กลุ่มมิลเลนเนียล ยันกำลังซื้อยังแกร่ง
กลุ่มมิลเลนเนียล ยันกำลังซื้อยังแกร่งดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคล่าสุด พบเทรนด์การใช้จ่ายมาแรง
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคล่าสุด พบเทรนด์การใช้จ่ายมาแรง – วางแผนมีบ้านในอนาคตผู้บริโภคกลุ่ม Millennials (มิลเลนเนียล) หรือ Gen Y (ผู้ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2527-2539) ได้กลายมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในศตวรรษที่ 21 ด้วยพื้นฐานการเติบโตมากับโลกดิจิทัลจึงเรียนรู้และรับเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว และนำมาพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังตัดสินใจรวดเร็ว จึงทำให้คน Gen นี้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม เศรษฐกิจ หรือการดำเนินชีวิต
อีกทั้งยังเป็นวัยที่เต็มไปด้วยไฟในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตและอยู่ในช่วงสร้างฐานะให้มั่นคง จึงทำให้เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูงและคาดว่าจะเป็นกำลังซื้อสำคัญในอนาคตไปอีกหลายปี ทั้งนี้ ข้อมูลจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553-2583 (ฉบับปรับปรุง) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าในปีนี้ประชากรไทยในช่วงอายุ 25-39 ปี จะมีจำนวนถึง 13.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 31.53% ของประชากรวัยแรงงานทั้งหมด (ช่วงอายุ 15-59 ปี) กว่า 43 ล้านคน จึงทำให้หลายธุรกิจจับตามองและช่วงชิงกำลังซื้อจากคนกลุ่มนี้มากขึ้น
แน่นอนว่าเมื่อชาวมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในสายตาของหลากหลายธุรกิจ ย่อมถูกดึงดูดให้ใช้จ่ายสนองความต้องการด้านต่าง ๆ เสมอ และกลายเป็นอีกช่วงวัยที่เริ่มมีภาระหนี้เพื่อซื้อทรัพย์สินที่มีราคาสูงโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยเมื่อเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย ภาคธุรกิจและผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม รวมทั้งกลุ่มมิลเลนเนียลด้วยเช่นกัน บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้เปิดเผยข้อมูลอัปเดต ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย พบว่า กลุ่มผู้บริโภคที่มีการสร้างหนี้มากที่สุด คือ กลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen Y โดยมีหนี้สินรวมกันถึง 4 ล้านล้านบาท คิดเป็นหนี้เสีย (NPL) คงค้าง 2.7 แสนล้านบาท
เมื่อพิจารณาเรื่องสินเชื่อบ้านที่อนุมัติใหม่ในช่วงเวลานั้นจำนวน 80,494 สัญญา พบว่าเป็นของกลุ่มมิลเลนเนียลหรือ Gen Y มากที่สุดถึง 64% และเป็นที่น่ากังวลในเรื่องปัญหาค้างชำระในอนาคต สะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องในการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดฯ และเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้เห็นปัญหาการวางแผนด้านการเงิน แม้จะมีกำลังซื้อสูงก็ตาม
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ เจาะลึกมุมมองด้านการวางแผนการใช้จ่ายของกลุ่มมิลเลนเนียลและความต้องการด้านที่อยู่อาศัยท่ามกลางความท้าทายทั้งด้านการเงินและการงานจากสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางและสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ว่าส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของชาวมิลเลนเนียลในตลาดอสังหาฯ มากน้อยเพียงใด
เริ่มตั้งแต่ 1.อยากใช้จ่ายหลากหลาย แต่ครอบครัวต้องมาก่อน เมื่อพูดถึงการวางแผนการใช้จ่ายใน 1 ปีข้างหน้าของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลนั้น ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไปที่การใช้จ่ายภายในครอบครัวถึง 74% สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นกำลังสำคัญในการสร้างรายได้และดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครอบครัวของคนวัยนี้ อย่างไรก็ตาม ชาวมิลเลนเนียลยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองอยู่ไม่น้อยแม้จะยังไม่มีความพร้อมด้านการเงินในตอนนี้ โดย 59% เผยว่ามีความตั้งใจออมเงินเพื่อวางแผนซื้อบ้านในอนาคต ในขณะที่ 46% ระบุว่าอยากออกไปท่องเที่ยวในวันหยุด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ปัจจุบันทำให้ทุกคนจำเป็นต้องเก็บตัวอยู่บ้าน และชะลอแผนท่องเที่ยวออกไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และหยุดการแพร่ระบาดฯ ในประเทศ
