ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,700.00 | 19,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,276.00 | 19,344.16 | 20,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,148.40 | 17,409.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 574.00 | 8,701.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 447.00 | 6,776.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,322.00 | 20,041.52 | n/a |
ดาวรุ่ง-ดาวโรย อสังหา 20 จังหวัด EEC นำโด่ง จับตาโซนอันตรายบ้าน-คอนโด
จับตาเศรษฐกิจไทย ก้าวสู่ไตรมาส 2 หลังไตรมาสแรกเป็นไปตามคาด
เป็นที่รู้กันดีว่าสภาพตลาดอสังหาฯ นั้นมีความสอดคล้องกับเศรษฐกิจไทย ดังนั้นในช่วงไตรมาสแรกปี 2561 ยังคงเป็นไปตามคาดว่าปี 2561 จะดีขึ้นกว่าปี 2560 และทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน ยังมองมุมบวกต่อเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 แต่จะเริ่มกังวลต่อผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อาจส่งผลเสียหายได้ทีั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้ เพราะไทยยังพึ่งพาการส่งออกกว่า 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีความเห็นจากภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยของปีนี้ในช่วงเวลาที่เหลือ
เป็นไปตามคาด เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ยังโตต่อเนื่อง
นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหาภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ย้อนถึงไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า จากภาวะเศรษฐกิจจะโตอย่างที่สศค. ประเมินไว้ และทำให้ทั้งปีสามารถโต 4.2% เศรษฐกิจไตรมาสแรกรับแรงหนุน 3 สูงคือ การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวสูงสุดต่อเนื่องจากปลายปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวสูง และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี นอกจากนี้การลงทุนภายในประเทศทั้งการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนเอกชน ยังขยายตัวดี
ในปีนี้ถือว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเต็มที่ มีหลายสำนักประเมินตรงกัน จะได้เห็นการขยายตัวเกินกว่า 4% เป็นการเติบโตแตกต่างจาก 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะในปีนี้เครื่องยนต์เกือบทุกตัวกลับมาเดินเครื่องเต็มที่ทั้งการจับจ่ายใช้สอยและการบริโภคเริ่มดี ส่วนการลงทุนรัฐยังเดินหน้า เมื่อรวมกับการลงทัุนเอกชน คาดว่าน่าจะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งทำให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเติบโตต่อไป
ภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
สิ่งที่ต้องจับตามองคือเรื่องต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน มีโอกาสเกิดขึ้น แต่คิดว่าจะไม่รุนแรง ทัั้งนี้มีความชัดเจนของรายการสินค้าที่ 2 ประเทศนำมาใช้ตอบโต้กัน ในส่วนสหรัฐประกาศออกมา 1,300 รายการ มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก อะลูมิเนียม ยางพารา เมล็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนจีนประกาศออกมา 128 รายการ มูลค่า 3 พันล่านดอลลาร์สหรัฐ เช่น ผลไม้แปรรูป อาหารแช่แข็ง
เรื่องนี้ทางสศล. กำลังนำรายการสินค้าดังกล่าว มาพิจารณาว่ากระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง เท่าที่ดูกระทบไม่มาก เนื่องจากไทยมีการส่งออกไปทั้งสหรัฐและจีน ประเทศละ 11% ของการส่งออกทั้งหมด และไทยอาจได้ผลดี หากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไทยมีการนำเข้า ไทยอาจได้ประโยชน์ เพราะสินค้าดังกล่าวต้องถูกนำไปขายในประเทศอื่นแทนสหรัฐและจีน ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ จึงไม่น่ากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของไทยนัก เพราะไทยกระจายสัดส่วนการส่งออกไปยังหลายประเทศ
