โควิด สะเทือน! อุตสาหกรรมใหญ่ ลดพื้นที่สำนักงานลง 30%
ซีอีอาร์อี เผย การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกลุ่มบริษัทโฆษณา – ยานยนต์ – กฎหมาย ควบคุมงบ ลดพื้นที่ทำงานในอาคารสำนักงาน ราว 30% ขณะอีคอมเมิร์ซ์ – โลจิกติกส์ ธุรกิจรุ่ง เพิ่มความต้องการ ขยายพื้นที่สูงสุด 200% จับตาจุดเปลี่ยนปี 2564
5 มกราคม 2564 – การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการใช้พื้นที่สำนักงานอย่างไรนั้นยังคงไม่สามารถทราบได้อย่างชัดเจนท่ามกลางการคาดการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายในหลายแวดวงธุรกิจ ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เผยว่า บริษัทต่างๆ จะพิจารณาทบทวนบทบาทใหม่ของพื้นที่สำนักงานในฐานะที่เป็นสถานที่สำหรับการทำงานร่วมกัน และสร้างวัฒนธรรมขององค์กรโดยต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจในช่วงหลายปีต่อจากนี้
นายชาญวิชญ์ พสุวัต หัวหน้าฝ่ายพัฒนาการออกแบบโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย อธิบายว่า “ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดอาคารสำนักงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมุมมองของบริษัทต่างๆ ในเรื่องพื้นที่ทำงานมีความซับซ้อนมากขึ้น แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า ในช่วงก่อนปี 2558 ความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ “การขยายพื้นที่สำนักงาน” โดยใช้งบประมาณเป็นตัวกำหนด ขณะที่ช่วงปี 2558-2562 แนวโน้มได้เริ่มเปลี่ยนไปสู่ “การใช้งบประมาณให้คุ้มค่า” โดยลูกค้า 53% พิจารณาทบทวนว่าจะสามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจและจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นด้วยพื้นที่สำนักงานที่มีอยู่เดิมแทนการขยายพื้นที่ได้อย่างไร และตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา การควบคุมค่าใช้จ่ายและการลดความเสี่ยงคือปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเรื่องการเช่าพื้นที่สำนักงาน บริษัทหลายแห่งในเอเชียแปซิฟิกคาดการณ์ว่าภายในปี 2568 แนวโน้มการทำงานจะเปลี่ยนไป โดยมีการผสมผสานการทำงานนอกพื้นที่สำนักงานรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ในปี 2563 แม้จะมีการตั้งคำถามต่อความจำเป็นของการมีพื้นที่สำนักงานจากการที่พนักงานมีประสบการณ์ในการทำงานนอกสำนักงานครั้งที่ใหญ่ที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อกลับมาสู่การทำงานตามปกติ ผู้เช่าพื้นที่สำนักงานก็ยังคงไม่ได้ละทิ้งแนวความคิดเรื่องการมีอยู่ของพื้นที่สำนักงาน หากแต่ต้องสร้างความมั่นใจว่าสามารถใช้พื้นที่สำนักงานอย่างมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้นไปอีก โดยต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ในการใช้พื้นที่สำนักงานอย่างเหมาะสม
นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ในภาวะเศรษฐกิจเช่นปี 2563 ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครเกิดมีการควบรวมพื้นที่หรือลดขนาดพื้นที่สำนักงานสูงสุด 30% โดยเป็นพื้นที่สำนักงานของบางกลุ่มธุรกิจอย่างโฆษณา การแพทย์ ยานยนต์ และกฎหมาย ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและโลจิสติกส์กลับมีการขยายพื้นที่สำนักงานสูงสุดถึง 100% และสูงสุดถึง 200% สำหรับบริษัทด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจออนไลน์ในปีที่แล้ว”
ตลอดปี 2563 บริษัทส่วนใหญ่พิจารณาทบทวนแผนเรื่องพื้นที่สำนักงานของตนเองใหม่และชั่งน้ำหนักว่าจะเลือกต่ออายุสัญญาเช่าที่อาคารเดิมหรือย้ายที่ตั้งสำนักงาน
นายชาญวิชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทีมกลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงาน (Workplace Strategy) ของซีบีอาร์อีมีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องการกำหนดกลยุทธ์ในการใช้พื้นที่สำนักงาน ปัจจุบันบริษัทต่างๆ กำลังจัดลำดับความสำคัญเชิงธุรกิจของตนเองใหม่และมีแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่สำนักงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในแง่พื้นที่การเช่าและความเป็นอยู่ของบุคลากรในองค์กร โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของแนวทางธุรกิจ การทำงาน และความต้องการใช้พื้นที่ของบริษัทเป็นหลัก”