2. เตรียมความพร้อม หวังซื้อบ้านหลังแรกตอน 31 ปี เมื่อพิจารณาในด้านการครอบครองอสังหาฯ ในปัจจุบัน พบว่ายังมีสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน โดยผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มมิลเลนเนียลมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้วถึง 57% ในขณะที่อีก 43% ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ อสังหาฯ ใด ๆ ซึ่ง 2 ใน 3 ของผู้บริโภคกลุ่มนี้ (66%) เผยว่า พวกเขาได้วางแผนที่จะซื้อบ้านหลังแรกเมื่ออายุ 31 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะเป็นช่วงวัยที่มีความพร้อมมากพอทั้งด้านหน้าที่การงานที่มั่นคงและสถานะทางการเงินที่เหมาะสมเมื่อต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่มากกว่าตอนนี้
3. สถานะทางการเงินสั่นคลอน อุปสรรคหลักของการมีบ้าน กลุ่มมิลเลนเนียลยอมรับว่าปัญหาทางการเงินจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในตอนนี้ถือเป็นอุปสรรคหลัก ๆ ที่ทำให้พวกเขายังไม่มีแผนย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ โดย 1 ใน 2 ของกลุ่มนี้ (50%) เผยว่า ยังไม่มีเงินออมมากพอที่จะไปเช่าหรือซื้อบ้านเป็นของตนเอง ในขณะที่ 41% ต้องการที่จะอยู่บ้านเดิมเพื่อดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ตามมาด้วยกลุ่มที่ไม่คิดจะย้ายออกเพราะยังไม่ได้แต่งงาน 33% และตั้งใจจะรับช่วงต่อบ้านเดิมจากพ่อแม่อยู่แล้ว 33% จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้ออสังหาฯ เป็นของตัวเองในตอนนี้
4. การเช่าโดนใจ ตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยแบบไร้ข้อผูกมัดระยะยาว ด้วยข้อจำกัดทางการเงินจากปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้ชาวมิลเลนเนียล 94% ตัดสินใจเช่าแทนการซื้อที่อยู่อาศัยในตอนนี้ เนื่องจากมองว่าการเช่าบ้าน/คอนโดฯ จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการซื้ออสังหาฯ ซึ่งต้องมีความพร้อมทางการเงินในระดับหนึ่งจึงจะได้รับการอนุมัติสินเชื่อ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงเลือกเก็บเงินก้อนที่มีสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและหันไปเลือกเช่าอสังหาฯ ในรูปแบบที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแทน นอกจากนี้การมีสถานภาพโสดอยู่ตัวคนเดียวก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้การเช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมมากกว่าการซื้อเช่นกัน
แม้ผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากหลายปัจจัยในตอนนี้จะทำให้แผนบริหารจัดการเงินของชาวมิลเลนเนียล ต้องสะดุดลงหรือชะลอการใช้จ่ายในเรื่องที่ยังไม่จำเป็นเร่งด่วนออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังคงเป็นกำลังซื้อที่สำคัญในหลายอุตสาหกรรมในระยะยาว เพียงแต่รอดูสัญญาณบวกของสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อหาเวลาที่เหมาะสมในการออกมาใช้จ่ายแทน ดังจะเห็นได้จากการวางแผนใช้จ่ายในอนาคตที่ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล ยังคงให้ความสำคัญไปยังสิ่งที่จำเป็นมาก่อนความต้องการส่วนตัว ด้วยการวางแผนบริหารจัดการการเงินที่รอบคอบนี้เชื่อว่าจะช่วยให้กลุ่มมิลเลนเนียล สามารถปรับพฤติกรรมและปรับเปลี่ยนแผนการใช้จ่ายที่มีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที และกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในอนาคตแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เสนาฯดันบ้านอีก 237 หลัง ร่วมโซลาร์ภาคประชาชน
เสนาดีเวลลอปเม้นท์เดินหน้าติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ดัน 237 หลังคาเรือนที่จะเปิดใหม่ปีนี้เข้าสู่โครงการโซลาร์ภาคประชาชนขายไฟฟ้าให้รัฐ