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหาภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา มีข้อมูลเพียง 2 เดือน ต้องติดตามตัวเลขในเดือนมีนาคมที่จะออกมาอีกครั้้ง อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปี 2561 น่าจะขยายตัวได้ใกล้ 4% ธปท. คาดว่าจีดีพีปี 2561 จะขยายตัวได้ 4.1% ส่วนการส่งออกปีนี้คาดขยายตัว 7% โดยตัวเลขการส่งออกมกราคมขยายตัว 16.7% กุมภาพันธ์ขยายตัว 7.7% เดือนแรกขยายตัวได้ 12%
ด้านแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยแรงส่งเศรษฐกิจจากปัจจัยในประเทศจะมีผลมากขึ้นทั้งการบริโภคและลงทุนทั้งเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 ที่จะมีการเบิกจ่ายงบกลางปี อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการคนจนเฟส 2 จัดสรรงบให้กองทุนหมู่บ้าน โครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากสนับสนุนการท่องเที่ยวระดับชุมชน เป็นต้น ส่งผลดีต่อการบริโภค ในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเห็นการลงทุนภาครัฐออกมาและทำให้เอกชนลงทุนมากขึ้น
การส่งออกยังขยายตัวดี แต่อัตราขยายตัวชะลอลง
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอย่างการส่งออกยังขยายตัวดี แต่อัตราขยายตัวชะลอลง และการท่องเที่ยวโตต่อเนื่องอย่างไรก็ตามมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ กำลังซื้อยังไม่กระจายตัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย สะท้อนจากรายได้ทั้งในและนอกภาคเกษตรกรรม สถานการณ์การกีดกันทางการค้า อาจจะส่งผลกระทบกับการส่งออกไทยได้ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดสงครามการค้ารุนแรง รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
น.ส. ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้บริหารงานวิจัยศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ คาดว่าการส่งออกช่วงครึ่งปีแรกจะขยายตัว 5% และจีดีพีครึ่งปีแรกน่าจะขยายตัว 3.9% ขณะที่ทั้งปี 2561 คาดการส่งออกขยายตัว 4.5% และจีดีพีขยายตัว 4.0% มองว่าแรงหนุนยังมาจากการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนทั้งรัฐและเอกชน แม้ว่าการบังคับใช้กฎหมายจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐจะส่งผลให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐล่าช้าไปบ้าง แต่คาดว่าการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ น่าจะทำให้การลงทุนภาครัฐยังเป็นแรงหนุนที่สำคัญ ด้านการบริโภคคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ นายเจน นำชัยศิริ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประเมินเศรษฐกิจไตรมาสแรกได้รับผลดีจากการส่งออก (กกร.) และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี ล่าสุดในการประชุม กกร. เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2561 ใหม่อยู่ที่ 4.0-4.5% จากเดิม 3.8-4.5% ส่งออกคาดอยู่ที่ 5.0-8.0% จาก 3.5-6.0% เงินเฟ้อทั่วไป คาดอยู่ที่ 0.7-1.2% จาก 1.1-1.6%
ในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ สิ่งที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย คือปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับนานาประเทศ รวมทั้งการเปิดเผยรายงานนโยบายอัตราดอกเบี้ยแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสหรัฐในเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้ ต้องการปรับตัวของราคาสินค้าเกษตรบางรายการ และความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐ
ส่วนในไตรมาส 2 ทิศทางของเศรษฐกิจไทย คงต้องติดตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ หลังมีคำสั่งจะพิจารณาขยายมูลค่าการนำเข้าจากจีน สูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนได้ตลอดเวลา
แนวโน้มค่าบาท ‘แข็งค่า’ หลังสงครามการค้าคลี่คลาย
บาทเปิดตลาดเช้านี้ทรงตัว “31.20 บาทต่อดอลลาร์” ตลาดการเงินกลับมาสดใส หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นหมด สงครามการค้าระยะสั้นคลี่คลาย มองเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าต่อได้ตามพื้นฐานสกุลเงินเอเชียที่แข็งแกร่ง
