สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563

“ศุภาลัย” วางเป้าปี 64 เปิด 29 โครงการ อานิสงส์คอนโดฯ ดันยอดโอนทะลัก 1.4 หมื่นล้าน

ดร.ประทีป  ตั้งมติธรรม

“ศุภาลัย” ยังคงเดินหน้าลุยตลาดอสังหาฯ ปี 64 คาดตัวเลขใกล้เคียง 29 โครงการ ระบุเปิดคอนโดฯ 3 โครงการ ชี้ตลาดยังพอไปได้ แต่เน้นเปิดแนวราบเป็นสำคัญ ระบุปีหน้ายอดโอนทะลักสูงถึง 14,000 ล้านบาท

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) กล่าวว่า จากประสบการณ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 31 ปี ที่ผ่านมาบริษัทฯ สร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชน ภายใต้คุณภาพมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2015 ล่าสุด เตรียมส่งมอบ บิ๊กโปรเจกต์ โครงการ “ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39” คอนโดฯ หรู พร้อมอยู่ใจกลางสุขุมวิท สร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิด “Luxurious Modern Oriental” มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัยฯ กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ว่า เรื่องของการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการมีวัคซีน จะเป็นประเด็นสำคัญต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากถูกกระทบจากเรื่องโควิด-19 ค่อนข้างมาก สถาบันการเงินจะเข้มงวดกับโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว เช่น จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น

สำหรับทิศทางธุรกิจของศุภาลัยในปีหน้า การเปิดโครงการใหม่จะมีตัวเลขใกล้เคียงกับปี 2563 ที่คาดว่าจะมีการเปิดโครงการได้ 29 โครงการ ซึ่งจะเน้นเปิดโครงการแนวราบเป็นส่วนใหญ่ เนื่องความต้องการซื้อโครงการแนวราบยังอยู่ในระดับสูง และในส่วนโครงการคอนโดมิเนียมเบื้องต้นจะเปิด 3 โครงการใกล้เคียงกับปีนี้ เพราะสถานการณ์ของคอนโดมิเนียมยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในปีหน้า และมองว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเช่นเดียวกัน หลังจากมองภาพของตลาดคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ฟื้นกลับมาเร็ว

“ที่ยังคงเปิดคอนโดมิเนียม เนื่องจากทางศุภาลัยมองว่า ยังพอไปได้ เนื่องจากคู่แข่งชะลอเปิดโครงการ ทำให้การแข่งขันแม้จะยังคงมีอยู่ แต่มีน้อยลง ซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาคอนโดฯ ในปีนี้ถึงปีหน้าแล้ว เพียงแต่ปี 64 วางตัวเลขเปิดไว้ 3 โครงการคอนโดฯ แต่อาจหากมีปัจจัยสนับสนุน เช่น ทำเลที่จะเข้ามาแข่งขันไม่มาก ก็อาจจะเปิดรวมถึง 5 โครงการได้ โดยในปีนี้ งบลงทุนที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท มีการใช้ไปไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะราคาที่ดินในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูง และผู้ขายไม่ค่อยปรับลดลงราคาลง สะท้อนภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้บริษัทยังไม่เร่งรีบในการซื้อที่ดิน”

 “ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39”

“ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39”

ด้านแนวโน้มยอดโอนในปี 64 บริษัทมั่นใจว่าจะสูงกว่าปี 63 เนื่องจากในปีหน้าบริษัทจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการที่สร้างเสร็จเข้ามา ซึ่งเป็นโครงการที่มียอดขายที่ดีทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร มียอดขาย 100% โครงการ ศุภาลัย ริว่า แกรนด์ พระราม 3

ที่ลูกค้าเพิ่งเข้ามาเซ็นสัญญา และโครงการ ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ มียอดขาย 85% และทั้ง 3 โครงการ เป็นโครงการที่ลูกค้าส่วนใหญ่ผ่อนดาวน์ครบแล้ว เตรียมรอโอนในปี 64 โดยที่จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาในปี 64 กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท พร้อมกับยอดโอนจากการขายโครงการแนวราบ และโครงการพร้อมอยู่ที่ยังเหลือขายเข้ามาหนุนยอดโอนในปี 64

ในส่วนของตัวเลขการยอดโอนในปี 63 คงจะพยายามทำให้ได้ตามเป้า 24,000 ล้านบาท ซึ่งมีหลายโครงการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะการโอนโครงการใหญ่ โครงการศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 มูลค่า 10,000 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ว่าจะสามารถโอนได้เกือบครบ 6,000-7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60-70% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งบริษัทคาดว่าการโอนของกลุ่มลูกค้าคนไทย ไม่น่าจะเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากกว่าลูกค้าต่างชาติที่มียอดขายอยู่ในตอนนี้ 30% จะสามารถโอนได้ตามแผนที่วางไว้หรือไม่

