‘เซ็นทรัล รีเทล’อ่วม 6 เดือนแรก ขาดทุน 1.6 พันล้าน หวังครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นกู้กำลังซื้อ
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. ) 2563 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาตรการล็อกดาวน์และการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2563 ประกอบกับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งการหดตัวของภาคการท่องเที่ยว และกำลังซื้อที่อ่อนแรงของผู้บริโภค ส่งผลให้รายได้รวมในไตรมาสสองอยู่ที่ 41,376 ล้านบาท ลดลง 21 %และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 2,519 ล้านบาท ลดลง 243 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 95,661 ล้านบาท ลดลง 10% และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 1,629 ล้านบาท ลดลง 139 % ชี้ธุรกิจพลิกกลับมาส่งสัญญาณบวกจากการปรับตัวขององค์กรอย่างรวดเร็ว ทำให้มีรายได้กลับมาเหมือนเดิม และสร้างผลกำไรในเดือนมิถุนายน
ทั้งนี้จากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจในเครือต้องปิดทำการกว่า 80% ของพื้นที่ขายทั้งหมด เป็นระยะเวลามากกว่าครึ่งของไตรมาสสอง (46 วันจาก 91 วัน) ซึ่งหากเทียบแล้วในช่วงเวลาแห่งความท้าทายดังกล่าว ยอดขายของบริษัทต้องลดลงกว่า 50% โดยบริษัทฯพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกค้ายังคงได้รับบริการ และประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีเช่นเดิม ผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชแนลที่เราพัฒนามากว่า 3 ปี ทำให้ยอดขายในไตรมาสสองลดลงเพียง 21%
“ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อได้อย่างมั่นคง นั่นคือ การสนับสนุนอันดีจากลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และความร่วมมือร่วมใจของพนักงานทุกคนที่มุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก พร้อมปรับวิธีการทำงานเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ตลอดจนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งการบริหารต้นทุน การลงทุน และค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการเสริมสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้ CRC สามารถฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ธุรกิจของเราทั้งในประเทศไทย เวียดนามและอิตาลีกลับมามียอดขายเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในเดือนก.พ. 2563 และผลกำไรโดยรวม (EBITDA)ของบริษัทฯ ก็กลับมาเป็นบวกด้วยเช่นกัน”นายญนน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม CRC ยังมองเห็นโอกาสฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากสัญญาณบวกต่างๆ ทั้งนโยบายของภาครัฐ และศักยภาพของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ช่วยเหลือ SME และกระตุ้นการจ้างงาน โดยเฉพาะแรงงานในภาคค้าปลีกและบริการที่มีมากกว่า 19 ล้านคนในระบบ นอกจากนี้มาตรการด้านสาธารณสุขก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของคนไทยทุกภาคส่วน รักษาระเบียบ และเฝ้าระวังไม่ให้การ์ดตก ซึ่ง CRC เองก็พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสานต่อเจตนารมณ์ขององค์กรที่มุ่งมั่นช่วยเหลือชุมชน เกษตรกร SME และคนไทยทุกคน เพื่อที่จะผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างเข้มแข็ง และก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 นี้ไปได้พร้อมกัน
ขอบคุณข้อมูล posttoday.com
ยักษ์ชนสนั่น แข่งกลยุทธ์ ชิงตลาด ทาวน์โฮม
ไลฟ์สไตล์”โควิด” เปิดกำลังซื้อ ตลาดทาวน์โฮม ยักษ์อสังหาฯ แข่งกลยุทธ์ เข็น โครงการเก่า-ใหม่ แข่งเดือด เอพี ทอปฟอร์ม 7 เดือน คว้าพรีเซลแล้ว 9 พันล้าน ด้านแสนสิริ ส่งแบรนด์ใหม่ตีตลาด หวังขึ้น Top3 จับตาเจ้าใหญ่ โกลเด้นแลนด์ และพฤกษาฯ สู้ศึกพลิกกลยุทธ์
นอกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ปิดประตูตลาดคอนโดฯใหม่สนิท อีกทั้งปรากฎการณ์ ดีเวลลอปเปอร์เชือดเนื้อลดกำไร ดันสต๊อกเก่า โกยยอดขายถล่ม ได้ตอกย้ำความจริง “ราคาต่ำขายดี ราคาสูงขายยาก” แล้วนั้น พบความกังวลเรื่องโรคระบาดในอนาคต ปัจจัยความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน และรายได้ ยังเป็นตัวสร้างความคึกคักให้กับตลาดแนวราบอย่างมาก โดยเฉพาะโปรดักต์ทาวน์เฮาส์ หรือ ทาวน์โฮม ซึ่งเติบโตโดดเด่น ตามส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้ามาก่อนแล้วนาน 2 ปี แต่ปรากฏการณ์ ดีมานด์ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนลูกค้าหาสินค้าทดแทนโปรดักต์คอนโดฯ ราคาใกล้เคียงช่วงโควิด ได้กลายเป็นตัวเร่ง ให้ตลาดบลูโอเชี่ยน เริ่มร้อนแรงอย่างมีนัยผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ณ สิ้นครึ่งปีแรก 2563 ในสัดส่วนถึงประมาณ 51% ของตลาดแนวราบที่มีมูลค่าถึง 4.42 แสนล้านบาท