“ฟังก์ชั่นของพื้นที่สำนักงานในอนาคตจะเปลี่ยนจากพื้นที่แบบดั้งเดิมไปสู่พื้นที่ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรและสังคมของพนักงาน การใช้สำนักงานกำลังเปลี่ยนไปสู่การมีสถานที่ทำงานแบบผสมผสานหรือสถานที่ทำงานแบบไฮบริดเนื่องจากบริษัทต่างวางแผนที่จะใช้พื้นที่สำนักงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจและบุคลากร สิ่งที่องค์กรจะหันไปให้ความสนใจในปี 2564 คือการทำให้พนักงานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการใช้พื้นที่สำนักงาน ควบคู่ไปกับการสร้างความยืดหยุ่นให้กับพื้นที่สำนักงานที่มีอยู่ในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น ในปีนี้อาจมีแนวโน้มการใช้พื้นที่สำนักงานที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอีกที่นอกเหนือไปจากการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์พื้นที่ภายในสำนักงาน เพราะบริษัทต่างๆ ยังคงหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอนาคต กลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงานถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมากสำหรับองค์กรซึ่งไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ต้องอาศัยการศึกษาเชิงลึกและการวิเคราะห์ธุรกิจ โครงสร้างองค์กร และวัฒนธรรมองค์กรอย่างละเอียด” นายชาญวิชญ์ กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
EA พื้นฐานเปลี่ยน… ราคาหุ้นเปลี่ยน
EA พื้นฐานเปลี่ยน… ราคาหุ้นเปลี่ยน : คอลัมน์เมาธ์ทุกเภอ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3642 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 7-9 ม.ค.2564 By…เจ๊เมาธ์
สวัสดีปี 2564 กลับเข้าสู่โหมดประจำวัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 กระจายไปทั่วประเทศและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ที่กลัวจะล็อกดาวน์เหมือนรอบแรก ซึ่งรัฐบาลได้บทเรียนจากความเสียหายของเศรษฐกิจ ธุรกิจและแรงงาน ใช้เม็ดเงินเยียวยาจำนวนมาก แต่ครั้งนี้ไม่ล็อกดาวน์ประเทศ แต่เลือกรักษาตามอาการและความรุนแรงของแต่ละพื้นที่ …เรียกว่าเกาถูกที่คัน
เกาะติดโควิด ต่างประเทศ กันหน่อย สถานการณ์ติดเชื้อทั่วโลกยังไม่ดีขึ้น ล่าสุดรัฐบาลอังกฤษสั่งล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่าวันละ 50,000 ราย และความกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษที่มีอยู่แล้ว ล่าสุด ยังต้องกังวลกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่น่ากลัวกว่า เนื่องจากวัคซีนอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์นี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีข่าวเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในหลายประเทศ แต่เราก็ยังวางใจไม่ได้เช่นกัน
ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ (CWT) วิ่งฉิว เจ๊เมาธ์ แอบได้ยินมาว่า นอกจากงบไตรมาส 4 ดีจากออร์เดอร์เบาะหนังรถยนต์จากค่ายรถยนต์หนุนแล้ว ขาธุรกิจโรงไฟฟ้า ก็สร้างรายได้สมํ่าเสมอ เร็วๆ นี้จับตาให้ดี บิ๊กดีลของ “เสี่ยวีระพล ไชยธีรัตต์” บิ๊กบอส CWT จะเป็นดีลอะไร บิ๊กดีล จริงหรือไม่ เจ๊เมาธ์ตามเกาะติดใกล้ชิดเลยค่ะ
หลังจากหุ้นร้อนแรงแห่งปี DELTA ได้เข้าไปอยู่ในดัชนีคำนวณ SET50 ก็ดูเหมือนนิสัยจะนิ่งและสุขุมยิ่งกว่าเดิม การไล่ราคาหุ้นแบบไม่เกรงใจใคร ก็กลับเข้าสู่เกมการเล่นราคาแบบทั่วไปที่เขาทำกัน หรือจะเป็นเพราะการเข้าไปอยู่ใน SET50 ทำให้มี DW อ้างอิงหุ้น DELTA ที่ออกมาจากหลายสำนักเข้ามาเป็นตัวกันไม่ให้ “ซ่า” เกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็ตาม เจ๊เมาธ์ ยืนยันว่า DELTA ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางธุรกิจใดๆ เลยนะคะ ใครที่สนใจ DELTA ต้องยอมรับความเสียงกันเองค่ะ ยํ้าว่าเจ๊เมาธ์เตือนแล้วนะคะ
LEO ของเสี่ยตุ๋ย “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ไล่ราคาขึ้นมา All Time High 6.45 บาท ทำให้ “กองแช่ง” ที่แอบหวังว่า ถ้าราคาหลุดลงตํ่ากว่า 5 บาทจะได้จัดหนัก …เก็บให้เต็มไม้เต็มมือ ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน ก็อย่างที่เจ๊เคยบอกไปว่า LEO ตัวนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะข่าวที่เคยบอกไปว่าการลงนามในสัญญาทางธุรกิจกับพันธมิตรรายใหญ่ ใกล้ถึงเวลาประกาศให้สาธารณะได้รู้กันเต็มที่ เจ๊บอกได้แค่ว่า สัญญาฉบับนี้จะเปลี่ยนพื้นฐานการทำธุรกิจของ LEO ไปอีกนาน จับตาดูกันนะคะ…ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ
หุ้นอีกตัวที่เจ๊เมาธ์กล้าบอกว่า ราคาเปลี่ยนเพราะพื้นฐานเปลี่ยนนั้นก็คือ EA ถึงนาทีนี้สารพัดโครงการที่เคยประกาศไว้ เริ่มเห็นผลงานเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการก่อสร้างไลน์ผลิตทั้งโรงงานแบตเตอร์รี่ และโรงประกอบยานยนต์ ใกล้เสร็จสิ้น ในส่วนของเบตเตอร์รี่ คาดว่าเสร็จสิ้นไตรมาส 1/2564 โดยบริษัทมีกำลังผลิตเริ่มต้น 1 กิกะวัตต์ หรือประมาณ 1 ล้านกิโลวัตต์