“ในภาพรวมของไตรมาส 4 ยังมั่นเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานสูงที่สุดของปีนี้ และดีกว่าไตรมาส 3 เพราะมีโครงการขนาดใหญ่โอน ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้จากยอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ (แบ็กล็อก) เข้ามาในไตรมาสสุดท้ายประมาณ 8,431 ล้านบาท จากแบ็กล็อกทั้งหมด 40,000 ล้านบาท”

ด้านยอดขายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ทำได้แล้ว 20,422 ล้านบาท หรือคิดเป็น 79% ของเป้าหมายยอดขาย 26,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจะมาจากการขายโครงการแนวราบในช่วงไตรมาส 4/63 เป็นหลัก โดยที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายในปี 63 จะไม่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่แล้ว การขายจะมุ่งไปที่โครงการแนวราบ และโครงการพร้อมโอนในสต๊อกแทน

ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com


‘แบงก์’ปฏิเสธปล่อยกู้บ้านพุ่ง

“ธปท.” ชี้  แบงก์มียอดปฏิเสธสินเชื่อไตรมาส3 /63พุ่ง ภาคเหนือหนักสุด 40-50%  “กรุงไทย“ ยอมรับปล่อยกู้เข้มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หวั่นลูกค้ามีหนี้เกินตัว ”กรุงศรี”   ประเมินภาพรวมปล่อยกู้บ้านใหม่ ติดลบสองหลัก ด้าน“ทหารไทย”คาดเอ็นพีแอลสิ้นปี 4.35% 

    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)รายงานแนวโน้มธุรกิจไตรมาส3และแนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2563  โดยมีการเปิดทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยรายภูมิภาค พบว่าตลาดอสังหาฯไทยยังชะลอตัว ซึ่งตลาดอสังหาฯราคาระดับกลางถึงสูงยังไปต่อได้ เนื่องจากลูกค้าระดับกลางถึงบนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัย แต่ต้องเฝ้าระวังทั้งอาคารชุดและบ้านแนวราบระดับราคาล่างถึงกลางที่ขายได้ยากขึ้น ด้านสภาพคล่องสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังหมดมาตรการพักหนี้เป็นการทั่วไป

      ทั้งนี้หากดูด้านการปล่อยสินเชื่อในตลาดอสังหาฯ รายภาคในปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง พบว่า มียอดปฏิเสธสินเชื่อหรือ Rejection Rate เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ภาคเหนือ ความต้องการที่อยู่อาศัยยังมี แต่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยเห็นยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น 40-50% แม้เคยทำ Pre-approve ไว้ก่อนหน้า

ขณะที่ภาคใต้พบว่า ลูกค้าที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยลูกค้าเจอทั้งการกดรายได้ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง การพิจารณาสัดส่วน LTV ที่ต่ำกว่าปกติ หรืออาจไม่ได้รับการพิจารณาสินเชื่อเลย

ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารก็สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สอดคล้องกันทั้งระบบที่มีความเข้มงวดมากขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ดังนั้นก็เป็นสิ่งที่แบงก์ต้องระมัดระวัง เพื่อดูแลฐานทุนของธนาคารขณะเดียวกัน ปัจจุบันภายใต้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น จากภาระหนี้ของครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารก็ไม่อยากให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เกินควร โดยการคำนึงถึงการปล่อยสินเชื่อแบบรับผิดรับชอบ หรือ Responsible lending

ด้านนายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) กล่าวว่า การพิจารณาให้สินเชื่อบ้านกับลูกหนี้ ส่วนใหญ่แบงก์จะพิจารณาจากความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นหลัก แต่ปัจจุบันพบว่าลูกหนี้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อแบงก์ได้ เพราะลูกหนี้มีฐานะการเงินอ่อนแอลง รายได้ลดลง และมีภาระหนี้สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อ ดังนั้นไม่ได้มาจากการที่แบงก์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่มาจากฐานะลูกหนี้ที่มีความสามารถชำระหนี้ลดลงเป็นหลัก

สำหรับภาพรวมการปล่อยสินเชื่อ คาดการณ์ว่าปีนี้ สินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ น่าจะติดลบแน่นอนสองหลัก ซึ่งสอดคล้องกับทั้งระบบ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ และผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้การซื้อบ้านใหม่ลดลง แต่หากดูสินเชื่อคงค้างพบว่ายังเติบโตได้ในปีนี้ หลักๆมาจากการที่ธนาคารสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้ ทำให้ลูกค้าเก่าไม่รีไฟแนนซ์ออกจากแบงก์ ส่งผลให้สินเชื่อคงค้างยังเติบโตต่อได้ในปีนี้ จากปัจจุบันที่พอร์ตสินเชื่อบ้านคงค้างอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นหากเทียบกับที่สินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย หรือ TMB Analytics กล่าวว่า หากคาดการณ์สินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ปีนี้ คาดว่าจะติดลบราว 10-12% หากเทียบกับปัจจุบันที่หดตัว 8% ซึ่งมาจากความสามารถในการขอสินเชื่อของลูกหนี้ต่ำลง จากรายได้ที่ลดลงเป็นหลัก