สอดคล้อง นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตราบใดที่ตลาดคอนโดฯ กทม.-ปริมลฑล ยังชะลอความร้อนแรง และรอปรับฐานใหม่ ซึ่งอาจยาวนานถึง 2 ปี ตลาดทาวน์เฮาส์ หรือ ทาวน์โฮม นั้น ก็ยังคงจะเป็นตลาดที่ยังได้รับความสนใจสูง ทั้งในฝั่งผู้เล่นและผู้ซื้อ พบดีเวลลอปเปอร์ยังขยันแตกไลน์ เพิ่มพอร์ตโปรดักต์เข้ามาในตลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในรายที่ไม่เคยเล่น โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ขณะเจ้าตลาดเดิม เช่น ลลิล, โกลเด้นแลนด์ กลายเป็นโอกาสสร้างยอดขายได้มากกว่าช่วงปกติ ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดทาวน์เฮาส์ เป็นฐานตลาดที่ใหญ่มาก มีความต้องการสูง “เป็นตลาดที่ดีเวลลอปเปอร์ ยังขยันเข้ามาแข่งขันเรื่อยๆ มีหลายราย ตามหาไล่ช้อปที่ดิน ขนาดไม่เกิน 30 ไร่ ในราคาไม่เกินตารางวาละ 3 หมื่น เพื่อนำมาพัฒนาโครงการทาวน์โฮม โดยเฉพาะโซนรอบนอก กทม. ฝั่งตะวันออก เช่น สายไหม มีนบุรี และโซนพุทธมณฑลสาย 4 เป็นต้น”
กลยุทธ์ตีป้อมกำลังซื้อ โดยมีผู้ซื้อเป็นคนกุมเกม กดดันให้ผู้พัฒนาฯ ทั้งเจ้าตลาดเดิม และรายใหม่ๆ แข่งขันภายใต้โจทย์ยากขึ้น ความต้องการ, ขนาด และราคาที่ต้องสอดคล้องกัน โดยบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ซึ่งถือเป็นเจ้าตลาดทาวน์โฮมสุดแกร่ง ผ่านแบรนด์พระเอก “โกลเด้นท์ ทาวน์” นั้น ยังโดดเด่นในแง่ยอดขาย โดย 6 เดือนแรก สร้างยอดขายในกลุ่มทาวน์โฮมได้รวม 4,700 ล้านบาท จากยอดขายรวม 8,819 ล้านบาท ขณะปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาเปิดโครงการใหม่ที่้เหลืออีก 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ภายใต้โมเดล Classis Model ราคาเหมาะกับโปรดักต์, เจาะทำเลซัพพลายน้อย ดีมานด์สูง ผ่านบ้านดีไซน์สวยหรูมีเอกลักษณ์
ขณะบมจ.เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำในกลุ่มทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ ท็อปฟอร์ม ประกาศจะบุกเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ประเดิมพรีเซลปลายเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป รวมอีกทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่ากว่า 1.53 หมื่นล้านบาท ทั้งภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง และแบรนด์ พลีโน่ เจาะตลาดบ้านหลังแรก ตั้งแต่ราคา 2-7 ล้านบาท ตามกลยุทธ์หลัก “ราคาที่จับต้องได้” และ “การพัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง” ซึ่งหากดูยอดขาย 7 เดือนที่ผ่านมา เฉพาะในกลุ่มแนวราบ กว่า 18,175 ล้านบาทนั้น สัดส่วนนับ 50% หรือ ประมาณ 9 พันล้านบาท เกิดขึ้นในกลุ่มทาวน์โฮมจากโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโครงการใหม่ครึ่งปีแรก
ด้าน พฤกษา เรียลเอสเตท เจ้าใหญ่ครองตลาดล่าง “บ้านพฤกษา” ตอกย้ำความเป็นผู้นำ ผ่านยอดขายจากทาวน์เฮาส์สูงสุด สัดส่วน 53% จากยอดขายรวม ครึ่งปีแรก ที่ทำได้ 9,576 ล้านบาท พร้อมต้องจับตา หลังผู้บริหารใหญ่ นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมรัตน์ เตรียมปรับกลยุทธ์ “รีมาร์เก็ตติ้ง” โครงการใหม่ ผ่านการปรับรายละเอียด และรูปแบบให้ตรงกับลูกค้ามากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปยังตลาดแนวราบ 7 โครงการ มูลค่า 8,780 ล้านบาท ซึ่งตามแผนเดิมนั้น เป็นกลุ่มทาวน์โฮม 3 โครงการ ในทำเลสุวรรณภูมิ, เทพารักษ์ และเพชรเกษม 69
และนับเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เมื่อ บมจ.แสนสิริ เปิดหน้าชนศึก ส่งแบรนด์ “อาณาสิริ” มิกซ์โปรดักต์ ซึ่งต้องการเข้าตีตลาดทาวน์โฮม ในกลุ่ม 2-6 ล้านบาท ด้วยแผนอีก 4 โครงการใหม่ในทำเลกทม.-ปริมณฑล มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท ภายใต้เป้าหมายสำคัญต้องการขึ้นตำแหน่ง Top 3 เสริมทัพแบรนด์ดัง “สิริเพลส” ทาวน์โฮมมีสไตล์ที่ได้รับการตอบรับสูงจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งหมดจะถูกผลักดันโดยกลยุทธ์ สังคมคุณภาพ คลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ และการแบ่งพื้นที่ในโครงการ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ครม.ให้คลังอัดเงินอีกแสนล้านอุ้มเอสเอ็มอี
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและเสนอมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาข้อติดขัดในการดำเนินโครงการเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs มีสภาพคล่อง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่ม SMEs ทั่วไป
2) กลุ่ม SMEs ท่องเที่ยว
3) กลุ่ม SMEs รายย่อยและประชาชน
วงเงินสินเชื่อและวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 114,100 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) กลุ่ม SMEs ทั่วไป
1.1) สินเชื่อ Soft loan ธนาคารออมสิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงินในอัตรา 0.01% ต่อปี และสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อต่อให้ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงิน 10,000 ล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยตรงจำนวน 3,000 ล้านบาท
1.2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS Soft loan พลัส วงเงิน 57,000 ล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (พ.ร.ก. Soft Loan) แต่ยังไม่ได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก. Soft loan คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 8 ปี โดย บสย. จะเริ่มค้ำประกันและเก็บค่าธรรมเนียมในต้นปีที่ 3 นับจากวันที่ผู้ประกอบการ SMEs แต่ละรายได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก. Soft Loan