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 31.20บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน
ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินกลับมาสดใสและเปิดรับความเสี่ยงใหม่อีกครั้งหลังจากที่นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอ Facebook ขึ้นให้การกับสภาคองเกรซได้ดีกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นทั้งหมด
เช่นเดียวกันกับปัญหาการกีดกันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ระยะสั้นมีท่าทีคลี่คลาย หลังจากที่จีนเริ่มมีการให้ความเห็นว่าอาจผ่อนปรนเรื่องกำแพงภาษีกับสินค้าสหรัฐ
พร้อมกับราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวขึ้น (WTI +3.4% ปิดที่ระดับ 65.56 ดอลลาร์/บาร์เรล) หลังจากตลาดมีความกังวลเรื่องสงครามในตะวันออกกลาง และซาอุดีอาระเบียให้ความเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะลดกำลังการผลิตต่อไปเพื่อหนุนราคาน้ำมัน
ในระยะสั้น ตลาดยังอยู่ในช่วงปรับฐานหลังปรับตัวลงแรง แต่ในระยะยาวความเสี่ยงที่สูงขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดเปิดรับความเสี่ยงน้อยลง ภาวะตลาดปัจจุบันเป็นบวกกับสกุลเงินเอเชียและค่าเงินบาทเล็กน้อย เชื่อว่าวันนี้เงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าต่อได้ตามพื้นฐานสกุลเงินเอเชียที่แข็งแกร่ง และความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศที่ลดลง มองกรอบเงินบาทระหว่างวันที่ระดับ 31.15 – 31.25 บาทต่อดอลลาร์
เปิดผลจัดอันดับธนาคารแห่งปี 2561 “แบงก์กรุงเทพ” ครองแชมป์
วันที่ 9 เมษายน 2561 วารสารการเงินธนาคาร รายงานผลจัดอันดับธนาคารแห่งปี 2561 หรือ Bank of the Year 2018 โดยพิจารณาจากผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง ในรอบปี 2560 (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560) ปรากฏว่า ธนาคารกรุงเทพ คว้าแชมป์ธนาคารแห่งปี 2561 ไปครอง ตามมาด้วยธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ได้อันดับ 2 และธนาคารกสิกรไทย ที่รั้งอันดับ 3
โดยในปี 2560 ธนาคารกรุงเทพ มีกำไรสุทธิรวม 33,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.80% จากปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมบริการประกันผ่านธนาคาร บริการกองทุนรวม และกำไรจากเงินลงทุนที่สูงขึ้น ทำให้เป็นธนาคารที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้นสูงเป็นอันดับ 1 ที่ 17.29 บาท และมีขนาดสินทรัพย์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ระดับ 3,076,310 ล้านบาท
ส่วนนโยบายในปีนี้ ธนาคารกรุงเทพ ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยสนับสนุนลูกค้าให้เข้าถึงโอกาสใหม่จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในประเทศไทยและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง พร้อมร่วมมือกับผู้นำเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงข้อมูลแก่ลูกค้าในหลากหลายช่องทางมากขึ้น
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ที่คว้าอันดับ 2 มีกำไรสุทธิในปี 2560 อยู่ที่ 43,151 ล้านบาท ลดลง 9.4% จากปีก่อน เพราะมีการตั้งสำรองหนี้สูญ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยธนาคารจะมุ่งเน้นที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรและวิธีดำเนินธุรกิจ ด้วยการประยุกต์รากฐานที่แข็งแกร่งขององค์กรกับธุรกิจรูปแบบใหม่ ภายใต้ยุทธศาสตร์ตีลังกา (Going Upside Down) เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็น “ธนาคารที่น่าชื่นชมที่สุด” หรือ “The Most Admired Bank”
ขณะที่อันดับ 3 อย่างธนาคารกสิกรไทย มีกำไรสุทธิ 34,338 ล้านบาท โดยเป็นธนาคารที่มีรายได้รวมสูงเป็นอันดับ 1 ที่ 180,426 ล้านบาท ซึ่งในปี 2561 ธนาคารกสิกรไทยมียุทธศาสตร์หลัก คือ ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) พร้อมตั้งเป้าหมายให้ธนาคารเป็น Customers Life Platform of Choice หรือ แพลตฟอร์มหนึ่งเดียวที่ลูกค้าเลือกเพื่อตอบโจทย์ทุกด้านของชีวิต
