กองทัพเรือ ส่งมอบ “โรงพยาบาลสนาม” 3 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด- 19
กองทัพเรือ ส่งมอบ “โรงพยาบาลสนาม” ให้ กระทรวงสาธารณสุข แล้ว พร้อมรองรับ ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด- 19 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่
กองทัพเรือเตรียม ความพร้อมโดยให้กรมแพทย์ทหารเรือ จัดเตรียมโรงพยาบาลหลัก ประกอบด้วยโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สำหรับตรวจวินิจฉัยและรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก พร้อมทั้งเตรียมโรงพยาบาลเฉพาะโรค 2 แห่ง คือโรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ และโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ สำหรับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ
นอกจากนั้นยังให้หน่วยกองทัพเรือในพื้นที่ต่างๆ จัดพื้นที่ควบคุมเพื่อเฝ้าระวัง หรือ State quarantine ดังนี้
1 พื้นที่กรุงเทพฯ จัดที่กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
2 พื้นที่สัตหีบ จัดที่อาคารรับรองกองทัพเรือพื้นที่สัตหีบ และ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
3 พื้นที่จังหวัดจันทบุรี จัดที่กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
4 พื้นที่ทัพเรือภาคที่ 2 จัดที่ฐานทัพเรือสงขลา
5 พื้นที่ทัพเรือภาคที่ 3 จัดที่ฐานทัพเรือพังงา
6 พื้นที่จังหวัดนราธิวาส จัดที่ค่ายจุฬาภรณ์
พร้อมทั้งจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามสำหรับสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข ในกรณีที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย
1 ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
2 ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
3 สนามฝึกกองทัพเรือ บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี
ซึ่งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ทั้ง 3 แห่งนี้ จะใช้ในกรณีการระบาดของโรค COVID-19 ในวงกว้าง มีความจำเป็นต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดตั้งระบบบริการดูแลรักษาพยาบาล ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (Patients under investigated : PUI) ในกรณีที่เกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล
ตั้งแต่ การคัดกรองผู้ป่วย การให้การวินิจฉัย การดูแลรักษาแบบ One Stop Services รวมถึงเพื่อให้สามารถรับผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลแต่ต้องกักกันโรคต่อ หรือผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง ไว้ดูแลรักษาแบบผู้ป่วยใน (เฉพาะกรณีที่มีการระบาดเป็นวงกว้าง จำนวนผู้ป่วยเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาลหลัก และโรงพยาบาลเฉพาะโรคที่กำหนดไว้)
ซึ่ง พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหมายให้ พลเรือโท รณรงค์ สิทธินันทน์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นผู้แทน ในการส่งมอบ โรงพยาบาลสนามให้แก่กระทรวงสาธารณสุขโดยมี นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสูข เป็นผู้ รับมอบ ณโรงพยาบาลสนาม ค่ายพระมหาเจษฏาราชเจ้า หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทำเลฮอต ติดลมบน รังสิต-ปทุมธานี
ปัจจัย “ทำเล” หัวใจสำคัญของการซื้อโครงการ ไว้เพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว โดยเฉพาะยุคทองของกลุ่มแนวราบเกิดใหม่ จากโครงการรถไฟฟ้า เปิดทำเลพลิกหน้าดินได้กลายเป็นโอกาสทั้งฝั่งผู้พัฒนาและผู้ซื้อในการเลือกสรร
พบการเดินของรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต ระยะทาง 19 กิโลเมตร และสายสีแดง บางซื่อ-รังสิตเต็มระบบ ก่อให้ทำเลย่าน “รังสิต-ปทุมธานี” เนื้อหอมยิ่งขึ้น หลังผู้ประกอบการทั้งในพื้นที่และแบรนด์ยักษ์ใหญ่รุกปักหมุดพัฒนาโครงการ เพื่อตอบกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น จากอานิสงส์ของระบบบูรณาการด้านการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมของรัฐ และการอัดเม็ดเงินผุดโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่ของเอกชนดูดกำลังซื้อใหม่ๆ สู่ตลาด
สอดคล้องกับมุมมองของ นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ระบุว่า แม้ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะยังคงมีทิศทาง ไม่แตกต่างจากปลายปี 2563 แต่โปรดักต์แนวราบจะเป็นเรือธงนำตลาด โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท และพบสัดส่วนสูง ในราคา 3-5 ล้านบาท เปิดขายโดดเด่นในทำเล ปทุมธานี-ลำลูกกา เช่นเดียวกับโปรดักต์มาแรง ทาวน์โฮม กลุ่มราคาต่ำaกว่า 3 ล้านบาท ทำเลยอดฮิตอันดับต้น ยังคงเป็น ปทุมธานี-ลำลูกกา เช่นกัน
ขณะค่ายใหญ่ อย่างบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศ เดินหน้าแผนการพัฒนาโครงการในย่านรังสิต-ปทุมธานีอย่างต่อเนื่อง หลังทั้งโครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-บางพูน กลุ่มทาวน์โฮม ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท โครงการมิกซ์ยูส ลลิล ทาวน์ แลนซีโอ คริป วงแหวนฯ-ลำลูกกา คลอง 6 ราคา 2.9 – 4 ล้านบาท และทาวน์โฮมต่ำกว่า 2 ล้านบาท ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดี
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่บริษัท เปิดเผยว่า ปัจจุบันพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพฯ ได้รับการพัฒนาจากทั้งภาครัฐและเอกชน จนเปลี่ยนไปจากอดีตแบบพลิกฝ่ามือ และเอื้อต่อการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยคุณภาพที่ครบครันทั้งด้านเครือข่ายคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นหลักให้ทั้งกลุ่มลูกค้าในพื้นที่และต่างพื้นที่หันมาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในย่านดังกล่าวมากขึ้นกว่าเดิม
โดยกำลังซื้อหลักในย่านนี้ กลุ่มหลักยังเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการหาบ้านหลังแรก เป็นกลุ่มผู้ที่ทำงานข้าราชการ องค์กรเอกชน รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจค้าขายในพื้นที่ใกล้เคียง
“สิ่งที่น่าจับตา คือ การเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าสายสีเขียวแบบไร้รอยต่อ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) เมื่อกลางธ.ค.ที่ผ่านมา เดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจหรือ CBD ได้อย่างสะดวก และ การเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีแดง ม.ค.2564 รวมถึงทางยกระดับลอยฟ้ารังสิต- องครักษ์เชื่อมทางด่วนศรีรัชและอุดรรัถยาที่อยู่ระหว่างขอ EIA คาดจะนำมาซึ่งดีมานด์ความต้องการจำนวนมากในพื้นที่”