1.3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 8 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินไม่เกิน 20 ล้านต่อรายรวมทุกสถาบันการเงิน ในอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี
2) กลุ่ม SMEs ท่องเที่ยว
2.1) สินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจท่องเที่ยวและ Supply Chain วงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ 5 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี
2.2) สินเชื่อ Extra Cash วงเงิน 9,600 ล้านบาท โดยธนาคารธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ขนาดย่อมในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี
3) กลุ่ม SMEs รายย่อยและประชาชน
3.1) สินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นบุคคลธรรมดา ผู้มีรายได้ประจำ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และบุคคลในครอบครัว วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน
3.2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro Entrepreneur ระยะที่ 3 วงเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายย่อย คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1 – 2% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี ขยายเวลารับคำขอค้ำประกันถึง 30 ธันวาคม 2563
กระทรวงการคลังมั่นใจว่ามาตรการดูแล SMEs เพิ่มเติม จะทำให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นไปอย่างทั่วถึงและเพียงพอ และจะเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญในการช่วยเหลือและเยียวยาภาคธุรกิจและภาคประชาชนให้ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขอบคุณข้อมูล posttoday.com
ย้อน 5 ดีลสุดแพง ในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน
หลังการแข่งขันในแต่ละซีซั่นจบลง แน่นอนว่าสโมสรฟุตบอลทั่วทั้งยุโรป ต่างต้องวิ่งวุ่นไปกับการเสริมทัพให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการเจรจาต่อรอง เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ ทั้งจากตัวแทนสโมสรฟุตบอล และบรรดาเอเย่นต์มือทอง ต่างถูกงัดมาใช้อย่างเต็มสูบ เพื่อให้ฝั่งตัวเองได้รับผลประโยชน์สูงสุด
และในช่วงซัมเมอร์นี้ (2020) ก็เช่นกัน แม้จะโดนวิกฤติโควิด-19 เล่นงานจนสะบักสะบอมกันไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลมากนัก กับทีมที่จะตั้งรับข้อเสนอ ในการผ่องถ่ายนักเตะออกจากทีม ด้วยมูลค่าที่ไม่ลดลงแม้แต่สตางค์แดงเดียว
นักเตะชื่อดังอย่าง เจดอน ซานโช, ไค ฮาเวิร์ตซ์, คาลิดู คูลิบาลี, เบน ชิลเวลล์ หรือแม้แต่ เลาตาโร มาร์ติเนซ ต่างถูกกระหน่ำข่าวเรื่องการเจรจาต่อรองค่าตัว ตามหน้าสื่อไม่เว้นแต่ละวัน อาจมีจริงบ้าง ใส่ไข่บ้าง แต่ก็สร้างความลุ้นระทึกให้กับแฟนบอลไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ก่อนที่บทสรุปของตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์จะมาถึง ทีมข่าวไทยรัฐสปอร์ต ขอนำแฟนบอลไปย้อนรอย 5 ดีลซื้อขายที่แพงที่สุดของโลกกันว่า หลังจากเปลี่ยนสีเสื้อแล้ว วันนี้พวกเขาแต่งเติมความสำเร็จให้กับต้นสังกัดใหม่ได้มากน้อยแค่ไหน และคุ้มค่าตัวเพียงใด
1. เนย์มาร์ (บราซิล)
ย้ายจาก บาร์เซโลนา – ปารีส แซงต์ แชร์แมง (ปี 2017)
ค่าตัว 222 ล้านยูโร
ดาวเตะจากแดนแซมบ้า ที่ถูกคาดว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น “เดอะ แบก” แทนที่ ลิโอเนล เมสซี ในถิ่นคัมป์ นู แต่กลับทนการอยู่ภายใต้ร่มเงาของรุ่นพี่ชาวอาร์เจนไตน์ไม่ไหว ตัดสินใจทิ้งความสำเร็จในแดนสเปน เพื่อย้ายมาเป็นหัวราชสีห์ในฝรั่งเศส ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก ชนิดที่ไม่มีใครหน้าไหนคิดว่า มูลค่าการซื้อขายจะพุ่งทะลุเกินหลัก 200 ล้านยูโร ในชั่วโมงนั้น
แต่เพียงแค่ไม่กี่ขวบปี ความจริงก็ปรากฏว่า เมื่อ เนย์มาร์ เริ่มไม่มีความสุขในถิ่นปาร์ค เดอ แปรงซ์ อย่างที่หวัง ดราม่าต่างๆ ถูกขุดขึ้นมาแฉตามหน้าสื่ออย่างสนุก ทั้งการปีนเกลียวกุนซือใหญ่ของทีม การถูกตราหน้าว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน เป็นลูกรักจาก “ท่านชีค” เจ้าของสโมสรชาวกาตาร์ จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครห้าม จนดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่ถูกใจแฟนบอลนัก ซ้ำร้ายยังไม่สามารถพาทีมก้าวขึ้นไปครองตำแหน่งเจ้ายุโรปได้อย่างที่หวัง
ยัง…. แค่นั้นยังไม่พอ เนย์มาร์ ถูกแปลงสภาพเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของแฟนบอลทันที หลังข่าวลือเรื่องที่เจ้าตัวงอแงหนัก อยากย้ายกลับไปอยู่กับบาร์เซโลนาอีกครั้ง เพราะเริ่มไม่สนุกกับการกอบโกยค่าเหนื่อยในลีก เอิง แล้ว ถึงขั้นที่แฟนบอลชูป้ายด่า พร้อมโห่ขับไล่ไสส่งในช่วงต้นซีซั่น 2019-20 ที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอย่างแชมป์ลีก เอิง 3 สมัย บวกแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีกรายการละ 2 สมัย และการอยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในซีซั่นนี้ น่าจะพอปลอบประโลมใจได้ว่า เนย์มาร์ ไม่ได้ล้มเหลวในแดนน้ำหอม