ส่วนโรงประกอบยานยนต์นั้น เสร็จสิ้นปลายไตรมาส 2 หรือ ไตรมาส 3 , เรือไฟฟ้าในแม่นํ้าเจ้าพระยา ที่ได้เริ่มดำเนินการเบื้องต้นไปแล้ว ขณะนี้กำลังเร่งเพิ่มเรือ ซึ่งน่าจะได้ครบ 30 ลำ ในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 โดย EA จะเป็นผู้ดำเนินการเดินเรือเอง ทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 20-30%
ดังนั้น ราคาหุ้น EA เปิดรับศักราชใหม่ 2564 ถูกไล่ราคาขึ้นมาในรอบนี้ จ่อ 60 บาท จึงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นปน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หุ้นไทย5ม.ค.64 ดัชนีมีโอกาสรีบาวด์ ทองขึ้น 100 บาท
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 64 นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้ แต่ระหว่างวันก็อาจจะแกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบ เนื่องจาก Sentiment ตลาดฯยังดูดีอยู่ จากที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อ และกองทุนในประเทศก็ซื้อด้วย อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นอาจจำกัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้น และแม้ว่ารัฐบาลจะไม่ล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ก็ทำการล็อกดาวน์บางส่วน ซึ่งบางคนกลัวว่าการระบาดจะยืดเยื้อ
อย่างไรก็ดี เชื่อว่า Fund Flow ยังไหลเข้ามาใน Emerging Market และไทย หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ปรับตัวลงแรง เนื่องจากกังวลผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจีย หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งจะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำให้ผลักดันมาตรการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลภายใต้รัฐบาลของนายโจ ไบเดน เป็นไปได้ง่ายขึ้น และจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ส่งผลให้หุ้นถูกขายออกมา และเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็อ่อนค่าลง จึงเชื่อว่า Fund Flow จะไหลเข้าเอเชีย รวมถึงบ้านเราด้วย เห็นได้จากมีการหันไปถือทองคำมากขึ้นหลังดอลลาร์ฯอ่อนค่า
ส่วนราคาน้ำมันก็อ่อนตัวลงเล็กน้อยในช่วงรอผลประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน และจะจัดการประชุมอีกครั้งในวันนี้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบเล็กน้อย โดยให้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,460-1,450 จุด ส่วนแนวต้าน 1,479-1,485 จุด
ด้านสมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทองคำประจำวัน ปรับขึ้น 100 บาท ทองแท่งรับซื้อ 27,300 บาท ขายออก 27,400 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อ 26,802.88 บาท ขายออก 27,900 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
4 ประเด็นร้อนก่อนเกม “แมนยูฯ” ฟัดเดือด “แมนฯซิตี้” คาราบาวคัพ รอบรองฯ
ส่อง 4 ประเด็นร้อนก่อนเกมที่ทาง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ฟัดเดือด “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ในศึก “คาราบาว คัพ อังกฤษ” รอบรองชนะเลิศคืนนี้ 02.45 น. ตามเวลาประเทศไทย
วันที่ 6 ม.ค. 64 ความเคลื่อนไหวก่อนเกมที่ทาง “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ “เรือใบสีฟ้า” มีโปรแกรมเปิดสนาม โอลด์ แทรฟเฟิร์ด ต้อนรับการมาเยือน “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก “คาราบาว คัพ อังกฤษ” รอบรองชนะเลิศคืนนี้ 02.45 น. ตามเวลาประเทศไทย และนี่คือ 4 ประเด็นร้อนก่อนเกมคู่นี้
1. เป๊ป กวาร์ดิโอลา vs โอเล กุนนาร์ โซลชาร์
ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ทั้งคู่มีโอกาสโคจรมาพบกันทั้งหมด 4 นัดเลยทีเดียว แบ่งออกเป็นเกมพรีเมียร์ลีก 2 นัด และอีก 2 นัดในศึกฟุตบอลถ้วยใบเล็กของอังกฤษอย่าง คาราบาว คัพ ที่ยังใช้การแข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งต่างจากปีนี้ที่เล่นแบบนัดเดียวรู้ผล ซึ่งปรากฏว่า ยอดทีมสีแดงแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกว่าเมื่อเอาชนะไปได้ถึง 3 ใน 4 นัดที่พบกับ ซึ่งในเกมลีกบุกไปเอาชนะมาได้ 2-1 ส่วนเกมในบ้านเอาชนะไปได้ 2-0 ขณะที่ในฟุตบอลถ้วยนัดแรกเปิดบ้านพ่าย 1-3 ก่อนที่นัดสองจะบุกเอาชนะไปได้ 1-0 ซึ่งเกมล่าสุดในค่ำคืนนี้คือการพบกันในนัดที่ 2 ในฤดูกาล หลังนัดแรกในเกมลีกเสมอกันไปที่ 0-0
2. โอกาสแก้มือของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์
ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้วจากการพ่ายแพ้ในรายการนี้อย่าง คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ เมื่อปีก่อนจาก “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นทำให้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ต้องทำทีมตกรอบฟุตบอลถ้วย 3 รายการต่อจาก ยูโรปาลีก ที่แพ้ เซบีญา และ เอฟเอ คัพ ที่พลาดท่าปราชัยให้กับ เชลซี นี่คือเกมที่ตัวเขาจะเน้นเป็นพิเศษอย่างแน่นอนเพื่อหวังล้างตาให้สำเร็จและที่สำคัญตัวเขาก็ยังหวังที่จะคว้าแชมป์รายการนี้มาครองให้ได้ ซึ่งสะท้อนจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดที่บ่งบอกว่าอยากได้โทรฟี่แรกกับทีม
3. ฟอร์มของทั้งสองทีมกำลังร้อนแรง
ก่อนหน้านี้ทั้งสองทีมถือว่าทำผลงานไม่ได้น่าประทับใจนักจะบอกว่าฟอร์มน่าผิดหวังก็ว่า อย่างทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ผลในลีกช่วงหนึ่งผลงานตกต่ำดำดิ่งแถมยังตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีก นั่นทำให้ โซลชาร์ เจอกับความกดดันอย่างหนักจากทั้งสื่อและแฟนบอลที่ตั้งคำถามถึงอนาคตการคุมทีมของเขา แต่จุดเริ่มต้นที่เลวร้ายนั้นกลับกลายเป็นเรื่องดีในเวลาต่อมาเมื่อทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างร้อนแรงในลีกด้วยการโกยแต้มอย่างต่อเนื่องจนทำคะแนนขึ้นมาเท่ากับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงที่ 33 คะแนน แต่พวกเขามีโอกาสขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงแทนเนื่องจากลงเล่นน้อยกว่า 1 นัด ส่วนทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีปัญหาในเรื่องของการรักษามาตรฐานในการเก็บผลการแข่งขัน เนื่องจากแผงเกมรุกของทีมนัดกันฟอร์มฝืดแถมมีนักเตะติดโควิด-19 หลายราย ทว่าตอนนี้ทีมของเขากลับมาสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นแล้ว
4. แข่งแบบนัดเดียวรู้ผล
ที่ผ่านมารอบตัดเชือด หรือ รอบรองชนะเลิศ จะแข่ง 2 นัด แบบเหย้า-เยือน แต่ทว่าด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้มีการโยกสลับโปรแกรมจนอัดแน่นเต็มไปหมดจึงมีการปรับเปลี่ยนมาเหลือแข่งนัดเดียวรู้ผล ซึ่งนี่คือก็เหมือนกับเป็นการซ้อมเล่นในรอบชิงชนะเลิศกลายๆ ของทั้งสองทีมเพราะทีมที่เข้าไปยืนรอใน เวมบลีย์ อยู่ก่อนนั้นคือทีมในระดับเดียวกันอย่าง “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ที่มี โชเซ มูรินโญ เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกสที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขี้ยวลากดินกุมบังเหียนอยู่
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
แนะรับมือกับภาวะเครียด ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดอีกครั้ง และดูเหมือนรอบนี้จะรุนแรงมากกว่าครั้งก่อน สิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากการควบคุมโรคและการทำงานหนักของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คือความเครียดที่คนไทยต้องเผชิญกับวิกฤติโรคระบาด โดยเฉพาะการรับมือกับสภาพจิตใจของตัวเอง ซึ่งเป็นปัญหาที่มองข้ามไม่ได้โดยเด็ดขาด
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าวิกฤติโควิด-19 นำไปสู่ความเครียดของคนเป็นจำนวนมาก เพราะมีผลกระทบหลายอย่าง บางคนมีความเครียดสงสัยว่าตัวเองติดเชื้อหรือยัง บางคนเครียดเพราะค้าขายไม่ได้ นายจ้างลดการจ้างงาน บางคนเครียดเดินทางไม่ได้ ครอบครัวมีลูกอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน จนทะเลาะกันมากยิ่งขึ้น ปัญหาเหล่านี้ทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปหมด บางครั้งมันสะกิดแผลเดิมที่ผู้คนมีความเครียดอยู่ก่อนแล้ว พอเจอโควิด-19 ยิ่งไปสะกิดแผลมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมาสถิติประชาชนโทรศัพท์มาสายด่วน 1323 เพื่อรับฟังคำแนะนำจากกรมสุขภาพจิตในเรื่องโควิด-19 จะสูงมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค โดยเดือน มี.ค. 63 ที่เริ่มแพร่ระบาดมีตัวเลขอยู่ที่ 600 ครั้งต่อเดือน เดือน เม.ย. สถิติลดลงไป เพราะมีการงดเทศกาลสงกรานต์ งดขายแอลกอฮอล์ จึงอยู่ที่ 539 ครั้ง ส่วนเดือน พ.ค. ตัวเลขคนมาปรึกษาเรื่องโควิดสูงถึง 687 ครั้ง ก่อนที่จะเริ่มลดในเดือน ต.ค. จนกระทั่งเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา สถิติเก็บถึงสัปดาห์แรกพบว่ามีคนโทรฯ มาขอคำปรึกษา 48 รายด้วยกัน ซึ่งอิงกับการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่สูงมากขึ้น
ทั้งนี้กรมสุขภาพจิตเห็นแนวโน้มมาตั้งแต่ปี 62 ว่าคนจะมีความเครียดและฆ่าตัวตายสูงมากในหลายปีนี้ จึงเปิดคู่สายเพิ่มขึ้น 2 เท่า จากเดิมมีเจ้าหน้าที่รับสาย 10 คน ก็จัดให้มีเยอะขึ้น แน่นอนว่าทำให้ตัวเลขคนโทรฯเข้ามาปรึกษาสูงขึ้นจากปีก่อนด้วย โดยขอแนะนำว่าในช่วงเวลาเลิกงาน หรือก่อนนอนนั้น คนจะโทรฯมาเยอะมาก อาจต้องรอสาย แต่ระยะเวลาการรอน้อยลงกว่าปีก่อน เพราะเรามีคนรับโทรศัพท์เพิ่มขึ้น
