‘สิงห์ เอสเตท’ รายได้ลด 50% ลุ้นบ้านแพง โรงแรมฟื้นตัว
สิงห์ เอสเตท พร้อมรับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน จากสัญญาณบวกของยอดขายบ้านในเซกเมนต์อัลตร้าลักชัวรี และดีมานด์เช่าพื้นที่เพิ่มเติมในบางธุรกิจ
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ว่า บริษัทมีรายได้ทั้งหมด 1,768 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย (Residential development) 1,343 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43% ธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) มีรายได้ 230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% และธุรกิจโรงแรม (Hospitality) มีรายได้ 114 ล้านบาท ลดลง 87% โดยสาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและธุรกิจโรงแรมที่ยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทได้พยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจ แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายคงที่บางอย่างที่ไม่สามารถปรับลดได้มากนัก เช่น ค่าเช่าที่ดิน และค่าเสื่อมราคา ทำให้ภาพรวมของบริษัทมีการขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 419 ล้านบาท
โดยรายได้จากการขายบ้านและอาคารชุดลดลง 43% ถึงแม้ว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ สูงถึงราว 950 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ตาม รายได้จากการปล่อยเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 34% จากการซื้ออาคารสำนักงานเมโทรโพรลิส และอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูงขึ้นในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากธุรกิจโรงแรมที่มีรายได้ลดลง 87% เนื่องจากโรงแรมส่วนใหญ่จากทั้งหมด 39 แห่งทั่วโลก เพิ่งเริ่มกลับมาเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้ง และยังคงได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสและการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้รายได้จากการให้เช่าและการให้บริการของบริษัทลดลง 62%
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,882 ล้านบาท ลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 การลดลงมีสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายบ้านและอาคารชุดลดลง 49% และรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการลดลง 37% กอปรกับค่าใช้จ่ายคงที่บางรายการไม่สามารถปรับลดได้อย่างมีนัยสำคัญ บริษัทจึงรายงานผลขาดทุนสุทธิ 1,031 ล้านบาท
“สิงห์ เอสเตท ตระหนักถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ จึงมุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด รวมทั้งปรับองค์กรให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และแสวงหาแนวทางและธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ผลประกอบการที่ผ่านมาและแนวโน้มในอนาคตเพื่อกำหนดแผนการดำเนินงานเฉพาะตัวที่เหมาะสมของแต่ละทรัพย์สิน เพื่อส่งมอบผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น และสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทในระยะยาว” นางฐิติมา กล่าว
ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย โดยยอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งบริษัทยังสามารถปิดการขายบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรีในโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ได้กว่า 1,500 ล้านบาทในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแบ่งการรับรู้รายได้เป็น 2 ส่วนจากความคืบหน้าของการก่อสร้างบ้านในช่วง 14 เดือน และการโอนกรรมสิทธิที่ดิน ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ราว 800 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ให้ลูกค้าในไตรมาสที่ 4 นี้ มูลค่า 1,650 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการของโครงการนี้จะถูกบันทึกภายใต้วิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) เพราะเป็นโครงการร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์
ในส่วนของธุรกิจอาคารสำนักงาน ปัจจุบันอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ สูงถึงกว่า 90% เป็นครั้งแรก ทั้งนี้อัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้เช่าบางรายจะทยอยเข้าใช้พื้นที่และชำระค่าเช่าภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มผู้เช่ารายใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงค์จากโควิด-19 และต้องการขยายพื้นที่เช่าเพื่อรองรับการเติบโต เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภค และบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม เป็นต้น นอกจากนี้ส่วนลดค่าเช่าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังเริ่มทยอยสิ้นสุดลง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาดำเนินได้เป็นปกติมากขึ้น