2. คีเลียน เอ็มบัปเป (ฝรั่งเศส)
ย้ายจาก โมนาโก – ปารีส แซงต์ แชร์แมง (ปี 2017)
ค่าตัว 145 ล้านยูโร (add-ons 35 ล้านยูโร)
เปแอสเช คงรู้สึกโชคดีไม่น้อย ที่สามารถปิดดีลแข้งอนาคตไกลรายนี้ ได้ก่อนที่จะพาทีม “ตราไก่” ฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกได้ในปี 1 ปีถัดมา ไม่งั้นมูลค่าการซื้อขายอาจจะพุ่งสูงไม่น้อยหน้า เนย์มาร์ ก็เป็นได้
สำหรับ เอ็มบัปเป ฉายแววเก่งเกินวัยตั้งแต่ยังอยู่กับ โมนาโก และมีส่วนช่วยทีมคว้าแชมป์ลีก เอิง เมื่อซีซั่น 2016-17 ทำให้กลายเป็นที่จับตามองของยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป กระทั่งสุดท้ายกลายเป็น เปแอสแช ที่เป็นเสือปืนไว ปิดดีลคว้าตัวมาร่วมทีม
ด้วยความแข็งแกร่งด้านร่างกาย เทคนิคการจ่ายบอล การอ่านเกม และการยิงประตูที่เฉียบคม ทำให้ เอ็มบัปเป ดูจะตัวใหญ่คับลีก เอิง ไปแล้ว และสื่อหลายสำนักต่างคาดว่า เรอัล มาดริด กำลังเคาต์ดาวน์ ที่จะได้แข้งรายนี้ไปร่วมทีมในไม่ช้า
อยู่ที่ว่า นาสเซอร์ อัล เคไลฟี และ เลโอนาร์โด ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ เปแอสเช จะมีศิลปะด้านการต่อรองมากน้อยแค่ไหน ที่จะทำกำไรจากการปล่อย เอ็มบัปเป ได้มากที่สุด
3. เจา เฟลิกซ์ (โปรตุเกส)
ย้ายจาก เบนฟิกา – แอตเลติโก มาดริด (ปี 2019)
ค่าตัว 126 ล้านยูโร
เจ้าหนูฟันกระต่ายวัย 19 ปี ถูกทีมตราหมีดึงตัวมาจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิด พร้อมกับมอบเสื้อหมายเลข 7 ให้เป็นกรรมสิทธิ์ นั่นแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่ เอ็นริเก เซเรโซ ประธานสโมสรแอตเลติโก มาดริด และ ดิเอโก ซิเมโอเน ผู้เป็นกุนซือใหญ่ ฝากไว้บนบ่าของแข้งอนาคตไกลรายนี้
ในช่วงเวลาเพียงแค่ 1 ขวบปี คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า เจา เฟลิกซ์ ทำผลงานได้ดีแค่ไหนกับ “Los Rojiblancos” แต่อย่างน้อย การพาทีมตราหมีจบในอันดับ 3 ลาลีกา เป็นรองแค่ เรอัล มาดริด และบาร์เซโลนา ขณะที่ในเกมสโมสรยุโรป ก็เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก็น่าจะเป็นกำลังใจชั้นดี ที่จะทำให้แข้งอนาคตไกลรายนี้ ได้สู้ต่อไปในฤดูกาลหน้า เพื่อผลงานที่ดีกว่า
4. ฟิลิปเป คูตินโญ (บราซิล)
ย้ายจาก ลิเวอร์พูล – บาร์เซโลนา (ปี 2018)
ค่าตัว 120 ล้านยูโร (add-ons 40 ล้านยูโร)
เจ้าของฉายา “พ่อมดน้อย” ทิ้งความฝันและความหวังกับแฟนบอลหงส์แดง เพื่อย้ายมาหาความสำเร็จกับ บาร์เซโลนา ชนิดที่สาวก “เดอะ ค็อป” หลายคนถึงกับสาปส่งให้กับดีลนี้ เพราะรับไม่ได้กับการตัดสินใจของแข้งดังจากแดนแซมบ้า
แต่บางที อาจเป็นเพราะว่า “สัญญาใจ” ไม่มีอยู่จริง ทำให้ชีวิตการค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นู ของ คูตี้ ดูยุ่งยากสวนทางกับค่าตัวที่แพงระยับ เพียงแค่ 2 ซีซั่นก็ทำให้สถานะเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังฝ่าเท้า จากแข้งความหวังระดับต้นๆ ของทีม กลายสภาพเป็นส่วนเกินไปในทันใด กระทั่งถูกปล่อยให้ บาเยิร์น มิวนิก ยืมตัวไปใช้งานตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา
และหลังจากการทดลองใช้ตลอดซีซั่น ก็ดูเหมือนว่าบาเยิร์น มิวนิก จะไม่ใช้ออปชั่นซื้อขาย และมีข่าวว่า คูตินโญ อาจระเห็จกลับมายังพรีเมียร์ลีกอีกรอบ พร้อมข่าวลือกับทั้ง อาร์เซนอล เชลซี และทอตแนม ฮอตสเปอร์ จ้องตะครุบตัว
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าฤดูกาล 2020-21 “คูตี้” กลับมาเยือนแอนฟิลด์อีกครั้ง ในฐานะคู่แข่งของลิเวอร์พูล เจ้าตัวจะได้รับการต้อนรับแบบไหนกันแน่
5. อองตวน กรีซมันน์ (ฝรั่งเศส)
ย้ายจาก แอตเลติโก มาดริด – บาร์เซโลนา (2019)
ค่าตัว 120 ล้านยูโร
ดูเหมือนว่าความกว้างใหญ่ของสนามคัมป์ นู จะไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับฝ่ายทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกดดันอันมหาศาล ให้กับบรรดาแข้งพันล้านที่ย้ายเข้ามาอีกด้วย เช่นเดียวกับดาวเตะดีกรีแชมป์โลกชาวฝรั่งเศสรายนี้
การย้ายทีมแบบทำร้ายจิตใจแฟนตราหมี ก็ดูจะเป็นแรงกดดันที่หนักพออยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเล่นกับขาใหญ่ในทีมบาร์ซาอย่าง ลิโอเนล เมสซี แล้วโดนเม้าท์ว่าไม่เข้าพวก ยิ่งทำให้บั่นทอนสภาพจิตใจไม่น้อย บวกกับการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่อย่าง เอร์เนสโต บัลเบรเดร์ มาเป็น กีเก เซเตียน กลางคัน ยิ่งทำให้ความว้าวุ่นใจเพิ่มเข้าไปเป็นสองเท่า
แต่อย่างไรก็ตาม กรีซมันน์ พยายามลบคำสบประมาททั้งหลาย ด้วยการทุ่มเทแบบเกินร้อยทุกครั้งที่ลงสนาม เพื่อลบภาพทั้งหมดที่สื่อพยายามยัดเยียด ซึ่ง 15 ประตูจาก 48 นัด ภายใต้ยูนิฟอร์มบาร์ซาในขวบปีแรกของเจ้าตัว อาจจะดูน้อยไปหน่อยแง่ของความคาดหวัง แต่นั่นก็อาจจะเป็นแรงขับชั้นดี ที่ทำให้ดาวเตะวัย 29 ปีรายนี้ ได้สู้ต่อไปในฤดูกาลหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ติวเข้มสุขาภิบาลอาหาร ช่วงโควิด-19
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 การรักษาสุขอนามัยถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอาหารและน้ำ ที่ต้องสะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภค ขณะที่ผู้ประกอบการและผู้สัมผัสอาหาร ควรเรียนรู้หลักสุขาภิบาลอาหารที่โรงแรมซิตี้พาร์ค อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสันติ เกิดโมฬี รองปลัดเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา เปิดกิจกรรมการอบรมหลักสูตร “การสุขาภิบาลอาหาร สำหรับผู้ประกอบกิจการด้านอาหาร” โครงการพัฒนาสุขาภิบาลสถานที่ผลิตและจำหน่ายอาหาร” โดยมีเจ้าของและผู้ที่หน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายอาหารในพื้นที่ ทน.นครราชสีมา จำนวน 300 ราย รับฟังการชี้แจงให้ความรู้หลักสุขาภิบาลอาหาร และอันตรายที่เกิดจากอาหารและน้ำไม่สะอาดปลอดภัย มาตรฐานการสุขาภิบาลอาหารและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสาธิตและฝึกปฏิบัติการบริหารจัดการความสะอาดด้านอาหารและสถานที่จำหน่าย เพื่อให้บริการอาหารที่สะอาดปลอดภัยต่อผู้บริโภคนายสันติ เปิดเผยว่า บริบทของเมืองโคราชเจริญเติบโตและขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้า การคมนาคมอย่างรวดเร็ว ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งวิถีการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป มีปัญหาการว่างงาน ประชาชนส่วนหนึ่งหันมาประกอบอาชีพอิสระ โดยจำหน่ายอาหารเพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบร้านอาหารแผงลอย และการจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ หากขาดความรู้ความข้าใจ เรื่องการสุขาภิบาลอาหารที่ถูกต้องถูกสุขอนามัย อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยได้รองปลัด ทน.นครราชสีมา กล่าวต่อว่าผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหารจำเป็นต้องทราบองค์ความรู้ ทันเหตุการณ์ และนำไปใช้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง โดยมีความรู้ความเข้าใจนำไปพัฒนาร้านแผงลอยให้สะอาด ถูกสุขลักษณะเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และโรคติดต่อที่เกิดจากอาหารและน้ำ เกิดความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคอย่างยั่งยืน
ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ เมคอัพ สกินแคร์ ที่คนไทยเข้าใจผิดบ่อยๆ
เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวแต่ละตัวล้วนมีประเภทและการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งนั้นอาจทำให้คุณสับสนว่าตัวไหนที่เหมาะกับคุณกันแน่ มาดูกันว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่คนทั่วไปมักใช้ผิดบ่อยๆ นั้นมีอะไรบ้าง
Lotions and creams
สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณจะพบเห็นบนชั้นวางบ่อยที่สุดและในบางครั้งเราก็สงสัยว่าควรจะเลือกอันไหนมากกว่ากันเพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆ ทั้ง ครีมและโลชั่น นี้มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน ในครีมจะมีน้ำมันมากกว่าโลชั่น ซึ่งหมายถึง จะสามารถให้ความชุ่มชื้นและช่วยป้องกันไม่ให้ผิวคุณแห้ง หลังจากที่คุณอาบน้ำเสร็จ หรือในระหว่างวันที่คุณจะสูญเสียน้ำตามตามธรรมชาติของผิวคุณ ดังนั้นหากคุณเป็นคนผิวแห้งแล้ว ครีมอาจเป็นสิ่งที่คุณกำลังมองหา สำหรับใครที่มี ผิวธรรมดา เราขอแนะนำให้คุณใช้ครีมในช่วงฤดูหนาว และใช้ โลชั่นในช่วงฤดูร้อน
Serums, essences, and ampoules
หลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับ เซรั่ม (Serums) มากกว่า เอสเซ้น (Essences) และ แอมพอว (Ampoules) เซรั่มมีส่วนผสมที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับครีมและโลชั่น แต่ก็มีราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน โชคดีที่เซรั่มใช้เพียงแค่หยดเล็กๆก็เพียงพอ เอสเซ้น ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเซรั่ม ประสิทธิภาพอาจจะน้อยกว่านิดหน่อย แต่ให้ความเบาบางที่มากกว่า
ทั้งสองสิ่งนี้มีการใช้งานที่คล้ายๆ อาจเปลี่ยนใช้สลับกันไปมาเพราะมีลักษณะที่คล้ายกันมาก ขณะที่ เอสเซ้น เป็นที่นิยมกันในกลุ่มของบรรดา แบรนด์สกินแคร์จากประเทศเกาหลี สิ่งที่น่าสนใจมากอีกหนึ่งตัวคือ แอมพอว ใช้เมื่อเวลาที่คุณต้องการบำรุงอยากมากหลังจากที่ผิวของคุณผ่านวิกฤติต่างๆมา คุณควรใช้สิ่งนี้เป็นอันดับแรกก่อนตามด้วยอีก 2 ผลิตภัณฑ์ข้างต้น
Primer, foundation, and BB cream
ไพร์เมอร์ (Primer) เป็นสิ่งที่ช่วยเตรียมผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ซึ่งช่วยเติมเต็มร่องและรูขุมขน เพื่อให้ผิวหน้าของคุณเรียบเนียน มักจะใช้เพียงเล็กน้อย มีทั้งแบบไม่มีสี หรือ บางแบรนด์ อาจจะมีเชดสีให้เลือก สำหรับที่คุณต้องการปกปิดเป็นพิเศษ รองพื้น (Foundation) แม้ว่าสิ่งที่ลงต่อจากไพร์เมอร์ แต่สีของรองพื้นจะติดอยู่กับผิวคุณได้ดีกว่า บีบีครีม(BB Cream) น้องใหม่ที่รวมทุกสิ่งเข้าด้วยกันทั้ง ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไพร์เมอร์ และ รองพื้น ทั้งหมดรวมอยู่ในหนึ่งเดียวเพื่อลดขั้นตอนในการแต่งหน้า สำหรับใครที่ไม่ต้องการแต่งหน้าหนา หรือต้องการความรวดเร็วประหยัดเวลา
Contour and bronzer
ทั้งสองสิ่งนี้มีเชคสีที่เข้มกว่าผิวของคุณ แถมยังชอบวางบนเค้าเตอร์ข้างกันซะอีก ว่าแต่ว่าสองตัวนี้มีความแตกต่างกันยังไงนะ?
คอนทัวร์ (Contour) มักจะมาควบคู่ไปกับการไฮไลท์เพื่อสร้างมิติให้กับหน้าของคุณมากขึ้น โดยจะคอนทัวร์บริเวณใต้โหนกแก้ม กรอบหน้า และบริเวณอื่นๆที่คุณต้องการให้ดูเล็กและเรียวขึ้น
บรอนเซอร์(Bronzer) ใช้ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป โดยใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนสีผิวของคุณให้กลายผิวแทนเหมือนอาบแดด ใช้เพียงเล็กน้อยบริเวณสันจมูก และ โหนกแก้ม เน้นว่าโหนกแก้มไม่ใช้ใต้โหนกแก้ม จะทำให้ผิวคุณดูมีสุขภาพดี ห้ามสับสนระหว่างสองสิ่งเด็ดขาด
คำศัพท์ที่ใช้ในการแต่งหน้า ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เพื่อการตลาดและใช้เพื่อดึงดูดคุณหลังจากที่ออกผลิตภัณฑ์ หากคุณรู้ความหมายและสามารถเลือกเพียงของที่เหมาะกับคุณแล้วจะช่วยคุณประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณ และยังจะทำให้การไปช้อปปิ้งของคุณสนุกมากขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
เบนซ์ S-Class ดาวน์ 0% นาน 5 ปี
สตาร์แฟลก อัดแคมเปญหวังกระตุ้นยอดขาย ชูไฮไลท์ “S-Class ดาวน์ 0% นาน 5ปี” หรือ อาชีพพิเศษดาวน์ 0% นาน 60 เดือน พร้อมเพิ่มบริการใหม่ Star Angel Assistance ทำหน้าที่เสมือนเลขาส่วนตัวคอยดูแลลูกค้า
นายชยุส ยังพิชิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สตาร์แฟลก จำกัด ในนาม เบนซ์สตาร์แฟลก ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ กล่าวว่า เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า จึงได้จัดทำแคมเปญพิเศษที่รวบรวมทั้งโปรโมชันทั้งรถใหม่ – รถผู้บริหารไมล์น้อย หรือข้อเสนอด้านบริการหลังการขาย ในชื่อแคมเปญ I Love Mercedes-Benz ที่เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม
สำหรับแคมเปญดังกล่าวประกอบไปด้วย ลูกค้าที่ซื้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ หลากหลายรุ่น ดอกเบี้ยเพียง 0.99 % นาน 48 เดือน หรือ อาชีพพิเศษได้แก่ แพทย์ เภสัชกร นักบัญชี ผู้พิพากษา ผู้บริหาร ดาวน์เริ่มต้น 0% นาน 60 เดือน นอกจากนั้นแล้วลูกค้าที่ซื้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class ดาวน์ 0% นาน 5ปี แถมฟรีประกันภัยชั้น 1 และ Mercedes-AMG ราคาพิเศษทุกรุ่น
ขณะที่รถผู้บริหาร ไมล์น้อย ดาวน์ 0% (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการเท่านั้น) หรือ นำรถเก่ามาแลกรถใหม่
นายชยุส กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้แคมเปญดังกล่าวยังมาพร้อมบริการเสริมใหม่ๆสำหรับบริการหลังการขายให้กับลูกค้า อาทิ “Benz Star Flag Star Angel Assistance” โดยเหล่า Star Angel Assistance เปรียบเสมือนเลขาส่วนตัวที่จะดูแลและตอบทุกข้อสงสัยตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้านำรถเข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการหลังการขาย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า
นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯยังมีบริการรถทดแทน ให้ใช้ฟรีระหว่างซ่อม(*รุ่นรถเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) เมื่อนำรถมาซ่อมสี-ตัวถัง เปลี่ยนถ่ายนำมันเครื่องหรือเช็คระยะ ซึ่งเบนซ์สตาร์แฟลกมอบสิทธิพิเศษ ผ่อน 0 % นาน 6 เดือน (เฉพาะบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
บริการ No Warranty No Worry สำหรับลูกค้าที่รถหมดวารันตีแล้ว เบนซ์สตาร์แฟลกพร้อมดูแล มอบอะไหล่แท้ (Reman) คุณภาพเหมือนอะไหล่ชิ้นใหม่ ในราคาที่ประหยัดกว่า พร้อมรับประกัน 2 ปี
นายชยุส กล่าวเพิ่มเติมว่า ความพิเศษของเบนซ์สตาร์แฟลก คือการมีศูนย์บริการหลังการขายสำหรับ Mercedes-AMG โดยเฉพาะที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์และรองรับการให้บริการคนรักรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG ซึ่งศูนย์บริการหลังการขายครบวงจร Mercedes-AMG Performance Center Workshop ตั้งบนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร พร้อมช่างผู้ชำนาญการเฉพาะทางของ AMG Certified
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
7 สมุนไพรแก้ผมหงอก…พิชิตผมขาวด้วยสมุนไพรธรรมชาติ
“ผมหงอก” เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกายที่คนส่วนใหญ่คงไม่อยากเผชิญเป็นแน่แท้ แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของร่างกาย แต่พอมีผมหงอกไม่ว่าจะมากน้อย มันกลับทำให้ดูแก่มากขึ้น แล้วใครล่ะจะยอมให้มันเป็นแบบนั้น ก็ต้องหาสารพัดวิธีมาทำให้ผมที่หงอกขาวกลับมาดำสนิทดังเดิม บางคนอาจจะเลือกวิธีง่ายๆ อย่าง การย้อมสีผม แต่บางคนก็กลัวผลกระทบที่อาจจะเกิดจากสารเคมี จึงเลือกใช้วิธีบ้านๆ อย่างสมุนไพร เพราะต้องปลอดภัยมากกว่าอย่างแน่นอน การใช้สมุนไพรแก้ปัญหาผมหงอกนั้นมีหลากหลายสูตร ซึ่งวันนี้ทางเราได้รวบรวมมาฝากกัน รับรองว่าทำตามได้ง่ายๆ จะมีวิธีไหนกันบ้าง ตามมาดูกันได้เลยค่ะ
ผมหงอก คือ?
ผมหงอก คือ เส้นผมสีเทาหรือสีขาว ซึ่งโดยมากเกิดจากการเปลี่ยนตามธรรมชาติของร่างกาย สีผมเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นโดยพันธุกรรมที่แตกต่าง ซึ่งสีจะอ่อนเข้มข้นไม่เหมือนกัน เช่น ในโซนเอเชียสีผมมักจะเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ถ้าเป็นโซนตะวันตกผมจะมีสีน้ำตาลอ่อน สีบลอนด์ สีขาว
เส้นผมจะมีเม็ดสีเป็นส่วนประกอบซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมมีสีอ่อนเข้มไม่เหมือนกัน ส่วนกลไกการเกิดผมหงอกเกิดจากการที่รากผมไม่ผลิตเม็ดสี จึงทำให้ผมไม่มีสี ผมจะกลายเป็นสีขาวสีเทาเงิน มักพบในผู้สูงวัย แต่ว่าก็สามารถพบได้ในผู้ที่อายุน้อยๆ ได้เช่นกัน
สาเหตุของผมหงอก
ผมหงอกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากธรรมชาติของร่างกาย แต่ก็มีปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ทำให้ผมหงอกได้เช่นกัน ดังนี้
1. อายุ ในวัยทารกผมจะมีสีอ่อน แต่จะเริ่มเข้มขึ้นตามอายุหรือกรรมพันธุ์ และจะเปลี่ยนสีเทา สีขาว เมื่อแก่ตัวลง แต่ว่าบางคนอาจจะมีผมสีขาวมาตั้งแต่เกิดเลยก็ได้
2. เจ็บป่วย โรคบางโรคทำให้ผมหงอกได้ เช่น โรคด่างขาว โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผมจะหงอกเป็นหย่อมๆ โรคขาดสารอาหาร เส้นผมจะอ่อนแอ ขาดง่าย ลักษณะแบนและบาง และหงอกไวกว่าอายุ แต่ว่าถ้ากลับมารับประทานอาหารดีๆ เส้นผมสามารถกลับมามีสุขภาพดีได้ หรือคนที่เป็นโรคโลหิตจาง เลือดจะไปหล่อเลี้ยงผมไม่พอ ผมจะมีสีซีดจางหรือหงอกเร็วได้ เป็นต้น
3. อารมณ์ไม่ปกติ ในคนที่พบเจอสถานการณ์ที่ส่งผลรุนแรงต่อจิตใจ เช่น ตกใจ ช็อค หรือกลัวมาก ผมอาจจะหงอกชั่วคราวได้และร่วงเป็นหย่อมๆ เนื่องมาจากรากผมหยุดการเจริญเติบโตกะทันหัน บางคนอาจจะหงอกได้หลังเจอเรื่องร้ายๆ แค่เพียง 1 วันเท่านั้น
4. ยาและสารเคมี การรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยยาบางชนิด อาจทำให้ผมหอกได้ เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่อยา หรือการได้รับสารเคมีบางอย่างนานๆ เช่น เหล้า บุหรี่ ก็ทำให้มีแนวโน้มผมหงอกไวกว่าปกติ
5 สมุนไพรแก้ผมหงอก
1. งาดำแก้ผมหงอกงาดำเป็นสุดยอดธัญพืชที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินบีที่ช่วยฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาแข็งแรง เงางาม มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการหงอกของเส้นผม ช่วยให้เส้นผมที่เกิดใหม่มีสีดำ ผมจะหนาและแข็งแรงขึ้น ไม่หลุดร่วง วิธีการก็แค่นำงาดำมารับประทาน อาจจะใส่ผสมในอาหารทุกมื้อ ทำเครื่องดื่มดื่มทุกเช้า ผสมในน้ำสลัด ผสมในนมก็อร่อยเช่นกัน แต่ว่างาดำหากทานทั้งเมล็ดจะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่เท่าที่ควร ดังนั้นนำงาดำมาบดให้ละเอียดก่อนรับประทานจะดีที่สุดค่า
2. ว่านหางจระเข้แก้ผมหงอกว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ในด้านสุขภาพและความงามอย่างมาก นอกจากจะนำมาบำรุงผิวยังนำมาบำรุงผมได้อีก สำหรับการใช้ว่านหางจระเข้มาแก้ผมหงอกนั้นทำได้โดยเตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ว่านหางจระเข้ น้ำกะทิและน้ำมันจมูกข้าว นำทั้ง 3 อย่างมาปั่นผสมกันให้ละเอียด จากนั้นนำมาชดลมให้ทั่วศีรษะ นวดให้ทั่วแล้วหมักทิ้งเอาไว้ 20-30 นาทีแล้วล้างออก ช่วยบรรเทาอาการคัน แก้หนังศีรษะแห้ง ทำให้รากผมและเส้นผมแข็งแรง กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม
3. ใบบัวบกแก้ผมหงอกใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องการแก้ช้ำใน (ไม่ใช่แก้อกหักนะ)และแก้ปวดบวมอักเสบ แต่ก็เอามาใช้แก้ปัญหาผมหงอกได้หมือนกัน แต่ต้องนำมาทำเป็นครีมหมักผมก่อน คือ นำใบบัวบกสด 1 กำมือไปปั่นละเอียด คั้นเอาแต่น้ำแล้วไปเคี่ยวรวมกับน้ำมันมะพร้าวจนเข้ากันที ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาหมักผมทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด สระผมด้วยแชมพูธรรมดาอีกรอบเป็นอันเสร็จ ทำซ้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รับรองว่าไม่นานผมจะกลับมาดำขลับเหมือนเดิมแน่นอน
4. ใบฝรั่งแก้ผมหงอก ใบฝรั่งถือเป็นสมุนไพรที่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมได้อยากหลากหลาย เช่น ผมบาง ศีรษะล้าน รวมไปถึงผมหงอกด้วย ใครที่ผมหงอกมากๆ ผมหงอกก่อนวัยหรือมีปัญหาผมแห้งเสีย ขาดร่วง ให้นำใบฝรั่งสดมาปั่นละเอียดแล้วผสมน้ำ จากนั้นเอามาหมักผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมที่งอกใหม่งอกน้อยลง อีกทั้งยังทำให้ผมดกดำมากขึ้นด้วย
5. บอระเพ็ดแก้ผมหงอก นำบอระเพ็ดสด 3 กิโลกรัมมาหั่นท่อน จากนั้นนำไปตำหรือปั่นให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นนำไปคั้นกับมะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม เอาน้ำกะทิบอระเพ็ดที่ได้ไปเคี่ยว ใส่ขิงซอยบางๆตามลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆจนน้ำระเหยออกหมด จะได้น้ำมัน เอามากรองกากออกด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำมันนวดศีรษะสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง นวดแล้วหมักทิ้งไว้นาน 15-30 นาทีค่อยล้างออก ส่วนน้ำมันที่เหลือก็เก็บใส่ภาชนะปิดมิดชิด