สำหรับผลจัดอันดับธนาคารแห่งปี 2561 มีดังนี้
1. ธนาคารกรุงเทพ
2. ธนาคารไทยพาณิชย์
3. ธนาคารกสิกรไทย
4. ธนาคารทิสโก้
5. ธนาคารธนชาต
6. ธนาคารเกียรตินาคิน
7. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
8. ธนาคารกรุงไทย
9. ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
10. ธนาคารทหารไทย และธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ครองอันดับร่วมกัน
12. ธนาคารยูโอบี
13. ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย
14. ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
แนะ ‘5 วิธีแก้ง่วง’ ก่อนเดินทางช่วงสงกรานต์
กรมควบคุมโรค แนะประชาชนเตรียมตัวให้พร้อม 7 วิธีปฏิบัติ และ5 วิธีแก้ง่วง ก่อนเดินทางช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงนี้ ประชาชนจำนวนมากจะเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อพบปะญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ซึ่งจะมีการใช้ยานพาหนะจำนวนมาก ส่งผลให้มีแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าช่วงปกติ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิตจำนวนมากตามมาเช่นกัน
กรมควบคุมโรค จึงขอแนะนำ 7 วิธีปฏิบัติในการเตรียมรถและเตรียมคนให้พร้อมก่อนการเดินทางไกล ดังนี้ 1.วางแผนการเดินทาง ตรวจเช็คสภาพของรถให้พร้อมใช้งาน ทั้งลมยาง ไฟส่องสว่างและไฟเลี้ยว 2.ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 3.คนขับต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทานยาที่ทำให้ง่วง เช่น ยาลดน้ำมูก ยาภูมิแพ้ ยาแก้ไอ เป็นต้น 4.ขับรถด้วยความระมัดระวัง และลดความเร็วเมื่อต้องขับผ่านย่านชุมชน สถานที่จัดงานสงกรานต์หรือหลีกเลี่ยงการสัญจรบริเวณสถานที่จัดงาน 5.คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ทุกที่นั่ง ทั้งคนขับและผู้โดยสารรถยนต์ 6.สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ทั้งคนขับและคนซ้อนท้าย และ7.ไม่ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ขอแนะนำ 5 วิธีง่ายๆ แก้ง่วงนอนขณะขับรถทางไกล ดังนี้ 1.หาเครื่องดื่มช่วยเพิ่มความสดชื่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มร้อนหรือเย็น ที่สามารถเพิ่มความสดชื่นและทำให้ตื่นตัวได้เป็นอย่างดี 2.หาของกินระหว่างขับ เช่น มันฝรั่ง ลูกอม หมากฝรั่ง นอกจากจะคลายหิวแล้ว ยังช่วยร่างกายตื่นตัวอีกด้วย 3.สร้างความสดชื่นด้วยการลดอุณหภูมิ ปรับความเย็นแอร์ลงหรือเร่งพัดลมแรงขึ้นหันเข้าหาตัว หรือลดกระจกลงเพื่อรับอากาศจากภายนอกบ้าง และควรเตรียมผ้าชุบน้ำไว้เช็คหน้าด้วย 4.เปิดเพลงฟัง จะช่วยสร้างความครื้นเครงและทำให้ตื่นตัวขณะขับรถ และ5.ขยับร่างกายเปลี่ยนแปลงอิริยาบถ การขับรถนานจะทำให้มีอาการง่วง การได้ขยับร่างกายเล็กๆน้อยๆ จะช่วยลดการเมื่อยล้า
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า กรมควบคุมโรค ขออวยพรให้ประชาชนที่กลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ ไร้อุบัติเหตุ โดยมีสติ ขับรถไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาดเข็มขัดนิรภัยและสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งตลอดการใช้รถ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
http://www.bangkokbiznews.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 11/04/2561
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 |
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
แก๊สโซฮอล E-20 | 25.44 | 25.44 | 25.44 | 25.44 | 25.44 | – | 25.44 | 25.44 | 25.44 | 25.44 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 20.14 | 20.14 | – | – | – | – | – | 20.14 | 20.14 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 | 27.68 |
เบนซิน 95 | 35.06 | – | – | – | 35.51 | – | 35.56 | 35.06 | 35.06 | 35.06 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 | 06 Apr 05:00 |