ฝันร้าย ธุรกิจโรงแรมภูเก็ต 16,400 ห้อง รอทะลัก
คอลลิเออร์ส ฯ ชี้ วิกฤติโควิด ฝันร้ายของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในภูเก็ต หลังจำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวอย่างรุนแรง ขณะหวั่น 16,400 ห้องพัก ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเตรียมเปิดบริการ ซ้ำเติมซัพพลายล้น
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ต เป็นอย่างมาก นักพัฒนาหลายรายเลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกออกไป และรอดูสถานการณ์อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีว่าจะสามารถเปิดตัวได้หรือไม่
นอกจากนี้ยังพบว่า มีโรงแรม อีกมากกว่า 16,400 ห้องพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในช่วงครึ่งหลังปี พ.ศ. 2563 -2566 โดยพบว่า ประมาณ 67.1% หรือมากกว่า 11,000 ห้องพัก เป็นโครงการวิลล่าตากอากาศและโครงการคอนโดมิเนียมที่มีการขายแบบการันตีผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีแบรนด์โรงแรมเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการในลักษณะโฮเต็ลเรสิเดนซ์ ในรูปแบบโปรแกรมบังคับเช่า หรือแบบเลือกการปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งถือว่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในภูเก็ต เป็นอย่างมาก โดยพบว่าส่วนใหญ่มีการกระจายตัวแทบทุกพื้นที่ในจังหวัด โดยเฉพาะ ย่านกมลา ป่าตอง สุรินทร์ บางเทา ราไวย์ เป็นต้น
คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยคาดการณ์ว่า ทำเล ป่าตอง กมลา บางเทา ราไวย์ ในหาญ และสุรินทร์ จะยังคงเป็นทำเลนี้จะยังคงขยายตัวต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะพื้นที่โดยรอบทำเลย่านป่าตอง และ บางเทา เนื่องจากเป็นทำเลที่ภาคเอกชนขนาดใหญ่ รวมถึงเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่จากภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของโครงการรถไฟฟ้ารางเบา (แทรม) จ.ภูเก็ต รวมถึงโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. ล้วนจะส่งผลให้ทำเลย่านดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางเข้ามาในภูเก็ตมากขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม จากอุปทานโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต ที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกมากกว่า 16,400 ห้องพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่าอุปทานโรงแรม ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยว และความต้องการห้องพักไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้มากนัก ส่งผลให้เกิดภาวะที่อุปทานเกินความต้องการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของผู้ประกอบการโรงแรม ในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องปรับตัว โดยกลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้าและบริการ ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาว่าอำนาจการซื้อของลูกค้าหลักเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ด้วยทิศทางของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นผู้ประกอบการไม่ควรขึ้นราคาสินค้าหรือบริการ เพราะจะไปซ้ำเติมอำนาจการซื้อของนักท่องเที่ยว เพื่อให้สอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจและทิศทางค่าเงินบาทการปรับราคาสินค้าและบริการ ในช่วง2-3 ปีข้างหน้าอาจเป็นไปได้ยาก ผู้ประกอบควรเน้นการปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจยังมีความสามารถในการแข่งขันในภาวะที่ตลาดชะลอตัว
ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างมาก จากการปิดพื้นที่ซึ่งส่งผลให้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ได้ ซึ่งหลังจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
ส่งผลให้ในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม จำนวนนักท่องเที่ยวไทย ในพื้นที่ภูเก็ตกลายเป็น 0 ในช่วง 2 เดือนดังกล่าว และนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปมากกว่า 99% ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในช่วงครึ่งปีแรกเหลือเพียงแค่ 2.84 ล้านคนเท่านั้น ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 62.56% และพบว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน เหลือเพียงแค่ประมาณ 1.85 ล้านคนเท่านั้น ปรับตัวลดลงมากถึง 68.94% และในส่วนของนักท่องเที่ยวไทยก็ปรับตัวลดลงมากถึง 52.75 % มาอยู่ที่ประมาณ 0.98 ล้านคน ส่งผลให้มูลค่าจากการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เหลือเพียงแค่ 101,242.39 ล้านบาทเท่านั้น ปรับตัวลดลงมากถึง 62.85% สร้างความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ. 2563 คาดว่ายังคงเป็นปีที่ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย และการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในปีพ.ศ. 2563 โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างหลักในหลายประเทศทั่วโลกที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ นอกจากนี้ปัจจัยลบในเรื่องของการแข็งค่าของเงินบาท ข้อจำกัดเรื่องการรองรับของสนามบินหลักของไทย และเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ถือว่ายังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย ประกอบกับค่าเงินบาทที่ค่อนข้างแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคนี้ ส่งล้วนแต่ถือว่าเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่เข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ตแทบทั้งสิ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
มั่นคงฯ – บำรุงราษฎร์ – ไมเนอร์ฯ จับมือผุดเมกะโปรเจกต์ “รักษ”
มั่นคงฯ – บำรุงราษฎร์ – ไมเนอร์ฯ จับมือผุดเมกะโปรเจกต์ “รักษ” ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม มูลค่า 2,000 ล้านบาท ชูเป็นแห่งแรกในเอเชีย หวังดันไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ เปิดเผยถึงการดำเนินธุรกิจ ครั้งยิ่งใหญ่ ตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Development Roadmap) ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจเพื่อขายและธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ (Recurring Income) ให้มีสัดส่วนกำไรที่ 50:50 ภายในปี 2564 ด้วยการพัฒนาโครงการ รักษ (รัก-ษะ) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชียขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Fully Integrative Wellness & Medical Retreat” ซึ่งเป็นการนำเอาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ได้มาตรฐานสากลมาใช้ร่วมกับศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม โดยเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนธันวาคม 2563 นี้