ไม่เพียงแต่กลุ่มราคากลาง-ล่าง เจ้าใหญ่ในตลาดบ้านแพงอย่าง บมจ.แสนสิริ ก็ปักธงนำร่อง กระจายพอร์ตแนวราบ มายังโซนรังสิต ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน หลังส่งแบรนด์ดัง ทาวน์โฮม “สิริ เพลส รังสิต” จำนวน 60 ยูนิต เจาะตลาดก่อนหน้า และสามารถปิดโครงการได้ในเวลารวดเร็ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเปิดขายโครงการใหม่ อณาสิริ รังสิต-คลอง 2 ราคา 3.69-6 ล้านบาท
บ้านเดี่ยวสราญสิริ รังสิต ราคา 5.59-12 ล้านบาทและบ้านหรู เศรษฐสิริ กรุงเทพฯ-ปทุมธานี กลุ่มราคา 9-25 ล้านบาท หลังจากประเมินว่า รังสิต นับเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มความต้องการและมีอัตราการเติบโตสูง ไม่ใช่เฉพาะคนในพื้นที่ แต่คนทำงานในเมือง เกิดความต้องการ จากความสะดวกของการเดินทาง ทั้งยังมีแผนการลงทุน เมกะ รังสิต, แผนการเปิด IKEA รังสิต และแผนพัฒนาโครงการ Central M เป็นอีกแม่เหล็กดึงดูดสำคัญ
มุมสะท้อน DDproperty Thailand Property Market Index (เว็บไซต์ ดีดี พร็อพเพอร์ตี้) ประเมินว่า ทำเลน่าจับตา ปี 2564 จะครอบคลุมพื้นที่อานิสงส์ของรถไฟฟ้าสายปัจจุบันและอนาคตช่วยยกระดับทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ 3 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ที่กำลังจะมีรถไฟฟ้าสายใหม่เปิดให้บริการ ให้กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยน่าจับตา
เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยยังไม่สูงมากนัก และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี บริเวณตำบลบางรักใหญ่ อำเภอบางบัวทอง มีการปรับตัวของราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในรอบปี 13% จากอานิสงส์ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง อีกหนึ่งทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตคือบริเวณตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย เพิ่มขึ้น 16% เติบโตจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-ตลิ่งชัน
ตามด้วย จังหวัดสมุทรปราการ ราคาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อาทิ ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ ได้แก่บริเวณสถานี BTS แพรกษา, BTS สายลวด, BTS เคหะฯ ราคาเพิ่มขึ้น 21% โดยทำเลที่มีราคาคอนโดมิเนียมเพิ่มมากที่สุดในรอบปี ล้วนอยู่ในอำเภอเมืองสมุทรปราการที่แนวรถไฟฟ้าพาดผ่าน จังหวัดปทุมธานี ทำเลที่มีราคาที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดในรอบปี อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย คูคต-วงแหวนรอบนอก
ได้แก่ ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง เพิ่มขึ้น 18% และตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง เพิ่มขึ้น 16% โดยทำเลที่มีราคาคอนโดมิเนียมเพิ่มมากที่สุดในรอบปีอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้า ทำเลใกล้สถานศึกษา
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เศรษฐกิจปีใหม่หนักกว่าปีเก่า
วันที่ 17 ธ.ค. 2563 เป็นจุดเปลี่ยนของ เศรษฐกิจไทย หลังจากพบการติดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ที่จังหวัดสมุทรสาคร และเป็นไฟลามทุ่ง ไปเกือบทั่วประเทศ ในช่วงเวลาแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น
ก่อนหน้าการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ เศรษฐกิจไทยปี 2564 เต็มไปด้วยความหวัง มีการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัว ติดลบเหลือ 6-8% จากเดิมที่่คาดว่าจะขยายตัวติดลบมากกว่า 10%
แต่ทุกอย่างกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ที่รุนแรงกว่ารอบแรก ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องเริ่ม กลับมาถูกล็อกดาวน์อีกครั้ง
แม้ว่า รัฐบาลจะไม่ได้ล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งประเทศ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น ต้องบอกว่ากระทบกับเศรษฐกิจไม่น้อยกว่ารอบแรก เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากไข้โควิด-19 รอบแรก และต้องมาเจอพิษโควิด-19 รอบใหม่ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เกิดอ่อนแรงลงอีก และคาดว่าจะต้องมีการปิดกิจการ เลิกจ้างงานไม่ต่างจากการระบาดของโควิด-19 รอบแรก เมื่อปี 2563
สอดคล้องกับการประมาณการเศรษฐกิจไทยล่าสุดของ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2563 ลงเล็ก น้อยจาก -6.6% เป็น -6.7% เนื่องจากโควิด-19 รอบใหม่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของปี 2563 แล้ว จึงกระทบเศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมาไม่มาก
แต่ในในปี 2564 สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ลดประมาณการเศรษฐกิจไทย จาก 4.1% เป็น 2.6% หรือลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะมองว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ไปเต็มๆ ตลอดทั้งปี โดยเพิ่มสมมติฐานทางเศรษฐกิจสำคัญ 3 ประการ
1. การระบาดของโควิด-19 ลากยาวต่อเนื่องใน ช่วงไตรมาสแรกและการรักษาระยะห่างที่ยังมีความจำเป็นตลอดทั้งปี
2. ปัญหาทางการเมืองที่อาจกลับมากระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภคในปีหน้าหาก รัฐสภาและผู้ประท้วงไม่สามารถหาข้อตกลงร่วม กันได้อย่างรวดเร็ว
3. ความล่าช้าในการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ทั้งจากการระบาดในต่างประเทศ และการที่คนในประเทศยังไม่ได้รับวัคซีน
สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นห่วงว่า เศรษฐกิจไทยเลี่ยงล็อกดาวน์ก็จริง แต่ก็เลี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเสี่ยงซึมยาวไม่ได้ เพราะการระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในประเทศที่ลดลงต่อเนื่องไปถึงกลางปีหน้า ส่งผลกระทบธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง และ ธุรกิจอื่นที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว
“การระบาดที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกทั้งผู้ประกอบการที่ขายสินค้าและอาหารได้ลดลงใน ช่วงที่คนจำนวนมากเลี่ยงการเดินทางออกนอก บ้านทำให้ขาดรายได้และอาจกระทบการจ้างงาน แม้การว่างงานอาจไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ชั่วโมง การทำงานอาจลดลง ส่งผลให้รายได้นอกภาคเกษตรยังคงอ่อนแอ ในปี 2564 การบริโภคภาคเอกชนจึงมีโอกาสอ่อนแอลงกว่าที่คาดไว้ก่อน หน้าและมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะยังคงซึมยาวตลอดทั้งปี” ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วย กรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอ เอ็มบี ไทย กล่าว