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่ติดตั้งโซลาร์บนหลังคา หรือโซลาร์รูฟท็อปเข้าสู่นโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ภาคประชาชนอีกประมาณ 237 หลังคาเรือน รวมทั้งหมดเป็น 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1 เมกะวัตต์ จากเดิมที่พัฒนาไปแล้วทั้งหมด 500 หลังคาเรือน ปัจจุบันรัฐบาลรับซื้อไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยละ 2.20 บาท
ในอนาคตหากมีแบต เตอรี่เก็บกักไฟในราคาที่ไม่สูงเกินไป รัฐบาลก็อาจจะไม่ต้องรับซื้อในราคา 2.20 ต่อหน่วย เพราะประชาชนจะสามารถเก็บไฟฟ้าไว้ใช้เองได้ ดังนั้น เวลานี้รัฐบาลจึงทำเสมือนเป็นแบตเตอรี่สำรองเก็บไฟฟ้าส่วนเกินไว้ให้
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าแนวโน้มของที่อยู่อาศัยที่มีการติดตั้งโซลาร์จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกระแส New Normal, Work From Home รวมถึงการเข้ามาของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) โดยจะมีผลทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้า หากที่อยู่อาศัยสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ จะยิ่งช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภค
“ปีนี้เสนามีแผนผลักดันลูกบ้านเข้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน จำนวน 7 โครงการ หรือประมาณ 237 หลัง ประกอบด้วย 1.เสนา พาร์ค วิลล์ รามอินทรา, 2.เสนา วิลล์ ศาลายา, 3.เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6, 4.เสนา วีว่า สาย 7, 5.เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ, 6.เสนา แกรนด์ โฮม และ 7.เสนา ช๊อปเฮ้าส์ ลำลูกกา คลอง 2”
ปัจจุบันเสนาฯ มีลูกค้าที่ติดตั้งโซลาร์แล้ว แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยประมาณ 400 หลัง รวมกำลังผลิตมากกว่า 1,000 กิโลวัตต์, สำนักงาน คลังสินค้า โรงงานขนาดใหญ่ กว่า 50 แห่ง รวมกำลังผลิตกว่า 16,000 กิโลวัตต์ และยังมีโซลาร์ฟาร์มที่เสนาฯลงทุนอยู่ขนาด 46,500,000 กิโลวัตต์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ธอส. เปิด 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ วงเงิน 23,000 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงินรวมอีก 23,000 ล้านบาท เปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มพนักงานที่ประกอบอาชีพประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 25,000 บาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้นต่ำสุดเพียง 1.75% ต่อปี ให้ชำระเงินงวดแบบขั้นบันได ตัดชำระเงินต้นและตัดชำระดอกเบี้ยทุกเดือน ลูกค้าไม่ Payment Shock กู้ 1 ล้านบาท เงินงวดปีแรกเพียง 3,500 บาทต่อเดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี พิเศษฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มพนักงานที่ประกอบอาชีพประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 25,000 บาทขึ้นไป ให้ได้มีที่อยู่อาศัยเพื่อความมั่นคงในชีวิตของตนเองและครอบครัวได้ง่ายมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “Be Simple, Make it Simple” ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้เตรียมกรอบวงเงินอีก 23,000 ล้านบาท จัดทำ 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่ม Business Solution เพิ่มเติมจากการออก 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (Social Solution) กรอบวงเงิน 70,000 ล้านบาท ที่ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ออกมาเพื่อให้ลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป สามารถผ่อนชำระด้วยเงินงวดที่ปรับขึ้นในจำนวนที่สอดคล้องกับรายได้แบบขั้นบันได และตัดชำระเงินต้นและตัดชำระดอกเบี้ย ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พิเศษ!! ลดภาระให้กับลูกค้าโดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม ซึ่งมีรายละเอียดของทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ ดังนี้