“MK เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยมายาวนานมากกว่า 60 ปี จนมื่อช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นและทีมบริหารใหม่ ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะนำบริษัทเข้าสู่ธุรกิจรายได้ประจำหรือ Recurring Income โดยเน้นธุรกิจเพื่อเช่าและธุรกิจเพื่อการบริการ ทั้งนี้ หากลองพิจารณาดูจากศักยภาพและการแข่งขัน ของประเทศไทยในแง่ธุรกิจการแพทย์นั้น ถือว่าเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทำให้เราก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจสุขภาพ ด้วยการพัฒนาโครงการ รักษ (รัก-ษะ) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมขึ้น โดยตั้งเป้าให้เป็น World-Class Medical Wellness Destination จึงได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับ ในระดับนานาชาติอย่าง
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ รพ.บำรุงราษฎร์ ที่มีความเชี่ยวชาญและโดดเด่น ด้านการดูแลสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัย ด้วยการที่บริษัทฯ มีพาร์เนอร์เป็นสถาบันทางการแพทย์ ทำให้สามารถให้บริการด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้หลากหลายแขนง ยิ่งไปกว่านั้นการได้ร่วมมือกับ ไมเนอร์ฯ ที่มีความเป็นมือหนึ่งในด้าน Hospitality การดูแลและบริหารจัดการห้องพักระดับลักซัวรี่ทั่วทุกทวีปโลก ร่วมกันพัฒนาโครงการดังกล่าวให้เกิดขึ้นอยากเป็นรูปธรรม สอดคลองกับแผนแนวทางยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศไทย (พ.ศ.2560-2569) ของกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ทั้งยังสนับสนุนนโยบายด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Medical and Wellness Tourism โดยนโยบายดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญของรัฐบาล อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”
บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจสุขภาพค่อนข้างมาก เนื่องจากมีแผนการส่งเสริมจากภาครัฐที่ชัดเจน ผนวกกับการวางนโยบายแผนงานตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Development Roadmap) ของบริษัทฯ ที่ต้องการรุกธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ (Recurring Income ) ให้มีสัดส่วนของกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 50% เมื่อเทียบกับกำไรของธุรกิจทั้งหมด โดยโครงการ รักษ (รัก-ษะ) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชียนี้ ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะตอกย้ำความสำเร็จของวิสัยทัศน์ ที่ทีมบริหารได้ตั้งเป้าเอาไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว” นายวรสิทธิ์ กล่าว
ด้าน นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงไลฟ์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการรักษ ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม กล่าวว่า “โครงการ รักษ (รัก-ษะ) เป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม ตั้งอยู่ในพื้นที่คุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของการยกระดับการให้บริการทางการแพทย์เชิงป้องกันแบบองค์รวม ที่ครอบคลุมในทุกๆ ศาสตร์ ทุกมิติ ผสมผสานระหว่างการนำเอาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ได้มาตรฐานสากลมาใช้ร่วมกับศาสตร์การแพทย์ แบบองค์รวม ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง นับเป็นการบูรณาการแบบองค์รวมแห่งแรก ในประเทศไทยและในเอเชีย โดยลักษณะการให้บริการจะจัดเป็นโปรแกรมดูแลสุขภาพโดยมีตั้งแต่โปรแกรมตรวจเช็คสุขภาพ (Wellness Screening) ราคาเริ่มต้นที่ 60,000 บาทต่อท่าน และแพ็กเกจแบบ 3 วัน จนถึง 14 วัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพที่เหมาะกับแต่ละบุคคล ด้วยโปรแกรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น การดูแลสุขภาวะทางเดินอาหาร (Gut Health) การเสริมภูมิคุ้มกัน (Immunity Booster) การดูแลน้ำหนัก (Weight Management) หรือการผ่อนคลายความเครียด (De-Stress) นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมดูแลสุขภาพและความงาม (Facial and Body Solution) จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย”
โดย นางสาวดุษฎี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ รักษ (รัก-ษะ) เพิ่มเติมว่า ตัวโครงการมีการออกแบบภูมิทัศน์ภายใต้คอนเซ็ป “BOTANICAL WELLNESS JOURNEY” ที่อุดมไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพทางกาย ใจ เน้นการใช้ธรรมชาติบำบัด โดยสร้างพื้นที่สีเขียวด้วยต้นไม้ใหญ่มากกว่า 3,500 ต้น ภายในโครงการ และนอกจากเรื่องทรีทเม้นท์เพื่อการดูแลสุขภาพแล้ว อาหารการกินตลอดจนการอยู่อาศัยก็นับเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ดี โดยโครงการเปิดให้บริการห้องพักฟื้นอยู่ที่ 27 ห้อง ในเดือนธันวาคม 2563 นี้ นอกจากนี้ภายในโครงการประกอบด้วยห้องอาหาร “อู่ข้าว” และ “อู่น้ำ” ซึ่งสื่อถึงเรื่องความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของการกิน โดยอาหารที่จะเสิร์ฟนั้นจะมีทีมนักโภชนาการคอยให้คำแนะนำ เพื่อให้การรับประทานอาหารเป็นไปเพื่อเสริมสร้างสุขภาพหรือเพื่อต้านการอักเสบของร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเวิร์กช็อปและกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมอีกด้วย
“โครงการ รักษ (รัก-ษะ) จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ตามแผนธุรกิจ 5 ปีของบริษัทฯ ที่ได้ตั้งไว้ โดยมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยดันกำไรของธุรกิจ Recurring Income เป็น 50:50 ได้ใน 2564 อย่างแน่นอน สำหรับก้าวต่อไปของบริษัทฯ ตามแผนธุรกิจอีก 5 ปีในเฟส 2 จะเดินหน้าพัฒนาและผลักดันธุรกิจที่ได้สร้างขึ้นไว้ให้เต็มประสิทธิภาพ ในทุกมิติของการดำเนินงาน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายวรสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บัญชีกลางแจงถังแตกไม่มีเงินจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ
บัญชีกลาง โยน สถ.ถังแตก ทำจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินเบี้ยความพิการ เดือนก.ย. ไม่ทัน
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้แจ้งทางหน้าเพจ facebook ท้องถิ่นไทย ว่ากรมบัญชีกลางไม่สามารถจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ และคนพิการ ได้ทันในวันที่ 10 ส.ค. นั้น กรมบัญชีกลางขอเรียนว่า ตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย แต่เมื่อตรวจสอบงบประมาณในเดือนกันยายน 2563 พบว่าไม่เพียงพอ สถ.จึงต้องจัดสรรเพิ่ม กรมบัญชีกลางจึงจะสามารถจ่ายได้
“กรมบัญชีกลางห่วงใยและเข้าใจในความจำเป็นของผู้มีสิทธิทุกท่าน เมื่อ สถ.ได้รับงบประมาณเรียบร้อยแล้วกรมบัญชีกลางจะดำเนินการจ่ายให้ผู้มีสิทธิอย่างเร่งด่วนต่อไป (ภายในเดือน กันยายน 2563) ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวจาก facebook กรมบัญชีกลาง อย่างใกล้ชิด หรือ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาทำการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
โควตา “HOMEGROWN” ทางสว่างแข้งไทยสู่เวที “พรีเมียร์ลีก”?