ด้าน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง หวั่นว่ารัฐบาบจะคุมการระบาดของโควิด-19 ไม่อยู่ และจะส่งผลกระทบแรงกว่ารอบแรก 4-5 เท่า และใช้เวลาควบคุมมากกว่า 2 เท่า จากตัวอย่างของหลายประเทศที่คุมการแพร่ระบาดระลอกสองไม่ได้
“มีความเสี่ยงสูงที่จะคุมการแพร่ระบาดไม่ได้ ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจะหนักกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านการคลังและงบ ประมาณเพิ่มขึ้นตามลำดับและหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า หากรัฐบาลควบคุมให้การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ อยู่ในวงจำกัดไม่ได้ และต้องล็อกดาวน์ทั่วประเทศแบบเดือน เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจะเข้าสู่ภาวะการล้มละลายอีกจำนวนมากพร้อมกับการว่างงานของผู้ใช้แรงงานในวงกว้าง ธุรกิจที่กำลัง จะกระเตื้องขึ้นจะทรุดตัวลงไปอีก
จากการประเมินของสำนักวิจัย และนักวิชาการ ทั้ง 2 แห่ง ก็เห็นภาพชัดเจนแล้วว่า เศรษฐกิจปีใหม่ 2564 อาการสาหัส ตอนนี้มีการมองข้าม ไปถึงว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะยืนขยายตัวเป็นบวกได้หรือไม่ หรือจะสาหัสติดลบเหมือนปีที่ผ่านมาอีก
ที่สำคัญไปกว่านั้น การที่เศรษฐกิจไทยปี 2564 ขยายตัวเป็นบวกได้น้อย หรือแย่มากถึงขนาดติดลบเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จะทำให้เวลาที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมทอดยาวออกไปอีก จากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลา 2 ปีครึ่ง อาจถูกลากยาวไป 3-5 ปี ซึ่งผู้ประกอบการและลูกจ้างจำนวนมาก คงไม่มีทุนไม่มีเงินเก็บรอไปได้ถึงวันนั้น
ดังนั้น เศรษฐกิจปีใหม่ 2564 จึงสาหัสสากรรจ์ จะเป็นการพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลจะอุ้มผู้ประกอบการไม่ให้ล้มหายตากจาก และช่วยแรงงานให้ไม่ตกงานไม่มีกินเพิ่มขึ้นได้หรือไม่
หากทำไม่ได้รัฐบาลอาจเจอวิกฤตเศรษฐกิจเล่นงานครั้งใหญ่ จนอยู่ลำบากอีกรอบ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สุดช็อก! “โมโมตะ” นักแบดญี่ปุ่นมือ 1 โลก ติดโควิด-19 สะเทือนทัพขนไก่ซามูไร
สะเทือนวงการขนไก่โลกเมื่อล่าสุด เคนโตะ โมโมตะ นักแบดมินตันชายเดี่ยวมือ 1 ของโลกชาวญี่ปุ่น ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 จากการประกาศของ สมาคมแบดมินตันญี่ปุ่น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา
จากการตรวจพบในครั้งนี้ทำให้ ทีมแบดมินตันทีมชาติญี่ปุ่น ตัดสินใจขอถอนตัวจากการแข่งขันศึกลูกขนไก่ทั้ง 3 รายการที่จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 12-31 มกราคม นี้ ทันที
“โมโมตะ ได้รับการตรวจ PCR ก่อนออกเดินทางที่สนามบินนาริตะ แต่ผลการตรวจระบุว่าออกมาเป็นบวก ทำให้ทางสมาคมได้ตัดสินใจที่จะไม่ส่งผู้เล่นคนใดเดินทางมาแข่งขันยังประเทศไทย” เจ้าหน้าที่ของสมาคมกล่าว
ซึ่งแม้ผู้เล่นชาวญี่ปุ่นอีก 22 คน จะมีผลตรวจออกมาเป็นลบ แต่ทางสมาคมยืนยันว่าจะไม่ส่งผู้เล่นออกนอกประเทศอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันเหตุที่อาจไม่สามารถควบคุมได้ในอนาคต
สำหรับ ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจาก สหพันธ์แบดมินตันโลก ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ 3 รายการติดต่อกัน ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ในช่วงเดือนมกราคมนี้
โดย 3 รายการประวัติศาสตร์ คือ โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น ระหว่างวันที่ 12-17 มกราคม 2564, โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น ระหว่างวันที่ 19-24 มกราคม 2564 และ เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนัลส์ 2020 ระหว่างวันที่ 27-31 มกราคม 2564 ซึ่งทั้งหมดจะเป็นการแข่งขันแบบปิด โดยจะไม่มีผู้ชมในสนาม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไมลาวได้วัคซีนก่อนไทย?
คนไทยให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวางหลังจากที่มีข่าวว่าประเทศ สปป.ลาว ได้รับวัคซีนจากป้องกันโควิด-19 จากบริษัท Sinopharm ของประเทศจีนแล้วจำนวน 2,000 โดส โดยจะทำการฉีดให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 ก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับบุคคลเหล่านี้
ข่าวนี้เปิดเผยโดย ดร.บุนกอง สีหาวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สปป.ลาว ระหว่างการแถลงข่าวโดยศูนย์ปฏิบัติการคณะเฉพาะกิจควบคุมโควิด-19 ของรัฐบาล สปป.ลาว เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาโดยกล่าวว่า ทางการลาวได้ติดต่อกับประเทศมิตรสหายของลาว คือจีนและรัสเซีย และได้วัคซีนที่องค์การอนามัยโลกอนุมัติให้ใช้ฉุกเฉินได้ คือ Sinopharm จากจีน Sinovac จากจีน และ SPUTNIK V จากรัสเซีย
เบื้องต้นวัคซีนไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรงกับผู้ที่ได้รับการฉีด ดร.บุนกองจึงกล่าวว่าจึงเป็นวัคซีนที่เชื่อถือได้ และเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว
ส่วนวัคซีนจาก Sinovac ของจีนเช่นกันนั้น ยังอยู่ระหว่างการผลิตและทดลองระดับที่ 3 แต่คุณสมบัติกับผลข้างเคียงก็เหมือนกับ Sinopharm ทางกระทรวงสาธารณสุขลาวได้ติดต่อสอบถามไปทางบริษัทผู้ผลิต ซึ่งยังต้องเจรจากันในบางประเด็น เช่น ราคา
ดร.บุนกองกล่าวว่าสำหรับวัคซีน SPUTNIK V จากรัสเซีย ได้ปรึกษาหารือกับทางรัสเซียอยู่เช่นกัน โดยเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพเหมือนกันมีผลข้างเคียงน้อย โดยต้องฉีด 2 ครั้งสร้างภูมิคุ้มกันได้ 2 ปี เทียบกับของ Sinopharm จากจีนคุ้มครองได้ 3 ปี
วัคซีนของรัสเซียได้เดินทางมาถึงประเทศ สปป. ลาวในวันที่ 2 มกราคม 2021 โดยล็อตแรกจะช่วยฝ่ายลาวจำนวน 500 โดส เพียงแต่ต้องอาศัยการเก็บรักษาที่ยุ่งยาก
นอกจากนี้ ลาวยังได้รับความช่าวยเหลือจาก GAVI หรือพันธมิตรวัคซีน ในฐานะ 1 ใน 92 ประเทศกำลังพัฒนาและในปี 2021 จะได้รับวัคซีนสำหรับประชากร 20% หรือประมาณ 1.44 ล้านคน
แต่วัคซีนที่จะได้รับมาจะต้องผ่านการยืนยันคุณภาพทั้งหมดจากการทดลองขั้นที่ 3 แล้วและได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกแล้ว คาดว่าจะสามารถฉีดให้กับประชาชนชาวลาวได้ภายในเดือนมีนาคมหรือเมษายน
หลังจากที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมา เว็บไซต์ข่าวใน สปป. ลาวได้มีชาวลาวเข้ามาแสดงความเห็นกันพอสมควร เช่น ในเพจเฟซบุ๊คของสำนักข่าว Tholakhong มีผู้เข้ามาตั้งข้อสงสัยว่า “กำหนดอย่างไรกับ 1,400,000 คน คนลาวมีเจ็ดล้านกว่าคน” อีกคนแสดงความเห็นว่า “ทำไมได้รับวัคซีนเพียง 1.4 ล้านคน ทำไมถึงไม่ได้รับทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นพลเมืองส่วนเกินหรือ?”