3. โครงการสินเชื่อบ้าน สร้างสมใจ กรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นสมาชิกของของสมาคมไทยรับสร้างบ้าน สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และบริษัท บิลค์ วัน กรุ๊ป จำกัด เพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซมอาคาร และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับวัตถุประสงค์ตามที่ธนาคารกำหนดโดย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น ปีที่ 1 เท่ากับ 2.80% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-3.05% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.65% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.13% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,200 บาทต่อเดือนยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
4. โครงการสินเชื่อบ้าน All Home กรอบวงเงิน 6,500 ล้านบาท สำหรับลูกค้ารายที่มีวัตถุประสงค์การกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ปีที่ 1 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-2.65% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.25% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.55% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,400 บาทต่อเดือน และอัตราดอกเบี้ย วงเงินกู้ 3 ล้านบาทขึ้นไป ปีที่ 1 เท่ากับ 3.00% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-2.90% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.40% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.33% ต่อปี กรณีกู้ 3 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติ และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
5. โครงการสินเชื่อบ้าน Dream Homes by GHB กรอบวงเงิน 7,500 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ไม่มีการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย กับ ธอส. และสถาบันการเงินอื่น ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 4-5 เท่ากับ 4.15% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
“การออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อของ ธอส. ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดเป็นแบบขั้นบันได จะช่วยให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระได้โดยไม่ประสบปัญหาเงินงวดสูงขึ้นเกินกว่าความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต หรือ Payment Shock อาทิ โครงการสินเชื่อบ้านอยู่เย็น เป็นสุข อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 1.75% ต่อปี จะมีเงินงวดผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,600 บาท ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.40% ต่อปี โดย MRR ของธนาคารในปัจจุบันอยู่ที่ 6.150% อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 จึงเหลือเพียง 2.75% ต่อปี ชำระเงินงวดเดือนละ 4,400 บาท และปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี เงินงวดเดือนละ 4,900 บาท ซึ่งเป็นเงินงวดที่ปรับขึ้นในระดับที่สอดคล้องกับรายได้ของผู้กู้ และจำนวนเงินงวดที่ผ่อนชำระยังเพียงพอที่จะตัดทั้งเงินต้นและตัดดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสม ทำให้ลูกค้ามีโอกาสที่จะปิดบัญชีเงินกู้ได้ก่อนหรือภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญาเงินกู้ได้”นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อทั้ง 5 ประเภท มีส่วนสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง (Business Solution) ในปี 2564 ให้เป็นไปตามเป้าหมายจำนวน 75,474 ล้านบาท จากเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่รวม 215,641 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th
2. โครงการสินเชื่อบ้าน D Plus กรอบวงเงิน 2,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ตั้งแต่ 2,500,000 บาท ขึ้นไปและซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านจัดสรรที่เข้าร่วมโครงการพิเศษที่ธนาคารจัดทำขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้า อาทิ โครงการ Fast Track โครงการ Smart Fast Track และโครงการ Regional Fast Track เป็นต้น อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น ปีที่ 1 เท่ากับ 1.99% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-3.40% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.45% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 2.81% ต่อปี กรณีกู้ 2,500,000 บาท ผ่อนชำระเริ่มต้น 10,300 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ปวดคอเรื้อรัง ระวังโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท
กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เผยโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท เกิดได้ทั้งกระดูกสันหลังที่คอและเอว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวด ชา หรืออ่อนแรง แม้ในบางรายอาจจะไม่มีอาการรุนแรง แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท นับเป็นอีกหนึ่งโรคที่สร้างความเจ็บปวดและทุกทรมานให้กับผู้ป่วย ซึ่งมักเกิดขึ้นกับกระดูกสันหลังบริเวณคอและเอว เนื่องจากเป็นกระดูกไขสันหลังส่วนที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุด สาเหตุสำคัญคือ ความเสื่อมของกระดูกไขสันหลังและหมอนรองกระดูก ซึ่งจะพบในผู้สูงอายุเป็นหลัก แต่ในผู้ป่วยอายุน้อยที่มีการใช้งานของกระดูกสันหลังบริเวณดังกล่าวมากเกินไป หรือท่าทางในการใช้งานไม่ถูกต้อง เช่นการก้มยกของหนัก การออกกำลังกายแบบหักโหม การสั่นหรือโยกศีรษะมากเกินไป หรือความผิดปกติของหมอนรองกระดูกหรือกระดูกสันหลังแต่กำเนิด เป็นต้น ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจจะพบว่ามีการกดที่บริเวณไขสันหลังร่วมด้วยได้ ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงหรือรุนแรงถึงขั้นอัมพาตได้
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท โดยเฉพาะจากโรคกระดูกคอเสื่อม เมื่อเกิดขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ บางครั้งจะมีอาการปวดร้าวไปที่บริเวณปลายนิ้วข้างใดข้างหนึ่ง หรือเป็นทั้งสองข้างได้ และหากมีอาการกดเบียดมากขึ้นหรือรุนแรง อาจจะมีการกดประสาทไขสันหลัง ทำให้มีอาการปวดชาหรืออ่อนแรงของทั้งแขนและขาร่วมด้วยได้ เมื่อมีอาการต้องสงสัย ประสาทศัลยแพทย์ก็จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจเอกซเรย์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและหาสาเหตุ เมื่อพบว่ามีการกดทับเส้นประสาทก็จะพิจารณาให้การรักษาไปตามสาเหตุและระดับความรุนแรง กรณีผู้ป่วยมีอาการไม่มากหรืออาการไม่รุนแรง อาจจะพิจารณาให้การรักษาด้วยยาบรรเทาอาการ พักผ่อน ลดการเคลื่อนไหวและการทำกายภาพบำบัด แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ตรวจพบว่ามีการกัดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง ก็จะพิจารณาให้การรักษาด้วยการผ่าตัด
ในปัจจุบันสถาบันประสาทวิทยา มีเทคนิคการผ่าตัดแบบส่องกล้อง และการผ่าตัดแบบเปิดแผลขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อยลง และสามารถฟื้นตัวกลับไปดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคระบบประสาทไขสันหลังดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคดังกล่าว สามารถเข้ารับการตรวจรักษาที่สถาบันประสาทวิทยา โดยศูนย์ความเป็นเลิศโรคระบบประสาทไขสันหลัง เปิดให้บริการทุกวันและเวลาราชการ นายแพทย์ธนินทร์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
โควิด-19 บทเรียนนักกีฬาอาชีพ ที่ “ก้าวผ่าน” อย่างภาคภูมิ
ในแวดวงกีฬา โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนกีฬาอย่างมหาศาล การแข่งขันในรายการสำคัญต้องถูกเลื่อนการออกไป ทำให้นักกีฬาขาดรายได้และไม่มีทัวร์นาเมนต์ลงแข่งขัน เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักกีฬาฟุตบอล ถือเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ฟุตบอลไทยลีก ต้องเลื่อนการแข่งขันออกไป อีกทั้งผลพวงจากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่สโมสรไม่ได้รับตามที่กำหนด เนื่องจากการเลื่อนการแข่งขันไม่เป็นไปตามข้อสัญญาที่มีการตกลงกันไว้ ผลกระทบที่ตามมาคือ สโมสรจำเป็นต้องเซฟค่าใช้จ่าย, นักฟุตบอลไม่ได้รับเงินเดือนตามปกติ บางคนต้องหันหน้าหาอาชีพเสริม
แต่ก็มีนักกีฬาที่สามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ อย่างเช่น “ซูลกิฟลี บือราเฮง” นักฟุตบอลสโมสรนรา ยูไนเต็ด ในวัย 30 ปี ที่ได้รับผลกระทบเมื่อการแข่งขันไทยลีก 3 ต้องหยุดแข่งขันไปนามร่วม 5 เดือน และไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว เขาจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ไม่เคยลองมาก่อน นั่นก็คือ การขายไอศกรีม