ขณะที่คาดสินเชื่อบ้านคงค้างปีนี้ น่าจะเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 0.5%มาอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท เป็นผลจากการเริ่มกลับมาชำระหนี้คืนมากขึ้น หลังหมดมาตรการช่วยเหลือ ทำให้อาจเห็นสินเชื่อลดลงได้ หากเทียบกับไตรมาส3 ที่สินเชื่อขยายตัว3%

สำหรับแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดสิ้นปีจะอยู่ที่ 4.35% หรือคิดเป็นมูลค่าหนี้เสีย 1.1แสนล้านบาท หากเทียบกับไตรมาส 3 ที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ 4.14% หรือ 9.7 หมื่นล้านบาท

โดยปัจจัยที่ทำให้หนี้เสียของสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลักๆมาจาก สภาพคล่องของลูกหนี้ตึงตัวมากขึ้น ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ที่ผ่านมามีการหันไปพึ่งพาการกู้สินเชื่อบุคคลมาช่วยพยุงในช่วงที่รายได้ชะลอตัว ส่งผลให้ภาระหนี้ต่อรายได้หรือ DSR ของลูกหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 50% ของภาระหนี้ต่อรายได้ จนอาจกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ในอนาคตให้ลดลงได้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีการระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น

“เราเชื่อว่าปัญหาหนี้จะยาวกว่า ระยะเวลาที่จะฟื้นตัวจากโควิด-19 เพราะเดิมสินเชื่อหดตัวอยู่แล้ว พอมีโควิด-19 ยิ่งเข้ามากระทบกำลังซื้อให้ยิ่งหดตัว ดังนั้นคาดปีหน้าก็ยังฟื้นตัวยาก แม้จะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ภาระหนี้ยังท่วม ยังค้ำคอผู้กู้ จากภาระหนี้เกินรายได้ที่มีสูงขึ้น”

ขอบคุณข้อมูลจาก thailand-property-news.knightfrank.co.th


หุ้นไทยแรงสุดๆบวก55จุด ซื้อขายทะลุ1.6แสนล้าน

หุ้นไทยแรงสุดๆบวก55จุด ซื้อขายทะลุ1.6แสนล้าน

หุ้นไทยคึกไม่หยุด วันเดียวบวกพุ่ง 55 จุด ซื้อขายทะลุ 1.66 แสนล้านบาท

การซื้อขายหุ้นไทยวันที่ 10 พ.ย. 2563 คึกคักตลอดทั้งวัน หุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้า จนปิดตลาดช่วงบ่าย ดัชนีอยู่ที่ 1,341.24 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด หรือ 4.31% มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1.66 แสนล้านบาท โดยระหว่างการซื้อขายดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,346.72 จุด หรือ บวกเพิ่มขึ้นถึง 60 จุด

ตลาดหุ้นไทย ได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการความคืบหน้าของการทดลองวัคซีนโควิด-19 ไปมาก

สำหรับหุ้นที่มีการซื้อขาย 10 อันดับแรก

ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com


แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

เมื่อช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 9 พ.ย.63 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เหล่านักเตะทัพ ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ภายใต้การกุมบังเหียนของ ‘อากิระ นิชิโนะ’ ได้เดินทางมาตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามข้อบังคับของกระทรวงสาธารณสุข ในการป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนที่จะเก็บตัวฝึกซ้อมช่วงฟีฟ่าเดย์ ระหว่างวันที่ 7-11 พ.ย.63 นี้

    การตรวจครั้งนี้ นำโดย อากิระ นิชิโนะ หัวหน้าผู้ฝึกสอน พร้อมด้วยทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และนักเตะ อาทิ ทริสตอง โด, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์, เกียรติศักดิ์ เจียมอุดม, อาทิตย์ บุตรจินดา, ฟิลิป โรลเลอร์ ฯลฯ ต่างตบเท้าเข้ามาตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างครบครัน ส่วนบรรดานักเตะของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ไม่ได้มาตรวจด้วยในวันนี้ เนื่องจากเคยได้รับการตรวจไปแล้วก่อนหน้านี้

    ทั้งนี้จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ทัพ ‘ช้างศึก’ ไม่มีโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 ในปีนี้ แต่ อากิระ นิชิโนะ ยังเล็งเห็นความสำคัญในช่วง ฟีฟ่า เดย์ โดยการเรียกผู้เล่นเข้ามาเก็บตัวฝึกซ้อม ตั้งแต่ช่วงเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับรอบนี้ ซึ่งถือเป็นการเก็บตัวครั้งสุดท้ายของปี