ชาวลาวคนหนึ่งบอกว่า “ระวังเป็นหนูทดลองยานะ” ซึ่งความเห็นนี้มีผู้เข้ามาตอบว่า “ข้อยยอมได้ ยอมเป็นหนูทดลองยา ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรกับโรค XX นี้เลย”
ในประเด็นเรื่องที่กังวลว่าชาวลาวจะเป็นหนูทดลองยาให้กับจีนและรัสเซียนั้นถูกพูดถึงพอสมควร เช่น ในผู้แสดงความเห็นในเพจหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าวัคซีนของจีนกับรัสเซียนั้นประสิทธิภาพไม่ถึง 95% (เทียบกับของ Pfizer/BioNTechX และยังอ้างว่าคุณภาพวัคซีนของจีนและรัสเซียไม่ถึงขั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้งานได้
อย่างไรก็ตาม ความเห็นนี้ไม่ตรงกับความจริง เช่น Sinopharm มีประสิทธิภาพ 79% แต่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่อนุมัติใช้วัคซีนตัวนี้เผยว่ามีประสิทธิภาพ 86%
ก่อนหน้านี้เปรูรับวัคซีนของ Sinopharm ไปทดลองและระงับการทดลองโดยบอกว่ามีผลข้างเคียงรุนแรงต่ออาสาสมัคร 1 รายช่วงกลางเดือนธันวาคม แต่ไม่กี่วันต่อมาเปรูสั่งวัคซีนของ Sinopharm กลับมาทดลองใหม่อีกครั้ง หลังจากเคลียร์เรื่องผลข้างเคียงแล้ว
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ0uoอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนของ Sinopharm ทั่วประเทศ และคาดว่าจะครอบคลุม 60 – 70% ของประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เนื้่องจากวัคซีนของจีนได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพความปลอดภัย แต่ทางการจีนยังไม่เปิดเผยว่าจะเริ่มการฉีดเมื่อใด
ในส่วนของวัคซีนจาก Sinovac ของจีนเช่นกันนั้น ได้เดินทางไปถึงอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมแล้วจำนวน 1.8 ล้านโดส รวมกับ 1.2 ล้านโดสที่ได้รับไปเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม โดยอินโดนีเซียตั้งเป้าว่าจะฉีดให้กับประชากร 267 ล้านคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยเริ่มจากบุคคลากรทางการแพทย์ก่อน
จะเห็นได้ว่าจำนวนวัคซีนที่อินโดนีเซียได้รับมีสัดส่วนน้อยกว่าจำนวนประชากรอย่างลิบลับ เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรลาวแล้ว วัคซีนที่ลาวจะได้รับในช่วงเดือนมีนาคมยังมีมากกว่าเสียอีก
ชาวลาวบางคนยังแสดงความเห็นว่า การที่อินโดนีเซียรับวัคซีนจากจีนก็เท่ากับยอมเป็นหนูลองยา ประเด็นนี้ถึงแม้จะเป็นการกล่าวหาโดยไม่มีมูล แต่สะท้อนความเห็นของผู้วิจารณ์บางคนเกี่ยวกับการที่อินโดนีเซียพึ่งพา Sinovac มากเกินไปโดยที่ Sinovac ยังไม่มีข้อมูลรวบยอดเกี่ยวกับประสิทธิภาพ
เบื้องต้นบราซิลเผยเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมว่ามีประสิทธิภาพ 50% แต่ทางบริษัทขอร้องไม่ให้เปิดข้อมูลทั้งหมด ยิ่งทำให้เกิดความกังวลเรื่องความโปร่งใส แต่ตุรกีที่ใช้ Sinovac เช่นกันเผยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมว่าประสิทธิภาพถึง 91% แต่จำนวนผู้ทดลองในตุรกีน้อยกว่าวัคซีนตัวอื่นมากทำให้ผลของมันยังไม่ชัวร์เข้าไปอีก
สาเหตุที่ สปป. ลาวได้รับวัคซีนในสัดส่วนน้อยมากในช่วงแรกจึงอาจทำให้บางคนคิดว่าน่าจะเป็นการทดลองประสิทธิภาพแบบเดียวกับบราซิลและตุรกี แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือลาวมีประชากรน้อยและเบาบาง ระดับความจำเป็นเร่งด่วนจึงไม่เหมือนประเทศอื่น กลุ่มเสี่ยงที่เป็นบุคลากรแพทย์ก็ไม่มากเท่าประเทศอื่น
เจียงไจ้ตง เอกอัครราชทูตจีนประจำเวียงจันทน์กล่าวเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2021 ว่าฝ่ายจีนตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ลาวจำเป็นจะต้องใช้วัคซีน
ที่ผ่านมาลาวไม่ได้มีการระบาดในวงกว้าง และเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดน้อยที่สุด ดังนั้นความจำเป็นเร่งด่วนนี้อาจเกี่ยวกับการที่โควิด-19 กลับมาระบาดในวงกว้างในประเทศไทยซึ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดของลาวด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไทยแล้ว การรับวัคซีนของไทยเป็นวาระเร่งด่วนมากกว่า และล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมว่าได้เจรจาขอซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตวัคซีนทุกราย จนสามารถรับประกันได้มาจำนวน 2 ล้านโดสเป็นล็อตพิเศษที่จะมาถึงเดือนกุมภาพันธ์-เมษยน เพื่อฉีดให้กลุ่มเสี่ยงคือบุคคลากรการแพทย์ก่อน
นอกจากนี้ยังได้เจรจากับบริษัท AstraZeneca เพื่อขอซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 26 ล้านโดส รวมของเดิมเป็น 52 ล้านโดส ซึ่งวัคซีนตัวนี้รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้อุมัติให้ใช้แล้ว โดยมีประสิทธิภาพ 70%
โดยสรุปแล้ว สปป. ลาวได้ทำการ “ทดลอง” ฉีดให้กับบุคคลากรทางแพทย์แล้วปรากฎว่าได้ผลน่าพอใจ แต่กว่าจะได้รับล็อตใหญ่ก็จะเป็นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป
ส่วนประเทศไทยจะได้วัคซีนในจำนวนมากกว่าในเดือนกุมภาพันธ์เนื่องจากสถานการณ์ที่คับขันมากกว่าและหากควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ก็ต้องรออีกสักระยะหนึ่งเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับวัคซีน
แต่ไม่ว่าประเทศไหนจะได้วัคซีนก่อนหรือหลังไม่สำคัญเท่ากับว่าประเทศทั่วโลกยังมีโควิดระบาดในวงกว้างหรือไม่ เพราะหากประเทศอื่นยังระบาด ประเทศไทยก็ยังลำบากไปด้วย เพราะเราไม่สามารถปิดประตูประเทศเราได้นานไปกว่าปีนี้แล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สายคาเฟ่ต้องรู้! คำศัพท์ในร้านกาแฟที่คุณไม่ควรพลาด
ในช่วงวันหยุดนี้คาเฟ่เป็นหนึ่งแลนด์มาร์คที่หลายคนนิยมไปเที่ยว หาเมนูน่าทาน เช่น ขนมเค้ก ครัวซองต์ กาแฟ ขนมหวาน ถ่ายรูปชิคๆกับมุมสวยๆของร้านจากนั้นก็ลงโซเซียลเช็กอิน ปักหมุดว่าเราไปที่นี่มาแล้ว
นั่งทำงานก็ได้บรรยากาศที่แปลกใหม่พร้อมกินกาแฟเครื่องดื่มหอมๆ ในปัจจุบันมีคาเฟ่ใหม่มากมายเปิดใหม่เต็มไปหมดแต่ละที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่เป็นจุดขายของทางร้าน ไม่ว่าจะเป็นมุมถ่ายรูป เมนูเครื่องดื่ม เมนูขนม ยิ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ก็จะมีการตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศของความเป็นคริสต์มาสเรียกว่าได้ว่า ล่อตาล่อใจให้คนที่ผ่านไปผ่านมาจะแวะมาเช็กอินอย่างแน่นอน
วันนี้ก็ได้รวบรวมคำศัพท์และวลีที่เจอในคาเฟ่
เพื่อว่ามีโอกาสได้ไปเที่ยวคาเฟ่ในต่างประเทศจะได้สั่งเครื่องดื่มได้ถูกต้อง
คำศัพท์
1. Coffee Grinder เครื่องบดกาแฟ
2. Coffee machine เครื่องชงกาแฟ
3. Shaker กระบอกผสมเครื่องดื่ม
4. Blender เครื่องปั้น
5. Moka pot หมอต้มกาแฟ