โดยพื้นฐานแล้ว “ซูลกิฟลี” เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี และมีความตลกอยู่ในตัว เขาจึงเลือกใส่ความเป็นตัวเองลงไป คือ การสวมชุดสไปเดอร์แมน ขับรถขายไอศกรีมให้เด็กๆ ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส
“ซูลกิฟลี” กล่าวว่า เขาเริ่มต้นจากการสั่งชุดสไปเดอร์แมนมาจากทางออนไลน์ด้วยเงิน 600 บาท เมื่อเริ่มขายจริง ปรากฏว่า กระแสตอบรับก็ดีเกินคาด เด็กๆ และผู้ปกครองต่างชื่นชอบ และเข้ามาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก บางวันมีรายได้จากการขายไอศกรีมราย 3-4 พันบาท นั่นจึงทำให้เขารู้สึกว่า สถานการณ์โควิด-19 แม้จะส่งผลกระทบต่ออาชีพหลัก แต่การขายไอศกรีมถือเป็นช่องทางที่สร้างรายได้ให้กับเขาไม่น้อย
หากเทียบแล้ว รายได้ที่เขาได้รับในช่วงโควิด-19 นับว่ามากกว่าการเตะฟุตบอลเสียอีก เพราะเจ้าตัวมีรายได้จากการขายไอศกรีม ถึงประมาณ 6-7 หมื่นบาท จนปัจจุบันเขายึดการขายไอศกรีมเป็นงานอีกหนึ่งด้าน ภายใต้ชื่อ “ไอติมสไปเดอร์แมน” ที่มีบริการรับส่งไอศกรีมถึงที่
สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพราะความอยู่รอดเพียงอย่างเดียว แต่ที่ตัดสินใจลงมาทำธุรกิจนี้ เพราะเขาอยากเห็นเด็กๆ มีความสุข อีกทั้งเขาเองก็ยังมีกิจกรรมเพื่อสังคม ด้วยการแจกไอศกรีมให้กับเด็กกำพร้า หรือเเจกไอศกรีมฟรีในวันสำคัญของศาสนาอิสลาม
ถือว่า โควิด-19 เปลี่ยนชีวิตแข้งรายนี้อย่างแท้จริง แต่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
หากมองย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม กับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกแรก ชื่อของ “มุทิตา เสนคราม” นักฟุตซอลหญิงทีมชาติไทย ชุดแชมป์ซีเกมส์ และเอเชียนอินดอร์เกมส์ 2018 เป็นชื่อที่หลายๆ คนจดจำ เพราะเธอคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ฟุตซอลลีกหญิง ไม่มีทัวร์นาเมนต์แข่งขันในช่วงเวลานั้น จนตัดสินใจผันตัวเป็นแม่ค้าขายลอตเตอรี่ ตามคุณแม่ของเธอที่ประกอบอาชีพนี้มาก่อน เงินแต่ละบาทที่ได้มานั้น ต้องแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธออย่างแท้จริง
ในช่วงเวลานั้น เธอจะออกจากที่พักในช่วงเช้า ก่อนเดินขายสลากกินแบ่งรัฐบาล และกลับที่พักในช่วงเย็น ระยะทางในแต่ละวันที่เธอต้องเดิน ประมาณ 16 กิโลเมตรต่อวัน แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักกีฬาฟุตซอล ระยะทางจึงไม่เป็นอุปสรรคเท่าใดนัก
เธอยอมรับว่า รู้สึกน้อยใจที่เธอเคยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤติ กลับมีเพียงผู้ใหญ่ในวงการฟุตซอลที่ให้การช่วยเหลือ แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเท่าใดนัก แต่เวลานั้น จะรอพึ่งให้ใครมาช่วยเหลือก็คงไม่ได้ ถ้าอายก็ไม่มีเงิน เธอจึงตัดสินใจสู้ชีวิตในสิ่งที่เธอเองก็ไม่เคยทำมาก่อน และคิดเสมอ ที่เธอมีวันนี้เพราะอาชีพขายลอตเตอรี่ของคุณแม่
สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เธอได้ข้อคิดว่า ในช่วงที่มีเงินในช่วงเวลาปกติ เธอใช้จ่ายเงินไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอเจอกับวิกฤติครั้งนี้ เธอได้รับรู้ว่า เงินที่ได้มามันยากลำบากมาก ถือเป็นบทเรียนให้ชีวิตว่า ต้องใช้ชีวิตอยู่บนความพอดี และไม่ประมาท
ถึงเวลานี้ วิกฤติช่วงเวลานั้นได้ผ่านพ้นไป เธอได้รับโอกาสจากสโมสรฟุตซอลหญิงกรุงเทพมหานคร และยังคงโชว์ผลงานช่วยทีมคว้าแชมป์ฟุตซอลลีกหญิงอีกด้วย เส้นทางของเธอจากนี้ คือการเตรียมความพร้อมกับทีมชาติไทย ในการแข่งขันฟุตซอลหญิงซีเกมส์ และฟุตซอลหญิงเอเชียนอินดอร์ มาร์เชียล อาร์ตสเกมส์ ที่ประเทศไทย
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เมื่อผ่านพ้นมาได้ มันจะทำให้เราเเข็งแกร่งขึ้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
วงการกีฬาแแม้จะเป็นหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ด้วยหัวใจของนักกีฬาที่ยังพร้อมสู้กับสถานการณ์ และวิกฤติที่เกิดขึ้น นั่นคือการสร้างความภาคภูมิใจและบอกเล่าให้รุ่นลูกรุ่นหลานฟังได้ว่า ครั้งหนึ่ง พวกเขาเองก็ได้ผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิต ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ข้าราชการครู ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร อ้อ..บุคลากรทางการศึกษาด้วย!