สำหรับ ทีมชาติไทย จะเข้าแคมป์เก็บตัวในวันที่ 11 พ.ย.63  ที่วินด์มิลล์ ฟุตบอลคลับ พร้อมมีโปรแกรมลงเล่นฟุตบอลนัดกระชับมิตร “THE WARRIORS ARE HERE” พบกับทีมไทยลีก ออล สตาร์ ในวันที่ 14 พ.ย.63  ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เวลา 16.00 น. ถ่ายทอดสดทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32

นิชิโนะ’ เผยถึงการเรียกเก็บตัวทีมชาติครั้งสุดท้ายของปีที่ไม่ได้นักเตะชุดที่ดีที่สุดมาเข้าแคมป์

‘นิชิโนะ’ ถึงกับน้ำตาไหลพร้อมอุทานออกมา หลังเข้ารับการตรวหาเชื้อโควิด-19 

แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

แข้งช้างศึกตรวจโควิด-19 ก่อนเก็บตัว 11-15 พ.ย.นี้

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


จะรักษาอย่างไร เมื่อรู้ตัวว่าเป็น ‘ไมเกรน’

จะรักษาอย่างไร เมื่อรู้ตัวว่าเป็น 'ไมเกรน'

อายุรแพทย์ด้านโรคระบบประสาท ผ่าทุกเรื่องเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะเรื้อรัง “ไมเกรน” …เพราะไมเกรนไม่ใช่แค่อาการปวดหัว

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างใช้ชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยปัจจัยที่ก่อให้เกิดความกังวลและความเครียดต่าง ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ อาชีพการงาน โรคติดเชื้อโควิด-19 และอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนนำมาซึ่งปัญหาด้านสุขภาพ และโรคที่พบบ่อยมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ โรคปวดศีรษะเรื้อรัง หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่า โรคไมเกรน ที่มักจะพบในกลุ่มวัยทำงานเป็นส่วนมาก มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ประสบภาวะอาการปวดหัวไมเกรน นอกจากจะรบกวนและลดประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย หากคำนวณเป็นตัวเลขจะพบว่าโรคไมเกรนนี้สามารถคิดเป็นหนึ่งในสามของภาวะการเจ็บป่วยยอดฮิตที่พบมากที่สุดในโลก หรือพูดง่าย ๆ คือในคนเจ็ดคนจะพบว่ามีผู้ป่วยโรคไมเกรนอย่างน้อยหนึ่งคนเลยทีเดียว

ไมเกรน เป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่สามารถเกิดและพบบ่อยสุดในช่วงอายุระหว่าง 15-30 ปี หรือบางรายสามารถตรวจพบได้เมื่ออายุเพียง 7-8 ปีเท่านั้น แต่อายุโดยเฉลี่ยที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานในช่วงต้น ๆ และพบน้อยในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยในเพศหญิงมากกว่าเพศชายอีกด้วย

นายแพทย์เขษม์ชัย เสือวรรณศรี อายุรแพทย์ด้านโรคระบบประสาท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ไมเกรน เป็นโรคที่พบมานานเป็นร้อยปีแล้ว จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรคไมเกรนได้อย่างชัดเจนนัก แต่โดยการตรวจวินิจฉัยส่วนมากจะพบว่าผู้ที่มาหาหมอจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่อง หรือมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจมารับการวินิจฉัยโรค ซึ่งปกติตามขั้นตอนจะมีการตรวจซักประวัติถามถึงข้อมูลต่าง ๆ ทั้งประวัติการเจ็บป่วย ประวัติครอบครัว รูปแบบการใช้ชีวิต เป็นต้น ซึ่งหากทำการวินิจฉัยแล้วพบว่าผู้ป่วยเป็นไมเกรน ทางการแพทย์ก็จะให้การรักษาด้วยยาตามอาการนั้น ๆ ซึ่งโดยรวมแล้วสามารถจำแนกตามลักษณะการเกิดอาการได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ อาการปวดไมเกรนแบบนาน ๆ ครั้ง (Episodic Migraine) และการปวดไมเกรนแบบเรื้อรัง (Chronic Migraine)

การรักษาเมื่อรู้ว่าเป็น “ไมเกรน”

ตั้งแต่โลกรู้จักกับ “โรคไมเกรน” วงการแพทย์เองก็ได้ทำการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าไม่มียาใดที่รักษาไมเกรนให้หายขาดได้ ซึ่งยาที่ใช้รักษาไมเกรนโดยทั่วไปจะใช้เพื่อการควบคุมอาการเมื่ออาการกำเริบเท่านั้น โดยแบ่งยารักษาออกเป็นสองประเภท คือ

1. ยารักษาแบบเฉียบพลัน (Acute Treatment) สำหรับรับประทานทันทีที่มีอาการปวด ซึ่งยาจะได้ผลดีเมื่อรับประทานได้เร็วทันท่วงที เพราะหลังจากนี้ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนซึ่งจะมีผลให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง

2. ยารักษาแบบป้องกัน (Preventive or Prophylactic Treatment) ซึ่งเป็นยารับประทานแบบป้องกันที่ต้องได้รับอย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อลดความรุนแรงหรือความถี่ของการเกิดอาการไมเกรน ซึ่งยาประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดอาการขึ้นก่อน ยาในกลุ่มป้องกันนี้แพทย์มักจะแนะนำสำหรับกลุ่มผู้ป่วยไมเกรนที่มีอาการค่อนข้างบ่อย หรือกรณีที่ปวดนาน ๆ ครั้งแต่เมื่ออาการกำเริบแล้วรุนแรงจนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติได้

ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นพัฒนานวัตกรรม “ยาป้องกันไมเกรน” ที่เป็นยากลุ่มชีวโมเลกุลแบบฉีด โดยจะฉีดให้ผู้ป่วยเดือนละครั้ง ทั้งยังสามารถฉีดได้ทั้งกับผู้ป่วยที่มีอาการแบบเรื้อรัง (Chronic Migraine) และแบบนาน ๆ ครั้ง (Episodic Migraine) ทั้งนี้ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะพิจารณาการใช้ยาให้เหมาะสมกับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย

“การรักษาโดยส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาและให้ยาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยไมเกรนนี้จะใช้เวลารักษาต่อเนื่องตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป แล้วแต่การวินิจฉัยในแต่ละราย” นพ.เขษม์ชัย กล่าวเสริม

ในรายที่ได้รับยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ พบว่าอาการปวดศีรษะดีขึ้นและความถี่ในการเกิดอาการน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายให้ต้องกังวล อย่างไรก็ตาม การยอมรับการรักษาจึงอยู่ที่การตัดสินใจของผู้ป่วย แพทย์จะแนะนำทางเลือกที่เหมาะสมในการรักษา พร้อมวิธีการดูแลตัวเองและให้กำลังใจผู้ป่วย รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ได้แก่ สภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด ฯลฯ 

นายแพทย์เขษม์ชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า “แนะนำให้ผู้ป่วยไมเกรนดูแลตัวเอง และปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม คือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หรือเลือกทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายสมองบ่อย ๆ อย่าให้เครียดมากเกินไป ควรหลีกเลี่ยงแดดจัด หรืออาหารที่ไปกระตุ้นอาการ รวมทั้งดื่มน้ำมาก ๆ เพราะภาวะร่างกายขาดน้ำ (Dehydrate) ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทุกอย่างที่อาจเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ไมเกรนกำเริบบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้น” 

โรคไมเกรน แม้จะยังเป็นกลุ่มภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกายที่ติดอันดับต้น ๆ และในปัจจุบันมีการค้นพบสารที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้แล้ว และด้วยวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในแง่ของประสิทธิภาพ พร้อมกับลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผู้ป่วยไมเกรนสามารถขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมได้ที่โรงพยาบาลและศูนย์บริการทางการแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


แคปชั่นภาษาอังกฤษ คำคม สร้างแรงบันดาลใจ ชีวิต

แคปชั่นภาษาอังกฤษ พร้อมคำแปล

  • คำคมภาษาอังกฤษ สั้นๆ สำหรับสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ข้อคิดดีๆ ความหมายดีๆ

I don’t want a perfect life. I want a happy life.

ฉันไม่ได้ต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ฉันต้องการชีวิตที่มีความสุข

Enjoy your own life without comparing it with that of another.
มีความสุขกับชีวิตของคุณเอง โดยไม่เปรียบกับคนอื่น

You only live once, But if you do it right, once is enough.
คุณมีชีวิตเพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่ถ้าทำมันได้อย่างถูกต้อง ครั้งเดียวก็เพียงพอ

We don’t grow when things are easy. We grow when we face challenges.
เราจะไม่รู้จักโตหากสิ่งที่พบเจอมีแต่เรื่องง่ายๆ เราจะโตเมื่อเราเผชิญหน้ากับความท้าทาย

Every story has an end but in life every end is a new beginning.
ทุกเรื่องราวมีตอนจบ แต่สำหรับชีวิตแล้ว ทุกตอนจบคือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

You can’t start the next chapter of your life, if you keep re-reading the last one.
คุณไม่สามารถนำชีวิตไปสู่บทต่อไปได้ หากยังคงอ่านบทเดิมซ้ำไปซ้ำมา

Life is like riding a bicycle. To keep your balance you must keep moving.
ชีวิตเปรียบเสมือนการขี่จักรยาน การที่จะรักษาสมดุลได้นั้น ต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไป

What comes easy won’t last. What lasts won’t come easy.
อะไรที่ได้มาง่ายจะไม่คงอยู่ถาวร สิ่งที่คงอยู่ถาวรจะไม่ได้มาโดยง่าย

I don’t care what you think about me. I don’t think about you at all.
ฉันไม่สนใจสิ่งที่คุณคิดกับฉัน เพราะฉันไม่ได้คิดเกี่ยวกับคุณเลย