6. Espresso machine เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ
7. Coffee jug เหยือกกาแฟ
8. Mixer เครื่องผสม
9. French press เป็นอุปกรณ์การชงกาแฟที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนโดยใช้วิธีแบบแช่กาแฟให้ชุ่มน้ำ เพื่อสกัดน้ำกาแฟออกมา
10. Brew Coffee การต้มกาแฟ
11. Frappe Coffeeกาแฟปั่น
12. Flat White เมนูนี้นิยมมากในออสเตรเลีย เป็นกาแฟนมที่คล้ายกับลาเต้แต่จะให้รสชาติของนมและกาแฟแบบเท่ากันต่างจากลาเต้ที่มีรสชาติของนมนำก่อน
13. Micro Foam: เทคนิคศิลปะฟองนม Latte art การจากทำ Steam milk ทำให้ได้โฟมนมนุ่มๆ
14. Steam milk เทคนิคการที่ช่วยเสริมรสสัมผัสของนมให้นุ่มขึ้นโดยใช้การทำฟองอากาศขนาดเล็กด้วยไอน้ำกับนมอุ่น
15. Latte Art: ศิลปะบนฟองนม การวาดลวยลาย ใบไม่หัวใจลงโฟมนมบนกาแฟ
16. Affogato เมนูไอศกรีมที่มีกาแฟราดลงบนไอศกรีมเมนูใหม่ที่เป็นที่นิยมอย่างมาก
17. Ground coffee กาแฟคั่ว
18. Coffee bean เมล็ดกาแฟ
19. Green Bean เมล็ดเขียวหรือสารกาแฟก่อนที่จะนำมาคั่วก่อนนำมาชงกาแฟ
20. Cherry ผลกาแฟมีเปลืือกวีแดงคล้ายเชอร์รี่
21. Arabica เมล็ดกาแฟพันธ์อราปิก้าซึ่งเป็นสายพันธุ์เก่าแกที่สดในโลกมีกลิ่นหอมและมีความเปรี้ยวเป็นเมล็ดกาแฟที่มีราคาสูงเนื่องจากต้องปลูกในพื้นที่สูงและมีสภาพอากาศหนาว
22. Robusta เมล็ดกาแฟพันธ์โรบัสต้าให้รสชาติเข้ม, ขม, และคาเฟอีนปริมาณสูง ทนต่อสภาพอากาศสามารถโตได้แม้ในความสูงต่ำและอากาศร้อน
23. Sugar น้ำตาลทราย
24. Sugar cubes น้ำตาลก้อน
25. Cub carrier ถาดถ้วยกาแฟ
26. Coffee cub ถ้วยกาแฟ
27. Drink เครื่องดื่ม
28. Irish coffee กาแฟไอริช
29. Lemonade น้ำมะนาว
30. Cocoa โกโก้
31. Smoothie น้ำผลไม้ปั้น
32. Frapped เครื่องดื่มปั้นเย็น
33. Mineral water น้ำแร่
34. Fruit tea ชาผลไม้
35. Espresso: กาแฟที่มีรสชาติเข้มข้นมาก
36. Americano: กาแฟ Espresso ที่ใส่น้ำร้อนเพิ่มลงไปเพื่อเจือจางรสชาติให้เบาลงกว่าเดิมคนอเมริกาเป็นคนเริ่มต้นเมนูนี้เมื่อสงครามโลกทหารอเมริกาเดินทางไปยังอิตาลีซึ่งพบกับกาแฟ Espresso ซึ่งมีรสชาติที่เข้มข้นและขมจึงเติมน้ำร้อนลงไปจนกลายเป็นAmericano
37. Cafe Latte: นมกาแฟ เมนูนี้จะให้รสชาติของนมมากกว่ากาแฟ
38. Cappuccino: กาแฟนมที่มีฟองนมปิดหน้า Latte จะมีส่วนผสมของนมและกาแฟ
แต่คาปูชิโน่จะมีส่วนผสมสามอย่างในปริมาณที่เท่ากันนั่นคือ กาแฟ นม และฟองนม
39. Cafe Mocha: เครื่องดื่มที่ส่วนผสมของกาแฟและโกโก้
หรือช็อกโกแลตลงไป ซิกเนเจอร์ของเมนูนี้จะให้กลิ่นของโดดของโกโก้หรือช็อกโกแลต
จบไปแล้วกับการรู้จักเมนูและอุปกรณ์ต่างๆ ว่าแล้วก็หิวถ้าได้สักแก้วคงสดชื่นเป็นแน่ ยังไงก็ลองเอาไปกันด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
‘VR-AR’เทคโนโลยี ยุค‘Social Distancing’
ปีที่ผ่านมาหลายคนคงได้ยินเรื่องของเทคโนโลยี VR หรือ AR กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจไทยหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ
เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) เป็นการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สามารถสัมผัสได้แบบ 360 องศา โดยต้องใช้ควบคู่ไปกับอุปกรณ์อย่างแว่น VR ขณะที่เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เป็นการผสานเทคโนโลยีโลกความเป็นจริงและโลกเสมือนจริงเข้าด้วยกัน จากคาดการณ์พบว่าเทคโนโลยี VR และ AR จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจโลกในปี 2573 เติบโตถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ราว 45 ล้านล้านบาท อีกทั้งเมื่อเทคโนโลยี 5G มีความพร้อมจะส่งผลให้การใช้งานทั้ง VR และ AR มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ผลการวิจัยของ Juniper Research คาดการณ์ว่าในปี 2564 กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ VR จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และรายงานจาก Facebook IQ เผยว่า 63% ของลูกค้ากลุ่มตัวอย่างสนใจที่จะใช้ VR เพื่อดูสินค้าแบบไม่ต้องไปที่ร้านค้าจริง โดยธุรกิจที่ลูกค้าสนใจทดสอบสินค้าก่อนซื้อ ได้แก่ การท่องเที่ยว 71%, ความบันเทิง 59%, ค้าปลีก 58%, ยานยนต์ 49%, และ เกม 48%
กอปรกับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่ธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมได้มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในการจัดงานต่างๆ ทั้งการประชุมสัมมนา การซื้อขายสินค้า การแพทย์ การท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการจัดงานนิทรรศการและคอนเสิร์ต โดยเชื่อว่าเทคโนโลยี VR และ AR จะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2564 และกลายมาเป็นส่วนนึงของความปกติใหม่ (New Normal) ในชีวิตของคนไทยมากยิ่งขึ้น
ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า หลายธุรกิจมีการนำเทคโนโลยี VR มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค อาทิ เจมาร์ท ที่ได้มีการจับมือกับอีเว้นท์พาส จัด Virtual อีเวนต์ ในงาน Jaymart Virtual Mobile Show 2020 รวบรวมแบรนด์สมาร์ทโฟนแกดเจ็ตและสินค้าเทคโนโลยีมาจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์ ซึ่งการเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานมาสู่เวอร์ชวลนั้น มีข้อดีในเรื่องการช่วยลดต้นทุนค่าเช่าสถานที่จัดงานรวมถึงไม่ต้องจองพื้นที่ล่วงหน้าและสามารถเลือกช่วงเวลาได้
ด้านฝั่งของภาครัฐเองอย่าง บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ แคท ก็ได้มีการจัดงาน CAT Network Showcase 2020 ในรูปแบบ Virtual Event เพื่อนำเสนอเทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งเน็ตเวิร์กโซลูชัน แอพพลิเคชันต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีภาพ 3D ในรูปแบบมัลติมีเดีย อินเตอร์แอคทีฟ 360 องศา
รวมถึงจัดการแข่งขัน VIRTUAL REALITY CREATOR เพื่อให้กลุ่มนิสิต นักศึกษานำเสนอผลงานด้าน AR/VR ในรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับ AIS 5G ที่ก็ได้เดินหน้าจัดงาน Thailand Virtual Expo ในรูปแบบออนไลน์ด้วยเทคโนโลยี VR เนื่องจากในช่วงวิกฤติิโควิด-19 ร้านค้าออฟไลน์ประมาณ 50-60% ต้องปิดตัวลงจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ยอดการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงปีใหม่สถานที่ต่างๆ หลายแห่งได้มีการเตรียมจัดงานเคาต์ดาวน์ไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่กลับ ต้องชะงักเพราะการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เอไอเอสยังเลือกที่จะจัดงานเคาต์ดาวน์ในรูปแบบโลกเสมือนจริงในงาน “AIS 5G The Future of Virtual Celebration 2021” คอนเสิร์ตรูปแบบ VR ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ที่บ้าน ซึ่งทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการจัดงานเคาต์ดาวน์ในครั้งนี้