คำว่าครูน่าจะรู้กันดีว่า คือ Teacher แล้วข้าราชการครูล่ะ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอะไร อ้อมันมีพ่วงด้วยนะ “ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ซึ่งเป็นคำเต็มๆของบุคลากรที่ทำงานในหน่วยงานการศึกษา
ข้าราชการครูภาษาอังกฤษ
“ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ภาษาอังกฤษคืออะไร ข้าราชการครู ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า
- government teacher กั๊ฝเวินเมินท ที๊ชเชอะ แปลว่า ครูของรัฐบาล ก็คือ ข้าราชการครูนี่แหละ
ส่วนคำว่า บุคลากรทางการศึกษา เขาบัญญัติไว้ว่า
- education personnel เอ็ดจุเค๊เชิน เพ๊อเซินเน็ล แปลว่า บุคลากรทางการศึกษา
“ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ก็คือ Government Teachers and Education Personnel ซึ่งเป็นคำที่กระทรวงเขาบัญญัติขึ้นมาครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
ฉีดเข็มเดียว! จีนไฟเขียว ‘วัคซีนลูกผสมป้องกันโควิด-19’
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าสำนักบริหารผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งชาติ (NMPA) ของจีนอนุมัติให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ชนิดลูกผสมที่ต้องฉีดเพียงครั้งเดียว เข้าสู่ตลาดแบบมีเงื่อนไข
วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยทีมวิจัยที่นำโดย เฉินเวย ซึ่งเป็นนักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติจีน (CAE) และนักวิจัยจากสถาบันการแพทย์ทหาร สังกัดสถาบันวิทยาการทหาร (Academy of Military Sciences) เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวแรกของจีนที่ใช้อะดีโนไวรัสเป็นเวกเตอร์ เพื่อส่งสไปก์ยีนของไวรัสโคโรนาเข้าสู่ร่างกาย
สื่อต่างๆ รายงานบทวิเคราะห์ที่เขียนขึ้นระหว่างการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ทั่วโลก ระบุว่าวัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดอาการของโรคโควิด-19 ที่ร้อยละ 65.7 และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่ให้รุนแรงที่ร้อยละ 90.98
ทั้งนี้ ข้อมูลจากการทดสอบของกลุ่มหนึ่งในปากีสถานระบุว่า วัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดอาการของโรคดังกล่าวที่ร้อยละ 74.8 และสามารถป้องกันโรคไม่ให้รุนแรงได้เต็มประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
รู้เอาไว้ไม่เสียหาย ประโยชน์ที่ได้รับจากการดื่ม “ชาดอกเบญจมาศ” ให้ข้อดีมากกว่าที่คิด!
รู้เอาไว้ไม่เสียหาย ประโยชน์ที่ได้รับจากการดื่ม “ชาดอกเบญจมาศ” ให้ข้อดีมากกว่าที่คิด!