Be yourself no matter whatever they say.
จงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดว่าอย่างไร

Be yourself. An original is always worth more than a copy.
จงเป็นตัวของตัวเอง ของแท้มีคุณค่ามากกว่าของเลียนแบบเสมอ

Thinking too much can only cause problems.
การคิดมากจนเกินไปมีแต่จะสร้างปัญหา

Don’t let someone change who you are, to become what they need.
อย่าปล่อยให้ใครมาเปลี่ยนความเป็นตัวคุณ ให้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ

Running away from your problems is a race you will never win.
การที่คุณวิ่งหนีปัญหา คือการแข่งขันที่คุณจะไม่มีวันชนะ

Life is not about waiting for the storm to pass. It is about learning to dance in the rain.
ชีวิตไม่ใช่การรอให้พายุอยู่ผ่านพ้นไป แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะเต้นได้ในสายฝนต่างหาก

The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams.
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันอันงดงามของตนเองเท่านั้น

My pain may be the reason for somebody is laugh. But my laugh must never be the reason for somebody is pain.
– Charlie Chaplin
ความเจ็บปวดของผมอาจทำให้ใครบางคนหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของผมจะต้องไม่ทำให้ใครเจ็บปวด

ขอบคุณข้อมูลจาก tonamorn.com


Google คาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 68 แตะ 1.79 ล้านล้านบาท

Google, Temasek และ Bain & Company เผยผลวิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  คาดมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยแตะ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.79 ล้านล้านบาทในปี 2568  ผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด 30% ของผู้ใช้บริการดิจิทัลทั้งหมดคือผู้ใช้รายใหม่ และ 95% ของผู้ใช้รายใหม่ตั้งใจที่จะใช้ต่อไปหลังช่วงระบาด

Google, Temasek และ Bain & Company เผยรายงานการวิจัยติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 (e-Conomy SEA 2020) ว่า ปี 2563 เศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท (คิดที่ 31 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ)

โดยมีผู้ใช้อินเตอร์รายใหม่เพิ่มขึ้น 40 ล้านคน จากปี 2562 ทำให้ปัจจุบันทั่วทั้งภูมิภาคนี้มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น 400 ล้านคน และจากรายงานได้คาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเติบโตทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.3 ล้านล้านบาท ในปี 2568 

สำหรับประเทศไทยยังคงเกาะกระแสการเติบโต โดยคาดว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะแตะที่ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.97 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 25% ในปี 2568

นางแจ็คกี้ หวาง ผู้อำนวยการ กูเกิล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปีนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ผลการวิจัยระบุว่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยเติบโตขึ้น 7% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยจะมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ 5.58 แสนล้านบาท ในปี 2563 นับเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาครองจากอินโดนีเซีย 

ทั้งนี้ ได้มีการวิจัยติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน  7 ภาคส่วน และได้ระบุอัตราการเติบโตในประเทศไทยดังต่อไปนี้ 

* อีคอมเมิร์ซ ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด กล่าวคือ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 81% จากปีที่ผ่านมา มีมูลค่าแตะ 9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.79 แสนล้านบาท   ในปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 7.44 แสนล้านบาท ในปี 2568 แม้วิกฤติโควิดจะส่งผลกระทบแต่การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซได้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการขนส่งออนไลน์

* สื่อออนไลน์ (โฆษณา เกม บริการวิดีโอออนดีมานด์ และบริการเพลงออนดีมานด์) ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ หรือหรือ 1.24 แสนล้านบาท ในปีนี้ และทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.17 แสนล้านบาท ในปี 2568                                             

ที่น่าสนใจพบว่า คนไทยใช้เวลาออนไลน์ 3.7 ชั่วโมง (ใช้งานส่วนตัว) ในช่วงก่อนโควิด และพุ่งขึ้นถึง 4.6 ชั่วโมงในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ และปัจจุบันคงที่อยู่ที่ 4.3 ชั่วโมงต่อวัน  ผู้ใช้จาก 8 ใน 10 ราย เห็นว่าเทคโนโลยีมีประโยชน์อย่างมากในช่วงโควิด-19 จึงทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของผู้คนอีกต่อไป 

นอกจากนี้ ในรายงานฯ ยังระบุว่าช่วงล็อกดาวน์มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ผู้ใช้จํานวนมากเริ่มลองใช้บริการดิจิทัลใหม่ๆ โดย 30% ของผู้ใช้บริการดิจิทัลทั้งหมดคือผู้ใช้รายใหม่ และ 95% ของพวกเขาเหล่านี้ตั้งใจที่จะใช้ต่อไปหลังช่วงระบาด

* การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ ในประเทศไทยมีมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.41 หมื่นล้านบาท  ในปี 2563 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลดลง 12% แม้ว่าจะมีการเติบโตของบริการส่งอาหารออนไลน์ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ  หรือประมาณ 2.17 แสนล้านบาทเติบโตขึ้น 45% ในปี 2568