รับฟัง-คุยกับตัวเอง-เข้าใจปัญหาคืออะไร
นพ.วรตม์เผยด้วยว่า คำแนะนำสำคัญสำหรับคนที่เครียดจาก โควิด-19 เวลาโทรฯ สายด่วนมา เจ้าหน้าที่จะรับฟังเพื่อพยายามหาว่าปัญหาคืออะไร บางคนมีปัญหาเยอะมาก เวลาโทรฯ มา ก็ต้องดูว่าปัญหาที่สำคัญสุดที่เผชิญอยู่คืออะไรกันแน่ หลายครั้งคนโทรฯมาเพียงต้องการให้คนรับฟัง สำหรับตัวเขาถือว่าดีเพียงพอแล้ว เพราะต้องการใครสักคนที่ต้องการระบาย
สิ่งต่อมา คือปัญหาที่คนเผชิญอยู่เป็นปัญหาที่แก้ได้หรือไม่ได้ ถ้าแก้ได้ เช่นเรื่องหนี้สิน ก็อาจจะคุยว่าต้องทำอย่างไร กรมสุขภาพจิตจะพูดคุยช่วยประสานหาข้อมูลให้ หรือเรื่องทะเลาะกับคนในบ้านหลังจากต้องล็อกดาวน์ตัวเองกับคนในครอบครัว ทำให้มีปากเสียงกันบ่อย เราต้องบอกให้ใจเย็น ค่อย ๆ คุยกัน ส่วนปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เช่น บางคนเจอเรื่องคนรู้จักเสียชีวิตจากโควิด-19 ตรงนี้เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ต้องรับฟังเขา ต้องดูว่าคนที่โทรฯมานั้นมีสัญญาณแนวโน้มขอบเขตความเครียดอยู่ระดับไหน ถึงขั้นต้องไปพบแพทย์หรือไม่ ถ้ารับฟังแล้วพบว่าคนที่โทรฯมาต้องพบแพทย์ ต้องให้คำแนะนำเขาไปด้วย
“ทุกครั้งที่สังคมเจอวิกฤติ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 มีคนก่อเหตุฆ่าตัวตายสูงถึง 25% จากปีก่อน และอัตรานี้จะคงอยู่ไป 3-4 ปี กว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ วิกฤติที่เกิดขึ้นในสังคมทุกครั้งนั้น มันส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อคนจำนวนมาก เพราะสร้างบาดแผลใหม่ไปกระทบบาดแผลเก่าในจิตใจผู้คน ดังนั้นคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตจะยิ่งเครียดมากกว่าเดิม บางคนปรับตัวไม่ได้อาการจะหนักขึ้น สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะดูแลตัวเองอย่างไร มีแรงยืดหยุ่นทางจิตใจแค่ไหน บางคนล้มแล้วลุกแต่บางคนล้มแล้วลุกไม่ได้”
วิธีการแก้ปัญหาความเครียด คือ เราต้องคุยกับตัวเองก่อน ทุกวันนี้คนคุยกับตัวเองน้อยมาก เราต้องถามว่าวันนี้เราไหวไหม มีปัญหาอะไรไหม จากนั้นก็ไปคุยกับคนใกล้ชิด ให้เขารับฟังว่าเรามีปัญหาอะไร ปัญหาบางอย่างแก้ได้ ก็หาคำแนะนำ จากนั้นค่อยไปหาผู้เชี่ยวชาญ กรมสุขภาพจิตย้ำและออกโครงการเสมอให้มีการรับฟังกัน กระตุ้นให้คนตรวจเช็กสภาพจิตใจตัวเองบ่อย ๆ อยู่เสมอ
“ขอแนะนำว่า เราควรดูข่าวสารเรื่องโควิด เพื่อไม่ให้ประมาทและรู้เข้าใจสถาน การณ์ แต่ควรดูข่าวสารเพื่อให้เราตระหนัก แต่ไม่ใช่ตระหนก เดี๋ยวนี้คนรับข่าวสารจากทางการแล้วไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีอัลกอริทึ่มหาเรื่องมาให้เรา บังคับให้เราอ่านข่าวโรคระบาดโดยเฉพาะ มันทำให้คนเครียดยิ่งขึ้น บางคนเครียดมากถึงกับใช้ชีวิตปกติไม่ได้ ไม่คุยกับใคร พฤติกรรมเปลี่ยนไป ก็ขอแนะนำให้หยุดรับรู้ข่าวสารเรื่องนี้สัก 2-3 วัน”
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวยังแนะนำว่าเราควรรับฟังข่าวสารทุกวัน การไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตต้องระวังการหลงอยู่ในฟองสบู่ข้อมูลข่าวสาร จนออกจากลูปไม่ได้ สังคมออนไลน์แฝงด้วยอารมณ์จากคนมาแสดงความคิดเห็น ล้อเลียน เสพแล้วอาจเครียดได้ จากไม่ตระหนักเรื่องนี้อาจเริ่มตระหนกยิ่งขึ้น ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวและติดต่อง่ายกว่าโควิด-19 คืออารมณ์ในทางลบ ทำให้คนเครียดได้จากอารมณ์คนหมู่มากที่แฝงมาในข่าวสารที่เราเสพ
ดูแลบุคลากรทางการแพทย์รับมือภาวะหมดไฟ
นพ.วรตม์บอกว่า ในช่วงโควิด-19 กรมสุขภาพจิตมีการเฝ้าระวังบุคลากรทางการแพทย์กับการเผชิญสภาวะหมดไฟ อันเกิดจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 เพราะคนเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนมีความกลัว ตระหนกว่าจะพาโรคไปติดครอบครัวหรือไม่ ในช่วงโควิดระบาดเดือน มี.ค.-พ.ค. 63 บุคลากรทางการแพทย์เจอภาวะนี้เยอะมาก แต่ค่อย ๆ ลดลงเมื่อโรคซาลงไป แต่รอบปัจจุบันยังไม่แน่ว่าภาวะนี้จะสูงแค่ไหน ซึ่งส่งผลเป็นทอด ๆ เพราะงานวิจัยต่างประเทศเผยว่าหากบุคลากรทางการแพทย์ล้าหมดไฟ เจองานหนัก ท้อแท้ สมาธิจะเสีย ศักยภาพการทำงานจะลดลง เสี่ยงต่อการป่วยติดเชื้อ ทำให้ทรัพยากรในการดูแลประชาชนเสียหาย ที่ผ่านมากรมสุขภาพจิตได้ตั้งสายด่วนเฉพาะพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ติดต่อปรึกษาพูดคุยระบายปัญหา เพราะเราต้องดูแลสนับสนุนพวกเขาด้วย ในฐานะด่านหน้าการรับมือโควิด-19 หากพวกเขาแย่ ทุกอย่างจะแย่ไปหมด