นอกจากนี้ในปี 2564 จะมีการนำเทคโนโลยี AR มาปรับใช้เพื่อพัฒนาการทำคอนเทนต์เข้าสู่กระแสหลักมากขึ้น และราคาของอุปกรณ์ที่เข้าถึงได้ เริ่มตั้งแต่ 3,000-30,000 บาท จะช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้คนและเพิ่มยอดขายได้มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บัวหิมะดีต่อสุขภาพจริงหรือ
บัวหิมะมีคุณประโยชน์หลายอย่าง อย่างไรก็ดี บัวหิมะที่คนไทยนิยมเรียกกันนั้นยังหมายถึงผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่บัวหิมะด้วย
โดยพืชและผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยที่หลายคนเรียกว่าบัวหิมะนั้น จำแนกออกเป็น 4 อย่าง ได้แก่
- ดอกบัวหิมะ (Snow Lotus/Saussurea Involucrata) กลีบดอกมีลักษณะคล้ายกลีบบัว ขึ้นได้ดีในที่สูงประมาณ 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป มักนำมาใช้ต้านอาการอักเสบ อีกทั้งยังเชื่อว่าช่วยบำรุงหัวใจและขับสารพิษออกจากร่างกาย
- ผลบัวหิมะ (Yacon/Smallanthus Sonchifolius) รูปร่างพืชชนิดนี้คล้ายหัวมันเทศ เมื่อกล่าวถึงบัวหิมะชนิดนี้จะหมายถึงส่วนของผล หัว หรือราก โดยหลายคนเชื่อว่าการรับประทานผลบัวหิมะช่วยลดความอ้วนได้ รวมทั้งอาจมีสรรพคุณทางยาในการรักษาปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
- ครีมบัวหิมะ ครีมนี้มักมีส่วนผสมของโสม ว่านหางจระเข้ การบูร หรือชะมดเช็ด ผู้คนนิยมเรียกครีมชนิดนี้ว่าครีมบัวหิมะ โดยใช้รักษาปัญหาผิวหนังต่าง ๆ เช่น ผื่นคัน แผลสด แผลน้ำร้อนลวก หรือโรคกลากเกลื้อน
- บัวหิมะธิเบต หรือคีเฟอร์ (Kefir) แท้จริงแล้ว บัวหิมะธิเบตหรือคีเฟอร์คือผลิตภัณฑ์นมหมัก ซึ่งมีแบคทีเรียและยีสต์ มักนำมาใช้รักษาอาการย่อยยาก ระบบทางเดินอาหารไม่ดี แพ้น้ำตาลแลคโทส หรือท้องร่วง
คุณประโยชน์ของบัวหิมะ
บัวหิมะได้ชื่อว่าเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์หลากหลาย บทความนี้จะเน้นเฉพาะคุณประโยชน์ของดอกบัวหิมะ และผลบัวหิมะ ที่ได้รับการกล่าวอ้างเกี่ยวกับสรรพคุณในการเสริมสร้างสุขภาพ โดยมีงานวิจัยที่ศึกษาประเด็นดังกล่าวไว้หลายมุมมอง ดังนี้
สรรพคุณของดอกบัวหิมะ
ต้านโรคมะเร็ง
ดอกบัวหิมะได้รับการกล่าวอ้างว่าอาจช่วยต้านมะเร็ง ซึ่งปรากฏงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ศึกษาประเด็นนี้ งานวิจัยหนึ่งได้ศึกษาคุณประโยชน์ทางยาของดอกบัวหิมะในเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก พบว่าสารสกัดจากดอกบัวหิมะอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับงานวิจัยอีกชิ้นที่ทำการทดลองประสิทธิภาพของสารสกัดเอทิลจากดอกบัวหิมะ ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่าดอกบัวหิมะมีสาร Hispidulin ที่อาจช่วยต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารในห้องปฏิบัติการเช่นกัน
นอกจากนี้ ดอกบัวหิมะยังอาจมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งตับด้วย โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้นำเซลล์มะเร็งตับมาทดสอบกับสารสกัดดอกบัวหิมะในห้องทดลอง เพื่อดูว่าสารสกัดดอกบัวหิมะจะก่อพิษต่อเซลล์มะเร็งหรือไม่ ปรากฏว่าสารสกัดเอทานอลจากดอกบัวหิมะมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งตับ ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้จำเป็นต้องศึกษาต่อไปอีกมาก เนื่องจากงานวิจัยเหล่านั้นเป็นการศึกษาเพียงขั้นต้นในห้องทดลอง จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าดอกบัวหิมะจะต้านมะเร็งในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บรรเทาอาการข้ออักเสบ
ข้ออักเสบคือภาวะอักเสบบริเวณข้อต่อ ส่งผลให้ผู้ป่วยปวดข้อหรือข้อติดแข็ง ซึ่งอาการจะแย่ลงตามอายุที่มากขึ้น โดยโรคข้อเสื่อมและข้ออักเสบรูมาตอยด์ จัดเป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้มากที่สุด มีบางคนรับประทานดอกบัวหิมะเพื่อบรรเทาอาการข้ออักเสบ ซึ่งมีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้ว่าดอกบัวหิมะอาจช่วยอาการข้ออักเสบได้บ้าง ดังงานวิจัยหนึ่งได้นำหนูมาทดลอง โดยฉีดสารชนิดหนึ่งเข้าชั้นผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าซ้าย เพื่อให้เกิดอาการข้ออักเสบ และให้ดื่มสารสกัดจากดอกบัวหิมะเป็นเวลา 21 วัน ผลปรากฏว่าสารสกัดดอกบัวหิมะลดอาการข้ออักเสบได้ โดยบรรเทาระดับความรุนแรงและอาการบวมที่เท้าของหนู
เช่นเดียวกับงานวิจัยอีกชิ้นที่นำหนูที่เป็นข้ออักเสบชนิดหนึ่งมาศึกษา โดยให้หนูกินสารสกัดดอกบัวหิมะ 420 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 40 วัน พบว่าดอกบัวหิมะช่วยลดจำนวนเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ รวมทั้งชะลอการทำลายข้อ
แม้งานวิจัยทั้ง 2 ชิ้นจะชี้ให้เห็นว่าดอกบัวหิมะช่วยอาการข้ออักเสบ แต่ไม่อาจสรุปได้ชัดเจนว่าจะนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคข้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากงานวิจัยที่ยกมานี้เป็นการทดลองกับสัตว์ จึงต้องทำการศึกษากับผู้ป่วยจริงต่อไป เพื่อรับรองความปลอดภัยในการนำมาใช้รักษากับคน ทั้งนี้ การรักษาข้ออักเสบที่ปลอดภัยและได้ผลจริงคือเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ได้แก่ รับประทานยาบรรเทาอาการและลดการอักเสบ ทำกายภาพบำบัด หรือเข้ารับการผ่าตัดข้อในบางกรณี
ต้านอนุมูลอิสระ
ดอกบัวหิมะถูกอ้างว่าเป็นพืชอีกชนิดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ศึกษาประเด็นนี้กับหนูทดลอง โดยให้หนูกินสารสกัดแอลกอฮอล์จากดอกบัวหิมะติดต่อกัน 4 สัปดาห์ และให้ทดลองว่ายน้ำ เพื่อดูว่าดอกบัวหิมะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวร่างกายของหนูทดลองอย่างไร ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าหนูทดลองมีระดับกรดแลคติกในเลือดลดลงหลังได้รับสารสกัดแอลกอฮอล์มากกว่าหนูทดลองในกลุ่มควบคุม ซึ่งหมายความว่า ดอกบัวหิมะอาจช่วยต้านอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ทำลายสารอนุมูลอิสระด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่าดอกบัวหิมะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในคน ประเด็นดังกล่าวจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม โดยทำการทดลองกับกลุ่มคนจำนวนมากในระยะยาว เพื่อดูว่าดอกบัวหิมะมีสรรพคุณทางยาในการต้านอนุมูลอิสระได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่