* การท่องเที่ยวออนไลน์ (ธุรกิจจองโรงแรม ที่พัก และเที่ยวบิน) ในประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีมูลค่าตลาด (Gross Bookings Value) ในปี 2563 อยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์  หรือ ประมาณ  1.24 แสนล้านบาท  โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลดลง 47% และคาดว่าจะมีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4.65 แสนล้านบาท ภายในปี 2568

ข้อมูลอัปเดตในส่วนของ บริการทางการเงินดิจิทัล (การชำระเงิน การโอนเงิน การให้กู้ยืม ประกันภัย และการลงทุน) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่าผู้บริโภคและธุรกิจเอสเอ็มอีได้หันมาใช้บริการทางการเงินดิจิทัลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกเหนือจากบริการให้กู้ยืมแล้ว มูลค่าธุรกรรมรวมการชำระเงินดิจิทัล (GTV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2563 อยู่ที่ 620 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.92 หมื่นล้านบาท   สูงขึ้นจากปีที่แล้ว 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ  620 ล้านบาท และคาดว่าจะมีมูลค่ารวมที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 3.72 หมื่นล้านบาท  ในปี 2568 

ขณะที่ อีก 2 ภาคส่วนใหม่ที่ได้ทำการวิจัยขึ้นในปีนี้ ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโควิด-19 ได้แก่ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และ เทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech)

ผลการวิจัยร่วมกันของ Google, Temasek และ Bain & Company ในปีนี้ แสดงให้เห็นถึงก้าวต่อไปของอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและระบบนิเวศขนานใหญ่ในปีนี้ ทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีความก้าวหน้าและเติบโตมาสู่จุดที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจากผลการวิจัยการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยได้ค้นพบถึงสาระสำคัญ 7 ประการดังนี้ 

  1. การย้ายสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้อินเตอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในประเทศไทยที่มีผู้ลองใช้บริการดิจิทัลใหม่ๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด – 19 
  1. ออนไลน์อย่างมีความหมาย ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาโดยเฉลี่ยมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันบนอินเทอร์เน็ตในช่วงล็อกดาวน์ ในขณะที่คนไทยใช้เวลาบนอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นในช่วงโควิด-19 และมองว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็น 
  1. ปรับตัวในช่วงวิกฤต อีคอมเมิร์ซได้ขับเคลื่อนการเติบโตในประเทศไทยอย่างมากถึง 81% การก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วนี้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการขนส่งออนไลน์เป็นอย่างมาก
  1. เส้นทางสู่การสร้างผลกําไร การให้เงินทุนกับธุรกิจระดับยูนิคอร์นในภาคธุรกิจที่เริ่มอิ่มตัวชะลอตัวลงนับตั้งแต่จุดเฟื่องฟูในปี 2561 ปัจจุบันแพลตฟอร์มต่างๆ หันกลับมาให้ความสําคัญกับธุรกิจหลักของตนเพื่อมุ่งเน้นการสร้างผลกําไรเป็นอันดับแรก
  2. บุกเบิกธุรกิจใหม่ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และเทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech) มีบทบาทสำคัญมากในช่วงของการระบาด โดยมีอัตราการนำไปใช้ (Adoption Rate) ที่โดดเด่น
  3. มองบวกอย่างรอบคอบ นักลงทุนตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบในการซื้อขายที่น้อยลงแต่ด้วยมูลค่า (valuation) ที่น่าดึงดูดมากขึ้น โดยคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
  4. ก้าวต่อไป จากผลการวิจัยในปีนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจอินเทอร์เน็ตเติบโตมาสู่จุดที่แข็งแร็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นการพัฒนาข้อจำกัดสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อจํากัดด้านบุคลากรที่มีความสามารถ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ฮ่วยซัว ของดีที่เราอยากให้คุณได้รู้จัก

ฮ่วยซัว ของดีที่เราอยากให้คุณได้รู้จัก

ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูกันเท่าไรนักกับ ฮ่วยซัว หรือห่วยห่วยซัว แต่จริง ๆ เป็นสมุนไพรจีนที่ขึ้นชื่อมายาวนานและสืบทอดกันมาหลายต่อหลายสมัย ต่อให้เราเป็นคนรุ่นใหม่ในยุค 4G อย่างเราก็ไม่อยากให้พลาดที่จะมาทำความรู้จักกับสมุนไพรโบราณจากจีนตัวนี้กันเสียหน่อย อย่าเสียเวลามาเริ่มรู้จักกับฮ่วยซัวกันเลยดีกว่า

       ฮ่วยซัว คืออะไร?

