สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 14 กันยายน 2563

‘คันทรี่ กรุ๊ป’ หนุน  Second Home ต่างชาติ

คอลัมน์ ผ่ามุมคิด    พื้นที่กว่า 35 ไร่ ย่านเจริญกรุง  ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งขององค์การสะพานปลา และบ้านนับร้อยหลัง เพื่อแปลงโฉมเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

หากการเข้าเคลียร์พื้นที่กว่า 35 ไร่ ย่านเจริญกรุง  ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งขององค์การสะพานปลา และบ้านนับร้อยหลัง เพื่อแปลงโฉมเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมความเป็นที่สุดไว้ในหลายแง่ จนก่อสร้างแล้วเสร็จ ด้วยมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท ภายใต้ชื่อโครงการ “เจ้าพระยา เอสเตท” คือ ช่วงเวลาแห่งความท้าทายนับ 10 ปี ของบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) สถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับแผนเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโปรเจ็กต์ยักษ์ดังกล่าว ก็เปรียบเป็นอีกอุปสรรคคลื่นลูกใหญ่ ที่หัวเรือใหญ่ อย่าง นายเบน เตชะอุบล  ยอมรับว่า มีผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการโอนกรรมสิทธิ์ในคอนโดฯหรู และการให้บริการของ 2 แบรนด์โรงแรมดัง อย่างไรก็ตาม เชื่อภายหลังสถานการณ์ทั่วโลกคลี่คลาย การท่องเที่ยวไทยจะกลับมาบูม ส่งผลธุรกิจเติบโต พร้อมเห็นพ้องอสังหาฯ ชงนโยบาย “Second Home” หนุนต่างชาติอยู่ไทย ช่วยภาพรวม ขณะแผนการดำเนินธุรกิจนั้น ระบุ จะเป็นไปอย่างรัดกุม มีสเต็ป ท่ามกลางสถานะการเงิน ซึ่งยืนยันว่ายังแข็งแกร่ง

จังหวะสะดุดเปิดโครงการ 
    เดิมทีโปรเจ็กต์ “เจ้าพระยา เอสเตท” ซึ่งประกอบไปด้วย โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ,โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ และคอนโดมิเนียมหรู โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีแผนเปิดตัวอย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 แต่ด้วยสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของ COVID-19 จึงชะลอเปิดตัวออกไป เปรียบเป็นช่วง 5 เดือน ที่ทำได้แค่รอ ไม่สามารถกระจายความเสี่ยงใดๆได้ เหมือนผู้ประกอบการรายอื่นๆ เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ และก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม มั่นใจ แลนด์มาร์กใหม่ ย่านเจริญกรุงแห่งนี้ จะกลับมาคึกคัก และเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ หลังสถานการณ์คลี่คลาย จากจุดเด่นวิวแม่น้ำ และแบรนด์โรงแรมระดับลักชัวรี ทั้งนี้ ทั้ง 2 โรงแรมจะทยอยเปิดในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ 
    “ธุรกิจโรงแรมกระทบทั้งโลก และทั้งประเทศ ทุกคนก็หวังให้โควิดให้ผ่านไปอย่างเร็ว แต่อย่างที่รับรู้ ทั่วโลกยังน่ากังวล โชคดี 2 เชนจ์โรงแรมระดับโลกต่างมีจุดแข็ง ไม่ใช่แค่ห้องพัก แต่เรายังมียอดจองการจัดงาน การประชุมขนาดใหญ่ และกรุ๊ปไพรเวท จากลูกค้าในประเทศเข้ามาต่อเนื่อง ไม่รวมกับส่วนร้านอาหาร ซึ่งต่างเป็นที่ยอมรับ รองรับในการสร้างรายได้อยู่มาก”

หน่วยเหลือขายเปรียบ “ชิ้่นปลามัน”

ทั้งนี้ สำหรับคอนโดฯโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนท์ กรุงเทพฯ มูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาทนั้น ปัจจุบัน มียอดขายไปแล้วประมาณ 70% ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขยอดขายที่สูงที่สุดในตลาด คอนโดฯของกรุงเทพฯ ณ ขณะนี้ ด้วยราคาขายเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ 45- 400 ล้านบาท ปัจจุบันมีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้วบางส่วน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ 64% เป็นกลุ่มคนต่างชาติ ซึ่งไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศเพื่อดำเนินการได้ แต่เบื้องต้น ไม่มีความกังวล เนื่องจากมั่นใจในกลุ่มลูกค้า หลังจากมีการยื่นความประสงค์รับโอนกรรมสิทธิ์ ผ่านการทยอยโอนดาวน์มัดจำเข้ามาเพิ่มเติมโดยยังคงเหลือยอดขายที่รอรับรู้รายได้อีก 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะหน่วยเหลือขายอีกประมาณ 30%รวมมูลค่า 7 พันล้านบาทนั้น ด้วยจุดเด่นของโครงการฯ ซึ่งมีแนวโน้มของราคาขายปรับขึ้นในทุกปี และล้วนอยู่ในผังพรีเมี่ยมของโครงการ คาดจะสามารถผลักดันยอดขายให้เกิดขึ้นได้ไม่ยาก และจะเปรียบเป็นขุมทรัพย์ ที่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในทุกๆ ปี ระหว่างการรอขึ้นโปรเจ็กต์ใหม่ 
    “เป็นกลยุทธ์การขายของโปรเจ็กต์ตั้งแต่แรก ซึ่งไม่เน้นความเร็ว และด้วยจุดเด่นของทำเล มูลค่าที่ดินที่มีแนวโน้มเพิ่มอีก อาจผลักดันให้ราคาขายเฉลี่ยทั้งโครงการไปสู่ 3.2 แสนบาทต่อตร.ม. ปรับขึ้นจาก 2.8 แสนต่อตร.ม.  อีกทั้ง มูลค่าเหลือขาย7 พันล้านของเรา ไม่ต่างจากโครงการขนาดทั่วไปหลายโครงการของรายอื่นๆ มองเปรียบเป็นส่วนที่จะสร้างผลประกอบการให้กับบริษัทได้เรื่อยๆ ในทุกปี โดยไม่มีภาระหนี้ผูกผัน”

หนุน Second Home
    นายเบน กล่าวต่อว่า คอนโดฯโฟร์ซีซั่น ได้รับการตอบรับสูงมาก จากกลุ่มลูกค้าคนต่างชาติ มากถึง 20 สัญชาติ สูงสุดคือ กลุ่มคนจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ไต้หวันและสิงคโปร์ สะท้อนถึงความนิยมที่มีต่ออสังหาฯไทย โดยเฉพาะทำเล ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพฯ มักเป็นที่ต้องการสูง และช่วงหลังแนวโน้มความต้องการยิ่งมีมากขึ้น หลังเมืองเป้าหมายด้านอสังหาฯ อย่างฮ่องกง เกิดความวุ่นวายในประเทศ ทำให้กลุ่มคนต่างชาติ เปลี่ยนใจอยากเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้น จึงเห็นด้วย กับกรณีที่ล่าสุดผู้ประกอบการ ชงให้รัฐบาล ออกแคมเปญ “Thailand Best Second Home” หนุนคนต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯ หรือการขยายเวลา และออกวีซ่าระยะยาวให้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวมและโปรดักต์ของบริษัทอย่างมาก

“แม้กลุ่มโปรดักต์ซูเปอร์ลักชัวรี ยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนต่างชาติ โดยไม่ต้องรอแคมเปญจากรัฐ แต่นโยบายดังกล่าว ก็อาจจะช่วยจูงใจการซื้อการลงทุนให้เกิดมากขึ้นได้เช่นกัน”

ชะลอลงทุนใหม่
    จากสถานการณ์โควิด บริษัทเองวางแผนไม่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ ที่ต้องระมัดระวังในการลงทุน สิ่งที่โฟกัสสูงสุด คือ การสร้างความคึกคักให้กับ 2 โรงแรม และเร่งการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนคอนโดฯให้เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ ก็ถือว่ายังเป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้ง่ายต่อการปรับโครงสร้างทางการเงิน รวมยอดขายที่จะสร้างการรับรู้ทางรายได้อีกมากกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ก็จะเพียงพอต่อการคืนหนี้ก่อสร้างของโปรเจ็กต์ริมน้ำทั้งหมด สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจในประเทศ บริษัทจึงตัดสินใจ การเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ บนพื้นที่ 23 ไร่ ย่านพระราม 3 ออกไปก่อน ซึ่งเดิมทีจะก่อสร้างในรูปแบบมิกซ์ยูสเช่นกัน และโรงเรียนนานาชาติ Concodia ออกไปก่อน แม้จะมีแผนและพาร์ทเนอร์รอพร้อมแล้ว 
    “ในภาวะนี้ ไม่ใช่จังหวะการบุกของดีเวลลอปเปอร์ เริ่มขาย เริ่มก่อสร้าง เราจะไม่ทำโครงการขนาดใหญ่ขึ้นมาซ้อน ท่ามกลางตลาดคอนโดฯ ยังมีซัพพลายอยู่มาก โฟกัสสำคัญ คือ ทยอยปลดล็อกกับโครงการที่แล้วเสร็จ เพื่อให้บริษัทเข้าสู่ภาวะแข็งแกร่ง และง่ายต่อการพัฒนาโปรเจ็กต์อื่นๆ ในอนาคต” 

หน้าที่ 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40  ฉบับที่ 3,609 วันที่ 13 – 16 กันยายน พ.ศ. 2563

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไม่หวั่นโควิด ต่างชาติทุ่ม 7.8 พันล.ลงทุนอสังหาฯไทยนำร่องที่ภูเก็ต

เอเชีย แคปปิตอล เรียล เอสเตท ผนึก นูน แคปปิตอล เปิดตัว แบรนด์ โฮม่า รุกอพาร์ตเมนต์ให้เช่าระยะยาวในไทย ผุด 2 โครงการแรกในจ.ภูเก็ต เปิดตัวปี64-65ตั้งเป้าพัฒนารวม 6 แห่งในไทย ด้วยงบลงทุนกว่า 7.8 พันล้านบาท

       โฮม่า (HOMA) แบรนด์ร่วมทุนระหว่างบริษัท เอเชีย แคปปิตอล เรียล เอสเตท (Asia Capital Real Estate – ACRE) และ นูน แคปิตอล (NOON Capital – NOON) เปิดตัว โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบอพาร์ตเมนต์สำหรับเช่า ณ ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจทั่วประเทศไทย ด้วยแนวคิด “โค-ลิฟวิ่ง สเปซ (co-living space)” มิติใหม่ของที่พักอาศัยที่สมบูรณ์ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

2 โครงการแรกของโฮม่าตั้งอยู่ในทำเล สำคัญของ จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ โฮม่า เมืองภูเก็ต (HOMA Phuket Town) มีแผนเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 มีขนาด 505 ยูนิต ตั้งอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต ใกล้กับโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ส่วน โฮม่า เชิงทะเล (HOMA Cherngtalay) มีแผนเปิดให้บริการในปี 2565 มีขนาด 422 ยูนิต ตั้งอยู่บริเวณหาดบางเทา ใกล้กับศูนย์การค้าโบ๊ท อเวนิว ศูนย์การค้าปอร์โต เดอ ภูเก็ต และลากูน่า ภูเก็ต รีสอร์ต

          ลูค่า ดอตตี้ ผู้ร่วมก่อตั้งโฮม่า กล่าวว่า “โฮม่า นำเสนอที่พักที่เปรียบเสมือนบ้าน ที่มาพร้อมกับบริการที่ดีระดับโรงแรม ผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกที่จะพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัว หรือร่วมสังสรรค์กับผู้อื่นได้ตามต้องการ แนวคิด “โค-ลิฟวิ่ง” ในประเทศไทยนั้น ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานที่ทำงานได้ทุกที่ ไม่เฉพาะในออฟฟิศ สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับโฮม่าคือ เราสร้างที่แห่งนี้เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแบบครอบครัวด้วยเช่นกัน”

         “เรามุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทย และความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย”

       เบลค โอลาฟสัน ผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท เอเชีย แคปปิตอล เรียล เอสเตท และในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งโฮม่า กล่าวว่า “จากที่เราได้ลงทุนในอพาร์ตเมนต์มากกว่า 20,000 ยูนิตทั่วสหรัฐอเมริกาในช่วงระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา เราเห็นแนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์แบบเช่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโตและเป็นที่ดึงดูดมากขึ้นในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่และกลุ่มที่เริ่มสร้างครอบครัว”

ทั้ง 2 โครงการของโฮม่าในจังหวัดภูเก็ต นำเสนอสิ่งที่น่าดึงดูดใจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่จับต้องได้ ความยืดหยุ่นของสัญญาเช่า รวมไปถึงพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย โฮม่าพัฒนาทั้งสองโครงการขึ้นเพื่อให้บริการไม่เพียงแต่กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ นักเดินทางเพื่อการพักผ่อน นักธุรกิจ ฟรีแลนซ์ยุคดิจิทัล และชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยและทำงานในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มที่เริ่มสร้างครอบครัวที่กำลังมองหาที่พักในภูเก็ตสำหรับช่วงวันหยุด หรือที่พักแบบเช่าระยะยาวที่ได้รับการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ

โฮม่า เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ ก้าวข้ามจากยุค “โค-ลิฟวิ่ง” เข้าสู่ยุค “โค-ลิฟวิ่ง 2.0” ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ เนื่องด้วยวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) โฮม่า ปรับเปลี่ยนแนวคิด “โค-ลิฟวิ่ง” ไปสู่การอยู่ร่วมกันเพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์ในชุมชน โดยที่ยังคงเน้นย้ำการรักษาระยะห่างและความเป็นส่วนตัว

โฮม่า ภูมิใจในการมุ่งเน้นให้ลูกบ้านร่วมกันรังสรรค์ความเป็นชุมชน พร้อมกับหมายมั่นที่จะยกระดับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้สมาชิกลูกบ้านได้มีปฏิสัมพันธ์ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และใช้ชีวิตได้ตามจุดมุ่งหมาย

         โฮม่า มอบประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ ด้วยดีไซน์ของสถาปัตยกรรมที่เหนือระดับ งานฝีมืออันประณีตบรรจง ปรากฎให้เห็นอยู่ทั้งจากการตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ที่พักอาศัยของโฮม่าได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้านจริง ๆ เป็นสถานที่ที่ลูกบ้านสามารถเรียกได้ว่าเป็นของตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเยือน

ภายในอะพาร์ตเมนต์ไม่ว่าจะเป็นแบบสตูดิโอ หนึ่ง สอง หรือสามห้องนอน จะมีทั้งห้องครัวแบบส่วนตัวและห้องน้ำในตัว นอกจากนี้ โฮม่ายังมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้รับประทานอาหารร่วมกับเพื่อนบ้าน พร้อมด้วยคาเฟ่ที่ให้บริการเต็มรูปแบบ เรียกได้ว่าที่แห่งนี้สามารถใช้สอยได้อย่างหลากหลายตอบโจทย์ทั้งความต้องการและไลฟ์สไตล์ของทุกคน สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ของโครงการประกอบไปด้วยบริการพี่เลี้ยงเด็ก โค-เวิร์คกิงสเปซ สระว่ายน้ำ และศูนย์ออกกำลังกาย

         โฮม่าเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้พักอาศัยด้วยแอปพลิเคชัน HOMA ลูกบ้านและแขกผู้พักอาศัยสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน หรือติดต่อผู้ดูแลโครงการเกี่ยวกับการบริการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจองห้องพัก การชำระเงิน การซ่อมแซมบำรุงรักษา การดูแลทำความสะอาด และกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ โฮม่ายังภูมิใจที่ได้เป็นทัพหน้ายึดมั่นในหลักแห่งความยั่งยืน โฮม่า เมืองภูเก็ตจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบเช่าแห่งแรกในประเทศไทยที่ผ่านการประเมินอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา Leadership in Energy and Environmental Design: LEED  ซึ่งรวมถึงโครงการของโฮม่าอื่น ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

แบรนด์โฮม่าถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2561 โดยเกิดจากการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท เอเชีย แคปปิตอล เรียล เอสเตท และบริษัท นูน โฮม่าเป็นผู้บุกเบิกตลาดที่พักอาศัยแบบเช่าระยะยาวในประเทศไทย ยกระดับการให้ความสำคัญจากผู้ซื้อไปสู่ลูกบ้าน บริษัท เอเชีย แคปปิตอล เรียล เอสเตท และบริษัท นูน ตั้งเป้าไว้ว่าจะลงทุนด้วยงบประมาณกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7,817 ล้านบาท) ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาโครงการโฮม่าทั้งหกแห่งในไทย นอกจากนี้ โฮม่า ยังมีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์โฮม่าสู่ตลาดหลักอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เสนอแจกเงินคนละครึ่ง5พันบาท

เสนอแจกเงินคนละครึ่ง5พันบาท

นักวิชาการแนะแจกเงินกระตุ้นบริโภคต้องง่าย ป้องกันนายทุนรายใหญ่ได้ประโยชน์

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นการบริโภคมาตรการคนละครึ่งของรัฐบาลอาจช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากกระเตื้องขึ้นบ้างในไตรมาสสี่หากกำกับให้การใช้จ่ายเงินทำได้เฉพาะเป็นร้านค้าขนาดเล็กและขนาดย่อมเท่านั้น

ทั้งนี้ ถ้ามาตรการเปิดกว้างให้ใช้ที่ไหนก็ได้เม็ดเงินส่วนใหญ่จะไปอยู่ที่เครือข่ายค้าปลีกของบริษัทขนาดใหญ่เหมือนโครงการชิมช้อปใช้

นอกจากนี้ การกำหนดเงื่อนไขเงินไม่ควรยุ่งยากเกินไปด้วยการให้ประชาชนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิผ่านแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือรับเงินสด กลุ่มแรกที่รับเงินผ่านแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” ต้องจ่ายเงินอีกครึ่งหนึ่งในการใช้จ่ายและกำหนดเพดานในการจ่ายรายวัน ตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ก่อนหน้านี้

โดยคนกลุ่มที่จ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้รับแจกเงินมากกว่า อาจเพิ่มให้เป็นคนละ 5,000 บาท กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคนที่ต้องการรับเงินสดโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงเลยมอบให้ท่านละ 2,500 บาท กลุ่มที่รับเงินสดก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกจากรัฐบาลจัดสรรให้และไม่กำหนดเพดานการใช้ต่อวัน ตอนนี้รัฐบาลต้องให้ร้านค้ารายย่อยไปขึ้นทะเบียน “ถุงเงิน” ของธนาคารกรุงไทยมากที่สุด

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า หากไม่เร่งดำเนินการตามที่กล่าวมาอัตราการขยายตัวภาคบริโภคอาจกระเตื้องขึ้นโดยภาพรวมแต่ผู้มีรายได้น้อยไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยรายเล็ก การใช้เงินงบประมาณ 45,000 ล้านบาทอาจไม่บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย และ เงินจากมาตรการนี้ควรมอบให้กับผู้มีรายได้น้อย มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี หรือ เป็นผู้ว่างงานและไม่มีเงินออมหรือทรัพย์สินทางการเงินใดๆ หรือ ผู้อยู่ในฐานข้อมูลลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะมีจำนวนไม่ถึง 15 ล้านคน

“ด้วยเม็ดเงินงบประมาณ 45,000 ล้านบาท หากประชาชนใช้สิทธิเต็มที่ผ่าน “กระเป๋าตัง” โดยไม่ขอรับเป็นเงินสด จะทำให้เม็ดเงินเพิ่มไปที่ 90,000 ล้านบาท หมุนอย่างน้อย 2-3 รอบจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ 180,000-270,000 ล้านบาท อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างน้อย 0.3% การที่เงินจะหมุนหลายรอบได้ต้องมุ่งเป้าไปที่คนรายได้น้อยที่มีอัตราความโน้มเอียงในการบริโภคสูง เงินต้องใช้จ่ายไปกับผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอันนำมาสู่การลงทุน การจ้างงานเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ” นายอนุสรณ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


เปิด 6 แข้งดาวดัง ลุ้นย้ายทีมก่อนเส้นตายช่วงซัมเมอร์

ความเคลื่อนไหวตลาดซื้อ-ขายนักเตะยุโรปช่วงซัมเมอร์ 2020 ยังคงคึกคัก แม้ว่าหลายสโมสรจะได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างหนักจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ตาม และนี่คือ 6 นักเตะชื่อดังที่มีแววที่จะย้ายสังกัดก่อนจะถึงเส้นตายวันปิดตลาดนักเตะในวันที่ 5 ตุลาคมนี้

1. จาดอน ซานโช (ปีก, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์)

ถ้าจะพูดถึงนักเตะที่มีข่าวมากที่สุดในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้คงจะหนีไม่พ้น จาดอน ซานโช ปีกทีมชาติอังกฤษ วัย 20 ปี ของ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แถมยังเป็นการมีข่าวกับทีมๆ เดียวอีกด้วยนั่นก็คือ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่เรื่องราวก็ยังคาราคาซังไม่ได้ข้อสรุปเสียที ด้วยปัญหาเรื่องค่าตัวที่ทาง ดอร์ทมุนด์ ต้องการมากถึง 108 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้ปิศาจแดงมองว่า มันแพงเกินไปหรือไม่ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 เช่นนี้ แต่ปิศาจแดงก็พยายามหาวิธีต่างๆ เข้ามาใช้ ยกตัวอย่างรายงานจาก อีเอสพีเอ็น สื่อชื่อดังระดับโลกที่เปิดเผยว่า ปิศาจแดง เตรียมเสนอการผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ บวกกับเงินโบนัสตามเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ตกลงกัน ซึ่งรวมๆ แล้วก็จะใกล้เคียงกับเม็ดเงินที่ดอร์ทมุนด์นั้นต้องการ และทิศทางในการเจรจาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี แต่เชื่อได้เลยว่าดีลนี้ไม่จบง่ายๆ อย่างแน่อน ทั้งสองทีมคงจะเจรจาต่อรองกันไปจนเกือบถึงวันเส้นตายแน่ๆ เพราะดูเหมือนว่าทั้งยูไนเต็ดและ ซานโช จะสามารถตกลงเงื่อนไขส่วนตัวกันไปได้เรียบร้อยแล้ว ส่วนผลงานล่าสุดของ ซานโช กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาลที่ผ่านมา ทำไป 20 ประตูกับ 20 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 44 นัดรวมทุกรายการ

2. หลุยส์ ซัวเรซ (กองหน้า, บาร์เซโลนา)

กองหน้าจอมถล่มประตูวัย 33 ปี ถือเป็นหนึ่งในดาวดังของวงการลูกหนังโลก ผ่านประสบการณ์การค้าแข้งกับสโมสรชื่อดังอย่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มาแล้ว โดยปัจจุบันเขาค้าแข้งอยู่กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลนา สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลา ลีกา สเปน ซึ่งเป็นทีมที่เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ซัดไปแล้ว 198 ประตู จากการลงเล่น 283 นัดรวมทุกรายการ นับตั้งแต่ย้ายมาจาก ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2014 ด้วยค่าตัว 64.98 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม จากการที่ล่าสุด บาร์ซา เปลี่ยนผู้จัดการทีมจาก กีเก เซเตียน มาเป็น โรนัลด์ คูมัน กุนซือชาวเนเธอร์แลนด์ ทำให้อนาคตของ ซัวเรซ เริ่มสั่นคลอน เพราะมีรายงานระบุว่าเขาได้รับการแจ้งจากเจ้านายคนใหม่แล้วว่าจะไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมฤดูกาลหน้า แต่ชื่อชั้นของซัวเรซก็ยังคงมีกลิ่นหอมฟุ้งในตลาดนักเตะอยู่เสมอ และคาดว่าเขาน่าจะย้ายไปร่วมทัพ “ม้าลาย” ยูเวนตุส หรือไม่ก็ “ตราหมี” แอตลเติโก มาดริด ในช่วงซัมเมอร์นี้ ถ้าเขาย้ายไปอยู่กับฝูงม้าลายก็จะได้ร่วมงานกับ คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งจะทำให้ ยูเวนตุส มีแนวรุกที่น่ากลัวเลยทีเดียว แต่ถ้าเจ้าตัวอยากค้าแข้งในสเปนต่อไป แอตเลติโก มาดริด ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน ต้องมารอลุ้นกันว่าสุดท้ายแล้ว ซัวเรซ จะย้ายไปทีมไหน แต่แนวโน้มย้ายไปยูเวนตุสมีสูงมาก

3. เกเรธ เบล (ปีก, เรอัล มาดริด)

ปีกวัย 31 ปี กลายเป็นส่วนเกินของ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ภายใต้การคุมทีมของ ซีเนดีน ซีดาน เนื่องจากทั้งคู่มีปัญหาไม่ลงรอยกัน จนทำให้ เบล ได้ลงสนามใน ลา ลีกา สเปน ฤดูกาลที่ผ่านมาเพียงแค่ 16 นัดเท่านั้น และค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่า ราชันชุดขาว พร้อมตัดใจที่จะปล่อยตัวเขาออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ถึงขั้นยอมลดค่าตัวลงมาเหลือแค่ 20 ล้านยูโรเท่านั้น เพื่อดึงดูดให้บรรดาสโมสรต่างๆ เข้ามาให้ความสนใจแข้งรายนี้มากขึ้น โดยเฉพาะทีมที่มีกำลังเงินอย่าง “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังลังเลว่าจะซื้อ จาดอน ซานโช หรือไม่ ดังนั้น เบล อาจเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจให้กับพวกเขาได้ ส่วนอีกทีมก็คือดีตต้นสังกัดของ เบล อย่าง “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเป็นทีมที่ทำให้ เบล แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวและถูกดึงมาอยู่กับ ราชันชุดขาว เมื่อปี 2013 ด้วยค่าตัว 77 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติโลกในตอนนั้น ต้องมารอดูกันว่าสุดท้ายเบลจะได้ย้ายทีมสมใจหรือไม่ เพราะอุปสรรคเดียวในการย้ายทีมของเขาก็คือค่าเหนื่อยที่สูงถึงสัปดาห์ละ 600,000 ปอนด์นั่นเอง

4. ติอาโก อัลคันทารา (กองกลาง, บาเยิร์น มิวนิก)

กองกลางตัวเทพ วัย 29 ปี ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก คว้า 3 แชมป์ทั้ง บุนเดสลีกา เยอรมนี, เดเอฟเบ โพคาล และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2019-20 ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะเนื้อหอมของตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์นี้ เพราะคุณภาพในฝีเท้าของเขานั้นมีครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบอล แย่งบอล คุมจังหวะเกม จะบอกว่าเป็นนักเตะที่ “สมบูรณ์แบบ” คนหนึ่งของโลกลูกหนังในตำแหน่งกองกลางยุคปัจจุบันก็คงจะไม่ผิดนัก โดยเขาตกเป็นข่าวกับ 2 ทีมนั่นก็คือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีทีมไหนยื่นข้อเสนอ 27 ล้านปอนด์ เข้าไปให้บาเยิร์นฯ พิจารณาอย่างเป็นทางการเลย เพราะตัวนักเตะนั้นแสดงความชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการย้ายทีมเพื่อออกไปหาความท้าทายใหม่ๆ แต่ในเมื่อมันยังไม่มีข้อเสนออย่างจริงๆ จังๆ เข้ามา มันก็ทำให้อนาคตของเขาอยู่ในเครื่องหมายคำถาม ถึงขั้นที่ อูลี เฮอเนส อดีตประธานสโมสรบาเยิน์น มิวนิก ต้องออกโรงจวกทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่าพยายามเล่นตุกติก ดึงเวลาให้ไปถึงช่วงท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะเพื่อหวังที่จะดึง ติอาโก ไปร่วมทีมแบบถูกๆ งานนี้ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ติอาโก จะได้ย้ายทีมสมใจหรือไม่

5. ดักลาส คอสตา (ปีก, ยูเวนตุส)

ปีกดีกรีทีมชาติบราซิล วัย 29 ปี เป็นนักเตะอีกรายที่น่าจะต้องตบเท้าย้ายออกจากถิ่นอัลลิอันซ์ สเตเดียม ในช่วงซัมเมอร์นี้ เนื่องจากไม่ตรงสเปกของกุนซือคนใหม่อย่าง อันเดรีย ปิร์โล ที่ดูเหมือนว่าจะต้องการปรับปรุงทีมครั้งใหญ่ เตรียมโละนักเตะอายุเยอะออกจากทีม แถมตัวนักเตะเองก็มักจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขามีข่าวเชื่อมโยงว่าได้รับความสนใจจาก “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มองเขาเป็นอีกตัวเลือก หากพลาดคว้าตัว จาดอน ซานโช ปีกของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ส่วนผลงานของ คอสตา ใน 2 ฤดูกาลหลังสุดกับยูเวนตุส ลงเล่นไป 40 นัด ทำไป 4 ประตู กับอีก 8 แอสซิสต์ โดยนอกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว คอสตา ยังตกเป็นที่หมายปองของทีมในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยเช่นกัน โดยทางยูเวนตุสตั้งค่าตัวเอาไว้ที่ 36 ล้านปอนด์เท่านั้น

6. เซร์คิโอ เรกีลอน (แบ็กซ้าย, เรอัล มาดริด)

เรียกได้ว่าเป็นแบ็กซ้ายที่มาแรงที่สุดในชั่วโมงนี้จริงๆ สำหรับ เซร์คิโอ เรกีลอน ดาวเตะวัย 23 ปี ดีกรีทีมชาติสเปนจากค่าย “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ที่ถูกทีมเซบีญายืมตัวไปใช้งานในฤดูกาลที่ผ่านมา และสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง มีส่วนสำคัญในการพา เซบีญา ผงาดคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก มาครองอย่างยิ่งใหญ่ แต่ด้วยการที่ เรอัล มาดริด มีแบ็กซ้ายอย่าง มาร์เซโล และ แฟร์กลองด์ เมนดี ขวางทางอยู่ ทำให้ เรกีลอน น่าจะย้ายออกจากถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว ในช่วงซัมเมอร์นี้ และมีข่าวว่าเขาถูกเสนอให้กับทีม “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังมองหาแบ็กซ้ายคนใหม่เข้ามากดดันแย่งตำแหน่งกับ ลุค ชอว์ อย่างน้อยถ้า เรกีลอน ย้ายมาอยู่กับแมนยูฯ เขาก็น่าจะได้ลงเล่นมากกว่ากลับไปอยู่กับ เรอัล มาดริด อย่างแน่นอน แต่ก็มี “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ อีกทีมที่จ้อง เรกีลอน ตาเป็นมัน โดย เรอัล มาดริด ต้องการค่าตัวที่ 27 ล้านปอนด์ ถึงจะยอมขายขาดออกจากทีม

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th

นั่งรถขึ้น-ลงเนิน แล้ว “เสียววูบ” ในท้อง เกิดจากอะไร?