การเดินทางสู่พรีเมียร์ลีกของแข้งไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกจากฝีเท้าที่โดดเด่นแล้ว ยังต้องผ่านเงื่อนไขอีกหลายขั้นตอน แต่หนึ่งในกระบวนการที่มีความเป็นไปได้คือ “โควตา HOMEGROWN”
-HOMEGROWN คืออะไร?
-นักเตะไทยกับโควตา HOMEGROWN
-โอกาสแข้งไทยในพรีเมียร์ลีก
จากความร่วมมือระหว่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ในการส่งสามนักเตะอย่าง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, สุภโชค สารชาติ และศุภชัย ใจเด็ด ทำให้โอกาสที่เราจะได้เห็นแข้งไทยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมีทางเป็นไปได้มากขึ้น
แต่ด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวดในการพิจารณานักฟุตบอลต่างชาติ เพื่อลงเล่นพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะการที่นักเตะไทยสักคนจะได้รับ Work Permit หรือใบอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศอังกฤษ อีกทั้งการที่นักฟุตบอลไทยแทบทุกคนไม่ได้มีพื้นเพหรือครอบครัวเป็นคนอังกฤษ นั่นย่อมทำให้กระบวนการนี้ยากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่วิธีการหนึ่งที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ นั่นก็คือ การได้สิทธิ์ลงเล่นกับทีมในโควตา “โฮมโกรน” (HOMEGROWN) หรือนักเตะถิ่น ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางและความเป็นไปได้ที่นักฟุตบอลไทยอาจจะสามารถไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกได้ในอนาคต แม้จะยังมีปัจจัยอื่นๆ ต้องพิจารณาอีกก็ตาม
นักเตะ HOMEGROWN คือนักเตะที่ฝึกฝนอยู่ในสหราชอาณาจักรอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งจะเป็นผู้เล่นสัญชาติใดก็ได้ ก่อนที่นักเตะรายนี้อายุจะเกิน 21 ซึ่งหมายความว่า หากนักเตะต่างชาติที่ต้องการเข้ามาเล่นกับสโมสรใดสโมสรหนึ่งในโควตาดังกล่าว จะต้องมาฝึกในสหราชอาณาจักรเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี หรือนักเตะคนนั้น จะต้องอายุไม่เกิน 18 ปี หากต้องการจะมาเล่นในโควตานี้
ปัจจุบัน HOMEGROWN ถือเป็นกฎบังคับสำหรับทุกสโมสรที่จะส่งนักเตะลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ทุกทีมจะต้องมีผู้เล่นในข่ายนี้จำนวน 8 คน จาก 25 คนที่ลงทะเบียน เพื่อเป็นการส่งเสริมนักเตะถิ่นให้มีโอกาสได้ลงสนาม นอกเหนือจากการใช้ผู้เล่นต่างชาติที่ฝีเท้าดีในระยะเวลาอันสั้น (ในอนาคตมีข่าวว่าโควตานี้อาจจะเพิ่มจาก 8 เป็น 12 คน)
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสโมสรใดที่มีนักเตะในโควตา HOMEGROWN ไม่ครบ สามารถใส่ชื่อนักเตะที่อายุไม่เกิน 21 ปีลงไปแทนได้
นักเตะไทย จะได้โควตา HOMEGROWN ได้หรือไม่
จากนิยามดังกล่าว หากถามว่า แข้งไทยจะได้โควตา HOMEGROWN กับสโมสรในพรีเมียร์ลีกได้ไหม ก็ต้องบอกว่า มีความเป็นไปได้ ตราบใดที่นักเตะคนนั้นยังอายุไม่ถึง 18 ปี และได้รับโอกาสในการฝึกฝีเท้าอย่างต่อเนื่องกับสโมสรนั้นๆ แต่เงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องอยู่ที่ประเทศอังกฤษเพื่อฝึกฟุตบอลเป็นระยะเวลา 3 ปีขึ้นไปเท่านั้น
ขั้นตอนต่อไป คือ เมื่อนักเตะไทยคนนั้นได้รับการฝึกต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปีเป็นอย่างน้อย ทางสโมสรต้นสังกัด ก็จะสามารถทำเรื่องกับทางเอฟเอ อังกฤษ เพื่อให้ผู้เล่นคนนั้นเป็นนักเตะในโควตา HOMEGROWN ของสโมสร แต่ไม่ใช่ว่าจะลงเล่นในพรีเมียร์ลีกได้เลย เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ตามมาอีกมาก
นักเตะไทย กับโควตา HOMEGROWN
ที่ชัดเจนที่สุด คือ กรณีของ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่กำลังจะไปฝึกฝีเท้ากับเลสเตอร์ ซิตี้ ในเดือนเมษายน ปี 2021 ปัจจุบัน ศุภณัฏฐ์ยังอายุ 18 ปี และตราบใดที่เขาเริ่มฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องที่ประเทศอังกฤษ และมีการเซ็นสัญญากับอะคาเดมีก่อนวันเกิดปีที่ 19 ของเขา คือวันที่ 2 สิงหาคม 2021 และฝึกซ้อมอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี นั่นจะเป็นช่องทางที่จะทำให้เขาได้โควตา HOMEGROWN
ถามว่าโอกาสเป็นไปได้มั้ย ในทางทฤษฎีอาจใช่ แต่ในทางปฏิบัติถือว่ายากพอควร เพราะปัจจัยเรื่อง WORK PERMIT ที่จะอธิบายในหัวข้อถัดไป
ขณะที่ในรายของ สุภโชค กับ ศุภชัย ถือว่าหมดสิทธิ์ในโควตา HOMEGROWN ทุกประการ เพราะสุภโชค อายุ 22 ปี และศุภชัย อายุ 21 ปี ถือว่าอายุเกินจาก 18 ปีแล้ว
สำหรับนักเตะไทย จะเป็นไปได้ไหม ที่มีคุณพ่อกับคุณแม่ เป็นคนไทยแท้ แล้วจะได้โควตา HOMEGROWN คำตอบคือ สามารถเกิดขึ้นได้ ดังเช่นในกรณีของ ลีออน เจมส์
