี้ยว ฝาดเผ็ดร่วมกัน จึงมีสรรพคุณ บ ารุงเลือด แก้วิงเวียน และจากรายงานผลการวิจัยที่ค้นพบ พบว่าในผักพื้นบ้านประเภทนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจึงมีสรรพคุณในการลดหรือยับยั้งการสร้างเซลล์มะเร็งได้ดี
ข้อมูลจากหนังสือ ผักพื้นบ้าน : ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/09/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 54,500.00 | 54,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,523.00 | 53,408.68 | 55,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,170.70 | 48,067.81 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,818.40 | 42,726.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,585.35 | 24,033.91 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,233.05 | 18,693.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,650.78 | 55,345.82 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |