ย้อนรอย 1 ปี หลังโควิด-19 บุกไทย ตลาดที่อยู่อาศัยเช่า – ซื้อ ไปทางไหน ?
ผ่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย รอบ 1 ปี หลังโควิด-19 บุก ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เปิดข้อมูล ทำเลกรุงเทพฯ จังหวัดปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ สัญญาณเช่า-ซื้อ ยังไปไหว ยก ‘วัคซีนเข็มแรก’ เป็นจุดพลิก
14 มิถุนายน 2564 – 1 ปีหลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัย โดยผลักทุกอย่างเข้าสู่โหมดหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่อง ปี 2564 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับพบความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ที่แม้จะได้รับผลกระทบทางการเงินจากวิกฤติครั้งนี้ เริ่มมีอัตราดีดตัวเติบโตขึ้น ขณะ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชี้เป็นโอกาสทองของนักลงทุนและผู้ซื้อที่มีความพร้อม และหวังต่อยอดการลงทุนในระยะยาว ขณะเดียวกันคาดการแข่งขันในตลาดจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายหลังระดมฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ
ข้อมูลจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 190 จุด จาก 197 จุด หรือลดลง 4% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นดัชนีราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 ไตรมาส (นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2560) โดยมีการปรับตัวลดลงถึง 7% ในรอบปีที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนีอุปทานในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 399 จุด จาก 363 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 10% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 19% ในรอบปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด และผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือเริ่มนำสินค้าออกขาย แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดฯ รอบล่าสุด ทำให้อัตราการดูดซับไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ จำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดจึงแปรผันตามสถานการณ์ปัจจุบัน
นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “ตลอดหนึ่งปีของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ความต้องการซื้อและเช่าในตลาดอสังหาฯ ยังมีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ โดยในปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับการระบาดฯ รอบแรกในปีที่แล้ว ที่ตอนนั้นทุกภาคส่วนล้วนไม่มีประสบการณ์ในการรับมือวิกฤติแบบนี้มาก่อน
เทรนด์ที่เห็นได้ชัดคือผู้บริโภคหันมาพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก และแถบชานเมืองเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทำเลแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้หรือมีแผนเปิดใช้บริการในอนาคตอันใกล้ ประกอบกับผู้บริโภคต้อง Work From Home ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ต้องกระจุกตัวอยู่ใกล้แหล่งงานย่านใจกลางเมือง อย่างไรก็ตามแม้ดัชนีอุปทานในกรุงเทพฯ จะเพิ่มขึ้นถึง 19% ในรอบปีที่ผ่านมาสวนทางกับอัตราดูดซับที่น้อยลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับปกติเมื่อพิจารณาตามสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ที่มีความไม่แน่นอนสูง ผู้บริโภคยังมีความกังวลใจในการใช้จ่าย จึงพยายามรักษาเสถียรภาพทางการเงินไว้
จากผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “วัคซีนเข็มแรก ความต้องการถ้วนหน้า” ของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 87.9% ต้องการให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนเข็มแรกก่อน ตามมาด้วยต้องการให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนกระจายวัคซีนครอบคลุมคนที่ต้องการทุกพื้นที่เร่งด่วนที่สุด 86.8% จะเห็นได้ว่าแผนการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมยังคงเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ที่คนไทยต้องการ เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย
เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่มองว่ากุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตอนนี้คือแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้ คาดการณ์ว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศและรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ได้แล้ว ผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็พร้อมจะกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค และเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี”
ครบรอบ 1 ปีโควิดสะเทือนไทย ความต้องการที่อยู่อาศัยยังไม่แผ่ว
รายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ทั่วไทย หลังต้องเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (เปรียบเทียบระหว่างเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2564) ความต้องการที่อยู่อาศัยยังเติบโตต่อเนื่อง แม้ผู้บริโภคจะชะลอการใช้จ่าย
เมืองหลวงยังไม่สิ้นมนต์ขลัง ความต้องการซื้อ-เช่าโตกว่าเท่าตัว
ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ในรอบ 1 ปีตั้งแต่เกิดการล็อกดาวน์มาจนถึงการแพร่ระบาดฯ ระลอกล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความต้องการเช่าและซื้อเติบโตกว่าเท่าตัว โดย “เขตยานนาวา” เป็นทำเลมาแรงที่สุดในกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นในรอบปีสูงสุดถึง 215% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่เป็นทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง ครอบคลุมแนวถนนพระราม 3 ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตทั้งจากการที่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ และมีโครงการพัฒนาของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อที่มีความพร้อมสามารถซื้อเก็บไว้ในช่วงนี้เพื่อนำไปทำกำไรในอนาคตเมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
ตามมาด้วยเขตธนบุรีเพิ่มขึ้น 137% มีนบุรีเพิ่มขึ้น 132% จอมทองเพิ่มขึ้น 114% และบางแคเพิ่มขึ้น 113% ซึ่งล้วนเป็นทำเลที่ไม่ได้อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแถบพื้นที่รอบนอกมากขึ้น โดยเลือกพิจารณาความคุ้มค่าของราคากับขนาดที่อยู่อาศัยที่จะได้รับ เนื่องจากยังเป็นทำเลที่สามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า และระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ
ส่วนทำเลยอดนิยมของผู้เช่าในรอบปีที่มีการแพร่ระบาดฯ นั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ย่านใจกลางเมืองเป็นหลักและมีอัตราเติบโตไม่แพ้กัน โดย “เขตปทุมวัน” ได้รับความสนใจเช่าเพิ่มขึ้นในรอบปีสูงสุดถึง 193% เนื่องจากผลกระทบของสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวและวิกฤติโควิด-19 ที่มีอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานศึกษาอยู่ในย่านดังกล่าวหันมาเช่าที่อยู่อาศัยแทนการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ที่มีราคาสูง เพราะสถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีความไม่แน่นอน การสำรองเงินสดไว้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ในขณะที่ทำเลอื่น ๆ ที่มีความต้องการเช่าสูงไม่แพ้กัน ได้แก่ เขตบางคอแหลม (+188%) เขตบึงกุ่ม (+185%) จตุจักร (+159%) และเขตบางซื่อ (+150%)
ตลาดเช่าโตต่อเนื่อง ครองใจคนหาบ้านในจังหวัดปริมณฑล
ภาพรวมความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาครในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมอย่างสูง โดยบางพื้นที่มีการเติบโตกว่าความสนใจซื้อมากกว่าเท่าตัว อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ความสนใจซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยในจังหวัดปริมณฑลมีการเติบโตเป็นบวกในรอบปีที่ผ่านมา คือเทรนด์การ Work From Home ที่หลายองค์กรใช้ในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดฯ และคาดว่าหลายองค์กรจะยังคง Work From Home ต่อเนื่องแม้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้คนทำงานไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาในการเดินทางมาทำงานใจกลางเมือง จึงมีการย้ายกลับไปอาศัยที่ภูมิลำเนาเดิมหรือหันไปเลือกซื้อ/เช่าอสังหาฯ ในจังหวัดปริมณฑลที่มีราคาย่อมเยากว่า
ทำเลมาแรงที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพิ่มขึ้นถึง 151% ด้านอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพิ่มขึ้น 168% ส่วนทำเลยอดนิยมของผู้เช่าในจังหวัดสมุทรปราการจะอยู่ในอำเภอเมือง โดยเพิ่มสูงถึง 216% ในขณะที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาครถือเป็นทำเลที่น่าจับตามอง เนื่องจากได้รับความสนใจเช่าเพิ่มสูงถึง 650% เติบโตสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 4 จังหวัดปริมณฑลอื่น ๆ
ทำเลที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เพิ่มขึ้นถึง 73% ด้านจังหวัดปทุมธานีนั้นพื้นที่อำเภอคลองหลวงมีผู้สนใจซื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 74% ส่วนอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการมีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นถึง 74% เช่นกัน และอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ยังคงมาแรงครองความนิยมสูงสุด มีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นถึง 88%
โอกาสทองเลือกเป็นเจ้าของอสังหาฯ หัวเมืองท่องเที่ยว
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ที่หนักหน่วงทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการปิดประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยวที่ขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ แน่นอนว่าตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ซ้ำร้ายการเกิดคลัสเตอร์โควิด-19 ในหลายหัวเมืองท่องเที่ยวส่งผลให้ความสนใจเช่าลดลง
แต่ในวิกฤติยังมีโอกาสเมื่อดัชนีราคาอสังหาฯ ที่ปรับตัวลดลงช่วยผลักดันให้ความสนใจซื้อเติบโตสูงขึ้นในจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต ระยอง และประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากผู้บริโภคและนักลงทุนมองเห็นโอกาสในการเป็นเจ้าของอสังหาฯ ในทำเลเหล่านี้ซึ่งถือว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต มีเพียงพัทยาที่มีทิศทางการเติบโตต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวอื่น โดยมีความสนใจเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 106% มากกว่าความสนใจซื้อที่เพิ่มขึ้นเพียง 70%
เมื่อพิจารณาจากความสนใจซื้อที่เพิ่มขึ้นในรอบ 1 ปีที่มีการแพร่ระบาดฯ พบว่า อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มขึ้นถึง 128% อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพิ่มขึ้น 164% อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นถึง 174% ในขณะที่อำเภอหัวหินยังเป็นทำเลที่ดึงดูดความสนใจซื้อในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้มากที่สุดถึง 96%
ด้านความสนใจเช่าแม้จะเติบโตน้อยกว่าซื้อ แต่ถือว่ายังมีทิศทางเติบโตเป็นบวกทั้งหมด โดยอําเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับความสนใจเช่าเพิ่มขึ้น 74% อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพิ่มขึ้น 17% อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพิ่มขึ้น 60% และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มขึ้น 48%
“จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบต่อทุกคน ทุกองค์กร ธุรกิจทุกแขนงทั่วประเทศทำให้เกิดภาวะชะงักงันไปตาม ๆ กัน แต่อย่างไรก็ตามมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐออกมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับทุกภาคส่วนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสำคัญที่สุดคือด้านสาธารณสุขก็ส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อผู้บริโภคในด้านความมั่นใจ แม้ว่าภาพรวมจะยังไม่มีกลไกใดที่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังดำเนินต่อไปได้ แม้ว่าอาจมีการสะดุดหรือล้มลุกคลุกคลานในบางจังหวะ แต่ทุกคนยังมีความหวังที่จะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้ก้าวต่อไป” นางกมลภัทรกล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เฟรเซอร์ส ฯ ทุ่ม 1.5 หมื่นล. ขยายพอร์ตคลังสินค้า-โรงงาน 4 ล้าน ตร.ม.
อสังหาฯเจ้าสัวเจริญ เฟรเซอร์ส ไทยฯ ส่ง FPIT เขย่าตลาดอุตสาหกรรม รับพื้นที่โรงงาน – คลังสินค้าโตแรงหลังโควิด เปิดกลยุทธ์ ‘น่านน้ำสีม่วง’ 5 ปี ทุ่มงบราว 1.5 หมื่นล้านบาท วางแผนขยายพอร์ตฯ รวม 4 ล้าน ตร.ม.
นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “FPIT” ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศไทย ในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” ของกลุ่มเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี เผยทิศทางผลประกอบการธุรกิจปี 2564 พร้อมกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินงานในอีก 5 ปีข้างหน้า
ว่า ที่ผ่านมา FPIT ได้มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้สร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจผ่านกระบวนการ Business Transformation เพื่อปรับรูปแบบการทำงานให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรามีทั้งความพร้อมและความสามารถที่จะแข่งขันในทุกโอกาส และส่งผลให้ FPIT ยังคงรักษาความเป็นผู้นำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นรวมกว่า 3 ล้าน ตารางเมตร ทั้งยังมีอัตราการเช่าที่สูงถึงกว่าร้อยละ 82 ในปี 2564
ทั้งนี้ หลังสถานการณ์โควิด19 พบเป็นทั้งโอกาส และความท้าทายในการแข่งขัน สำหรับตลาดพื้นที่อุตสาหกรรม จากการขยายตัว เติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มธุรกิจอิคอมเมิร์ซของไทย และแนวโน้มการขยับเข้ามา ปักหลักลงทุน ฐานการผลิตใหม่ในไทย ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในกลุ่มอิเล็กทรนิกส์ และ ออโตโมทีฟ มากขึ้น ทำให้การแข่งขันในตลาดมีความรุนแรงขึ้น ผ่านกลยุทธ์ด้านราคา จากเดิมที่เปรียบเป็นธุรกิจบลูโอเชี่ยน ได้กลายเป็นเรดโอเชี่ยนแล้วในปัจจุบัน
ฉะนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ FPIT ได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) เป็นส่วนหนึ่งของ กลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง ภายใต้เป้าหมายระยะ 5 ปีข้างหน้า ผ่านการตั้งเป้าเติบโตราว 10-15% ต่อปี ในแง่ของรายได้ ขณะอัตราการเช่าอยู่ที่ 85-90% ต่อปี และงบการลงทุนใหม่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 2.5-3.5 พันล้านบาทต่อปี สำหรับการขยายพอร์ตพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้น 4 ล้านตร.ม.
ขณะในแง่การดำเนินงานด้านนั้น จะเน้นกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้
การสร้างความพร้อม:
• เพิ่มทำเลศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
•สานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความสามารถเฉพาะด้าน เพื่อต่อยอดด้านการให้บริการลูกค้าในรอบด้าน อาทิ การเสริมบริการระบบออโตเมชั่น การบริหารทรัพย์สิน และการพัฒนาธุรกิจใหม่
•การปรับปรุงอาคารโรงงานและคลังสินค้าปัจจุบันให้มีความทันสมัยและพร้อมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าในปัจจุบัน ภายใต้โครงการ Asset Enhancement Initiative (AEI)
•ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการลูกค้าในทุกตลาด โดยปัจจุบันได้ลงทุนแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ใกล้กรุงจาการ์ตา และในประเทศเวียดนาม ที่เมืองบินห์เยือง โดยใช้ประสบการณ์และความสามารถของบริษัทฯ ไปสร้างระบบนิเวศของธุรกิจในต่างประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
•พัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้สมัยใหม่ อาทิ Design Thinking, Customer Centric และ Human Centric เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ Big Data และ เทคนิคการทำ Asset Management
•สร้าง PropTech Platform โดยนำการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอาคาร เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการด้วยแนวคิดอาคารอัจฉริยะ (Smart Building)
การสร้างความแตกต่าง:
•เดินหน้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย อาทิ โครงการ In-Property Logistics และโครงการ In-City Logistics เพื่อย่อขนาดพื้นที่โลจิสติกส์เข้าสู่ในเมือง และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมการออกแบบเพื่อขยายขนาดการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองอุตสาหกรรม (Industrial Township) ที่เป็นการรวมอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน
•มุ่งพัฒนาการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) โดยได้จัดทำนโยบาย Green Development Policy เพื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ และมีความยั่งยืนในด้านการบริหารจัดการ รวมถึงการขยายการลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
• พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการให้บริการพื้นที่อาคารอุตสาหกรรม อาทิ รูปแบบ Co-Warehousing หรือ Flexible Space เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการพัฒนาการให้บริการที่รองรับระบบ Smart Storage ด้วยการใช้ IoT มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
“แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้าและสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้เราเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการประยุกต์ใช้กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ใหม่ของ FPIT นี้ เรามั่นใจว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง
ซึ่งจะทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) มีรายได้เติบโตร้อยละ 10-15 ต่อปี และสามารถขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 โดย FPIT จะยังเดินหน้าพัฒนาโครงการที่รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ตามแนวคิด การสร้างสรรค์พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่เอื้อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Inspiring Seamless Business Solution Experience ในทุกสภาวการณ์” นายโสภณ กล่าวเสริม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หุ้นไทย15 มิ.ย. แนวโน้มดัชนีแกว่งในกรอบจำกัด
แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 มิ.ย. 64 คาดดัชนีแกว่งในกรอบจำกัด รอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ขณะที่ ราคาทองคำในประเทศไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 64 นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งในกรอบจำกัด ในช่วงรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะออกมาในช่วงกลางสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งก็คาดว่าเฟดจะยังไม่ทำอะไร เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานยังต่ำ และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็เป็แค่ชั่วคราว อย่างไรก็ดี ยังต้องรอดูการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการทำ QE จะมีหรือไม่ ซึ่งถ้าผลประชุมเฟดออกมาไม่สร้าง Surprise หุ้นก็น่าจะรีบาวด์ขึ้นได้
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกเล็กน้อย หลังดัชนี S&P500 และ Nasdaq ทำนิวไฮ ในช่วงรอผลประชุมเฟดเช่นกัน ส่วนบ้านเราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ล่าช้า ทำให้อาจจะลดการเก็งกำไรไปบ้าง ทั้งนี้ ตลาดฯวันนี้คงจะเป็นการเล่นหุ้นรายตัวตามปัจจัยเฉพาะตัว โดยให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่วันนี้จะมีหลายตัวออกมา
พร้อมให้แนวรับ 1,625-1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด
ด้าน สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทองคำประจำวัน ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ทองแท่งรับซื้อ 27,350 บาท ขายออก 27,450 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อ 26,863.52 บาท ขายออก 27,950 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สาวไทย ไร้ทางต้าน! พ่าย บราซิล 3 เซตรวด ศึกวอลเลย์บอลเนชันส์ ลีก
สาวไทย สุดต้าน พ่าย บราซิล ไปแแบบขาดลอย 3 เซต ปิดท้ายวีค 4 ศึก วอลเลย์บอลเนชันส์ ลีก 2021
การแข่งขันวอลเลย์บอลเนชั่นส์ ลีก 2021 ณ สนามริมินี ฟิเอร่า คอร์ต 2 เมืองริมินี ประเทศอิตาลี วันที่ 15 มิถุนายน 2564 สัปดาห์ที่ 4 ทีมชาติไทยลงสนามพบ ทีมชาติบราซิล
รายชื่อผู้เล่น 6 คนแรกประกอบไปด้วย ปลื้มจิตร์ ถินขาว, สุทัตตา เชื้อวู้หลิม, นุศรา ต้อมคำ, อรอุมา สิทธิรักษ์, คารีน่า เคร้าเซอ, มลิกา กันทอง
ผลการแข่งขันปรากฏว่า สาวไทยต้านทานความแข็งแกร่งของสาวบราซิลที่ใช้เกมรุกหนัก และเกมบล็อคหนาไม่ไหว พ่ายไป 0-3 เซต 11-25, 14-25, 10-25
ทีมชาติไทยลงสนาม 12 นัด ชนะ 1 แพ้ 11 นัด มี 3 คะแนน ยังอยู่อันดับสุดท้ายของตาราง โปรแกรมสัปดาห์ที่ 5 วันที่ 18 มิ.ย. 18.00 น. ไทย พบ เบลเยียม, วันที่ 19 มิ.ย. 20.00 น. ไทย พบ แคนาดา วันที่ 20 มิ.ย. 18.00 น. ไทย พบ อิตาลี ชมการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง 3 หมายเลข 33
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เตือน! ยาแก้ปวด NSAIDs อันตรายต่อไต ก่อนใช้ควรระวัง
ข้อมูลโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุ ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-inflammatory Drugs หรือ NSAIDs) มีฤทธิ์แก้ปวด ต้านการอักเสบ และลดไข้ ยากลุ่มนี้ เป็น “ยาอันตราย” ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกร ตัวอย่างยาที่เห็นกันบ่อย ๆ เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), ไดโคลฟีแน็ก (Diclofenac), นาพร็อกเซน (Naproxen), เซเลค็อกสิบ (Celecoxib)
การกินยาในกลุ่มนี้แนะนำให้กินหลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามมาก ๆ เนื่องจาก ยามีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ หากใช้ยาในกลุ่มนี้มากเกินไป จะส่งผลให้การไหลเวียนเลือดภายในไตลดลง อาจทำให้เกิดภาวะไตเสียหายเฉียบพลันได้ และยาในกลุ่มนี้ยังทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย การใช้ยาในระยะยาวจึงนำไปสู่การเกิดโรคไตเรื้อรังได้
การเกิดอันตรายต่อไตขึ้นอยู่กับ
1. ขนาดยาและระยะเวลาที่ใช้ยา ดังนั้นไม่ควรใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ ควรใช้ยาในขนาดต่ำสุดที่ให้ผลในการรักษา และใช้เป็นเวลาสั้นที่สุดตามความจำเป็น
2. ผู้สูงอายุและทารกแรกคลอดมีความเสี่ยงสูง
3. ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคเบาหวาน โรคอ้วน
4. ผู้ที่อยู่ในภาวะเสียเลือดมากหรือเสียน้ำมาก
5. การใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต
ดังนั้น การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือเภสัชกรเท่านั้น และหากมีโรคประจำตัวควรแจ้งให้เภสัชกรทราบก่อนซื้อยาทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายได้
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
8 สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้บรรยายลักษณะของคน Idioms to describe people
ในภาษาไทยมีสำนวนการเปรียบเปรย เปรียบเทียบลักษณะคนไว้ อย่างเช่น “ซนเหมือนลิง, ตืดเป็นตังเม , ทำงานตัวเป็นเกลียว ฯลฯ ” ซึ่งในภาษาอังกฤษเขามีสำนวน ในการบรรยายบุคลิกลักษณะของบุคคลในแบบต่างๆ เช่นกัน ดัง 8 ตัวอย่าง สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้บรรยายลักษณะของคน ที่นำมาฝากนี้
8 สำนวนภาษาอังกฤษ ใช้บรรยายลักษณะของคน
Hot-headed
หมายถึง คนที่ปรี๊ดดดด ปรอทแตกง่าย คนที่โกรธง่าย
เช่น We should not let him drive, he’s a hot-headed person.
วี ชูด น็อต เล็ท ฮิม ไดรฟฺ ฮีส สะ ฮ็อต-เฮดดฺ เพอรฺซัน
– เราไม่ควรให้เขาขับรถหรอก เขาออกจะเป็นคนใจร้อนอย่างนั้น
Big-headed
[เขียน adj. + noun ใส่ ed คำนี้กลายเป็น คำนาม 1 คำ] หรืออาจเห็น Bigheaded ได้
หมายถึง คนที่นึกว่าตนนั้นสำคัญมาก ดีกว่า ฉลาดและเก่งกว่าคนอื่น
เช่น Poor her, the little big-headed girl. โถ แม่คุณ ยัยคนหลงตัวเองที่น่าสมเพช
Cheeky
หมายถึง คนขี้เล่น คนที่ชอบล้อคนอื่นเล่น (แต่ยังไม่ร้ายแรง)
เช่น Hey, who is cheeky over there helping you writing the LINE messages?
เฮยฺ ฮู อิส ชีค-กิ โอเวอรฺ แธรฺ เฮล-พิง ยู ไร-ทิง เดอะ เมสเสจ
– นี่ ใครมันเผือกมาช่วยเธอเขียนไลน์เนี่ย
Thick
หมายถึง พวกหัวทึบ พวกไม่ค่อยฉลาดเฉลียว เช่น Oh no, What a thick Law student he is!! ออ ต็ก เค เขาช่างเป็นนักเรียนกฎหมายที่สอนยากสอนเย็นเหลือเกิน
Thick-skinned ธิค-สกินดฺ
หมายถึง พวกที่ไม่แคร์สื่อ พวกที่ทนทานต่อเสียงวิจารณ์ใดๆ
เช่น She was born to be a politician. Big fat thick-skinned !!! ชี วอส บอรฺน ทุ บี เอะ โพลิติเชียน บิก แฟ็ต ธิค-สกินดฺ – เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้มาเป็นนักการเมือง โถ ยัยไม่แคร์สื่อตัวแม่เลย
Nosy
หมายถึง คนจำพวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
เปรียบเหมือนเอาคางไปพาดไหล่คนอื่นจ้องดูหน้าจอคอมตอนเขาทำงานทำการ เช่น The nosy persons should get a life. เดอะ โนส-สิ เพอรฺ-ซันสฺ ชูด เก็ท ถะ ไลฟฺ – พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านควรหาอะไรทำ (ที่ให้ประโยชน์ต่อชีวิตของตนเอง)
Absent-minded (หรือ Absentminded)
หมายถึง คนขี้ลืมลืมอะไรเร็วมาก จำอะไรไม่ค่อยได้
เช่น Where is your absentminded boyfriend? He forgot our party again? แวรฺ ริส ยอรฺ แอ็บเซ็นทฺมายดฺ บอย-เฟรนดฺ? ฮี ฟอรฺ-ก็อต เอาเรอะรฺ พารฺ-ทิ อะเกน? ไหนล่ะแฟนเธอ เขาลืมปาร์ตี้เราอีกแล้วสิ
Pig-headed อาจเห็น Pigheaded
หมายถึง คนไม่มีเหตุผล ไม่ฟังเหตุผล ไม่ฟังคำแนะนำใครทั้งสิ้น
เช่น The customers are not listening to what we explained about the rules. They’re so pigheaded.
เดอะ คัส-ตอม-เมอรฺสฺ อารฺ น็อต ลิซ-ซึน-นิง ทู ว็อต วี อิคส-เพลนดฺ อะ-เบาทฺ เดอะ รูลสฺ เดยฺ เออะรฺ โซว พิกเฮดดฺ
– ลูกค้าไม่ยอมฟังที่เราอธิบายเรื่องกฎระเบียบเลย พวกเขาช่างหัวหมู เอ้ย พวกเขาไม่มีเหตุผลเลยอ่ะค่า
ขอบคุณข้อมูลจาก lifestyle.campus-star.com
รวมคุณสมบัติสุดว้าว! ที่แท็บเล็ตพรีเมียมเพื่อการทำงานระดับโปรและรองรับความบันเทิงในทุกรูปแบบต้องมีกับ HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch
ในยุคที่การทำงานจากที่บ้านกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับหลายคน และหลายองค์กร ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้กระตุ้นให้เกิดการยอมรับและใช้เทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ดังนั้นการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้กับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง คือสิ่งที่จะทำให้สามารถก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ แน่นอนว่า HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch เป็นอีกหนึ่งในอุปกรณ์ไอทีชั้นเยี่ยมที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานในแบบมืออาชีพ และยกระดับประสบการณ์ด้านความบันเทิงได้ในหลากหลายมิติ ผสมผสานด้วยคุณสมบัติสุดว้าว และฟีเจอร์สุดคูลที่ถูกอัปเกรดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบันมากขึ้น
ว้าวที่ 1: ภาพชัด เตะตา สะท้อนทุกรายละเอียดของงานผ่านหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น
HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch มาพร้อมหน้าจอ OLED FullView ขนาด 12.6 นิ้ว รองรับอัตราส่วนคอนทราสต์ที่มากถึง 1,000,000:1 และมีช่วงสี DCI-P3 ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ซึ่งช่วยสร้างสีที่ชัดเจน ให้ความสว่างได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ให้ความเข้มในส่วนที่มืดที่สุดด้วยเช่นกัน พร้อมระดับความแม่นยำของสีที่สูง เหมาะแก่การทำงานอาร์ตที่ต้องการความละเอียดสูงอย่างยิ่ง ส่วนขอบจอมีความบางเพียง 5.6 มิลลิเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมอบมิติที่คมชัด ให้ภาพสมจริงดั่งตาเห็นด้วยอัตราส่วนภาพ 16:10 และอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่สูงที่สุดในโลกถึง 90% ที่สำคัญหน้าจอยังผ่านการทดสอบสมรรถภาพอย่างเข้มงวดในการลดแสงสีฟ้า ช่วยถนอมสายตาขณะเล่นแท็บเล็ตได้เป็นอย่างดี ผ่านการทำงานของเทคโนโลยีทั้งฝั่งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ และได้รับการการันตีคุณภาพจาก TÜV Rheinland Full Care Display 2.0 อีกด้วย
แท็บเล็ต HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch ยังมาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ที่เต็มพิกัดถึง 10,050 mAh สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องดูวิดีโอแบบออฟไลน์ได้นานสูงสุดถึง 14 ชั่วโมง รองรับการชาร์จไวด้วยฟีเจอร์ HUAWEI SuperCharge แบบมีสาย 40 วัตต์ และแบบไร้สายอยู่ที่ 27 วัตต์ นอกจากนี้ยังคอยเป็นแบตเตอรี่สำรองแบบไร้สาย ชาร์จพลังให้กับอุปกรณ์พกพาต่างๆ ให้พร้อมใช้งานแม้อยู่นอกบ้านได้สะดวกอีกด้วย
ว้าวที่ 2: มอบอิสระแห่งเสียงกับระบบเสียงระดับโลกที่ให้พลังเสียงเกินตัวได้รอบทิศ
เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ให้ความบันเทิงทางเสียงได้ในทุกครัวเรือนกับแท็บเล็ต HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch ที่มาพร้อมคุณภาพเสียงอันทรงพลัง ได้การรับรองจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง harman/Kardon มีลำโพงสูงสุดถึง 8 ตัวจุกๆ ทั้งลำโพงความถี่สูง (High frequency speakers) 4 ตัว และลำโพงที่ให้เสียงที่นุ่มลึก เสียงกลางและเสียงสูงที่มีรายละเอียดดี (Full frequency speaker) ถึง 4 ตัว สมบูรณ์แบบด้วยเสียงรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมยกระดับประสบการณ์ในการฟังเพื่อมิติเสียงที่กว้างขึ้นด้วยการขยายความถี่ของเสียง และมอบเสียงที่ดังมากขึ้นถึง 79dB สามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดได้แทบทุกที่ทุกเวลา แถมมีไมโครโฟนในตัวถึง 4 ชุดที่ช่วยให้สามารถรับสายและสนทนา รวมถึงบันทึกเสียงต่างๆ ได้อีกด้วย
ว้าวที่ 3: เชื่อมต่อการทำงานแบบไร้สายได้หลายดีไวซ์ และทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันได้เต็มประสิทธิภาพ
HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch ตอบรับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด รองรับการเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยี Wi-Fi 6+ และทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันด้วยฟีเจอร์ HUAWEI Multi-screen Collaboration with laptop ฟีเจอร์การใช้งานระหว่างแท็บเล็ตกับแล็ปท็อป มีด้วยกัน 3 โหมดคือ Mirror Mode กระจกสะท้อนหน้าจอแล็ปท็อป สามารถออกคำสั่งใดๆ บนแล็ปท็อปผ่านแท็บเล็ตได้เลย เหมาะสำหรับการทำงานประจำวัน เช่น ใช้ประชุมงานกับลูกค้านอกสถานที่โดยไม่ต้องเหนื่อยมองหาจอมอนิเตอร์ต่อเพื่อเพิ่มมุมมองในการใช้งาน Extend Mode เปลี่ยนหน้าจอของแท็บเล็ตให้กลายเป็นอีกหน้าจอเพื่อใช้ทำงานในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์เปรียบเทียบกันระหว่างสองจอ หรือการใช้ปากกาขีดเขียน แก้ไขงานบนแล็ปท็อป และ Collaborate Mode โหมดที่คอยอำนวยความสะดวกในการย้ายไฟล์ไปมาระหว่างแท็บเล็ตและแล็ปท็อปได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูล รูปภาพ วิดีโอ เพลง หรือไฟล์เอกสารก็ทำได้ง่ายๆ แบบไร้สะดุด นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างลื่นไหลบนสมาร์ทดีไวซ์ของหัวเว่ยด้วยการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างอุปกรณ์แบบไร้สายได้อย่างเหนือชั้นผ่าน HUAWEI Share หมดปัญหาการทำงานที่ต้องใช้หลายดีไวซ์แล้วต้องกินเวลานานในการ sync งาน ส่งไฟล์งานครบได้ในชั่วพริบตาเดียว
ส่วนฟีเจอร์ Multi-Window สามารถเก็บหน้าต่างลอยในแท็บเมนูด้านข้างได้มากสุด 10 หน้าต่าง และใช้งานหน้าต่างได้สูงสุดถึง 4 แอปฯ 4 หน้าจอในเวลาเดียวกัน สอดคล้องกับฟีเจอร์ App-Multiplier ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการเปิดแอปฯ แบบสองหน้าต่างได้ เพลิดเพลินไปกับการท่องแอปฯ ต่างๆ ได้สะดวกขึ้นแบบยกกำลังสอง โดยแอปฯ ที่รองรับการใช้ App-Multiplier มีทั้ง Pantip, Lazada, JD Central, Line TV, SE-ED, BBTV CH7, Joox Music, WeChat, Bugaboo.TV, Rabbit Rewards, The 1 และ 3BB เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ เหล่านี้ได้ผ่าน HUAWEI AppGallery แอปสโตร์หรือคลังแอปอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยที่จะช่วยให้คุณดาวน์โหลดสารพัดแอปฯ ได้อย่างใจนึก
ว้าวที่ 4: สรรค์สร้างผลงานศิลปะได้ดั่งใจด้วยอุปกรณ์เสริมอัจฉริยะ เพิ่มกลไกการทำงานให้ดูสมาร์ทยิ่งขึ้น
อุปกรณ์เสริมอัจฉริยะมีทั้ง HUAWEI M-Pencil (2nd generation) ถูกออกแบบมาเพื่อการวาด การจดโน้ต และการทำเครื่องหมายบนเอกสารได้อย่างแม่นยำและมหัศจรรย์ เปิดโอกาสความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ ด้วยความสามารถในการรับรู้ได้ทั้งแรงกดในระดับ 4,096 ระดับ และฟีเจอร์แสนเก๋ อย่าง HUAWEI FreeScript ช่วยแปลงเนื้อหาที่เขียนด้วยลายมือเป็นข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ได้แบบทันที (รองรับภาษาไทย โดยต้องตั้งค่าตัวเครื่องเป็นภาษาไทยเพื่อการใช้งาน) และฟีเจอร์ Double-tap เปลี่ยนหรือสลับการใช้งานระหว่างเครื่องมือต่างๆ เพียงแค่แตะสองครั้งเท่านั้น ช่วยจดงานหรือวาดเขียนภาพประกอบในรูปแบบของไฟล์เอกสารได้อย่างไหลลื่น ไม่มีสะดุดเลยก็ว่าได้
ส่วน HUAWEI Smart Magnetic Keyboard มาพร้อมประสบการณ์การพิมพ์อันยอดเยี่ยมด้วยแป้นพิมพ์ขนาดมาตรฐานที่มีระยะการกด 1.3 มิลลิเมตรไม่ต่างจากคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ PC ทั่วไป เพิ่มความรวดเร็วสำหรับการพิมพ์ข้อความยาวๆ แถมพกพาเพื่อนำไปใช้งานที่ไหนก็สะดวกด้วยรูปลักษณ์และน้ำหนักที่บางเบา ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อแบบบลูทูธ รวมถึงการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย
สำหรับคนที่สนใจแท็บเล็ต HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch เตรียมลุย! เพราะหัวเว่ยมีโปรโมชันสุดคุ้มช่วงพรีออเดอร์ HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch สี Matte Grey ราคา 28,990 บาท รับทันทีของสมนาคุณมูลค่ารวม 11,517 บาท ได้แก่ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard, HUAWEI M-Pencil, HUAWEI Cloud, HUAWEI VDO, WPS VIP และ FilmoraGo VIP ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2564 ถึง 17 มิถุนายน 2564 เมื่อซื้อผ่าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น คุ้มสุดๆ แบบนี้ ใครที่กำลังมองหาแท็บเล็ตเครื่องใหม่ที่ครบครันทั้งฟีเจอร์และฟังก์ชันการใช้งาน พลาดไม่ได้แล้ว! พรีออเดอร์ HUAWEI MatePad Pro 12.6-inch ก่อนใครได้ที่ http://consumer.huawei.com/th/shop/product/huawei-matepad-pro-12-6?utm_medium=press_release&utm_source=pr&utm_campaign=th_matepadpro_126_2021&utm_content=thansetthakijonline_adv2
สามารถติดตามรายละเอียดโปรโมชันอื่นๆ ได้ทาง เฟซบุ๊กเพจ Huawei Mobile TH และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่นี่
รายละเอียดเงื่อนไขโปรโมชันพรีออเดอร์เพิ่มเติม http://bit.ly/Matepadpropreorder
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เก๊กฮวย งานวิจัยและสรรพคุณ 16ข้อ
ถิ่นกำเนิดเก๊กฮวย
เก๊กฮวยหรือเบญจมาศ เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน แต่ภายหลังได้แพร่กระจายไป ในประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น กัมพูชา ลาว ไทย รวมถึงในยุโรปด้วยพันธุ์เก๊กฮวยที่นิยมปลูก และนำมาต้มเป็นน้ำเก๊กฮวยมากที่สุด คือ เก๊กฮวยดอกขาว ที่ปลูกมากกว่าร้อยละ 90 ของเก๊กฮวยทั้งหมด โดยเฉพาะที่เมืองหังโจ ประเทศจีนนอกจากเบญจมาศดอก สีขาวแล้ว ดอกเบญจมาศสีเหลืองขนาดเล็กที่บ้านเราเรียกว่า เบญจมาศหนู (Chrysanthemum indicum Linn.) ที่มีปลูกในเมืองไทย ก็สามารถนำมาตาก แห้งชงน้ำร้อนเป็นน้ำเก๊กฮวยได้เช่นเดียวกันและยังมีสรรพคุณเหมือนกันอีกด้วย
ทั้งนี้นอกจากประเทศจีนแล้วญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่นิยมเบญจมาศมากไม่แพ้ชาวจีน โดยตราจักรพรรดิญี่ปุ่นเป็นรูปดอกเบญจมาศ 16 กลีบ กล่าวกันว่า เบญจมาศเข้าสู่ญี่ปุ่นราวปี พ.ศ. 1340 คือประมาณ 1200 ปีมาแล้ว โดยเชื่อว่าเบญจมาศมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ คือวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 หากนำดอกเบญจมาศใส่ในถ้วยเหล้าสาเก แล้วดื่มเหล้าสาเกนั้น จะทำให้คงความหนุ่มสาวได้ตลอดกาล ความเชื่อนี้คงสืบเนื่องมาจากจีน เพราะจีนถือว่าเบญจมาศเป็นดอกไม้ประจำเดือน 9 (ตุลาคม) และฤดูใบไม้ร่วง คนญี่ปุ่นเรียกดอกเบญจมาศว่า คิกุโนะฮานะ แปลว่าดอกไม้ของคิกุ ซึ่งมีตำนานเล่าสืบมาว่า คิกุเป็นหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงาน ได้ทำการบวงสรวงถามเทวดาว่าจะได้ครองคู่กับสามีนานกี่ปี เทวดาบอกว่าจะได้อยู่กับสามีนานเท่ากับจำนวนกลีบดอกไม้ที่นำมาบูชาเทวดา คิกุ รักสามีมากอยากจะอยู่ด้วยนานปีที่สุด จึงพยายามแสวงหาดอกไม้ที่ มีกลีบมากที่สุด แต่ก็หาดอกไม้ได้ เพียง 17 กลีบเท่านั้น ด้วยความเฉลียวฉลาด คิกุจึงใช้มีดกรีดกลีบดอกไม้ดังกล่าวออกเป็นฝอยเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน จึงทำให้ได้ครองคู่กับสามีได้ชั่วกาลนาน ตำนานดอกเบญจมาศ (คิกุ) ของญี่ปุ่นจึงเป็น ตำนานแห่งความรักโดยแท้เป็นรักที่คงทนยั่งยืน เหมาะที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของชาวตะวันออกเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับประเทศไทยนั้น เบญจมาศได้มีการนำเข้ามาปลูกนานมาแล้วโดยคนจีน เท่าที่ปรากฏ ในวรรณคดีเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แสดงว่าคนไทยสมัยนั้นคุ้นเคย กับเบญจมาศดีแล้วและในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอปรัดเล พ.ศ.2416 ก็กล่าวถึงเบญจมาศไว้ว่า “เบญมาศ : เป็นชื่อต้นไม้ดอกเล็กอย่างหนึ่ง” แสดงว่าคนไทยสมัยนั้นรู้จักเบญจมาศกันแพร่หลายแล้ว ปัจจุบันเบญจมาศถูกนำไปปลูกทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตอบอุ่นที่มีสภาพภูมิอากาศใกล้เคียง กับประเทศจีนอันเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของเบญจมาศ ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปมีการปลูกและพัฒนาสายพันธุ์เบญจมาศออกไปอย่างกว้างขวาง ได้รับการนิยมติดอันดับต้นๆ ของดอกไม้ยอดนิยมเลยทีเดียว ภาษาอังกฤษ เรียกเบญจมาศว่า Chrysanthemum ในสหรัฐอเมริกาเรียกสั้นๆ ว่า mum ก็เข้าใจกันดีและในอังกฤษถือว่า เบญจมาศ เป็นดอกไม้ประจำเดือนพฤศจิกายน
สรรพคุณของเก๊กฮวย
- แก้กระหาย เพิ่มความสดชื่น
- แก้ร้อนใน มีฤทธิ์เป็นยาเย็น
- ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสเอดส์ได้
- ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว
- ช่วยบำรุงโลหิต
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
- ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
- แก้อาการปวดศีรษะ
- ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย
- แก้อาการหวัด
- ช่วยแก้อาการไอ
- ช่วยขับลม ระบาย
- ช่วยบำรุงปอด
- ช่วยบำรุงตับ ไต
- ช่วยรักษาผมร่วง
ประโยชน์ของดอกเก็กฮวยนั้นโดยส่วนมากแล้วจะนิยมนำมาทำน้ำเก๊กฮวยเพื่อใช้ดื่มแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย และยังสามารถปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ทั้งการปลูก ตัดดอกขาย ซึ่งนิยมปลูกพันธุ์ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่สีต่าง ๆ และปลูกเป็นไม้ดอกในกระถาง ไม้ดอกตามข้างทาง สวนสาธารณะ หรือสวนหลังบ้าน เป็นต้น รักษาโรคทางร่างกายภายนอกหรือนอกอวัยวะ เนื่องมาจากลม และความร้อน อย่างเช่น เริ่มมีไข้ใหม่ ๆ ตามฤดูกาล ทำให้เกิดอาการไข้ ปวดศีรษะ และ ไอ มักใช้ ร่วมกับใบหม่อน เมนทอล และ สมุนไพรชื่อเหลี่ยงเคี้ยว ( Fructus forsythiae ) นอกจากนี้ยังใช้กับอาการหวัดเนื่องจากอาการร้อน ใช้สำหรับอาการตาบวม แดง และปวดตา ตามองไม่ชัด หรือเบลอ และอาการอ่อนแรง สำหรับอาการตาบวมแดง ปวดตาเนื่องมาจากลม และความร้อนกระ ทบต่อ ตับ หรือ ไฟในตับมาก มักใช้ร่วมกับ ใบหม่อน ชุมเห็ดไทย และหญ้าเล่งต้า ( Radix gentianae ) สำหรับการพร่องของตับ และไต พร้อมกับอาการตามัว อาจใช้ร่วมกับ เก๋ากี้ เส็กตี่ ( Radix Rehmanniae Praeparata ) ใช้สำหรับการมึนศีรษะ และปวดหัว เนื่องจากการกำเริบของหยางในตับ สามารถใช้ร่วมกับ โกฐสอ และอื่น ๆ กรณีเป็นฝีเป็นหนอง บวมและเป็นพิษ อาจใช้ดอกสด แล้วนำมาบดผสมน้ำ แล้วดื่ม แล้วนำกากมาพอก อาการอักเสบที่ตา อาจใช้พอกโดยตำดอกสดประคบภายนอกดวงตา ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะดื่มชาเก๊กฮวยร้อน ๆ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น และช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อย รักษาผมร่วง โดยเชื่อว่าดอกเก๊กฮวยสามารถรักษาอาการผมร่วง ช่วยให้สีผมดำ เงางาม ไม่เปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนวัยอันควร
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยระบุว่าเก๊กฮวยสามารถช่วย ลดความดันโลหิต เพราะสมุนไพรชนิดนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและต้านกระบวนการอักเสบ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการรักษาและป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะจากความดันโลหิตสูง และมีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิตลงได้ รักษาโรคเบาหวาน การบริโภคเก๊กฮวยหรือผลิตภัณฑ์จากเก๊กฮวยอาจช่วยต้านโรคเบาหวานได้ เพราะสารประกอบในเก๊กฮวยอย่างสารฟีนอลและฟลาโวนอยด์อาจช่วยยับยั้งการทำงานเอนไซม์ที่มีผลต่อการดูดซึมน้ำตาลบางชนิด และอาจเป็นผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อการรักษาโรคเบาหวานได้ ต้านมะเร็งต่อมลูกหมากคาดว่าการบริโภคเก๊กฮวยอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากเก๊กฮวยประกอบด้วยสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และยับยั้งการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนที่มีบทบาทในการควบคุมการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการร้อนใน แก้กระหาย แก้ไข้ โดยใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม รักษาแผลฝีหนอง และแผลบวม โดยใช้ดอกเก๊กฮวยสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด บดผสมน้ำแล้วดื่ม จากนั้นนำกากดอกเก๊กฮวยมาพอกตามแผล ใช้เก๊กฮวย แก้หวัด แก้ร้อนใน แก้อาการตาเจ็บ ตาบวม ขนาดการใช้ ใช้ดอกแห้ง ประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา ต้มดื่มในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ดอกเก๊กฮวยยังสามารถนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ เพื่อช่วยบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ได้อีกหลายตำรับอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปเก๊กฮวย
เบญจมาศเป็นต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขาไม่มาก ตามกิ่งก้านและลำต้นมีขนอ่อนปกคลุม ใบยาวรี ขอบใบจัก ใบสีเขียวอ่อนนุ่มมีขนอ่อน ทั้งกิ่งก้านและใบของเบญจมาศมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ดอกออกตรงปลายกิ่ง อาจออกเป็นช่อหรือเป็นดอกเดี่ยวแล้วแต่สายพันธุ์ รูปร่างดอก ทรงกลมคล้ายทานตะวัน หรือบานชื่น มีกลีบเรียวยาวเรียงซ้อนกันโดยรอบหลายชั้น ลักษณะกลีบ ดอกบางสายพันธุ์ยาวมากและบิดม้วน มีชื่อเรียกเฉพาะว่าดอกประเภทแมงมุม (spider) ดอกเบญจมาศมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดโตมาก ไปจนถึง ดอกขนาดเล็กประมาณ 1เซนติเมตร มีสีหลากหลาย เช่น เหลือง ขาว ชมพู ม่วง แดง เป็นต้น
แต่ในกลุ่มของดอกเบญจมาศทั้งหมดมี 2 ชนิด ที่นิยมนำมาทำน้ำเก็กฮวย หรือที่เรียกว่าดอกเก็กฮวย คือ
- เก๊กฮวยดอกขาว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เก๊กฮวยขาวดอกใหญ่ มีลักษณะทั่วไป คือ ลำต้น ตรง แข็ง เป็นพุ่มใหญ่ ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม ก้านใบมีสีม่วงอมเขียว ดอกมีสีขาว ขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ 4.7-5 เซนติเมตร กลีบดอกมี 5-6 ชั้น มีกลีบดอกประมาณ 90 กลีบ เมื่อนำมาตากแดด ดอกจะแห้งเร็ว เก๊กฮวยขาวดอกเล็ก มีลักษณะทั่วไป คือ ลำต้นตรง เป็นพุ่มเล็ก ลำต้นค่อนข้างอ่อน ดอกมีขนาดประมาณ 4.5 เซนติเมตร เล็กกว่าพันธุ์แรก ส่วนกลีบดอกมีมากกว่าที่ 6-7 ชั้น มีจำนวนกลีบดอกประมาณ 120 กลีบ ส่วนสีดอกมีสีขาวอมสีเนื้อ ดอกเมื่อนำมาต้มจะให้กลิ่นหอมกว่าดอกใหญ่ แต่อาจมีรสขมปนเล็กน้อย
- เก๊กฮวยดอกเหลือง มีลักษณะทั่วไป คือ กลีบดอกมีสีเหลือง และให้รสขมมากกว่าพันธุ์ดอกขาวแต่ก็สามารถนำมาใช้ได้เหมือกันและมีสรรพคุณคล้ายกัน
การขยายพันธุ์เก๊กฮวย
เก๊กฮวยสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ได้แก่ การหว่านเมล็ด ,การปักชำ , การใช้ตอเดิมให้แตกยอดใหม่ และการโน้มกิ่งทับดิน แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การปักชำ ซึ่งมีวิธีการดังนี้
หลังจากการอนุบาลต้นกล้าเก๊กฮวยประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นให้ตัดยอดปักชำ การตัดยอดให้นับจำนวนใบจากยอดนับลงมา 8 ใบแล้วตัดจะได้กิ่งชำที่มีจำนวน 8 ใบ หลังจากนั้นทำการตัดแต่งกิ่งชำโดยการตัดใบคู่ล่างสุดออก 2 ใบเพราะบริเวณด้านล่างสุดต้องปักชำลงในดินไม่จำเป็นต้องมีใบติดอยู่ เพราะฉะนั้นในขั้นตอนนี้จำได้กิ่งชำที่มีจำนวน 6 ใบจึงสามารถนำไปปักชำลงในถาดหลุมเพาะชำที่มีวัสดุปลูกคือดินผสมแกลบดำอัตราส่วน 1:1 อนุบาลไว้ในโรงเรือนหรือในที่ร่มรำไร ไม่ควรมีแสงแดดจัด รดน้ำทุกวันตอนเช้าเป็นเวลา 15 วัน กิ่งชำจะมีรากและมีลำต้นที่แข็งแรงพร้อมนำไปปลูก เป็นต้นพันธุ์
จากนั้นต้องจัดเตรียมพื้นที่แปลงปลูกต้นพันธุ์เก๊กฮวย โดยทำการไถดินแบบละเอียด และขึ้นแปลงขนาดความกว้าง 1.20 เซนติเมตร ความยาวของแปลงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่ของเกษตรกร แต่ไม่ควรยาวเกิน 24 เมตร ในพื้นที่ 1 แปลง ให้ปลูกต้นพันธุ์ระยะห่างระหว่างต้น 30×30 เซนติเมตร หรือ 1 ศอกโดยประมาณ จะได้หน้ากว้าง 4 ต้น ด้านยาว 80 ต้น รวมเป็น 320 ต้นพันธุ์
การปลูกเก๊กฮวยในช่วงสัปดาห์แรก ต้นเก๊กฮวยจะยังไม่แข็งแรง และยังตั้งตัวไม่ได้ต้องรดน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งทั้งช่วงเช้า และช่วงเย็นในสัปดาห์แรกของการปลูกนี้ และหลังจากนั้นจึงรดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในช่วงเช้า ในช่วงการปลูกต้นเก็กฮวย 3-5 วัน ต้องใส่ปุ๋ยน้ำหมีวภาพในอัตราส่วนปุ๋ยหมักชีวภาพ 1 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร (โดยวิธีการกรองเอาน้ำปุ๋ยหมักมาผสมกับน้ำตามอัตราส่วนที่กำหนดเพื่อฉีดพ่น หรือใช้กากเศษพืชที่นำมาใช้ทำน้ำหมักชีวภาพผสมกับน้ำตามอัตราส่วนที่กำหนดเพื่อเทราดโคนต้นเก๊กฮวย) และหลังจากนั้นใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพทุก 15 วัน จนถึงระยะเก็บเกี่ยว การตัดแต่งต้นเก๊กฮวย ครั้งที่ 1 จะทำหลังจากปลูกต้นเก๊กฮวยใน 20 วันแรก เพื่อให้ได้ลักษณะต้นที่เป็นทรงพุ่ม ทำการเด็ดยอดให้เหลือใบติดต้นไว้ประมาณ 6 ใบ แล้วรอให้หน่อใหม่จำนวน 3 หน่อต่อต้นส่วนการตัดแต่งต้นเก๊กฮวย ครั้งที่ 2 จะทำหลังจากตัดแต่งยอดครั้งที่ 1 ครบ 20 วัน โดยตัดยอดที่แตกออกมาจากครั้งที่ 1 จำนวน 3 ยอด โดยวิธีการเดียวกันกับการตัดแต่งครั้งที่ 1 และรอให้แตกยอดใหม่ จำนวน 9 ยอดต่อต้น การตัดแต่งต้นเก๊กฮวย ครั้งที่ 3 จะทำหลังจากตัดแต่งยอดครั้งที่ 2 ครบ 20 วัน โดยตัดยอดที่แตกออกมาจากครั้งที่ 2 จำนวน 9 ยอด โดยวิธีการเดียวกันกับการตัดแต่งครั้งที่ 1 และรอให้แตกยอดใหม่ จำนวน 27 ยอดต่อต้น และหลังจากการตัดยอดในครั้งที่ 3 นี้ เกษตรกรจะปล่อยให้ต้นเก๊กฮวยเจริญเติบโตจนแตกช่อออกดอก และบานในเดือนพฤศจิกายนพร้อมเก็บเกี่ยว
องค์ประกอบทางเคมี
ในดอกเก๊กฮวยมีสารเคมีธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) หรือชาลโคน (Chalcone) สารไครแซนทีมิน (Chrysanthemin), สารอะดีนีน (Adenine), สตาไคดวีน (Stachydrine), โคลีน (Choline) กรดอะมิโน และน้ำมันหอมระเหยอีกหลายชนิดที่ช่วยรักษาและป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของเก๊กฮวย
ที่มา : wikipedia
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับดอกเก๊กฮวยทั้งทางด้านเภสัชวิทยาทางคลินิก อาทิเช่น
ฤทธิ์ลดความดันโลหิตโดยให้หนูทดลองกินสารสกัดจากเก๊กฮวยในปริมาณ 100-300 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งพบว่าความดันโลหิตในหนูทดลองลดลง
ฤทธิ์รักษาโรคเบาหวาน โดยมีการทดลองให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 188 ราย รับประทานผลิตภัณฑ์จากเก๊กฮวยครั้งละ 8 กรัม วันละ 3 ครั้ง เปรียบเทียบกับผู้ป่วยอีกกลุ่มที่ไม่ได้บริโภคเก๊กฮวย ผลการตรวจเลือดหลังจากผ่านไป 6 เดือนพบว่า กลุ่มที่รับประทานเก๊กฮวยมีความไวของอินซูลินเพิ่มขึ้นในผู้ที่เพิ่งเป็นเบาหวาน และยังมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่มีความหนืดของเลือดและระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ลดลงด้วยเช่นกัน นักวิจัยจึงคาดว่าผลิตภัณฑ์จากเก๊กฮวยอาจช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ นอกจากนี้ การทดสอบสารสกัดจากเก๊กฮวยผสมกับสารสกัดจากพืชชนิดต่าง ๆ ที่ศึกษาในห้องทดลอง พบว่าสารสกัดจากเก๊กฮวยผสมกับลูกหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟาอะไมเลส (Alpha-Amylase) ที่หลั่งจากตับอ่อน รวมถึงยับยั้งเอนไซม์ซูเครสและมอลโทสในลำไส้เล็กได้เล็กน้อย ซึ่งช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลบางส่วนเข้าสู่ร่างกาย และอาจช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหารได้ด้วย
ฤทธิ์ต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์จากเก๊กฮวยและสมุนไพรรวม 8 ชนิดในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก เพื่อดูระดับของสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมากหรือค่า PSA เพราะหากค่าที่ตรวจได้สูงกว่าปกติอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติของต่อมลูกหมาก โดยในการเก็บข้อมูลครั้งแรกพบว่าอาสาสมัครประมาณ 88 เปอร์เซ็นต์มีค่า PSA อยู่ในระดับต่ำ และมีเพียง 12 เปอร์เซ็นต์ที่มีค่า PSA เพิ่มขึ้นจากเดิม อีกประมาณ 3 ปีต่อมา มีการเก็บข้อมูลอีกครั้ง พบว่าผู้ป่วย 93 เปอร์เซ็นต์มีค่า PSA อยู่ในระดับดี และมีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ที่มีค่า PSA เพิ่มขึ้น ผลโดยรวมจึงระบุว่าผลิตภัณฑ์จากเก๊กฮวยและสมุนไพรดังกล่าวส่งผลดีต่อการควบคุมระดับ PSA ในเลือด ซึ่งอาจดีต่อการควบคุมมะเร็งต่อมลูกหมาก
นอกจากนี้ การศึกษาอีกงานหนึ่งที่ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากรับประทานอาหารเสริมจากเก๊กฮวยและสมุนไพรอื่น ๆ ครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง หลังจากรักษาด้วยวิธีฮอร์โมนบำบัดหรือเคมีบำบัดเป็นระยะเวลาเฉลี่ย 8 เดือน ผลพบว่าผู้ป่วยจำนวน 87 เปอร์เซ็นต์มีค่า PSA ลดลงประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ แต่จากการทดลองดังกล่าวก็พบว่าผู้ป่วยเผชิญผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการคลื่นไส้ ท้องร่วง หรือเจ็บบริเวณหัวนม
การศึกษาทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- สำหรับดอกเก๊กฮวยจะที่นำมาใช้ควรเป็นดอกสีขาวหรือดอกสีเหลือง และไม่ใช่สายพันธุ์ที่เก็บมาจากในป่าเพราะอาจเป็นคนละชนิดกัน
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร การดื่มชาเก็กฮวยอาจทำให้เกิดกรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย หรือมีอาการท้องเสียง่าย ควรดื่มน้ำเก๊กฮวยในปริมาณที่พอเหมาะ
- เก๊กฮวยเป็นพืชในวงศ์เดียวกับเบญจมาศ ผู้ที่มีอาการแพ้พืชตระกูลนี้มีแนวโน้มแพ้เก๊กฮวยได้เช่นกัน จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเก๊กฮวยและใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากเก๊กฮวยด้วยความระมัดระวัง หากพบความผิดปกติหลังการบริโภค เช่น มีผื่น มีความผิดปกติในการหายใจ หรือมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้น ควรหยุดใช้และไปพบแพทย์ทันที
- เก๊กฮวยอาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ จากเก๊กฮวย
- น้ำมันที่ได้จากการสกัดดอกเก๊กฮวยจะประกอบด้วยสารไพรีทรัม (Pyrethrum) ซึ่งเหมือนสารประกอบในยาฆ่าแมลง ดังนั้นจึงควรใช้น้ำมันชนิดนี้ด้วยความระมัดระวัง เพราะการสัมผัสโดนโดยตรงหรือใช้เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหนัง ปาก ตา และจมูกได้
ขอบคุณข้อมูลจาก disthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,350.00 | 27,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,772.00 | 26,863.52 | 27,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,594.80 | 24,177.17 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,417.60 | 21,490.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 797.00 | 12,082.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 620.00 | 9,399.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,836.00 | 27,833.76 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/06/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 | 28.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 | 27.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 26.74 | 26.74 | 26.74 | 26.74 | 26.74 | – | 26.74 | 26.74 | 26.74 | 26.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 22.14 | 22.14 | – | – | – | – | – | – | – | 22.14 |
เบนซิน 95 | 35.66 | – | – | – | 36.11 | – | 36.16 | 35.66 | – | 35.66 |
ดีเซล B7 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 | 28.59 |
ดีเซล | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 |
ดีเซล B20 | 25.34 | 25.34 | 25.54 | – | 25.34 | – | 25.34 | 25.34 | – | 25.34 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 33.36 | 33.36 | 35.04 | 34.76 | – | – | – | – | – | 33.36 |
แก๊ส NGV | 13.99 | 13.99 | – | – | – | – | – | – | – | 13.99 |