ลีออน เจมส์ มีคุณพ่อคุณแม่เป็นคนไทยแท้ และอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งลีออน เกิดที่ประเทศอังกฤษ ทำให้เขาได้สัญชาติอังกฤษ และมีสิทธิ์เซ็นสัญญาอาชีพ กับสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ และเข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้โควตา HOMEGROWN
แม้จะมีคุณสมบัติ HOMEGROWN แต่ยังต้องมี WORK PERMIT
แม้นักเตะจะมีคุณสมบัติ HOMEGROWN แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ชาวต่างชาติทุกคนที่จะเข้ามาทำงานในอังกฤษต้องมี WORK PERMIT แม้ว่า WORK PERMIT จะไม่จำเป็นต้องใช้สำหรับนักฟุตบอลในระดับอะคาเดมี แต่เมื่อขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ เจ้าสิ่งที่เรียกว่า WORK PERMIT นี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะชี้วัดว่า นักเตะคนนั้นจะสามารถลงเล่นในพรีเมียร์ลีกอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะเมื่อนักฟุตบอลคืออาชีพหนึ่ง เมื่อเข้ามาประกอบอาชีพในสหราชอาณาจักร ใบอนุญาตทำงานจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี
การจะได้รับ WORK PERMIT มีปัจจัยหลายประการที่ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ FA จะพิจารณา ซึ่งเกณฑ์สำคัญที่จะใช้พิจารณา ยึดตามกฎระเบียบปัจจุบัน อธิบายโดยง่ายดังนี้
1.เกณฑ์อัตโนมัติ (Automatic Criteria)
คือเกณฑ์ขั้นต้นของการพิจารณาออกใบอนุญาตทำงานให้กับนักเตะ โดยพิจารณาจากอันดับโลกฟีฟ่าตามสัญชาติของนักเตะคนนั้น โดยอันดับจะต้องอยู่ในอันดับที่ 1-50 (หรือ 1-60 กรณีลีกรอง) และนักเตะคนนั้น ต้องมีสัดส่วนการลงเล่นในเวทีทีมชาติตามข้อกำหนด เช่น นักเตะชาติที่มีอันดับโลก 1-10 ต้องมีสัดส่วนลงเล่นทีมชาติในอัตรา 30% ของแมตช์ทั้งหมด, อันดับโลก 11-20 ต้องมีสัดส่วนลงเล่น 45% ของแมตช์ทั้งหมดในรอบ 2 ปี (นักเตะต่ำกว่า 21 ปี จะถูกประเมินในระยะเวลา 1 ปี) เป็นต้น
กรณีของทีมชาติไทย ที่อันดับโลกอยู่ที่ 113 จึงเป็นไปไม่ได้ที่นักเตะจะได้ Work Permit ด้วยการผ่านเกณฑ์อัตโนมัติ
2.เกณฑ์ข้อยกเว้น (Exceptions Panel)
เกณฑ์ข้อนี้ถือเป็นเกณฑ์ที่จะนำมาพิจารณาสำหรับผู้เล่นที่ไม่ผ่านเกณฑ์อัตโนมัติในข้อแรก โดยจะมีพาร์ทคะแนนที่ถูกนำมาพิจารณา เช่น ค่าตัวนักเตะจะต้องสูงกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของนักเตะทั่วโลก, ต้องลงเล่นกับสังกัดเก่าเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในทั้งหมด, เคยลงเล่นในเวทีสโมสรชิงแชมป์ระดับทวีป (เช่น ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ไม่รวมถึง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก) และมีผลงานในระดับทีมชาติตามเกณฑ์ที่กำหนด
หากนักเตะคนใดมีคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะมีโอกาสได้รับใบอนุญาตทำงาน แต่ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการด้วย ไม่ใช่เพียงแค่คะแนนอย่างเดียว
กรณีนักเตะไทยหากจะได้รับใบอนุญาตทำงาน จะต้องพยายามผ่านเข้าเกณฑ์ในข้อนี้ให้ได้เท่านั้น เพราะเป็นหนทางสำคัญของการได้ Work Permit และลงเล่นในพรีเมียร์ลีกได้
จากข้อกำหนดทั้งสองข้อจึงเป็นที่มาว่า เพราะเหตุใด นักเตะในเอเชียหลายๆ คนจึงต้องไปเริ่มชีวิตการค้าแข้งในยุโรปกับลีกข้างเคียง เช่น เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, เยอรมนี, สเปน, ออสเตรีย เพื่อสร้างมูลค่าและสะสมไมล์ให้ถึงเกณฑ์ข้อยกเว้นในข้อนี้
รวมถึงการได้สัญชาติ EU หากลงเล่นในลีกประเทศสมาชิก EU ครบ5ปี ก็จะได้สิทธิ์ถือพาสปอร์ตของ EU และทำให้มีโอกาสผ่านคุณสมบัติได้ง่ายขึ้น
บทสรุปแข้งไทย บนวิถี HOMEGROWN
แม้ว่า HOMEGROWN จะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้แข้งไทยได้ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก และมีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตเราอาจจะมีแข้งไทยในพรีเมียร์ลีกจากโควตานี้ แต่ไม่ใช่ข้อชี้วัดทั้งหมด เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่นเรื่อง WORK PERMIT ที่จะชี้ว่าแข้งไทยจะได้ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ เพราะ WORK PERMIT คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุด คือ แข้งไทยที่จะมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกจะต้องมีฝีเท้าที่โดดเด่นจริงๆ หากมีแข้งไทยคนนั้นอยู่ในโลกใบนี้ ไม่ว่าหลักเกณฑ์อะไร ก็คงไม่เป็นอุปสรรคที่เราจะเห็นแข้งไทยได้ลงเล่นในลีกยอดนิยมที่สุดของโลกใบนี้.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ต่างด้าว..เข้าไทยล้นห้องกักแน่นเสี่ยงโควิด
ตม.แจง “ต่างด้าว” ล้นห้องกัก ส่วนใหญ่ชาวพม่าหนีโควิด-19 เข้าฝั่งไทย หนึ่งในกระแสข่าวร้อนๆ รับวันอังคารที่ผ่านมา ด้วยมีเจ้าหน้าที่ออกมายอมรับว่า “คนต่างด้าวล้นห้องกัก” โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมารอส่งกลับประเทศ สถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองบางเขน ตั้งอยู่ภายในสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีฯ เจ้าหน้าที่ได้นำประกาศ “งดเยี่ยม” เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 มาติดบริเวณทางเข้า
ถึงแม้ว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะออกมาแถลงว่า เป็นการกระจายผู้ต้องขังเพื่อลดการแออัดของห้องไปยังห้องส่วนกลางที่กว้างกว่าหลายเท่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา รอส่งกลับประเทศตนเอง ไม่ได้มีการล้นจนออกมานอกตัวอาคารกักขังแต่อย่างใด แต่ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายกังวล
หลังจากมีการแพร่ระบาดไวรัส “โควิด–19 ” ในประเทศพม่าอย่างมาก คนต่างด้าวไม่น้อยทะลักเข้าไทยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคุมเข้มตามบริเวณด่านชายแดนจับกุมชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติแล้วนำมากักตัวไว้และทำเรื่องขอส่งกลับ
แต่ปัญหามีว่า…ทางประเทศต้นทางไม่ยอมรับประชาชนในประเทศตัวเองกลับจึงต้องคุมขังไว้ โดยความเป็นอยู่ก็แบบปกติตามมาตรฐานการควบคุมของเรือนจำ
ข้อมูลบรรยายมาตรฐานของห้องกัก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง www.mekongmigration .org ระบุว่ามี 3 ขั้นตอนคือ รับตัว กักตัว และ ส่งกลับ เริ่มจากกรอกแบบฟอร์ม ตรวจค้นร่างกาย…สิ่งของ ถ่ายภาพ…ทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ…ออกบัตรและเลขประจำตัว แจ้งให้ทราบกฎหมาย …สิทธิตามกฎหมาย แจ้งเรื่องสิ่งของต้องห้าม…การรับฝากของมีค่า จำแนกเพศ ฐานความผิดก่อนนำเข้าห้องกัก
ประเด็นสำคัญวันนี้ก็คือ “ความเสี่ยง ” ของ “คนต่างด้าว ” กับ “ไวรัสโควิด-19” ที่มีโอกาสแพร่กระจายขยายเป็นวงกว้าง
“ห้องกัก ตม. ” สถานที่เสี่ยงติดโควิด-19 สูงมาก กฎหมายเปิดช่องให้ใช้ทางเลือกอื่นได้ เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ www.ilaw.or.th/ ระบุว่า ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงไม่แพ้กัน เป็นที่รวมตัวขนาดย่อมของชาวต่างชาติที่รอการส่งตัวกลับประเทศ หรือเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม แม้จะไม่ได้ชื่อว่า “คุก” เพราะการกักขังเอาไว้ไม่ใช่เพื่อการลงโทษ แต่สภาพที่อยู่ภายในอาจไม่ต่างจากคุกนัก หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
ต้องย้ำว่า…“ห้องกักตัว ” คนต่างชาติของ ตม. มีวัตถุประสงค์เพื่อรอการ “ส่งกลับ” จึงหมายความว่าเป็นการอยู่ชั่วคราวระยะสั้น โดยหลักประเทศไทยก็ต้องการที่จะรีบดำเนินการผลักดันให้ออกไปโดยเร็ว
ทว่า…ในความเป็นจริง กระบวนการส่งตัวผู้ต้องกักกลับประเทศมีระยะเวลาค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องได้รับการอนุญาตจากประเทศปลายทางเสียก่อน
ซึ่ง “ผู้ต้องกัก ” ที่รอการส่งกลับนี้ ไม่ได้มีเพียงแรงงานต่างชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย หรืออยู่เกินกำหนดวีซ่า แต่ยังมีชาวต่างชาติที่เป็นผู้ลี้ภัย คนไร้รัฐอีกด้วย…ทำให้จำนวนประชากรในห้องกักแต่ละที่อาจมีความหนาแน่นมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและเงื่อนไขในการส่งตัวกลับ
ประเด็นน่าสนใจมีอีกว่า…ผู้ต้องกักบางคนอาจจะต้องอยู่ในห้องกักเป็นเวลานานนับปีเลยทีเดียว ยิ่งในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติโควิด-19 ระบาด…วิถี “นิวนอร์มอล” เช่นปัจจุบันนี้ พรหมแดนระหว่างประเทศปิด …แน่นอนว่าการผลักดันให้คนต่างชาติเหล่านี้กลับประเทศย่อมมีเงื่อนไขที่ยากลำบากมากขึ้น
หัวใจสำคัญของ “พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522” เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ตม.กักตัวคนต่างชาติ มาตรา 54 วรรค 3 ในกรณีที่มีคำสั่งให้ส่งตัวคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรแล้ว ระหว่างรอการส่งกลับ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้ไปพักอาศัยอยู่ ณ ที่ใด
โดย “ต่างด้าวผู้นั้น” ต้องมาพบพนักงานตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด โดยต้องมีประกัน หรือมีทั้งประกันและหลักประกันก็ได้ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะกักตัวคนต่างด้าวผู้นั้นไว้ ณ สถานที่ใดเป็นเวลานานเท่าใดตามความจำเป็นก็ได้…ค่าใช้จ่ายในการกักตัวนี้ให้คนต่างด้าวผู้นั้นเป็นผู้เสีย
จะเห็นว่า…ตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่มีดุลพินิจอนุญาตให้คนต่างชาติไปพักอาศัยที่อื่นได้ โดยกำหนดต้องมาพบเจ้าหน้าที่ตามวัน… เวลาที่กำหนด และให้มี “ประกัน” หมายถึงทำสัญญากันว่าจะไม่หนีและมาตามนัด หรือจะให้มี “หลักประกัน” หมายถึงต้องวางทรัพย์สิน เพื่อประกันว่าจะไม่หนี หากไม่มาตามนัดก็ให้ยึดทรัพย์สิน
หมายความว่า…ไม่ได้บังคับว่าจะต้องกักตัวไว้ที่ห้องกัก ตม. เพียงอย่างเดียว
ยิ่งในช่วงวิกฤติไวรัส “โควิด–19 ” ระบาด วิถี “นิวนอร์มอล” เช่นนี้ มาตรการลดการแออัด เว้นระยะห่างมีความจำเป็นอย่างยิ่ง “โควิด-19” …ติดต่อกันได้ง่ายระหว่างคนที่อยู่ใกล้ชิดกัน และยิ่งมีความเสี่ยงสูงว่าคนที่เดินทางจากประเทศต่างๆ อาจมาพร้อมกับเชื้อไวรัสร้ายนี้
ฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ ตม. ควรใช้ดุลพินิจออกมาตรการอื่นๆ เพื่อลดความหนาแน่นประชากรในห้องกัก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ ” คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมว่า ถ้าเราสังเกตดีๆจะพบว่าในประเทศไทย ทั้งๆที่มีคนติดเชื้อในประเทศอยู่แล้ว และแพร่เชื้อได้ดังที่มีการสำรวจในพื้นที่ในหมู่บ้านที่มีการติดเป็นลูกโซ่ และแม้แต่รายงานคนที่ไปจากประเทศไทย
แต่…ผู้ที่ติดเชื้อจะพบว่าไม่มีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการน้อยมาก เรากำลังหวังว่า…“คนไทย” มีของดีคือ มีกระบวนการต้านทานมาแต่เก่าก่อนจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ไม่ใช่โควิด-19 รวมทั้งผู้ที่ ติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้วที่มีอาการน้อยตั้งแต่เริ่มต้นเป็นจำนวนมาก ที่ ไม่ได้ตรวจ ยังคงมีหมวดความจำทางด้านระบบการต้านทานเชื้อในระบบเซลล์ แม้การตรวจเลือดภูมิคุ้มกันในเลือดหรือแอนติบอดีจะหายไปแล้วก็ตาม
แต่…เมื่อเจอเชื้ออีกครั้งก็เฉยๆ เพราะหมวดความจำถูกปลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ทันทีทันใด
ถัดมา…เป็นผลจากที่มีกระบวนการในการป้องกันการแพร่เชื้อทั้งในระดับบุคคลคือ การมีวินัย รักษาระยะห่าง ใส่หน้ากาก ทำให้คนที่ติดเชื้อแพร่เชื้อไม่ออก และคนรอบข้างมีหน้ากาก ล้างมือเลยไม่ยอมรับเชื้อไป
ข้อสันนิษฐานดังกล่าวนี้…ถ้าเป็น “จริง” หรือ “ไม่จริง” ก็แล้วแต่ จะเป็นเครื่องตอกย้ำว่า คนไทยจำเป็นต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัดไปอีก…ไม่ให้เชื้อแพร่เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆเหมือนอย่างที่พบในยุโรป…อเมริกา
อธิษฐาน…ขอให้ “คนไทย” ทุกคนปลอดภัยครับ.
ขอบคุรข้อมูลจาก thairath.co.th
วิธีการใช้การแสดงออกภาษาฝรั่งเศสทั่วไป ‘Tout à l’heure’
สำนวนฝรั่งเศส Tout à l’heure (เด่นชัด เกินไป tah leur ) หมายถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาเพียงแค่ตอนนี้ในช่วงเวลาทันที (ตัวอักษร: “ทุกเวลา”) สำนวนนี้หมายถึงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาในอดีตที่ผ่านมาหรือช่วงเวลาในอนาคตอันใกล้
Tout à l’heure เป็นวลีคำวิเศษณ์ซึ่งหมายถึงการแสดงออกนี้ประกอบด้วยสองคำหรือมากกว่าที่ร่วมกันทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์ วลีคำวิเศษณ์สามารถปรับเปลี่ยนคำกริยาคำวิเศษณ์หรือคำคุณศัพท์และสามารถตอบคำถาม“วิธีการ”“ที่”,“ทำไม” หรือ“เมื่อ.”
ใกล้เคียงกับปัจจุบันเป็นไปได้โดยไม่ต้องใช้เบอร์
ในกรณีของ Tout à l’heure, คำตอบคำถามที่ว่า “เมื่อ.” วลีที่บ่งบอกเกี่ยวกับความแม่นยำมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้โดยไม่ต้องใช้เวลาที่เกิดขึ้นจริง นี้ทำให้รู้สึกพิจารณาว่าการแสดงออกราก à l’heure หมายถึง “เวลา” และ “เพื่อให้เวลาที่ถูกต้อง” (สำหรับนาฬิกา) และmettre SA Montre à l’heure หมายถึง “การตั้งนาฬิกาของคน.” Tout ในวลีคำวิเศษณ์คือ intensifier ที่แปลว่า “มากขวามากทุกคน” เช่นเดียวกับเสื้อออก Cote de moi ( “อยู่ข้างผม”) ใน ทัวร์à l’heure มันหมายถึงเวลาที่ไม่แน่นอน แต่ที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันที่เป็นไปได้โดยไม่ต้องใช้หมายเลข
Je l’ai วู Tout à l’heure = ฉันเพียงแค่เห็นเขาสักครู่ที่ผ่านมา / ก่อนหน้านี้ในวันนี้
Je vais le voir Tout à l’heure = ฉันจะได้เห็นเขาในช่วงเวลา / วันนี้ภายหลัง / ในขณะที่น้อย
Àทัวร์à l’heure! (อย่างไม่เป็นทางการ: ตู! ) = ดูคุณเร็ว ๆ นี้!
กึ่งตรงกันนิพจน์
a l’ทันที = สักครู่ที่ผ่านมาเพียงแค่ตอนนี้ (สามารถอ้างถึงบางสิ่งบางอย่างในอดีต)
ทัวร์เดอชุด = ทันทีทันที
อย่าสับสนà Tout à l’heure กับที่คล้ายกันทำให้เกิดเสียงเสน่ห์ toute, ซึ่งหมายความว่า “ที่ความเร็วสูงสุดเต็มเอียง.” ลำโพงพื้นเมืองฝรั่งเศสจะไม่เกิดความสับสนàทัวร์ a l’heure และà toute เสน่ห์ กับพวกเขาสระเสียง œ และ Y มีความแตกต่างกันมาก แต่การที่จะเป็นนักศึกษาชาวฝรั่งเศสที่เป็นเพียงการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสออกเสียงเสียงอาจดูเหมือนใกล้พอที่พวกเขาอาจจะนำมาผสมได้อย่างง่ายดายขึ้น เรียนรู้ที่จะรู้จัก สัญลักษณ์ IPA ที่อธิบายการออกเสียงภาษาฝรั่งเศส
วลีอื่น ๆ ที่ใช้ ‘ทัวร์’ พลัส ‘A’ หรือ ‘De’
การใช้งานอื่น ๆ ของ ‘ตู’ เป็นคำวิเศษณ์
tout seuls = ทุกคนเดียว
tout neuf = แบรนด์ใหม่
tout Cru = ดิบโดยสิ้นเชิง
les tout นายกรัฐมนตรี Temps = ที่จุดเริ่มต้น
tout Mouille = ทั้งหมดเปียกแช่เปียกโชก
tout simplement = ค่อนข้างง่าย
ขอบคุณข้อมูลจาก greelane.com
กฟภ.เดินหน้าทรานส์ฟอร์มระบบจ่ายไฟสู่ดิจิทัล
กฟภ.เดินหน้าเต็มตัวปฏิรูประบบจ่ายพลังงานสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ด้วย EcoStruxure ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสู่สมาร์ทกริดของประเทศภายในปี 65 รองรับความท้าทายด้านการใช้พลังงานในอนาคต
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นหน่วยงานให้บริการพลังงานไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องครอบคลุมพื้นที่ 74 จังหวัด ยกเว้นกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ เพื่อให้ประชาชนได้มีไฟฟ้าใช้เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกันทุกภูมิภาคทั้งประเทศ นับเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ด้านจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าและมีบทบาทสำคัญระดับชาติที่ให้ความสำคัญของการทรานส์ฟอร์มองค์กรและการบริการสู่ดิจิทัล กฟภ. มีแผนยุทธ์ศาสตร์ที่จะพาองค์กรไปสู่ “ดิจิทัลยูทิลิตี้ ( Digital Utility) ” เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าที่เปลี่ยนไป เนื่องจากปัจจัยทางเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด กฟภ.ในฐานะผู้ให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ อาทิ การเติบโตของการใช้งานด้านผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี และ IoT ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฮม อุปกรณ์สมาร์ทดีไวส์ และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า อันจะทำให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากขึ้นในอนาคต ที่สำคัญการเกิดขึ้นของโปรซูเมอร์ ทั้งภาคครัวเรือน และเอกชน รวมถึงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และภาคอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สร้างความท้าทายในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าในอนาคตอย่างมาก เพราะแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้ไม่ใช่แหล่งพลังงานที่ให้กำลังไฟฟ้าที่แน่นอน จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สามารถควบคุม และคาดการณ์แนวโน้มการใช้พลังงานที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ เพื่อให้กฟภ.สามารถบริหารจัดงานการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ได้อย่างครอบคลุม มีคุณภาพตามมาตรฐานการให้บริการ และเพียงพอ ในช่วงเวลาวิกฤตต่างๆ
นายวัลลภ กิตติวิวัฒน์ รองผู้ว่าการปฏิบัติการและบำรุงรักษา การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เผยว่า “การเข้ามาของเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้า โดย กฟภ. ได้กําหนดยุทธศาสตร์ให้มุ่งสู่การเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ภายใน ปี พ.ศ.2565 ซึ่งการปรับเปลี่ยน กฟภ. ไปสู่ดิจิทัลยูทิลิตี้ เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งในด้านเครือข่ายระบบไฟฟ้า การให้บริการลูกค้า กระบวนการภายใน ทรัพยากรบุคคล และเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ดังนั้น ความสำเร็จของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ( Digital Transformation) จำเป็นต้องมีการบูรณาการระบบงาน และกระบวนการต่างๆ ให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งโครงสร้างองค์กร และรูปแบบในการดำเนินงานจะปรับให้มีความคล่องตัว (Agile) โดยมีหน่วยงานด้านธุรกิจ และหน่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จำเป็นต้องมีการประสานการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ในการพัฒนาองค์กรให้เป็น Digital Utility รวมทั้งบุคลากรของ กฟภ. จำเป็นต้องมีความรู้ ความสามารถ เพียงพอและเหมาะสมในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงรองรับรูปแบบของการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป”
การขับเคลื่อนสู่ดิจิทัลของ กฟภ . มีการดำเนินการไปพร้อมๆ กันหลายภาคส่วน โดยเฉพาะการเดินทางไปสู่ “สมาร์ทกริด” จะเป็นส่วนสำคัญและเป็นมิติใหม่ของการให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการดำเนินการด้านการแก้ไขกระแสไฟฟ้าขัดข้อง พร้อมความสามารถในการควบคุม สั่งการ การพยากรณ์และวิเคราะห์การใช้พลังงานของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ด้วย เพื่อเสถียรภาพพลังงานของประเทศ