สำหรับธุรกิจโรงแรม นางฐิติมา กล่าวว่า การฟื้นตัวของโรงแรมในแต่ละประเทศจะใช้เวลาที่แตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทย เนื่องจากโรงแรมของกลุ่มบริษัท ตั้งอยู่ในจังหวัดที่อยู่ไกลและพึ่งพิงลูกค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยภาครัฐ ซึ่งจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) ให้เดินทางเข้าประเทศในรูปแบบลองสเตย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 จะช่วยให้เกิดการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ดี บริษัทเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของโรงแรมในบางประเทศ โดยในสหราชอาณาจักร การท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการฟื้นตัวของโรงแรมกลุ่มนี้ โดยมีอัตราการเข้าพักในเดือนกันยายนสูงถึงราว 40% ส่วนในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ โรงแรมของกลุ่มบริษัทได้เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งผู้เข้าพักส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในช่วงปลายปี 2563 ถึงต้นปี 2564 จะมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจากการที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยมีเงื่อนไขเพียงว่าต้องจองโรงแรมที่ลงทะเบียนไว้แห่งเดียวเท่านั้นตลอดการการเดินทาง โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานการปลอดโรค การกักตัว และการขอวีซ่าใหม่ ส่วนการท่องเที่ยวภายในสาธารณรัฐฟิจิ มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกัน คาดว่าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจเกิดขึ้นในปี 2564 แต่ในสาธารณรัฐมอริเชียส โรงแรม Outrigger Mauritius Beach Resort ยังอยู่ระหว่างปิดให้บริการเนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินระหว่างประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิกฤติเศรษฐกิจ ยุคเกิด “คอนโดฯราคาประหยัด”
บทความพิเศษโดย : สัมมา คีตสิน
สถานการณ์ระบาดของโรค COVID-19 ผสมกับปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยประสบภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรงทั่วประเทศ แม้รัฐบาลจะบริหารจัดการด้านการควบคุมโรคได้ดีจนทำให้การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไม่หนักหน่วงเหมือนอีกหลายประเทศทั่วโลก แต่กำลังซื้อของประชาชน การควบคุมความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อของภาคการเงิน และความเชื่อมั่นในตลาดที่อยู่อาศัย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกรรมการซื้อขายที่อยู่อาศัยใหม่ค่อนข้างตกต่ำ โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมรอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงในพื้นที่ของจังหวัดท่องเที่ยว
ทั้งนี้ เคยมีผู้วิเคราะห์ว่าตลาดคอนโดมิเนียมราคาปานกลางถึงต่ำ (หรืออาจเรียกว่า Budget Condo) น่าจะประสบปัญหามากกว่าตลาดคอนโดมิเนียมราคาสูง เนื่องจากสำหรับตลาดบนแล้วผู้ซื้อน่าจะมีกำลังซื้อ และสถาบันการเงินน่าจะยินยอมปล่อยสินเชื่อให้ผู้ซื้อได้มากกว่า แต่ในความเป็นจริง สภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ในประเทศอื่นๆ ทำให้ภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้ผู้ที่เคยประกอบอาชีพที่มีรายได้ค่อนข้างสูงประสบปัญหาการถูกเลิกจ้างหรือมีรายได้ลดลงอย่างมาก ดังนั้น แม้แต่ในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนก็ประสบปัญหาการขายได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ภาครัฐให้การสนับสนุนธุรกรรมการซื้อขายที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จากปกติล้านละ 20,000 บาทเหลือล้านละ 100 บาท และลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดจำนองจากปกติล้านละ 10,000 บาทเหลือล้านละ 100 บาท มีผลถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ยังช่วยพยุงธุรกรรมการซื้อขายที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาที่อยู่อาศัยที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบัน จะพบว่าสำหรับงบประมาณในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทนั้น ผู้ซื้อสามารถซื้อได้เพียงทาวน์เฮ้าส์หรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น เนื่องจากระดับราคาบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดได้ขยับสูงขึ้นจนเกินเพดานราคาดังกล่าว หรือหากซื้อได้ก็น่าจะเป็นสินค้าบ้านมือสองหรือบ้านชั้นเดียว
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ชี้ว่ามีหน่วยเหลือขายของคอนโดมิเนียม เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 73,100 หน่วย โดยเป็นส่วนที่สร้างเสร็จเหลือขายประมาณ 23,600 หน่วย เป็นส่วนที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างเหลือขายประมาณ 34,500 หน่วย และเหลือขายแต่ยังไม่ได้เริ่มสร้างประมาณ 15,000 หน่วย