นั่งรถขึ้น-ลงเนิน แล้ว “เสียววูบ” ในท้อง เกิดจากอะไร?

เคยเป็นไหม? เวลาที่ขับรถด้วยความเร็วขึ้นเนิน แล้วเกิดอาการ “เสียววูบ” ในท้องหรือรู้สึก “ใจหวิวๆ” อาการที่ว่าคืออะไรและเกิดจากอะไร

ซึ่งอาการเสียววูบที่เกิดในช่องท้องนั้นเกิดขึ้นจากระบบประสาทอัตโนมัติ และการเปลี่ยนแปลงแรงโน้มถ่วงของโลกที่เกิดอย่างกะทันหัน ส่งผลให้กลไกการทรงตัวของร่างกายผิดปกตินั่นเอง

ระบบประสาทอัตโนมัติคืออะไร

ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) หรือระบบประสาทอิสระ เป็นระบบประสาทที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย ระบบประสาทอัตโนมัตินี้จะประกอบด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ระบบประสาทอัตโนมัตินี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System)

นั่นหมายความว่าระบบประสาทอัตโนมัติสามารถทำงานได้เองไม่ต้องอาศัยคำสั่งจากสมอง โดยผ่านเส้นประสาทบริเวณกล้ามเนื้อเรียบทั่วทุกอวัยวะในร่างกาย มีศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลัง ก้านสมอง และสมองส่วนไฮโปธาลามัส ที่อยู่บริเวณสมองส่วนหน้า ระบบประสาทอัตโนมัตินี้จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

ระบบประสาทซิมพาเธติก (sympathetic) ศูนย์กลางอยู่ที่ไขสันหลัง ประกอบไปด้วยเส้นประสาทที่แตกแขนงออกมาจากไขสันหลังตั้งแต่ช่วงหน้าอกจนถึงเอว เป็นระบบประสาทที่จะทำงานโดยอัตโนมัติในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน กดดัน เคร่งเครียด หรือเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเตรียมต่อสู้หรือเตรียมหนี ซึ่งเป็นระบบประสาทที่มีผลให้เห็นอย่างเช่นในเวลาที่เกิดไฟไหม้ คนเราสามารถแบกโอ่งหรือยกตู้เย็นหนีออกมาได้ เกิดจากการที่ระบบประสาทซิมพาเตติกไปกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมา เพื่อเพิ่มพลังพิเศษให้กับร่างกาย

ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก (parasympathetic nervous system) ศูนย์กลางอยู่ที่ก้านสมอง และสมองส่วนไฮโปทาลามัส ระบบประสาทระบบนี้จะทำงานควบคู่กับระบบซิมพาเธติก ซึ่งจะทำงานหลังจากระบบประสาทซิมพาเธติกทำงานสิ้นสุดลง ระบบประสาทพาราซิมพาเธติกจะช่วยให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยการกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนนอร์อะดรีนาลีนยับยั้งภาวะกดดันของร่างกาย

อาการเกร็งและหวิวในท้องเกิดจากอะไร

อาการเกร็งและหวิวในท้องนี้เกิดจากการทำงานของระบบประสาทซิมพาเธติก ที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะยืดขยายตัวอย่างกะทันหัน ทำให้เกิดความรู้สึกเสียวูบในบริเวณแถวกระเพาะปัสสาวะ ร้าวมาถึงท้องน้อย บริเวณสะดือ และที่หลังในช่วงเอว

เนื่องมาจากเวลาที่รถที่แล่นมาด้วยความเร็วแล้วขึ้นเนินสูง จะเป็นภาวะที่รถเปลี่ยนแปลงระดับจากแนวราบขึ้นสู่ที่สูงและลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าแรงโน้มถ่วงของโลกเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ซึ่งในทางฟิสิกส์นั้นจะกำหนดให้ค่าแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ที่ 9.81 เมตรต่อวินาทีกำลังสอง (หรือประมาณ 10 เพื่อให้การคำนวณง่ายขึ้น) ร่างกายของเราจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกับแรงโน้มถ่วงที่เกิดเปลี่ยนแปลงกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว

ในจังหวะที่ร่างกายตอบสนองต่อการเปลี่ยนสภาพแรงโน้มถ่วงอย่างกะทันหัน จะเกี่ยวเนื่องไปที่เส้นประสาทเวกัส (vagus nerve) เส้นประสาทคู่ที่ 10 ซึ่งอยู่ในระบบประสาทพาราซิมพาเธติค เส้นประสาทส่วนนี้จะเลี้ยงกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะ คือ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน หัวใจ ปอด และต่อมต่าง ๆ บริเวณทางเดินของลำไส้ใหญ่ อีกทั้งยังมีเส้นประสาทรับความรู้สึก คอยรับความรู้สึกจากอวัยวะต่างๆ เหล่านี้

หลังจากนั้นเมื่อรถเปลี่ยนระดับอย่างกะทันหัน มีผลให้แรงโน้มถ่วง ณ ขณะนั้นเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ส่งผลให้การส่งตัวของร่างกายสูญเสียสมรรถภาพในการทรงตัวไปชั่วขณะหนึ่งด้วย ณ ขณะที่เราเสียการทรงตัวระบบประสาทซิมพาเธติกจะทำงาน (กระเพาะปัสสาวะขยายตัว) และช่วงที่รถลงเนินมาแล้วระบบประสาทพาราซิมพาเธติกจะทำงานเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะปกติ จนกระทั่งร่างกายไม่รู้สึกเสียววูบแล้ว

กลไกในการทรงตัว

การทรงตัว เป็นภาวะที่ร่างกายประคองอยู่ในจุดที่สมดุล ทำให้คนเราสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการที่ร่างกายคนเราสามารถทรงตัวอยู่ได้ และรับรู้ว่าศีรษะและร่างกายกำลังอยู่ในท่าใด สมองต้องได้รับข้อมูลจากอวัยวะที่รับความรู้สึกที่เกี่ยวกับการทรงตัว 3 ระบบคือ

  • อวัยวะรับรู้ผ่านการมองเห็น
  • อวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน (คนที่น้ำในหูไม่เท่ากันจึงมีปัญหาเรื่องการทรงตัว)
  • อวัยวะรับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อและข้อ

เมื่ออวัยวะรับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อมีการยืดขยายในช่วงที่รถขึ้นเนิน เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทเวสติบูโล-โคเคลียร์ ซึ่งเป็นเส้นประสาทคู่ที่ 8 เกี่ยวข้องกับการทรงตัวอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วง เนื่องจากร่างกายตอบสนองอัตโนมัตินั้น ร่างกายจะเสียการทรงตัวในช่วงเสี้ยววินาที ในช่วงขณะนั้น คือช่วงที่เรารู้สึกว่าตัวเราลอยขึ้นจากเบาะรถยนต์จากการที่แรงโน้มถ่วงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน มีผลในการควบคุมการเคลื่อนไหวดวงตาให้สัมพันธ์กับตำแหน่งของศีรษะเพื่อการทรงตัว ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับอาการเสียววูบในท้อง