บรรเทาอาการแพ้ความดันอากาศในที่สูง
อาการแพ้ความดันอากาศในที่สูง (Altitude Sickness) เป็นภาวะที่ร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอเมื่อขึ้นไปอยู่ที่ที่มีความกดอากาศสูง ส่งผลให้ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และนอนไม่หลับ ผู้ที่ไม่คุ้นเคยและต้องขึ้นไปในที่สูงประมาณ 2,438 เมตร หรือ 8,000 ฟุตขึ้นไปอย่างกะทันหันมักเกิดภาวะนี้ได้ง่าย ดอกบัวหิมะได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรที่นำมาใช้ในภาวะขาดออกซิเจน งานวิจัยชิ้นหนึ่งจึงนำดอกบัวหิมะและพืชสมุนไพรที่ขึ้นในแถบชิงไห่ทิเบตมาศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณดังกล่าว โดยให้หนูทดลองได้รับสารสกัดจากดอกบัวหิมะและพืชสมุนไพรอื่น ๆ และเข้าไปอยูในแบบจำลองที่มีความกดอากาศคล้ายกับการอยู่ในที่สูง ปรากฏว่าหนูที่กินสารสกัดดอกบัวหิมะมีอัตราการตายจากภาวะความกดอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันลดลง ทั้งนี้ ดอกบัวหิมะยังเป็นพืชที่มีฤทธิ์รักษาภาวะขาดออกซิเจนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับพืชสมุนไพรอื่น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้จำเป็นต้องศึกษากับคนต่อไป เพื่อรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการนำดอกบัวหิมะมาใช้ในผู้ป่วยแพ้ความดันอากาศในที่สูง
บรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง
ดอกบัวหิมะได้ชื่อว่ามีคุณสมบัติแก้ปวดและบรรเทาอาการอักเสบ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้หนูทดลองที่ผิวหนังบวมกินบัวหิมะเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 7 วัน พบว่าช่วยลดอาการบวมได้ และยังทดลองให้หนูที่โดนความร้อนลวกผิวกินบัวหิมะเพาะเลี้ยง แล้วพบว่าหนูเหล่านั้นมีอาการปวดแผลน้อยลงเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว แผลไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวกจะทำให้เกิดอาการปวดและบวมแดง จึงอาจเป็นไปได้ว่าดอกบัวหิมะมีสรรพคุณบรรเทาอาการที่เกิดจากแผลเหล่านี้ด้วย
เนื่องจากงานวิจัยดังกล่าวทดลองกับสัตว์ จึงควรมีการศึกษาโดยตรงกับคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสรรพคุณของดอกบัวหิมะในการนำมารักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก
สรรพคุณของผลบัวหิมะ
ลดความอ้วน การบริโภคบัวหิมะอาจส่งผลดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ประสบภาวะอ้วน ประเด็นนี้ได้มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งให้ผู้หญิงอ้วนและมีระดับไขมันในเลือดสูงเล็กน้อยบริโภคไซรัปจากบัวหิมะที่มีสาร Fructooligosaccharides ในปริมาณที่ต่างกัน โดยให้รับประทานไซรัปที่มีสาร Fructooligosaccharides วันละ 0.29 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือรับประทานไซรัปที่มีสาร Fructooligosaccharides วันละ 0.14 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าการบริโภคไซรัปบัวหิมะทุกวันเป็นเวลา 120 วัน ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมการทดลองมีน้ำหนักตัว รอบเอว และดัชนีมวลกายลดลง อีกทั้งกระตุ้นให้ขับถ่ายสม่ำเสมอ และส่งผลเชิงบวกต่อระดับไขมันไม่ดีในเลือด โดยการบริโภคไซรัปบัวหิมะที่มีสาร Fructooligosaccharides วันละ 0.14 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จัดเป็นปริมาณที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร ถึงอย่างนั้น ระดับไขมันในเลือดและระดับกลูโคสหลังอดอาหารของผู้รับประทานไซรัปบัวหิมะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ต้องการรับประทานบัวหิมะหรืออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของบัวหิมะสำหรับลดความอ้วน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากพืชชนิดนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อภาวะสุขภาพบางอย่าง หรืออาจทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางชนิด ทั้งนี้ วิธีลดความอ้วนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพทำได้ด้วยตนเอง โดยเลือกรับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการ เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงเกินไป รวมทั้งออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ
แก้ท้องผูกและบำรุงลำไส้ ท้องผูกนับเป็นปัญหาสุขภาพที่ทำให้มีอุจจาระแข็ง โดยอาการของโรคจะรุนแรงแตกต่างกันไป มักเกิดจากปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความเครียด ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป หรือดื่มน้ำและรับประทานไฟเบอร์ ไม่เพียงพอ
การบริโภคผักผลไม้ที่มีกากใยสูงจะป้องกันท้องผูกได้ บัวหิมะเองนั้นได้ชื่อว่ามีสรรพคุณในการบรรเทาอาการดังกล่าว งานวิจัยหนึ่งได้ทดสอบคุณประโยชน์ของบัวหิมะในการรักษาอาการท้องผูก พบว่าผู้ป่วยท้องผูกที่ได้รับสาร Fructooligosaccharides ของบัวหิมะวันละ 10 กรัม จากการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารบัวหิมะติดต่อกัน 30 วัน ขับถ่ายได้มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ท้องผูกน้อยลง รวมทั้งมีแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เพิ่มขึ้นและแบคทีเรียชนิดไม่ดีลดลง
นอกจากนี้ บัวหิมะอาจช่วยบำรุงลำไส้สำหรับผู้คนทั่วไป ดังปรากฏในงานวิจัยที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมการทดลองสุขภาพดีจำนวน 16 ราย บริโภคบัวหิมะวันละ 20 กรัม เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าบัวหิมะช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยขับถ่ายได้บ่อยและอุจจาระไม่แข็งตัว อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดอาการท้องอืดอันเป็นผลข้างเคียงรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการบริโภคบัวหิมะหรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้จากบัวหิมะควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากงานวิจัยที่ยกมานี้เป็นการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น อีกทั้งต้องรับประทานบัวหิมะในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รับสรรพคุณทางยาโดยปราศจากผลข้างเคียงอื่น