ฮ่วยซัวเป็นพืชที่จะเรียกให้เห็นภาพกันมากขึ้นก็คืออยู่ในตระกูลของกลอยนั่นเอง ข้อดีก็คือทานได้ง่ายเพราะทานกันแบบดิบ ๆ ก็ทำได้ ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีมากมาย 
         มีหลายชาติเหมือนกันที่นำฮ่วยซัวไปทานกันทั้ง จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี อย่างในญี่ปุ่นก็จะทานกันดิบ ๆ หรือเอาไปบด ก่อนทานก็ล้างหัวด้วยน้ำสมสายชู เอารากไปทำยา ตามแต่ที่แต่ละบ้านแต่ละคนถนัด

แล้วฮ่วยซัวมีดีอะไรให้เราสนใจบ้าง?
อยู่มาได้ยาวนานขนาดนี้ต้องมีของดีซ่อนอยู่แน่ ๆ ซึ่งหลัก ๆ แล้วฮ่วยซัวก็มีคุณสมบัติเด่น ๆ คือ

         – การช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศนั่นเอง เดี๋ยวนี้เราต้องเจอกับสภาพแวดล้อมและความเครียดมากมายไม่แปลกที่จะทำให้ความสามารถในเรื่องนี้ของหลาย ๆ คนลดลงแต่ไม่ต้องกลัวฮ่วยซัวช่วยได้
         – ถ้าคุณเหนื่อยล้าอ่อนเพลียให้ฮ่วยซัวช่วยก็สามารถทำได้เหมือนกัน
         – กระเพาะ ม้าม ไต ของคุณเป็นสิ่งที่ต้องดูแลและบำรุงเสมอซึ่งนี่แหละสมุนไพรจีนที่จะตอบโจทย์เรื่องการบำรุงอวัยะภายในเหล่านี้ของคุณได้ดีที่สุด
         – ถ้าคุณเป็นคนที่ค่อนข้างท้องผูกหรือมีปัญหากับระบบขับถ่ายบอกเลยว่าอย่าพลาดที่จะให้ฮ่วยซัวไปดูแลคุณ เพราะว่าฮ่วยซัวนั้นสามารถช่วยคุณขับของเสียทั้งปัสสาวะและอุจจาระออกจากร่างกายให้คุณได้เป็นอย่างดี
         – ใครที่คิดว่าตัวเองเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานให้ดูแลอาหารการกินด้านอื่น ๆ แล้วหันมาเสริมด้วยฮ่วยซัวก็มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้

– ใครเครียดบ่อย ๆ ใช้ชีวิตแบบสุดโต่งมักจะเจอปัญหาภูมิคุ้มกันไม่ดีเป็นหวัดหรือร้อนในกันบ่อย ๆ บอกเลยว่าให้ฮ่วยซัวเข้ามาช่วยลดอาหารหวัดและร้อนในให้คุณกันเถอะ

– สายออกกำลังก็ไม่ควรพลาดเมื่อคุณได้ทานฮ่วยซัวแล้วบอกเลยว่ามีส่วนช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อและกระดูกให้กับคุณได้เป็นอย่างดี แข็งแรง สุขภาพ ได้ง่าย ๆ ด้วยการหมั่นออกกำลังกายและทานฮ่วยซัวควบคู่
         – ใครขี้ลืมอย่าลืมทานฮ่วยซัวบอกเลยว่ามีส่วนช่วยในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี จำแม่น ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดตัวเองอย่างที่เคยกันแล้ว

ฮ่วยซัวสามารถหาได้ง่าย ๆ ตามร้านสมุนไพรจีนทั่วไปหรือจะลองหาในร้านค้าออนไลน์ก็ยังได้เพราะเป็นสมุนไพรจีนที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ถ้าคุณอยากสุขภาพดีลองหาฮ่วยซัวไปเสริมกันนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก atherbth.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 26,850.00 26,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,739.00 26,363.24 27,450.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,565.10 23,726.92 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,391.20 21,090.59 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 783.00 11,870.28 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 609.00 9,232.44 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,802.00 27,318.32 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/11/2563

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 21.35 21.35 21.95 21.35 21.95 21.35 21.35 21.35 21.35 21.35
แก๊สโซฮอล์ 91 21.08 21.08 21.68 21.08 21.68 21.08 21.08 21.08 21.08 21.08
แก๊สโซฮอล์ E20 19.84 19.84 20.44 19.84 20.44 19.84 19.84 19.84 19.84
แก๊สโซฮอล์ E85 17.69 17.69 17.69
เบนซิน 95 28.76 29.81 29.26 28.76 28.76
ดีเซล B7 22.29 22.29 22.99 22.29 22.99 22.29 22.29 22.29 22.29 22.29
ดีเซล 19.29 19.29 19.99 19.29 19.99 19.29 19.29 19.29 19.29 19.29
ดีเซล B20 19.04 19.04 19.74 19.04 19.74 19.04 19.04 19.04
ดีเซลพรีเมี่ยม 26.74 26.76 29.44 28.14 26.74
แก๊ส NGV 13.83 13.83 13.83
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า