นี่จึงเป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน กระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงาน เพื่อรองรับการสูญเสียการทรงตัว ณ ช่วงขณะหนึ่ง ทำให้เกิดอาการเกร็งและเสียววูบในท้องนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ภาษาเกาหลี พื้นฐาน (한국어)

สืบเนื่องจาก กระทู้ ภาษาญี่ปุ่น ของคุณ moses ทางผมเห็นแล้ว จึงมีความคิดว่า เราน่าจะสอนภาษาเกาหลีบ้าง เพราะทางตัวผมเอง ก็มีความรู้ด้านนี้อยู่บ้าง และน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ที่เราควรจะแบ่งปันให้คนอื่นได้รู้เหมือนเราบ้าง

คำทักทาย (인사)
안녕하세요. / อัน นยอง ฮาเซโย / สวัสดี
잘자요. / ชัล จาโย / ราตรีสวัสดิ์
잘지내요? / ชัล ชีแนโย๊? / สบายดีไหม?
네, 잘지내요 / เน, ชัล ชีแนโย / ครับ/ค่ะ, สบายดี
아니요, 잘별로없어요. / อานีโย, ชัล พยอลโร ออบ ซอโย /  เปล่า, รู้สึกไม่ค่อยดี
 
ตัวเลข (숫자)  (ใช้กับจำนวนนับ)
แบบเกาหลี 
하나 / ฮานา / 1
둘 / ทุล / 2
셋 / เซ็ท / 3
넷 / เน็ท / 4
다섯 / ทา ซ็อด / 5
여섯 / ยอ ซ็อด / 6
일곱 / อิล กบ / 7
여덟 / ยอ ดอล / 8
아홉 / อา ฮบ / 9
열 / ยอล / 10
 
ตัวเลขแบบจีน (มาจากรากศัพท์ภาษาจีน  ใช้กับ วัน เดือน ปี ราคา)
일 / อิล / 1
이 / อี / 2
삼 / ซัม / 3
사 / ซา / 4
오 / โอ / 5
육 / หยุก / 6
칠 / ชิล / 7
팔 / พัล / 8
구 / คู / 9
십 / ชิบ / 10
* 팔นอกจากจะแปลว่า 8 แล้ว ก็สามารถแปลว่าแขนได้ด้วย
 
ภาษาเกาหลีเบื้องต้น
갑사합니다 / คัม ซาฮัมนีดา / ขอบคุณ
고맙습니다 / โค มับ ซึมนีดา / ขอบคุณ 
미안해요 / มี อันแฮโย / ขอโทษ
네 / เน / ใช่, ครับ/ค่ะ
아니요 / อานีโย / ไม่,ไม่ใช่,เปล่า
반갑습니다 / พัน กั๊บ ซึมนีดา / ยินดีที่ได้รู้จัก
초대해요 / โชแด แฮโย / เชิญ
하도돼요 / ฮาโด ดแว โย / ขอ อณุญาติ
괜찮아요 / แควน ชานาโย / ไม่เป็นไร
더우군요 / ทอ อุนกุนโย / ร้อนจังเลย
추우군요 / ชู อุนกุนโย / หนาวจังเลย
날씨가좋군요 / นัลชี กา โชกุนโย / อากาศดีจังเลย
화장실 / ฮวา จัง ชิล / ห้องน้ำ
레스토랑 / เรซือ โทรัง / ภัตตาคาร
빙하 / พิงฮา / น้ำแข็ง
눈 / นุน / หิมะ , ตา  (มีสองความหมาย)
맛있어요 / มา ชิด ซอโย / อร่อย
맛없어요 / มา ดอบซอโย / ไม่อร่อย
호텔 / โฮเทล / โรงแรม
택시 / แท็ก ชี / แท็กซี่
전화 / ชอน ฮวา / โทรศัพท์
병원 / พยอง วอน / โรงพยาบาล
열이나요 / ยอ รี นาโย / เป็นไข้
쇼핑 / ชโย พิง / ช็อปปิ้ง
얼마예요? / ออล มาเยโย๊? / ราคาเท่าไหร่?
잔돈 / ชาน โทน / เงินทอน
현금 / ฮยอน กึม / เงินสด
공항 / คง ฮัง / สนามบิน
여권 / ยอ กวอน / หนังสือเดินทาง
여행가방 / ยอแฮง คาบัง / กระเป่าเดินทาง
비행기표 / พีแฮงกี พโย / ตั๋วเครื่องบิน
친구 / ชินกู / เพื่อน
꽃 / กด / ดอกไม้
노래 / โนแร / เพลง
해 / แฮ / พระอาทิตย์
아이 / อาอี / เด็ก
오이 / โออี / แตงกวา
가방 / คาบัง / กระเป๋า (คำนี้เหมือนภาษาญี่ปุ่น)
개 / แค / หมา
고양이 / โคยังอี / แมว
비 / พี /ฝน
매워요 / แม วอโย / เผ็ด
궁 / กุง / พระราชวัง
오늘 / โอ นึล / วันนี้
어제 / ออ เจ / เมื่อวาน
내일 / แนอิล / พรุ่งนี้
그저게 / คือ ชอเก / เมื่อวานซืน
모레 / โมเร / มะรืน
커요 / คอโย / ใหญ่
작아요 / ชากาโย / เล็ก
 
การแนะนำตัว (자기 소개)
저는……….입니다.
ชอนึน……….อิมนีดา.
ฉันคือ……….
 
제 이름은……….입니다.
เช อีรือมึน………..อิมนีดา.
ชื่อของฉันคือ………..
 
잘 부탁드립니다.
ชัล พูทัก ดือริม นีดา
รบกวนด้วยน่ะครับ (ฝากเนื้อฝากตัว)
 
반갑습니다.
พัน กั๊บซึมนีดา.
ยินดีที่ได้รู้จัก
 
อาหาร (음식)
밥 / ผับ / ข้าว
아침 식사 / อาชิม ชิกซา / อาหารเช้า
점심 식사 / ชอมชิม ชิกซา / อาหารกลางวัน
저녁 식사 / ชอ นยอก ชิกซา / อาหารค่ำ
물 / มุล / น้ำ
차 / ชา / ชา
우유 / อูยู / นม
닭살 / ทัก ซาล / เนื้อไก่
소고기 / โซ โกกี / เนื้อวัว
돼지고기 / ทแว จี โกกี / เนื้อหมู
생선 / แซง ซอน / เนื้อปลา
채소 / แชโซ / ผัก
과일 / กวา อิล / ผลไม้
 
ร่างกาย (몸)
귀 / ควี / หู
입 / อิบ / ปาก
머리 / มอรี / หัว , เส้นผม
눈 / นุน / ตา
어께 / ออ เก / ไหล่
배 / แพ / ท้อง
팔 / พัล / แขน
목 / มก / คอ
무릅 / มูรึบ / เข่า
발 / พัล / เท้า
다리 / ทารี / ขา
손 / โซน / มือ
배꼽 / แพ กบ / สะดือ
피 / พี / เลือด
………………………………………………………………..
 ขอบคุณข้อมูลจาก board.postjung.com


ใครบ้างที่ต้องลงทะเบียน “โดรน”

ใครบ้างที่ต้องลงทะเบียน “โดรน” แล้วถ้าฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติจะโดนปรับอย่างไรเช็กที่นี่ที่เดียว