หากเราดูตัวเลขทั้งฝั่งอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของคอนโดมิเนียมในตลาดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ากลุ่มคอนโดมิเนียมในกลุ่มระดับราคา 1-2 ล้านบาทมีจำนวนหน่วยสูงสุดในทุกมิติมากกว่ากลุ่มระดับราคาใดๆ ในขณะที่คอนโดมิเนียมในระดับราคา 2-3 ล้านบาทมีจำนวนหน่วยสูงรองลงมาไม่ห่างกันมากนัก จนแทบจะเรียกได้ว่าคอนโดมิเนียมในระดับราคา 1-3 ล้านบาทเป็นตลาด Mass Market ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากจะมีข่าวแถลงจากสำนักวิจัยต่างๆ อยู่เสมอว่าคอนโดมิเนียมราคา 1-3 ล้านบาทเป็นระดับราคาที่ขายดีที่สุด (ซึ่งน่าจะหมายความว่าเป็นข่าวดี) หรือคอนโดมิเนียมราคา 1-3 ล้านบาทเป็นระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด (ซึ่งน่าจะหมายความว่าเป็นข่าวร้าย) จึงเห็นได้ว่า การตีความสภาวะของตลาดคอนโดมิเนียมมักเป็นการตีความเข้าข้างตัวเองจากมุมมองในตัวเลขชุดเดียวกันแต่มองจากคนละด้าน
จากการวิเคราะห์แยกย่อยลงไปในตลาดคอนโดมิเนียมราคา 1-2 ล้านบาท ที่กล่าวกันว่ามีจำนวนหน่วยมากกว่าระดับราคาใดๆนั้น แท้จริงแล้วราคาส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในระดับราคา 1,600,000 – 2,000,000 บาทเป็นส่วนใหญ่ แต่คอนโดมิเนียมในระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทนั้นมีจำนวนน้อย และน้อยลงตามลำดับในระดับราคาใกล้เคียง 1 ล้านบาทและต่ำกว่า 1 ล้านบาท คอนโดมิเนียมราคาใกล้เคียง 1 ล้านบาทหรือต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีให้เห็นได้บ้างในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดปริมณฑล และพื้นที่ใกล้แหล่งงานในจังหวัดภาคตะวันออก
คอนโดมิเนียมในกลุ่มราคาประหยัดดังกล่าวเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้อยู่อาศัยที่เป็นผู้เช่า ไม่ว่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในหอพักหรืออพาร์ตเม้นต์หรือคอนโดมิเนียมปล่อยเข่า ทั้งนี้ หากราคาซื้อขายคอนโดมิเนียมค่อนข้างต่ำและราคาค่าเช่าค่อนข้างสูง ทำให้อัตราส่วนราคา (Price) ต่อค่าเช่า (Rent) หรือ Price-to-Rent มีค่าต่ำเท่าไรก็ยิ่งทำให้มีความเหมาะสมที่จะซื้อคอนโดมิเนียมมากกว่าการเช่า เช่น หากราคาซื้อขายคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 1.4 ล้านบาท แต่อัตราค่าเช่าในตลาดเช่าอยู่ที่เดือนละ 7,000 บาท หรือปีละ 84,000 บาท อัตราส่วน Price-to-Rent Ratio เท่ากับ 1,400,000/84,000 = 16.7 เท่า อัตราส่วนดังกล่าวถือว่าต่ำเพียงพอและน่าดึงดูดให้ผู้บริโภคซื้อเป็นกรรมสิทธิ์มากกว่าการจ่ายค่าเช่าในอัตราสูงไปทุกเดือน (ในกรณีนี้ค่าซื้อคอนโดมิเนียมเท่ากับค่าเช่าประมาณ 16 ปี 8 เดือน แต่หากค่า Price-to-Rent Ratio สูงมากเกินไป เช่น เกินกว่า 25 เท่า ผู้บริโภคควรเช่ามากกว่าซื้อ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อบ้านอยู่ในระดับต่ำมากและภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนการซื้อขายผ่านมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนอง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กังวลโควิด! หุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ น้ำมันบวกเล็กน้อย – ทองลด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,783.35 จุด ลดลง 167.09 จุด หรือ -0.56% ขณะที่ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,609.53 จุด ลดลง 17.38 จุด หรือ -0.48% ส่วนดัชนี แนสแดค ปิดที่ 11,899.34 จุด ลดลง 24.79 จุด หรือ -0.21%
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ตลาดถูกกดดันจากรายงานยอดค้าปลีกที่ซบเซาของสหรัฐ และความกังวลการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 อาจทำให้สหรัฐต้องกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง
ด้าน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ ปิดที่ 41.43 ดอลลาร์ ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 7 เซนต์ ปิดที่ 43.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,885.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคเส้นเลือดในสมองตีบ
อาการเหล่านี้คือข้อบ่งชี้ว่าเป็นโรค “เส้นเลือดในสมอง” ข้อมูลโดย นายแพทย์กานต์ ศักดิ์ศรชัย อายุรแพทย์ระบบประสาทสมอง โรงพยาบาลพญาไท 2 เผยว่า เกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้สมองส่วนนั้นหยุดการทำงาน โดยจะมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นทันทีทันใด ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ ซึ่งพบว่าเกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบ 70–80 เปอร์เซ็นต์ และเกิดจากเส้นเลือดสมองแตก 20–30 เปอร์เซ็นต์
โรคเส้นเลือดในสมองตีบเกิดได้กับใครบ้าง
อาการ
อย่างที่บอกว่าอาการที่ฟ้องว่าเส้นเลือดในสมองตีบมีหลากหลายอาการ ส่วนใหญ่คือปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ซึ่งมีทั้งแบบชั่วคราวคืออาการดังกล่าวหายไปได้เองภายใน 1 วัน และแบบถาวรคือเป็นแล้วเป็นเลย จนกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ในที่สุด และหากอาการรุนแรงถึงขั้นเนื้อสมองบวมมาก ผู้ป่วยอาจจะซึมลงและเสียชีวิตได้ ซึ่งในประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมองอยู่ที่ประมาณ 43.3 คนต่อประชากร 1 แสนคนต่อปี ดังนั้นหากมีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะหากชักช้าไม่รีบไปหาหมอ สมองของคุณจะถูกทำลายมากขึ้นในทุกวินาที
ถ้ามีอาการแล้วไปถึงโรงพยาบาลภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง แพทย์จะสามารถรักษาได้ด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อสลายลิ่มเลือดที่อุดตันให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น แต่หากไปถึงมือแพทย์ช้ากว่านั้นต้องวินิจฉัยและพิจารณาการรักษาตามสาเหตุและอาการ ซึ่งหลังการรักษา ในบางรายอาจจะหายเป็นปกติได้ แต่บางรายก็อาจจะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาต ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมองและร่างกายให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
การป้องกัน
เมื่อรู้ถึงความน่ากลัวของโรคนี้แล้วไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ต้องดูแลและรักษาสุขภาพให้ดี โดยสามารถป้องกันเบื้องต้นได้ง่ายๆ ด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่กล่าวมา พยายามลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน งดสูบบุหรี่ และต้องดูแลตัวเองให้ดีทั้งในเรื่องของอาหารการกิน การพักผ่อน และการออกกำลังกาย
เรื่องอาหารคุณหมอแนะนำให้รับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเน้นอาหารที่มีกากใยสูงและไขมันต่ำ อย่างพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อปลา ฯลฯ ส่วนการพักผ่อนและออกกำลังกาย เพียงแค่ปฏิบัติให้พอดีและเหมาะสมต่อร่างกายแต่ละคนก็เพียงพอแล้ว ที่สำคัญคือควรตรวจสุขภาพทุกปี จะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการตรวจเฉพาะทางนั้นในผู้ที่มีความเสี่ยงของการเกิดโรคอาจตรวจคราบไขมันที่คอด้วยวิธีอัลตราซาวนด์ ซึ่งถ้าพบว่าคราบไขมันสะสมเยอะ โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นเส้นเลือดในสมองตีบก็มีมาก
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องจำไว้ให้ดีว่า หากมีอาการแขนขาอ่อนแรง มุมปากตก ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับระยะเวลาเหล่านั้น ยิ่งได้รับการรักษาเร็วก็จะยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติ ลดความเสี่ยงในการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และการเสียชีวิตได้มากขึ้นด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ได้มาโหดแน่ “คอนเต” เผยสมัยคุม “เชลซี” เกือบได้ตัว 2 สตาร์ดัง
“อันโตนิโอ คอนเต” กุนซือ “อินเตอร์ มิลาน” ยอดทีมแดนมักกะโรนี ออกมาเปิดเผยว่าสมัยคุม “เชลซี” เกือบที่จะได้ตัว 2 แข้งดังมาร่วมทีมแต่ท้ายที่สุดก็พลาดไป
วันที่ 18 พ.ย. 63 อันโตนิโอ คอนเต ผู้จัดการทีมชาวอิตาลีของ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ทีมดังแห่งศึก กัลโช เซเรียอา อิตาลี ออกมาเปิดเผยว่าสมัยคุมทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี สโมสรชั้นนำจาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เคยเกือบที่จะได้ตัว 2 แข้งดังอย่าง โรเมลู ลูกากู และ เวอร์จิล ฟานไดค์ มาร่วมทีมแต่ท้ายที่สุดก็พลาดไป จากการรายงานของ The Telegraph สื่อชื่อดัง
เป็นที่เข้าใจกันว่า ระหว่างที่ อันโตนิโอ คอนเต กุมบังเหียนยอดทีมแห่งถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทีมมีเคยข่าวอย่างหนักกับ โรเมล ลูกากู หัวหอกชาวเบลเยียมของ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน และ เวอร์จิล ฟานไดค์ ปราการหลังชาวเนเธอร์แลนด์ สังกัดค่าย “นักบุญแดนใต้” เซาแธมป์ตัน แต่กระนั้นพวกเขาก็ชวดไปหมดเมื่อรายแรกย้ายไป “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะที่รายหลังร่วมทัพ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
ล่าสุด อันโตนิโอ คอนเต ออกมากล่าวย้อนความถึงเรื่องนี้ว่า “ผมร้องขอให้บอร์ดบริหารของสโมสรคว้าตัวนักเตะ 2 คนนี้มาร่วมทีม (โรเมลู ลูกากู, เวอร์จิล ฟานไดค์) และดีลมันเกือบที่จะสำเร็จแล้วด้วยหลังจากที่เราคว้าแชมป์ลีก พวกเขาใกล้เคียงมากๆ ที่จะย้ายมาเพราะเราติดต่อกันทุกวัน ซึ่งผมบอกมาตลอดว่าถ้าผมได้ผู้เล่น 2 คนนี้ไปร่วมทีมจะทำให้ทีมดีขึ้นกว่าเดมอีก 30 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ การพลาดครั้งนั้นผมคิดว่ามันทำให้โมเมนตัมของทีมเสียไป และรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานระดับท็อปของยุโรปให้อยู่ไปอีกหลายปี แค่มันน่าเสียดายที่ดีลมันไม่เกิดขึ้น และการที่ผมได้ตัว โรเมลู ลูกากู มาอยู่ที่ อินเตอร์ฯ มันสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นมันถูกต้อง ขณะที่ เวอร์จิล ฟานไดค์ เขาก็แสดงความยอดเยี่ยมออกมาให้เห็นกับการเล่นที่ลิเวอร์พูล”
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ก็แล้วแต่.. แล้วแต่คุณ ภาษาอังกฤษ พูดยังไง พร้อมคำอ่าน คำแปล
วลีภาษาอังกฤษ เมื่อต้องการพูดว่า ก็แล้วแต่คุณ ขึ้นอยู่กับคุณ ให้คุณตัดสินใจ ฉันยังไงก็ได้ ภาษาอังกฤษ พูดว่าอะไรได้บ้าง?
คำศัพท์และประโยคภาษาอังกฤษ เมื่อต้องการบอกว่า แล้วแต่คุณ ให้คุณตัดสินใจ มันขึ้นอยู่กับคุณ เราจะสามารถพูดเป็นประโยคภาษาอังกฤษได้ว่าอย่างไรบ้าง มาดูกัน กับประโยคภาษาอังกฤษเด็ดๆ พร้อมคำอ่าน คำแปล
Whatever floats your boat.
วอทเอฟเวอรฺ โฟลทสฺ ยัวรฺ โบทฺ
เอาที่แกสบายใจละกัน
Whatever you want.
วอทเอฟเวอรฺ ยู วอนทฺ
อะไรก็ได้ที่แกต้องการ
It’s up to you.
อิทซฺ อัพ ทู ยู
แล้วแต่แกเลย
It depends on you.
อิทซฺ ดีเพนดฺสฺ ออน ยู
มันขึ้นอยู่กับแก
It’s down to you.
อิทซฺ เดาวนฺ ทู ยู
มันเป็นหน้าที่แกนะ
Whatever you see fit.
วอทเอฟเวอรฺ ยู ซี ฟิทฺ
อะไรก็ได้ที่แกว่าดี (เหมาะสม)
ขอบคุณข้อมูลจาก tonamorn.com
แตกไลน์ธุรกิจใหม่ “iiG Data” ฝ่ากับดักบิ๊กดาต้า
iiG รุกแตกไลน์ธุรกิจใหม่ “iiG Data” ช่วยตอบโจทย์ความท้าทายด้านกลยุทธ์ Big Data และ Data Activation อย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลและเติบโตได้อย่างแท้จริง คาดธุรกิจใหม่สร้างรายได้เติบโตมากกว่า 20% ภายใน 3 ปี
นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ iiG กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนาหน่วยธุรกิจใหม่ iiG Data นั้น เริ่มต้นจากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของ iiG ที่ยึดความสำเร็จของลูกค้าเป็นที่ตั้ง การเติบโตของบริษัทฯสอดคล้องไปกับการเติบโตของลูกค้าและด้วยแนวคิดนี้ ทำให้บริษัทฯทุ่มเทกับการแก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเห็นถึงความต้องการต่างๆ ของลูกค้าที่ยังไม่มีบริการที่มารองรับ พร้อมรุกพัฒนาการให้บริการและมองหาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งโดย iiG Data จะช่วยรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับบริษัทฯ โดยตั้งเป้าในธุรกิจใหม่นี้จะสร้างรายได้ให้กับริษัทฯ ไม่ต่ำกว่า 20% ภายใน 3 ปี
นาย ณัฐเชษฐ์ เทพูปถัมภ์ ผู้อํานวยการฝ่ายโซลูชัน บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ iiG กล่าวว่า ทุกวันนี้หลายองค์กรล้วนขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล และจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือช่วยในการจัดการข้อมูลต่างๆ ทั้งข้อมูลลูกค้าและขององค์กรเอง เพื่อที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจ และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของลูกค้าได้
ในขณะเดียวกันบริษัทฯพบว่าหลายๆโครงการของลูกค้ามีการจัดการด้านข้อมูลที่ยังไม่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ชัดเจน จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง iiG Data หน่วยธุรกิจใหม่ภายใต้ iiG ที่ให้บริการที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการบริหารข้อมูล โดยมีกรอบแนวคิดที่เริ่มจากการเข้าใจโจทย์ทางด้านธุรกิจของผู้บริหารองค์กรก่อน จากนั้นจึงจะนำเสนอโซลูชันทางด้านการจัดการข้อมูลแบบ Full Stack ที่เน้นการนำเอาเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลสมัยใหม่ อาทิ AI, Big Data Analytics, หรือ Data Visualization เป็นต้น มาใช้เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการลงทุนด้าน Big Data จะได้ผลตอบแทนที่ดีอย่างแน่นอน โดยซอฟต์แวร์ที่ iiG นำให้มาบริการภายใต้หน่วยธุรกิจ iiG Data มีทั้งซอฟต์แวร์ที่ iiG ได้ลงทุนและพัฒนาขึ้นเอง คือ iMatch ที่ใช้ในการทำ Data Cleansing and Consolidation รวมไปถึงซอฟต์แวร์ระดับโลก อาทิ MuleSoft และ Tableau จาก Salesforce และซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น KNIME, DataRobot, Python, CLOUDERA
ด้านนายวริสร์ โอวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท Salesforce.com Singapore Pte Ltd. กล่าวว่า สำหรับซอฟต์แวร์ MuleSoft และ Tableau ของ Salesforce ที่ iiG ได้นำมาให้บริการลูกค้าในครั้งนี้ เป็นซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจในยุคปัจจุบัน โดยตอนนี้ถือได้ว่า iiG ได้เป็นพาร์ทเนอร์ของ Salesforce ที่สามารถให้บริการผลิตภัณฑ์ของ Salesforce แก่ลูกค้าในประเทศไทยได้ครบทุกถ้วนทุกรายการ และเมื่อเร็วๆนี้ iiG ได้รับรางวัลจาก APAC Partner of the Year 2020 จาก Salesforce ซึ่ง iiG เป็นบริษัทไทยบริษัทแรกที่ได้รับรางวัลนี้ เนื่องจากมีความเข้าใจเรื่องระบบและความต้องการของลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน Salesforce และสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับธุรกิจได้
สำหรับ iiG ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี ดิจิทัลครบวงจรแก่ภาคธุรกิจ โดยบริการของ IIG แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ 1.ธุรกิจที่ปรึกษาและให้บริการออกแบบติดตั้งระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) และให้เช่าใช้ระบบซอฟต์แวร์จากทาง Salesforce, 2.ธุรกิจที่ปรึกษาและให้บริการออกแบบติดตั้งระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และเป็นตัวแทนจำหน่ายระบบซอฟต์แวร์จากทาง Oracle, 3.ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์แบรนด์ (Brand Strategy) การสร้างและบริหารประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Management) และการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing), 4. ธุรกิจให้บริการจัดหาบุคลากรในส่วนงานสารสนเทศ (Placement Service) และ 5. ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลเพื่อธุรกิจ (Data Analytics & Management)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พริก สรรพคุณสุดแซ่บ ที่คุณอาจยังไม่รู้ว่าจัดจ้านแค่ไหน
พริก สมุนไพรรสเผ็ดร้อน ที่ต้องมีติดครัวกันทุกครัวเรือน สรรพคุณจี้ดจ้าดของพริกนั้นทั้ง ช่วยลดน้ำหนัก สร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเครียด ป้องกันโรคมะเร็ง และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
รสชาติความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ “แคปไซซิน” (Capsaicin) ซึ่งถ้าเราเอามีดมาผ่าตรงกลางข้างในจะพบว่ามีเยื่อแกนกลางสีขาว (คือส่วนเผ็ดมากที่สุด) ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าส่วนเมล็ดและเปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด และสาร Capsaicin ไม่สามารถทำลายค่ะได้ด้วยความร้อนหรือแม้แต่อุณหภูมิต่ำๆ ยังสามารถคงความเผ็ดแซ่บไว้ได้ ในประเทศไทยพริกที่เผ็ดมากที่สุดคือ พริกขี้หนู และพริกหวาน มีความเผ็ดน้อยที่สุด
เครื่องมือที่ใช้วัดความเผ็ดของพริกชื่อสโควิลล์ (Scoville) ระบุว่าพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร วัดค่าความเผ็ดไดมากกว่า 350,000 สโควิลล์ ส่วนพริกขี้หนูสวนของเราจะมีค่าความเผ็ดอยู่ที่ 60,000-100,000 สโควิลล์
สรรพคุณของ พริกขี้หนู แต่ไม่เล็กพริกขี้หนู
1.ช่วยลดน้ำหนัก
สาร thermogenic ในเมล็ดพริก เป็นสารที่ทำให้ร่างกายมีความร้อน เกี่ยวกับmetabolism ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเบริ์นสิ่งที่ทานเข้าไป ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย ทำให้น้ำหนักของเราลดเร็วขึ้น พริกยังมีกรดแอสคอร์บิกสูง ที่สามารถเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานในที่สุดที่โดยมีการศึกษาจากประเทศแถบเอชียพบว่า การรับประทานพริกประมาณ 5 เม็ด ช่วยเพิ่มmetabolism ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และยาวนานถึงครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว แต่การที่รับประทานพริกสดๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงมีสารสกัดในรูปของแคปซูลพริกออกมาวางขายในท้องตลาดมากมาย
2.อารมณ์สดใส ร่าเริง
ฟังดูแล้วอาจจะแปลกไปสักหน่อยที่กินเผ็ดขนาดนั้นแล้วจะอารมณ์ดีได้อย่างไร เป็นไปได้จริงเนื่องจากพริก มีสารแคปไซซิน ที่กระตุ้นสารสื่อประสาทในสมองให้หลั่งสารแห่งความสุขหรือเอ็นดอร์ฟิน ช่วยให้ร่างกายrelax สมองเบิกบาน ลดความดันโลหิต ไม่ปวดหัว รู้สึกมีความสุข
3.ช่วยให้เจริญอาหาร
ยิ่งกินเผ็ด ยิ่งกินเยอะ ไม่ใช่ประโยคพูดล้อเลียนแต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สารแห่งความสุขข้างต้นนอกจากจะทำให้เรามีความสุข เพลิดเพลินแล้ว ยังทำให้เราอยากอาหารมากขึ้น กินอะไรก็อร่อย เพราะโดนกระตุ้นต่อมอยากอาหารสั่งการโดยสมองส่วนกลาง
4.บรรเทาอาการปวด
มีการนำสารสกัดจากพริกหรือ แคปไซซิน มาทำเป็นเจลถูนวดแก้ปวดเมื่อย เส้นเอ็นอักเสบ อย่างเช่นโรครูมาตอยด์ เข่าอักเสบ เพราะคุณสมบัติของสารดังกล่าวช่วยลดอาการเจ็บปวดได้
5.บำรุงสายตา
ในพริกมีสารอาหารโดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ ที่เกี่ยวกับการมองเห็นโดยตรง ที่พริกมีสีสันแตกต่างกันไป เนื่องจากมีเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมของกระจกตาและเมื่อบวกกับวิตามินเอและวิตามินซีที่อยู่ในพริกด้วยแล้ว ถือว่าช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็นได้ดีทีเดียว
6.ช่วยให้จมูกโล่ง หายใจสะดวกขึ้น
อาการหลังจากที่เราทานอาหารเผ็ดๆ จะมีน้ำตาไหล น้ำมูกไหล เนื่องจากความร้อนจากพริก
ทำให้จมูกโล่ง หายใจสะดวกขึ้น เสมหะออกง่ายช่วยลดปริมาณน้ำมูก อาการไอน้อยลง ทำให้เสมหะที่เหนียวข้นแตกตัว ผู้ที่มีปัญหาในเรื่องระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และหลอดลมอักเสบ สามารถทานพริกเพื่อบรรเทาอาการได้
7.เสริมสร้างภูมิต้านทาน
ด้วยพริกมีวิตามินสูงหลายชนิด และวิตามินเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการเป็นสารตั้งต้นทำให้เกิดระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันโรคหวัด และโรคภูมิแพ้
8.ลดน้ำตาลในเลือด
การยับยั้งดูดซึมน้ำตาลกลูโคสในร่างกาย โดยสารแคปไซซินจากพริก ได้มีการทดลองในอาสาสมัครดื่มน้ำตาลกูลโคส และวัดระดับน้ำตาล หลังจากนั้น รับประทานพริกเข้าไปพร้อมกัน และวัดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดอีกครั้ง พบว่าหลังจากรับประทานพริกแล้วสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลได้.
9.ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น
การขยายตัวของหลอดเลือดได้ดีทำให้ เลือดไหลเวียนไปส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ. เนื่องจากสารแคปไซซิน นอกจากนั้นยังทำงานร่วมกับเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ช่วยให้เกิดการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดการอุดตันของลิ่มเลือด ซึ่งส่งผลในโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา
10.ป้องกันโรคโลหิตจาง
พริกช่วยป้องกันโรคโลหิตจางเนื่องจาก สารอาหารในพริก มี ธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบอยู่ และมีวิตามินซี ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง มีค่าความเข้มข้นของเลือดสูง ไม่เสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางได้
11.ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสารไนโตรซามีนเป็นสารก่อมะเร็ง วิตามินซีในพริกมีความสามารถในการลดปฏิกิริยาก่อสารไนโตรซามีน พริกมีวิตามินซีสูงอยู่ถึง 70 มิลลิกรัม ฉะนั้นการรับประทานพริกอยู่เป็นประจำจึงช่วยลดอัตราการก่อสารสร้างมะเร็ง รวมถึงฆ่าเซลล์มะเร็งได้บางส่วนด้วย
12.ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
สารในพริกมีการออกฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินคือต้านการแข็งตัวของหลอดเลือดหรือเกร็ดเลือด ไม่ให้เลือดมาจับตัวกันเป็นก้อน จนอุดตันหลอดเลือด เกิดเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา ดังนั้นการรับประทานพริกสม่ำเสมอจึงส่งผลดีต่อหัวใจ, ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และสุขภาพโดยรวม
13.ช่วยบรรเทาอาการโรคทางเดินอาหา
ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด แน่นเฟ้อ มีลมในกระเพาะอาหารเยอะเนื่องจากกรดเกิน อาหารไม่ย่อย ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
ทำความรู้จักกับพริก
ต้นกำเนิดของพริกถือกำเนิดมาพันกว่าปี ในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้. จากนั้นผู้ค้นพบชื่อโคลัมบัส ได้ขยายวิธีปลูกพริกไปทั่วยุโรป และขยายจำนวนไปทั่วโลก จึงเป็นที่มาของชื่อพริกแต่ล่ะแห่งไม่เหมือนกัน
พริก เป็นพืชในตระกูล Solanaceae
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens
สารสำคัญที่มีสรรพคุณทางยาคือ แคปไซซิน (capsaicin) อยู่ในกลุ่มอัลคาลอยด์ ทนอุณหภูมิสูงหรืออุณหภูมิต่ำ โดยไม่ส่งผลต่อรสชาติความเผ็ดแม้แต่น้อย
เนื่องจากพริกมีรสเผ็ด ร้อน สรรพคุณที่โดดเด่นเหล่านี้ได้เป็นที่มาของการใช้พริกในการลงโทษนักโทษอย่างรุนแรง เช่นใช้พริกขยี้ที่ตานักโทษ มีการใช้พิกมาเผาไฟ เพื่อให้เกิดควันที่แสบหน้าแสบตา ขับไล่ทหารฝ่ายตรงข้าม แม้กระทั่งชนเผ่า Carib ใน Antilles ก็มีความนิยมนำพริกบริเวณบาดแผลสด เพื่อฝึกความอดทน เป็นต้น
ปริมาณสารอาหารของพริก
ในพริกมีสารอาหารมากมาย โดยมี พลังงานอยู่ที่ 103 กิโลแคลอรี มีแคลเซียมอยู่ 45 มิลลิกรัม มีวิตามินซีและฟอสฟอรัสอยู่สูง 70 และ 85 มิลลิกรัม ตามลำดับ
เผ็ดแล้วอยากหายเผ็ด !!