ประโยชน์ของ ชาดอกเบญจมาศ ที่พวกเราหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน
ไม่ได้มีแค่ใบไม้เพียงอย่างเดียวที่สามารถเอามาดัดแปลงเป็นน้ำชาได้ กลีบดอกไม้บางชนิดเองก็สามารถเอามาทำเป็นน้ำชาดื่มได้เช่นกันนะ แถมดอกไม้บางชนิดก็ทำให้สีของน้ำออกมาดูสวยอีกด้วย! แต่ถ้าจะให้พูดถึงชาที่ทำมาจากดอกไม้ทั้งหมดก็คงเยอะไป งั้นเรายกมาแค่ ชาดอกเบญจมาศหรือ Chrysanthemum Tea อย่างเดียวก็พอแล้วกัน ว่าถ้าดื่มมันเข้าไปแล้ว สามารถมอบประโยชน์อะไรให้กับเรากันได้บ้าง!
1. ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
เครียดกับปัญหาในชีวิตต่างๆ มาทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ปัญหาทางบ้าน งานก็ตาม การหาอะไรมาช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก และการดื่มชาเบญจมาศก็ช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ โดยการบรรเทาความร้อนในร่างกาย ลดความดันโลหิต และเมื่อร่างกายของเรารู้สึกเบาลงก็จะช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายได้ค่ะ
2. ส่งเสริมให้หัวใจแข็งแรง
การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงถือเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่าหัวใจของเราเองก็ต้องได้รับการบำรุงให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน เพราะมันถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายเลยทีเดียว และการดื่มชาเบญจมาศก็มีส่วนช่วยอยู่ไม่มากก็น้อยเลยล่ะ เนื่องจากชาเบญจมาศมีความสามารถในการลดความดันโลหิตและบรรเทาอาการหลอดเลือดหัวใจตีบได้ค่ะ
ในชาเบญจมาศอัดแน่นไปด้วยเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก และยังมีวิตามิน A ซึ่งมีหน้าที่คล้ายกับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวของเราดูเต่งตึง นอกจากนี้ก็ยังเอามาใช้บรรเทาอาการระคายเคืองผิวแดงและผิวหนังอักเสบได้อีกด้วยค่ะ
อ่านมาถึงข้อนี้ก็น่าจะรู้กันแล้วว่าในชาเบญจมาศประกอบไปด้วยวิตามิน A และเบต้าแคโรทีน ซึ่งทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาก็มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาของเราด้วยเช่นกัน และช่วยปกป้องจากโรคที่เกิดกับดวงตาต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น โรคต้อกระจก ภาวะขาดเลือดของเส้นประสาทตาส่วนหน้าและจอประสาทตาเสื่อม เป็นต้นค่ะ
สาวคนไหนรู้สึกว่าในช่วงนี้กินอาหารแล้วไม่ค่อยย่อยเอาเสียเลย แน่นท้องมาก เราไม่จำเป็นต้องไปหายากินก็หยิบเอาชาเบญจมาศ มาดื่มช่วงกลางวันและเย็น ควบคู่ไปกับอาหารมื้อนั้นๆ ของตัวเองได้เลยค่ะ มันจะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและแก้ปัญหาอาการที่เราประสบอยู่ค่ะ
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,100.00 | 25,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,626.00 | 24,650.16 | 25,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,463.40 | 22,185.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,300.80 | 19,720.13 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 732.00 | 11,097.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 569.00 | 8,626.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,685.00 | 25,544.60 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/03/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 26.05 | 26.05 | 26.55 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 25.78 | 25.78 | 26.28 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.54 | 24.54 | 25.04 | 24.54 | 24.54 | – | 24.54 | 24.54 | 24.54 | 24.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 20.54 | 20.54 | – | – | – | – | – | – | – | 20.54 |
เบนซิน 95 | 33.46 | – | – | – | 33.91 | – | 33.96 | 33.46 | – | 33.46 |
ดีเซล B7 | 26.99 | 26.99 | 27.49 | 26.99 | 26.99 | 26.99 | 26.99 | 26.99 | 26.99 | 26.99 |
ดีเซล | 23.99 | 23.99 | 24.49 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 |
ดีเซล B20 | 23.74 | 23.74 | 24.44 | – | 23.74 | – | 23.74 | 23.74 | – | 23.74 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.44 | 31.46 | 33.94 | 32.84 | – | – | – | – | – | 31.44 |
แก๊ส NGV | 13.35 | 13.35 | – | – | – | – | – | – | – | 13.35 |