ทั้งนี้บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเผชิญกับความเครียดจากโควิด-19 จะประกอบด้วย การทำงานที่ไม่รู้ว่าปัญหาจะจบลงเมื่อไหร่ ขาดการติดต่อกับคนในครอบครัว ขาดความเข้าใจในโรค ปัญหานี้มักจะเกิดในช่วงแรกของการแพร่ระบาด ปัจจุบันส่วนนี้หายไปแล้ว สิ่งสำคัญคือบุคลากรทางการแพทย์ขาดกำลังใจจากคนรอบข้าง และจากคนที่มาใช้บริการ ซึ่งทุกฝ่ายต่างเครียดกันทั้งคู่จนทะเลาะกัน ดังนั้นอยากฝากว่าขอให้พูดจาดี ๆ กับบุคลากรทางการแพทย์
“กรมสุขภาพจิตได้เฝ้าระวังบุคลากรทางการแพทย์กับการฆ่าตัวตาย ตอนนี้ยังไม่มีแต่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเราให้ความสำคัญกับบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชน และผู้ป่วยจิตเวชอย่างเท่าเทียมกันหมด”
ทำตัวให้เสี่ยงน้อยสุด-ไม่รู้ “โควิด” ไปเมื่อไหร่
นพ.วรตม์ย้ำว่า เราจะต้องอยู่กับโควิด-19 ไปจนกว่าจะมีวัคซีนฉีดอย่างทั่วถึงประชาชนในประเทศ 50-60% จนกว่าจะเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นได้ เพราะมีคนได้รับวัคซีนมากพอ จนเชื้อโรคไม่สามารถติดต่อกับคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งตรงนี้ขอย้ำสำหรับคนที่เครียดกับโรคว่า มันจะหายไปเมื่อไหร่ ขอชี้แจงว่าเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ไม่มีวันรู้ว่าจะหายไปตอนไหน ถามใครก็ตอบไม่ได้ บางโรคระบาดหายไปเองเฉย ๆ ก็มี ดังนั้นจึงไม่แน่นอน แต่ตอนนี้เราต้องระวังโควิด-19 ที่มีสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในอังกฤษ แล้วไม่รู้ว่าวัคซีนที่ผลิตทดลองออกมาจะใช้ได้หรือไม่ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ คือต้องอยู่กับปัจจุบัน ต้องป้องกันตัวเองให้มีความเสี่ยงน้อยสุดในการติดเชื้อ เราอาจป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ 100% แต่ก็ทำให้เสี่ยงน้อยที่สุดได้.
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
ความเหมือนที่แตกต่าง! มาดูคำศัพท์ความหมายเหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน
คำศัพท์ที่ความหมายเหมือนกัน แต่ใช้ต่างกัน
นี่ไม่ใช่ ซิ้งเกิ้ลใหม่ของ Getsunova แต่อย่างใด แต่ภาษาอังกฤษมีคำที่ให้ความหมายเหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน
คำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันหรือให้ความหมายที่ใกล้เคียงกันภาษาอังกฤษเรียกว่า Synonym ซึ่งปกติแล้วในภาษาอังกฤษมีคำมากมายที่ให้ความหมายเหมือนกันแต่ใช้ในบริบทที่ต่างกันโดยที่บางทีเราก็ไม่เข้าใจว่าควรใช้คำไหนกับบริบทไหนดี เพราะยังไม่เข้าใจความแตกต่างของแต่ละคำ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการใช้ ดังนั้นวันนี้เราได้นำคำที่มีความหมายคล้ายกันและนิยมใช้กันมาให้
เริ่มด้วย
Shop VS Store
ต่างกันตรงไหน ต่างกันอย่างไร
Shop
Shop แปลว่า ร้านค้า แหล่งจำหน่ายสินค้า ชาวอังกฤษนิยมใช้คำนี้
ซึ่งนอกจากเป็นคำนามแล้วนั้นยังสามารถเป็นกริยาได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
Shop ที่เป็นคำนาม
Shop (n.) = the place where can buy the products or services
Would you like to go to the shop? อยากไปร้านค้ามั้ย
Shop ที่เป็นคำกริยา
Shop (v.) = to buy something
I tend to go to the local market if I’m just shopping for food.
ฉันมักจะไปตลาดนัดถ้าหากอยากไปหาอะไรกิน
Store
Store เป็นคำที่ฝั่ง US นิยมใช้กันมาก
Store (n.) แปลว่า ร้านค้าทั่วไปขายสินค้าหลากหลายประเภท
ยกตัวอย่างเช่น
The store is open for late-night shopping on Wednesdays.
ร้านค้าเปิดซื้อสินค้าดึกขึ้นในวันพุธ
นอกจากนี้ ยังเป็นคำกริยาได้อีกด้วย
Store (v.) แปลว่า การเก็บสิ่งของบางอย่างไว้ใช้ในอนาคต
Store = to keep things in a special place for use in the future.
ยกตัวอย่างเช่น
I stored my possessions in my mother’s house while I was living in Korea.
ฉันเก็บสมบัติไว้ที่บ้านของแม่ในขณะที่ฉันอาศัยอยู่ที่เกาหลี
ต่อไปจะเป็นการพูดถึงคำศัพท์เกี่ยวกับโลกและดาวเคราะห์ นั่นก็คือคำว่า Planet Earth and World ทั้งสามคำใช้ต่างกันอย่างไรมาดูกันเลย
Planet, Earth, and World ใช้ต่างกันยังไง
Planet (n.) แปลว่า ดาวเคราะห์ที่เคลื่อนที่ไปรอบๆดวงอาทิตย์เช่น โลก ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวเนปจูน
ยกตัวอย่างเช่น
The planet Jupiter radiates twice as much heat from inside as it receives from the Sun.
ดาวพฤหัสแผ่ความร้อนเป็นสองเท่าเมื่อได้รับแสงจากพระอาทิตย์
Earth (n.) แปลว่า พื้นดินของโลกทางระบบนิเทศ เช่น พื้นปฐพี
Earth = the land surface of the word.
ยกตัวอย่างเช่น
The earth was shaking and people rushed out of their houses in panic.
โลกสั่นสะเทือนผู้คนต่างพากันวิ่งหนีด้วยความตระหนก
Earth (v.) แปลว่า วางสายดินระหว่างอุปกรณ์ไฟฟ้าและพื้นดิน
Earth (v.) = to put earth between electrical equipment and the ground.
Earth (n.) แปลว่า สายดิน
ยกตัวอย่าง
It’s so dangerous if Dan has not yet connected the heater and the earth to the set.
มันอันตรายมากหากแดนยังไม่ได้เชื่อมต่อเครื่องทำความร้อนกับสายดิน
World (n.) โลก ในที่นี่มักจะกล่าวถึงอารยธรรมของหมู่มวลมนุษย์ วิถีชีวิต ระบบโครงสร้างในสังคม
“The planet on which human life has developed, esp. Including all people and their ways of life”
ยกตัวอย่างเช่น
Technology evolution has changed the world.
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไป
คลายความสงสัยกันแล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
อ.เจษฎา ย้ำ!! “ชุดตรวจโควิด” ห้ามซื้อตรวจเองที่บ้าน
อ.เจษฎา ย้ำ!! “ชุดตรวจโควิด” เป็นการสกรีนเบื้องต้นและความแม่นยำต่ำ ระบุการตรวจต้องทำโดยเจ้าหน้าที่ทางการค้าเท่านั้น ไม่ควรซื้อไปตรวจเองที่บ้าน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นทำให้ประชาชนส่วนใหญ่หวาดวิตกว่าอาจได้รับเชื้อไปแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการ ประกอบกับค่าบริการในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แต่ละโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง หลายองค์กรหรือบริษัทจึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาชุดตรวจหาโควิดแบบ Rapid Test ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในจุดนี้ ที่เห็นได้จากการจำหน่ายผ่านช่องทางโซเชียลในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยที่ผู้ใช้อาจยังไม่รู้ข้อเท็จจริงที่สำคัญในการใช้งานชุดตรวจโควิด ดังกล่าว
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตอนนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้มีอนุมัติให้ใช้ “ชุดตรวจโควิด” ได้หลายยี่ห้อแต่ต้องทำโดยเจ้าหน้าที่ทางการค้าเท่านั้น ไม่ให้ซื้อไปใช้เองที่บ้าน สำหรับเรื่องของความแม่นยำเมื่อเทียบกับวิธี Swap Test ปกติพวกนี้จะมีความแม่นยำต่ำกว่า เป็นเพียงการสกรีนเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในการตรวจยืนยัน ยังคงต้องใช้วิธี PCR Test เป็นหลัก ซึ่งหากมีประชาชนทั่วไปซื้อไปใช้ตรวจเองแล้วไม่พบเชื้อทำให้เกิดความชะล่าใจอาจทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงเพิ่มขึ้น จึงมีการห้ามจำหน่าย แต่ก็ยังมีการลักลอบจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก
สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ทาง อย. ก็ได้มีการชี้แจงเกี่ยวกับชุดตรวจโควิด Rapid Test ออกมาโดย Rapid Test นั้น เป็น ชุดทดสอบโควิด-19 อย่างง่าย และรวดเร็วเป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้นเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสและภูมิคุ้มกัน ก่อนเข้ากระบวนการตรวจชนิดยืนยันผลจากห้องปฎิบัติการ ที่ทราบผลได้ภายใน 10 – 30 นาที เหมาะสำหรับการประเมินความชุกและการติดเชื้อ
แต่ถึงแม้ว่าค่าผลตรวจเป็นบวก ใช่ว่าจะแปลว่าป่วย และค่าผลตรวจเป็นลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ โดยการตรวจเชื้อไวรัส (Antigen) ต้องรับเชื้อมาแล้ว 5 – 14 วัน ถึงจะตรวจได้ผลที่แม่นยำ ส่วนการตรวจภูมิคุ้มกัน (Antibody) จะตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในวันที่ 10 เป็นต้น
อย่างไรก็ตามชุดตรวจ Rapid Test โควิด -19 ต้องผ่านการรับรองจาก อย. โดยให้จำหน่ายได้เฉพาะสถานพยาบาลของรัฐ , โรงพยาบาลทั่วไป , โรงพยาบาลเฉพาะทางคลินิกเวชกรรม , คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรม , คลินิกเทคนิคการแพทย์ หรือสหคลินิก โดยการตรวจต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อมาตรวจเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“แมงลัก” พืชพื้นบ้าน สมุนไพรในครัวเรือน แต่ “เมล็ดแมงลัก” ไม่ควรกินพร้อมยา
แมงลัก คือพืชสมุนไพร ตระกูลเดียวกับโหระพาและกะเพรา นิยมนำมาบริโภคใบและเมล็ด ลักษณะของต้นแมงลักเป็นอย่างไร สรรพคุณของแมงลัก เช่น ช่วยควบคุมน้ำหนัก เป็นยาระบายอ่อนๆ คุณค่าทางโภชนาการและโทษของแมงลัก มีอะไรบ้าง
ต้นแมงลัก (Hairy Basil) ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงลักคือ Ocinum canum . Sim. ชื่อเรียกอื่นๆ ของแมงลัก เช่น มังลัก ขาวมังลัก ผักอี่ตู่ กอมก้อขาว เป็นต้น ใบแมงลัก มีกลิ่นหอม นิยมนำมาทำอาหาร ช่วยดับคาว และเพิ่มความหอมของอาหารได้ดี เมนูอาหารที่นำใบแมงลักมาทำอาหาร เช่น แกงเลียง แกงหน่อไม้ เป็นต้น
แมงลักในประเทศไทย
สำหรับแมงลักในประเทศไทย จัดว่าเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง มีการปลูกแมงลัก เพื่อผลิตใบสดและเมล็ดแมงลักในเชิงพาณิชย์ สามารถพบเห็นแมงลักได้ทั่วไปตามตลาด สายพันธุ์แมงลัก ที่นิยมปลูก คือ แมงลักสายพันธุ์ศรแดง ที่มีลักษณะใบใหญ่ แหล่งปลูกต้นแมงลัก พบได้ทั่วไปทั่วประเทศ
ลักษณะของต้นแมงลัก
ต้นแมงลัก เป็นพืชล้มลุก อายุสั้นไม่ถึง 1 ปี นิยมรับประทานเป็นอาหาร ต้นแมงลัก สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการปักชำและการเพาะเมล็ดพันธุ์ ลักษณะของต้นแมงลัก มีดังนี้
ลำต้นของแมงลัก เนื้อไม้ของต้นแมงลักอ่อน อวบน้ำ ความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้างเป็นทรงเหลี่ยม เปลือกลำต้นสีเขียว มีระบบรากเป็นแก้วและรากฝอย รากของต้นแมงลักสามารถลึกได้ถึง 30 เซนติเมตร
ใบแมงลัก ลักษณะเป็นใบเดี่ยว สีเขียว ออกตามกิ่งของต้นแมงลัก ใบเป็นทรงรี ปลายใบแหลม โคนใบโค้งมน มีขนอ่อนปกคลุมทั่วใบ
ดอกแมงลัก ลักษณะของดอกออกเป็นช่อ ดอกออกเป็นกระจุก กลีบดอกสีเขียว
เมล็ดแมงลัก อยู่ภายในดอกแก่ของต้นแมงลัก เมล็ดแมงลักมีลักษณะรีแบน สีดำ สามารถนำมาขยายพันธุ์ได้
คุณค่าทางโภชนาการของแมงลัก
ต้นแมงลักนั้นนำมาใช้ประโยชน์บริโภคใบสดและเมล็ด โดยนักโภชนาการได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของแมงลัก มีรายละเอียดดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดแมงลัก ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 420 กิโลแคลอรี มีสารอาหารสำคัญ ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 54 กรัม โปรตีน 15 กรัม ไขมัน 16 กรัม กากใยอาหาร 54 กรัม
คุณค่าทางโภชนาการของใบแมงลัก ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 32 แคลอรี มีสารอาหารสำคัญ ประกอบด้วย แคลเซียม 350 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 86 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินเอ 10,666 มิลลิกรัม ไทอามีน 0.30 มิลลิกรัม ไรโบเฟลวิล 0.14 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.0 มิลลิกรัม วิตามินซี 78 มิลลิกรัม กากใยอาหาร 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 11.1 กรัม ไขมัน 0.8 กรัม และโปรตีน 2.9 กรัม
น้ำมันหอมระเหยจากแมงลัก
สำหรับน้ำมันหอมระเหยจากแมงลัก มีมากในใบแมงลัก ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจากแมงลัก ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด มี 3 ชนิด ประกอบด้วย
1. น้ำมันหอมระเหยที่มี methyl cinnamate
- น้ำมันหอมระเหยที่มี d-camphor
- น้ำมันหอมระเหยที่มี polyuronide
สรรพคุณของแมงลัก
สำหรับการใช้ประโยชน์จากแมงลัก ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค นั้นใช้ประโยชน์จากใบแมงลักและเมล็ดแมงลัก โดยรายละเอียดของสรรพคุณของแมงลัก มีดังนี้
เมล็ดแมงลัก สรรพคุณยาระบายอ่อนๆ ทำให้อุจจาระอ่อนตัว ลดอาการท้องผูก ช่วยย่อยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น เสริมการสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกเสื่อม ช่วยอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดน้ำหนัก
ใบแมงลัก สรรพคุณช่วยบำรุงเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง บำรุงผิวพรรณ บำรุงสายตา ป้องกันโรคมะเร็ง แก้เจ็บคอ แก้ไอ ช่วยขับเสมหะ รักษาไข้หวัด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องผูก ป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ช่วยรักษากลากน้ำนม
โทษของเมล็ดแมงลัก
สำหรับการรับประทานแมงลัก ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม หากรับประทานเมล็ดแมงลักมากเกินไป อาจทำให้เกิดโทษได้ โดยข้อควรระวังในการรับประทานแมงลัก มีรายละเอียดดังนี้
หากรับประทานเมล็ดแมงลักมากเกินไป จะทำให้รู้สึกแน่นท้อง ไม่สบายตัว
เมล็ดแมงลักที่ยังไม่พองตัวอย่างเต็มที่ หากรับประทานเข้าไป เมล็ดแมงลักอาจดูดน้ำจากกระเพาะอาหาร จนเกิดเป็นก้อนภายในกระเพาะอาหาร ทำให้อุดตันในลำไส้ ทำให้ท้องผูก
เมล็ดแมงลัก ไม่ควรรับประทานพร้อมกับยาอื่นๆ เพราะเมล็ดแมงลักอาจดูดสรรพคุณของยาเหล่านั้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก today.line.me
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,500.00 | 27,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,781.00 | 26,999.96 | 28,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,602.90 | 24,299.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,424.80 | 21,599.97 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 801.00 | 12,143.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 623.00 | 9,444.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,846.00 | 27,985.36 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/01/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 21.74 | 21.74 | 21.74 | 21.74 | 21.74 | – | 21.74 | 21.74 | 21.74 | 21.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.84 | 18.84 | – | – | – | – | – | – | – | 18.84 |
เบนซิน 95 | 30.66 | – | – | – | 31.11 | – | 31.16 | 30.66 | – | 30.66 |
ดีเซล B7 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 |
ดีเซล B20 | 20.94 | 20.94 | 20.94 | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 28.64 | 28.66 | 30.64 | 30.04 | – | – | – | – | – | 28.64 |
แก๊ส NGV | 13.12 | 13.12 | – | – | – | – | – | – | – | 13.12 |