จากกรณีที่เครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ในอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก หรือ โดรน ปริมาณตัวเลขยอดขึ้นทะเบียนปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ปรากฏว่า ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 23 เมษายน 2561 มียอดขึ้นทะเบียนโดรนรวมทั้งสิ้น 11,016 เครื่อง แยกเป็นขึ้นทะเบียนที่สำนักงาน กสทช. 8,843 เครื่อง (สำนักงาน กสทช. ส่วนกลาง 4,494 เครื่อง และส่วนภูมิภาค 4,349 เครื่อง) และขึ้นทะเบียนที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จำนวน 706 เครื่อง ขึ้นทะเบียน ณ สถานีตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 1,467 เครื่อง ซึ่งข้อมูลยอดขึ้นทะเบียนของสถานีตำรวจทั่วประเทศเป็นข้อมูลที่สำนักงาน กสทช. ได้รับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวมส่งมา

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเร็ว ๆนี้ นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการสายงานกิจการโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ สำนักงาน กสทช.  กล่าวว่า หลังวันที่ 23 กันยายน 2563 ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินสำหรับใช้งานเป็นการทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า “ประกาศโดรน” จะมีผลบังคับใช้ ทำให้ผู้ที่มีโดรนไว้ในครอบครองมีหน้าที่ต้องมาขึ้นทะเบียนโดรน ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้ครอบครองเครื่อง สำหรับผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนโดรนกับสำนักงาน กสทช. ไว้แล้วก่อนหน้านี้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องรับใบอนุญาตให้มี ใช้และนำออกซึ่งวิทยุคมนาคม และใบอนุญาตให้ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม

แล้วใครบ้าง?ที่ต้องลงทะเบียนโดรน

 1.เจ้าของโดรนและผู้ใช้งานทั่วไป

2.นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นำโดรนเข้ามาใช้ในประเทศไทย

3.ผู้ที่นำโดรนเข้ามาใช้ในภารกิจชั่วคราว เช่น นำมาใช้ถ่ายภาพยนตร์ ใช้ในงานโชว์

4.หน่วยงานของรัฐทั้งหมดยกเว้นหน่วยงานความมั่นคงโดยประชาชนที่มีโดรนไว้ในครอบครองสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนโดรนได้ที่สำนักงาน กสทช. ส่วนกลาง พหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) กรุงเทพ หรือสำนักงาน กสทช. ภาค หรือสำนักงาน กสทช.เขต โดยมีค่าธรรมเนียมคำขอ 200 บาทต่อเครื่อง

ดังนั้นผู้ใช้ “โดรน” ต้องยื่น ขึ้นทะเบียนโดรน ภายใน 30 วันนับตั้งแต่มีโดรนไว้ในครอบครอง และหากฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับตามกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ขอบคุรข้อมูลจาก thansettakij.com


ทำความรู้จักกับต้นอ่อนข้าวสาลี พืชมากประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม!

เมื่อการดูแลสุขภาพกำลังกลายเป็นกระแสนิยมของผู้คนในสังคมเมืองมากขึ้น ทั้งการดูแลรูปร่าง การออกกำลังกาย และในเรื่องอาหารการกินที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ

ดังจะเห็นได้จากเมนูอาหารมากมายที่มีขายในร้านอาหารและท้องตลาด เริ่มมีการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะร้านอาหารบางแหล่งยังเปิดเป็นร้านเพื่อสุขภาพโดยตรงอีกด้วย

ผลิตภัณฑ์ที่เห็นในห้างสรรพสินค้าก็เริ่มหันมาดึงจุดขายกันที่การดูแลสุขภาพเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับประโยชน์ที่มาจากพืชสมุนไพรมากมายกำลังกลายเป็นสินค้ายอดนิยมที่ทำรายได้ให้กับผู้ผลิตได้เป็นอย่างดี

ต้นอ่อนข้าวสาลี” หนึ่งในทางเลือกเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง และเพิ่งจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเมื่อไม่นานมานี้

ปัจจุบันพืชชนิดนี้ได้ถูกนำเอาไปแปรรูปอย่างหลากหลายเพื่อใช้ในการรับประทาน ถือว่าเป็นพืชที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทางอาหาร เหมาะสำหรับการบำรุงร่างกายทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ให้ความปลอดภัยต่างจากการรับประทานอาหารเสริม

ที่สำคัญไปกว่านั้น ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นสินค้าอันดับต้นๆ ที่มียอดจำหน่ายสูงในท้องตลาด และเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าผู้รักสุขภาพอีกด้วยค่ะ

ทำความรู้จักกับต้นข้าวสาลีกันก่อน

ต้นอ่อนข้าวสาลี 1

ต้นข้าวสาลี ในอดีตนิยมเพาะปลูกกันเป็นอย่างมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และประเทศรัสเซีย ส่วนในประเทศไทยนั้นมีการเพาะปลูกบ้างประปรายไม่มากนัก จนกระทั่งในปัจจุบันที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นทำให้ต้นข้าวสาลีเริ่มถูกนำมาปลูกในกลุ่มผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ

ลักษณะของต้นขาวสาลีจัดอยู่ในประเภทของพืชล้มลุก เมื่อโตแล้วจะแตกขึ้นเป็นกอคล้ายต้นหญ้าเรียงตัวกันอย่างแน่นหนา มีข้อและป้องประมาณ 3-7 ปล้อง ลำต้นเรียบ มีสีเขียวเข้มเมื่อโตเต็มที่แล้ว มีอายุราวๆ 1 ปี ความสูงโดยประมาณอยู่ที่ 40-150 เซนติเมตร สามารถเพาะปลูกได้ง่ายด้วยการเพาะเมล็ด เพียงแค่หว่านลงดินและรดน้ำ ไม่นานต้นอ่อนก็จะงอกขึ้นมาเป็นส่วนที่เรานำเอามารับประทานในปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อโตเต็มที่ลักษณะของใบจะมีทั้งเรียบและแบบมีขน มีดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อนขนาดเล็ก เรียงตัวเป็นสองแถวส่วนของแกนกลางจะหยักไปมา มีความยาวโดยประมาณอยู่ที่ 5-15 เซนติเมตร ส่วนผลของต้นข้าวสาลีจะมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือกระสวย เราสามารถนำเอาส่วนของรำข้าวสาลี จมูกข้าวสาลี และเมล็ดข้าวสาลี มารับประทานเป็นอาหารที่ให้คุณประโยชน์สูงได้

ต้นอ่อนข้าวสาลี (Wheat grass)

ต้นอ่อนข้าวสาลีคือส่วนของต้นที่เพิ่งจะงอกจากเมล็ดได้ไม่นาน ใช้เวลาในการงอกประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะสามารถนำเอามารับประทานได้ โดยการนำมาคั้นเพื่อให้ได้ส่วนของน้ำสีเขียวสด (Wheat grass juice)

ในปัจจุบันนอกจากจะมีการคั้นขายกันแบบสดๆ โดยมีเครื่องมือในการคั้นออกวางจำหน่าย หรือคั้นใส่ขวดขาย ก็ยังมีการแปรรูป โดยนำเอาไปทำเป็นผงชงดื่มกับน้ำหรือแม้กระทั่งเป็นการนำเอาไปอัดเม็ดเป็นแคปซูลเพื่อให้สามารถรับประทานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

สารอาหารที่ได้จากส่วนของน้ำที่คั้นมาจากต้นอ่อนข้าวสาลีในระยะนี้ จะอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะคลอโรฟิลล์ ซึ่งมีสูงถึง 70 เปอร์เซ็น ส่วนอื่นๆ ที่พบจะเป็นวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี รวมไปถึงแร่ธาตุอื่นๆ ในอัตราส่วนน้อยอีกเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญไปกว่านั้นมันยังมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าสิบชนิด ที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังที่มักพบได้บ่อยในปัจจุบัน