ส่วนที่เผ็ดที่สุดของพริกคือแกนกลางสีขาว ถ้าเราตัดออกความเผ็ดจะลดลงมากกว่าครึ่ง ความเผ็ดคือสรรพคุณของพริก ฉะนั้นต้องหาวิธีแก้เผ็ดโดยเร็ว
1. ลดเผ็ดด้วยการดื่มนม
น้ำนมนมมีสารคาเซอิน ระงับความเผ็ดแสบทรมานของพริกลงได้ เป็นวิธีที่เร็วสุด และได้ผลดีที่สุด โดยจะอมไว้ในปากสักครู่แล้วบ้วนทิ้งหรือดื่มลงไปเลยก็ได้ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมหรือส่วนผสมของนมอื่นๆก็ช่วยลดเผ็ดได้เช่นกัน เช่นโยเกิร์ต เนย ชีส เป็นต้น
2. ลดเผ็ดด้วยข้าวหรือขนมปัง
น้ำตาลจากแป้งหรือขนมปังจะช่วยดูดซับสารเผ็ดหรือแคปไซซินออกไป ทำให้ความเผ็ดลดลง
3. ลดเผ็ดด้วย น้ำอุ่นหรือซุปร้อนๆ
วิธีนี้ค่อนข้างทรมาน เนื่องจากปกติพริกก็มีรสเผ็ดร้อนอยู่แล้ว แต่ถ้าเราซดน้ำซุปหรือน้ำแกงร้อนๆเข้าไปเพิ่มอีกล่ะก็ จะทวีความแสบร้อนมากขึ้น. แต่ขณะเดียวกันความร้อนจากน้ำซุปก็ช่วยชะล้าง ละลายแคปไซซินที่อยู่ในช่องปากเราออกไปทำให้ความเผ็ดลดลงนั่นเอง
4. ลดเผ็ดด้วยดื่มน้ำมะนาว
วิธีนี้คือการทำปฏิกิริยาของสาร น้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ส่วนแคปไซซินมีฤทธิ์เป็นด่าง เมื่อทำปฏิกิริยากันทำให้ได้ฤทธิ์เป็นกลาง ช่วยลดความเผ็ดได้อีกทางนึง
5. ลดเผ็ดด้วยการอมน้ำมันแล้วบ้วนปาก
สารแคปไซซิน จะละลายในน้ำมัน ฉะนั้นถ้ารับประทานเผ็ด พยายามทานของทอดๆตามไป หรือบางคนอาจจะอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งเลยก็ได้
6. ลดเผ็ดด้วยเกลือ
อมเกลือไว้ในปากไปเรื่อยๆเมื่อมันละลายดี ความเผ็ดจะลดลงเอง
7. ลดเผ็ดด้วยการแปรงฟัน
การแปรงฟันเป็นการชะล้างแคปไซซิน ออกจากช่องปากวิธีนึง แต่ควรใช้ยาสีฟันที่มีรสเกลือร่วมจะดีมากเป็นการเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ลดความเผ็ดเร็วมากขึ้น
เมนูเผ็ดๆที่ประโยชน์เพียบ อร่อยพ่นไฟ
หมูผัดพริกขิง
ส่วนผสม หมูผัดพริกขิง
- เนื้อหมู หั่นเป็นชิ้นๆ
- พริกขี้หนูสด
- หอมใหญ่ หั่นบาง
- ขิง หั่นเป็นชิ้นยาวเล็ก ๆ
- เครื่องปรุง มีน้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และผงปรุงรสนิดหน่อย
- น้ำมัน
- กระเทียมทุบและสับหยาบ สำหรับเจียวให้หอม
วิธีทำหมูผัดพริกขิง
1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้ร้อน ใส่กระเทียมลงไปเจียว
2. นำเนื้อหมูที่หั่นไว้ลงไปผัดให้เข้ากันจนกระทั่งเนื้อหมูสุก
3. ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ และผัดให้เข้ากัน
4. ใส่ขิง หอมหัวใหญ่ และพริกสด ตามลงไปผัดให้เข้ากันเพียง 1 นาที ตักใส่จานเสิร์ฟหมูผัดขิงกับข้าวสวยร้อน ๆ
เห็ดฟางผัดพริกสดใบโหระพา
ส่วนผสม เห็ดฟางผัดพริกสดใบโหระพา
- กระเทียม
- พริกขี้หนู
- เนื้อไก่หั่นชิ้น
- เห็ดฟาง
- น้ำมันหอย
- ซีอิ๊วขาว
- ใบโหระพา
วิธีทำเห็ดฟางผัดพริกสดใบโหระพา
1. ใส่น้ำมันลงในกระทะ นำกระเทียม และพริกขี้หนูลงไปผัดให้หอม
2. ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดพอสุก
3. ใส่เห็ดลงไปผัด ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว ใส่น้ำเปล่านิดหน่อย พอสุกใส่ใบโหระพา ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
ขอบคุณข้อมูลจาก atherbth.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,800.00 | 26,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,736.00 | 26,317.76 | 27,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,562.40 | 23,685.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,388.80 | 21,054.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 781.00 | 11,839.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 608.00 | 9,217.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,799.00 | 27,272.84 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/11/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 | 21.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 | 21.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.34 | 20.34 | 20.34 | 20.34 | 20.34 | – | 20.34 | 20.34 | 20.34 | 20.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.99 | 17.99 | – | – | – | – | – | – | – | 17.99 |
เบนซิน 95 | 29.26 | – | – | – | 29.71 | – | 29.76 | 29.26 | – | 29.26 |
ดีเซล B7 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 |
ดีเซล | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 |
ดีเซล B20 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | – | 19.64 | 19.64 | – | 19.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 27.34 | 27.36 | 29.34 | 28.74 | – | – | – | – | – | 27.34 |
แก๊ส NGV | 13.10 | 13.10 | – | – | – | – | – | – | – | 13.10 |