รักษาเบาหวาน สรรพคุณทางยาของบัวหิมะอีกประการหนึ่งที่ได้รับการกล่าวอ้างคือช่วยควบคุมอาการโรคเบาหวาน เนื่องจากบัวหิมะมีสารโพลีแซคคาไรด์ซึ่งอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ประเด็นนี้มีการนำมาศึกษา โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้สกัดสารโพลีแซคคาไรด์จากพืช 3 อย่าง ได้แก่ สมุนไพรจีนอึ้งคี้ เห็ดนางรม และบัวหิมะ เพื่อเปรียบเทียบสรรพคุณทางยาของสารโพลีแซคคาไรด์จากพืชทั้งหมดว่าช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหรือไม่ พบว่าสารอาหารที่ได้จากสมุนไพรจีนอึ้งคี้ เห็ดนางรม และบัวหิมะ ล้วนมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง โดยบัวหิมะมีสรรพคุณดังกล่าวน้อยกว่าสมุนไพรจีนอึ้งคี้และเห็ดนางรม
อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจชี้ชัดว่าสารโพลีแซคคาไรด์ที่ได้จากบัวหิมะมีสรรพคุณรักษาอาการเบาหวานได้จริง เนื่องจากงานวิจัยนี้ทำการศึกษาในห้องทดลอง จำเป็นต้องศึกษาวัดผลในผู้ป่วยจริงต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องการบริโภคบัวหิมะเพื่อหวังสรรพคุณทางยาดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากสารอาหารบางอย่างจากบัวหิมะอาจทำปฏิกิริยากับภาวะสุขภาพหรือยารักษาโรคบางอย่าง อีกทั้งยังไม่ปรากฏปริมาณยาของบัวหิมะสำหรับใช้ควบคุมอาการโรคเบาหวานที่นำมาใช้รักษาได้อย่างปลอดภัย
เสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน โดยทั่วไปแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ปกป้องร่างกายไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำลายได้ โดยสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย สารพิษ สารเคมี หรือยาต่าง ๆ โดยระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ปกป้องสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เมื่อเข้ามาในร่างกาย เรียกว่าการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ศึกษาคุณประโยชน์ของบัวหิมะที่ส่งผลต่อการตอบสนองภูมิคุ้มกัน โดยแบ่งเด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 2-5 ปี เป็น 2 กลุ่ม และให้เด็กกลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของบัวหิมะเป็นเวลา 18 สัปดาห์ติดต่อกันทุกวัน พร้อมเข้ารับการตรวจเลือดและตรวจอุจจาระ พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีระดับสารภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้วัดประสิทธิภาพการตอบสนองดังกล่าวจากการตรวจเลือดและอุจจาระ ไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นที่แสดงว่าเด็กมีภูมิคุ้มกันดีขึ้นจริงและชัดเจนกว่า เช่น พิจารณาว่าเด็กป่วยเป็นไข้หวัดน้อยลงหรือไม่หลังรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของบัวหิมะ ผลการศึกษานี้จึงอาจชี้ให้เห็นว่าระดับสารภูมิคุ้มกันร่างกายของเด็กเพิ่มขึ้นหลังเข้ารับการทดลอง แต่ไม่อาจสรุปได้ว่าบัวหิมะมีสรรพคุณในการเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันร่างกาย
รับประทานบัวหิมะอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ
มีการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณของดอกบัวหิมะและผลบัวหิมะอย่างหลากหลาย โดยผลการศึกษาของงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นสรรพคุณของบัวหิมะทั้ง 2 ชนิด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการรับประทานดอกบัวหิมะเพื่อหวังสรรพคุณทางยาดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน เนื่องจากยังไม่ปรากฏงานวิจัยที่ศึกษาคุณประโยชน์ของดอกบัวหิมะที่ส่งผลต่อคนโดยตรง จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าดอกบัวหิมะจะรักษาโรคได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ดอกบัวหิมะอาจทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางชนิด หรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อภาวะสุขภาพบางอย่าง โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร
ส่วนผู้ที่ต้องการบริโภคผลบัวหิมะเพื่อบำรุงสุขภาพก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเช่นกัน โดยควรจำกัดปริมาณที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับคุณประโยชน์อย่างปราศจากผลข้างเคียง เนื่องจากยังปรากฏแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับผลข้างเคียงและปริมาณบัวหิมะที่เหมาะสมไม่มากนัก
งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้สูงอายุที่บริโภคแป้งบัวหิมะแช่แข็งแห้ง ซึ่งผสมสาร Fructooligosaccharides 7.4 กรัม เป็นเวลา 9 สัปดาห์ มีระดับกลูโคสลดลงโดยปราศจากผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร เช่นเดียวกับงานวิจัยอีกชิ้นที่เปรียบเทียบคุณสมบัติของโสมเปรูหรือมาคา (Maca) และผลบัวหิมะ พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเสริมผลบัวหิมะผสมยาไซลิมารินในอัตราส่วนวันละ 2.4 กรัม ต่อ 0.8 กรัมต่อวัน ไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ตามมา จะเห็นได้ว่าการรับประทานผลบัวหิมะเพื่อหวังสรรพคุณทางยานั้นต้องคำนึงถึงปริมาณที่ได้รับเป็นสำคัญ เนื่องจากงานวิจัยที่ยกมานี้ต่างระบุปริมาณของผลบัวหิมะที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง อาจกล่าวได้ว่าอาหารเสริมผลบัวหิมะอาจเป็นสารอาหารที่มีสรรพคุณทางยาหากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,100.00 | 27,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,755.00 | 26,605.80 | 27,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,579.50 | 23,945.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,404.00 | 21,284.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 790.00 | 11,976.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 614.00 | 9,308.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,819.00 | 27,576.04 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/01/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 21.24 | 21.24 | 21.24 | 21.24 | 21.24 | – | 21.24 | 21.24 | 21.24 | 21.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.54 | 18.54 | – | – | – | – | – | – | – | 18.54 |
เบนซิน 95 | 30.16 | – | – | – | 30.61 | – | 30.66 | 30.16 | – | 30.16 |
ดีเซล B7 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 |
ดีเซล B20 | 20.94 | 20.94 | 20.94 | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 28.64 | 28.66 | 30.64 | 30.04 | – | – | – | – | – | 28.64 |
แก๊ส NGV | 13.12 | 13.12 | – | – | – | – | – | – | – | 13.12 |