การเพาะปลูกต้นอ่อนข้าวสาลี

หากใครที่ต้องการดูแลสุขภาพ นอกจากซื้อหาเป็นเครื่องดื่มหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมารับประทาน เรายังสามารถเพาะปลูกด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ และใช้เวลาไม่นานก็จะได้น้ำต้นอ่อนข้าวสาลีมาดื่มกันแบบสดๆ หรือจะหาซื้อเป็นชุด kit ที่มีวางจำหน่ายทั้งถาด ดิน และเมล็ดเอาไว้ให้เพาะปลูกกันแบบสบายๆ โดยทั่วไปประเภทของเมล็ดที่นำมาเพาะปลูกมีทั้งชนิดข้าวสาลีเมล็ดแข็งและเมล็ดอ่อน

เริ่มต้นการเพาะเมล็ด โดยนำเอาเมล็ดต้นข้าวสาลีที่เตรียมไว้นำมาแช่น้ำที่ปราศจากคลอรีนทิ้งเอาไว้ 24 ชั่วโมง เตรียมกระถางหรือตะกร้าที่ต้องการใช้เป็นที่เพาะปลูก หว่านเมล็ดที่ได้ลงไปให้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าวัสดุปลูกที่ใช้ไม่ควรให้เกิดน้ำขัง เพราะอาจจะทำให้ส่วนของรากเน่า จากนั้นให้ทำการรดน้ำธรรมดา ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการผสมปุ๋ยใดๆ ลงไป เมื่อฉีดจนชื้นได้ที่แล้วให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อช่วยกักเก็บความชื้นให้เมล็ดสามารถเจริญเติบโตได้ไวขึ้น ให้ทำการฉีดพ่นน้ำเช่นนี้ทุกวันลงไปบนเมล็ดทุกวัน แล้วปิดทับด้วยหนังสือพิมพ์เช่นเดิมจนกระทั่งเห็นส่วนของต้นอ่อนงอกออกมาจึงค่อยนำเอาหนังสือพิมพ์ออก

ให้ทำการรดน้ำเช่นเดิมด้วยวิธีพ่นฝอย ระวังอย่าให้ต้นอ่อนชื้นเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเชื้อรา รดน้ำเช่นนี้ทุกๆ วัน จนกระทั่งต้นอ่อนเริ่มผลิใบ ซึ่งจะเป็นใบส่วนที่สองออกมา ใช้เวลาประมาณ 7-10 วันจะมีความสูงประมาณ 8 นิ้ว ให้ตัดออกและนำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้ เพราะหากทิ้งเอาไว้นานกว่านี้ตัวใบจะโตมากและเริ่มมีความหยาบแข็งหรือบางส่วนก็จะเริ่มมีขนงอกออกมา ไม่เหมาะต่อการนำเอามารับประทานเท่าใดนัก หลังจากที่ตัดไปแล้วยังสามารถรดน้ำต่อไป จะได้ส่วนของใบอ่อนรอบที่สองมาใช้ในการคั้นน้ำได้อีกครั้ง

การคั้นน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีด้วยตัวเอง

หลักสำคัญของการคั้นน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีที่ถูกต้องคือไม่ควรเลือกใช้เครื่องปั่นที่มีความเร็วของใบมีดสูงเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้น้ำที่คั้นออกมาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ส่งผลให้คุณค่าทางอาหารลดลง ทางที่ดีควรใช้เครื่องคั้นพิเศษที่มีวางจำหน่ายสำหรับคั้นน้ำต้นอ่อนโดยเฉพาะจะดีกว่าค่ะ ส่วนน้ำที่ได้ควรดื่มทันทีโดยไม่ให้เกิน 15-30 นาที เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียวิตามิน ส่วนการเก็บใบสดที่ตัดแล้ว ให้นำใส่ถุงซิปล็อค แช่ตู้เย็นเอาไว้ได้ไม่เกิน 3 วัน

ส่วนการดื่มให้ดื่มประมาณ 1 ใน 4 ของแก้ว ก่อนอาหารสำหรับคนทั่วไปที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เพียงแค่วันละหนึ่งครั้งเท่านั้น ส่วนในผู้ป่วยสามารถเพิ่มปริมาณเป็น 2-3 ครั้งต่อวันได้เพื่อช่วยบำรุงร่างกายและลดอาการข้างเคียงของโรค บางรายหากดื่มมากเกินไปอาจจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้ได้ ทางที่ดีลองผสมกับน้ำมะนาวและน้ำผึ้งสักเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนที่ต้องห้ามในผู้ป่วยบางรายที่ต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หรืออยู่ในช่วงของการให้คีโมหรือสตรีที่มีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงและปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

ประโยชน์จากต้นอ่อนข้าวสาลี

ประโยชน์จากต้นอ่อนข้าวสาลี ซึ่งผ่านการวิจัยจากข้อมูลต่างประเทศพบว่ามันอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและคลอโรฟิลล์ในปริมาณสูงมาก อีกทั้งยังมีความปลอดภัยต่อร่างกาย ถือว่าเป็นยาจากธรรมชาติที่มากด้วยคุณค่าทางอาหาร หากเปรียบเทียบง่ายๆ กับการดื่มน้ำจากต้นอ่อนข้าวสาลี 30 มิลลิลิตร จะเทียบเท่ากับกับการที่เราได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากผักถึง 1 กิโลกรัม

สารอาหารที่มีจะเข้าไปต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ยับยั้งการเกิดของเชื้อแบคทีเรีย บำรุงสมอง ลดการเกิดไขมันในเส้นเลือดอุดตัน กระตุ้นการไหลเวียนของระบบเลือด ลดปริมาณไขมันเลวและคลอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่สมดุล ที่สำคัญผู้ป่วยเบาหวานยังสามารถดื่มเพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงหรือฮีโมโกลบินในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้

เห็นประโยชน์อันมากมายของต้นอ่อนข้าวสาลีกันแล้ว สำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพตนเองอาจจะลองหาพืชชนิดนี้มาลองรับประทานเพื่อเป็นทางเลือกที่ดี ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและห่างไกลจากความเจ็บป่วย อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ที่มาจากธรรมชาติ จึงแทบจะไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่จะมาจากสารตกค้างเหมือนอาหารเสริมแคปซูลที่เป็นสารเคมีอีกด้วยค่ะาีความหยาบแข็งหรือบางส่วนก็จะเริ่มมีขนงอกออกม้าด้ เพราะหากทิ้งเอาไว้นานกว่านี้ตัวใบจะโตมากและเริ่มมีความหยาบแข็ง

ขอบคุณข้อมูลจาก organicbook.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 28,750.00 28,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,862.00 28,227.92 29,350.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,675.80 25,405.13 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,489.60 22,582.34 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 838.00 12,704.08 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 652.00 9,884.32 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,930.00 29,258.80 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/09/2563    

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 21.25 21.25 21.25 21.25 21.25 21.25 21.25 21.25 21.25 21.25
แก๊สโซฮอล์ 91 20.98 20.98 20.98 20.98 20.98 20.98 20.98 20.98 20.98 20.98
แก๊สโซฮอล์ E20 19.74 19.74 19.74 19.74 19.74 19.74 19.74 19.74 19.74
แก๊สโซฮอล์ E85 17.74 17.74
เบนซิน 95 28.66 29.11 29.16 28.66 28.66
ดีเซล 20.89 20.89 20.89 20.89 20.89 20.89 20.89 20.89 20.89 20.89
ดีเซล B10 17.89 17.89 17.89 17.89 17.89 17.89 17.89 17.89 17.89 17.89
ดีเซล B20 17.64 17.64 17.64 17.64 17.64 17.64 17.64 17.64
ดีเซลพรีเมี่ยม 25.34 25.36 27.34 27.34
แก๊ส NGV 14.41 14.41
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า