สำหรับเทคโนโลยีดิจิทัลเกี่ยวกับงานควบคุมสั่งการจ่ายไฟฟ้า กฟภ . จะนำมาใช้ คือ EcoStruxure ADMS (Advanced Distribution Management System) จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้ระบบควบคุมการจ่ายไฟฟ้าของ กฟภ. ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในเรื่องสมาร์ทกริดที่สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดเพื่อแก้ไขได้อย่างทันท่วงที และบริหารจัดการพลังงานให้มีความต่อเนื่องในทุกพื้นที่อย่างเพียงพอแก่การใช้งานอย่างแท้จริง แม้ในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤต พร้อมทั้งมีโซลูชันสำหรับการบริหารจัดการแหล่งพลังงานแบบกระจายตัว (Distributed Energy Resource Management System: DERMS) โดยสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟภ. ได้ทั้งระบบ สามารถทำงานร่วมกับระบบเดิม หรืออุปกรณ์หลากหลายแบรนด์ได้อย่างราบรื่น สร้างความเสถียรของเครือข่ายที่มากขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน และที่สำคัญที่สุดคือสามารถคาดการณ์แนวโน้มการใช้ไฟในอนาคต ช่วยให้ กฟภ. สามารถบริหารจัดการแหล่งพลังงานรูปแบบต่างๆ ที่เข้ามาเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายของ กฟภ.ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวัลลภ เผยต่อว่า “EcoStruxure ADMS จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค นับเป็นการอัพเกรด และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟฟ้าเพื่อให้สามารถ ควบคุม สั่งการและวิเคราะห์จ่ายไฟฟ้าให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้ารูปแบบใหม่ ให้ดียิ่งขึ้นภายใต้ ‘โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) ซึ่งทาง กฟภ. มีความคาดหวังว่าทั้งภาคประชาชน และภาคธุรกิจพลังงาน จะได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวของ กฟภ. เมื่อระบบงานต่างๆ ทุกอย่างแล้วเสร็จสมบูรณ์ตามแผนยุทธศาสตร์ที่เราได้วางเอาไว้ เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่ดิจิทัลด้านพลังงานอย่างแท้จริง”
นายมงคล ตั้งศิริวิช รองประธานฝ่ายธุรกิจพลังงาน ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาวและเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟของ กฟภ. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จะช่วยให้ประเทศได้ใช้พลังงานอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น ด้วยโซลูชัน EcoStruxure Grid หรือ ADMS ช่วยให้ กฟภ. สามารถมองเห็นความเป็นไปของระบบไฟฟ้าได้ทั้งระบบ พร้อมการวิเคราะห์ การคาดการณ์แนวโน้ม สามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น เมื่อต้องมีการเชื่อมต่อกับไมโครกริดของผู้ให้บริการรายต่างๆ ในอนาคต ทั้งยังให้ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ช่วยให้ระบบไฟฟ้าของประเทศมีความยั่งยืน เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในภาพรวม เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังงานเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจของชาติ”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
รากบัว ประโยชน์และสรรพคุณของรากบัว
รากบัว (Lotus root) นั้นเรียกว่าเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของบัวหลวง หรือที่ชาวจีนนิยมเรียกกันว่า หน่อยเก๋า หรือกวงพั้ง เป็นต้น ซึ่งคนไทยเรานิยมนำมารับประทานเป็นอาหารกันทั้งแบบดิบและสุก นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรอีกมากมายหลายอย่างเลยทีเดียว โดยรากบัวนั้นจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรจีนที่มีฤทธิ์เย็นและรสหวาน
ลักษณะทั่วไปของรากบัว บัวจัดเป็นพืชไม้น้ำที่มีรากหรือเหง้าสีขาวอมเหลืองหรือสีงาช้างอยู่ใต้ดินเป็นปล้องๆ ยาวและใหญ่ โดยมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และแข็งเล็กน้อย ซึ่งหากนำรากบัวมาตัดตามแนวขวางจะมีลักษณะเป็นรูกลมกลวงๆ อยู่หลายรูเลยทีเดียว และตามก้านใบจะมีหนามอยู่และยาวชูขึ้นโผล่พ้นเหนือน้ำ จนเมื่อแก่แล้วก็จะกลายเป็นฝักบัวที่มีเมล็ดบัวอยู่ภายใน และรากบัวเมื่อแก่มักนิยมนำมาต้มหรือทำเป็นยาสมุนไพรรับประทาน โดยรากบัวนี้สามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบและสุก ซึ่งมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรตามลักษณะการรับประทาน
ประโยชน์และสรรพคุณของรากบัว
– ช่วยบรรเทาอาการร้อนใน และกระหายน้ำ
– ช่วยแก้อาการไอ และขับเสมหะออกจากลำคอ
– ช่วยป้องกันหรือรักษาอาการเลือดกำเดาไหล
– ช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ได้แก่ หัวใจ, ตับ, ม้าม, ไต หรือกระเพาะอาหาร เป็นต้น
– ช่วยแก้อาการอาเจียนแล้วมีเลือดปนออกมา
– ช่วยรักษาโรคบิด หรืออาการท้องร่วง
– ช่วยในการบำรุงสายตาให้เป็นปกติ และแก้ภาวะตาอักเสบ
– ช่วยบำรุงร่างกายให้มีกำลัง และแก้อาการอ่อนเพลียง่าย
– ช่วยบำรุงระบบสมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผ่อนคลายความตึงเครียด
วิธีการนำรากบัวมารับประทาน
– ให้นำรากบัวมาตุ๋นรวมกับน้ำผึ้งจนกระทั่งมีเนื้อข้น แล้นำมารับประทานจะช่วยแก้อาการขับถ่ายออกมาเป็นเลือด
– ให้นำรากบัวมาหั่นแว่น แล้วต้มดื่มพร้อมกับแห้งและเก๊กฮวย จะช่วยป้องกันและแก้อาการอาเจียนแบบมีเลือดปนออกมา หรือภาวะเลือดออกตามทวารหนัก หรือช่องท้อง เป็นต้น
– ให้นำรากบัวมาคั้นน้ำแล้วนำไปต้มผสมกับผลสาลี่คั้นสด จะช่วยบรรเทาอาการไข้ตัวร้อนและอาการไอ รวมทั้งช่วยขับเสมหะออกจากลำคออีกด้วย
– ให้นำรากบัวสดมาคั้นน้ำ พร้อมผสมน้ำผึ้งลงไปให้มีรสชาติ พร้อมดื่มรับประทานช่วยแก้อาการกระหายน้ำ และทำให้ชุ่มคอ
– ให้นำรากบัวมาต้มผสมกับถั่วเขียวมารับประทานช่วยบำรุงสายตา
– ให้นำไข่ตุ๋นและชวงฉิก, เกลือ และน้ำคั้นจากรากบัว รับประทานเพื่อห้ามเลือด
ข้อห้ามในการรับประทานรากบัว
– ไม่มีข้อห้ามในการรับประทาน
ขอบคุณข้อมูลจาก alro.go.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/09/2563
ชนิดทอง
ราคารับซื้อ กรัมละ
ราคารับซื้อ บาทละ
ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%
n/a
28,700.00
28,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%
1,859.00
28,182.44
29,300.00
ทองรูปพรรณ 90%
1,673.10
25,364.20
n/a
ทองรูปพรรณ 80%
1,487.20
22,545.95
n/a
ทองรูปพรรณ 50%
837.00
12,688.92
n/a
ทองรูปพรรณ 40%
651.00
9,869.16
n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%
1,926.00
29,198.16
n/a
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/09/2563
ปตท.
บางจาก
เชลล์
เอสโซ่
คาลเท็กซ์
ไออาร์พีซี
พีที
ซัสโก้
เพียว
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95
21.25
21.25
21.75
21.25
21.25
21.25
21.25
21.25
21.25
21.25
แก๊สโซฮอล์ 91
20.98
20.98
21.48
20.98
20.98
20.98
20.98
20.98
20.98
20.98
แก๊สโซฮอล์ E20
19.74
19.74
20.24
19.74
19.74
–
19.74
19.74
19.74
19.74
แก๊สโซฮอล์ E85
17.74
17.74
–
–
–
–
–
–
–
–
เบนซิน 95
28.66
–
–
–
29.11
–
29.16
28.66
–
28.66
ดีเซล
21.19
21.19
21.19
21.19
21.19
21.19
21.19
21.19
21.19
21.19
ดีเซล B10
18.19
18.19
18.19
18.19
18.19
18.19
18.19
18.19
18.19
18.19
ดีเซล B20
17.94
17.94
17.94
17.94
17.94
–
17.94
17.94
–
17.94
ดีเซลพรีเมี่ยม
25.64
25.66
27.64
27.64
–
–
–
–
–
–
แก๊ส NGV
14.41
14.41
–
–
–
–
–
–
–
–