6. ดอกอัญชันจัดการผมหงอก เตรียมดอกอัญชัน 15 ดอก น้ำมันมะกอกอีก 1 ช้อนชา จากนั้นนำดอกอัญชันไปล้างให้สะอาด ปั่นจนละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำมันมะกอกลงไปแล้วคนให้เข้ากัน นำส่วนผสมที่ได้มานวดให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำซ้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ดอกอัญชันจะช่วยให้ผมกลับมาดำเงา ส่วนน้ำมันมะกอกช่วยบรรเทาอาการผมแห้งเสียขาดร่วงค่ะ
7. กระเทียมรักษาผมหงอก กระเทียมเป็นสมุนไพรที่หลายคนไม่ทราบว่านำมาช่วยแก้ปัญหาผมหงอกได้ เพียงนำกระเทียมขนาดกลาง 4-5 หัว มาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด จากนั้นสับหรือตำจนละเอียด นำไปใส่ในขวดหรือโหลแก้ว จากนั้นเติมน้ำมันมะกอกลงไปพอปริ่มๆกระเทียม หมักทิ้งไว้ 2 วัน จะได้น้ำมันกระเทียม นำมานวดและหมักผมทิ้งไว้ 30-45 นาทีแล้วล้างออก สระผมด้วยแชมพูตามปกติเพื่อดับกลิ่นกระเทียม ทำซ้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 เดือน จะสังเกตได้ว่าผมที่ขึ้นใหม่ไม่ค่อยมีผมหงอกแล้วค่ะ
ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ผมหงอกช้าลง
1. ใส่ใจอาหาร เลือกรับประทานแต่อาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากใครมีปัญหาเรื่องผมอาจจะเน้นรับประทานอาหารในกลุ่มที่ช่วยบำรุงผมในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิด โดยสารอาหารที่ทำให้เส้นผมแข็งแรงได้แก่
- วิตามินเอ ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง หนังศีรษะสุขภาพดี มักพบในอาหารจำพวกผักใบเขียวและเหลือง ผลไม้สีเหลืองและสีส้ม
- วิตามินบี ช่วยให้ผมแข็งแรงตลอดทั้งเส้น โคนผมยึดตัวได้ดี ไม่หลุดร่วงง่าย ทำให้ผมชุ่มชื่น เงางามและมีน้ำหนัก พบมากในผักใบเขียว ธัญพืช มะเขือเทศ กล้วย เป็นต้น
- แร่ธาตุ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อสุขภาพเส้นผม เช่น ทองแดง เหล็ก สังกะสี พบมากในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง อาหารทะเล ธัญพืช
- โปรตีน นั้นเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและบำรุงเส้นผม พบได้ในอาหารประเภท เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง เป็นต้น
2. ลด ละ เลิกการสูบบุหรี่ เพราะผู้ที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสผมหงอกไวกว่าผู้ที่ไม่ได้สูบมากถึง 4 เท่า
3. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ความเครียดทำให้เซลล์ทั่วร่างกายแก่ไวขึ้น รวมถึงเส้นผมด้วย จะสังเกตได้ว่าผู้ที่มีอารมณ์ดีและแจ่มใสอยู่เสมอ จะดูเด็กกว่าวัย ผิวพรรณเหี่ยวย่นน้อยกว่า ผมไม่งอกเร็ว
4. ใช้ชีวิตอย่างพอดี การทำงานหนักเกินไป การพักผ่อนน้อย การไม่ออกกำลังกายเลย หรือพฤติกรรมอย่างอื่นที่ไม่พอดีในการใช้ชีวิต ล้วนมีส่วนทำให้ผมหงอกเร็วขึ้น ดังนั้นอย่าลืมหาจุดสมดุลให้ชีวิตกันด้วยนะ
เป็นอย่างไรกันบ้างกับสารพัดวิธีสมุนไพรแก้ผมหงอกที่เรานำมาฝาก ทำตามได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ใครที่กำลังกลุ้มใจกับปัญหาผมหงอกอยู่ ลองนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ แต่อย่าลืมว่าผมหงอกคือการเปลี่ยนแปลงปกติของร่างกาย เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหนึ่งผมจะเปลี่ยนไปเป็นสีขาวทั้งหมด ดังนั้นไม่อยากให้กังวลมากจนเกินไป พยายามดูแลรักษาและชะลอให้ผมหงอกช้าที่สุด แต่ถ้าหงอกมากแล้วก็ให้มองในแง่บวกว่าเป็นอีกพัฒนาการหนึ่งของร่างกายค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,300.00 | 29,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,898.00 | 28,773.68 | 29,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,708.20 | 25,896.31 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,518.40 | 23,018.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 854.00 | 12,946.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 664.00 | 10,066.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,967.00 | 29,819.72 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/08/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.95 | 21.95 | 22.35 | 21.95 | 21.95 | 21.95 | 21.95 | 21.95 | 21.95 | 21.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.68 | 21.68 | 22.08 | 21.68 | 21.68 | 21.68 | 21.68 | 21.68 | 21.68 | 21.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.44 | 20.44 | 20.84 | 20.44 | 20.44 | – | 20.44 | 20.44 | 20.44 | 20.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.19 | 18.19 | – | – | – | – | – | – | – | – |
เบนซิน 95 | 29.36 | – | – | – | 29.81 | – | 29.86 | 29.36 | – | 29.36 |
ดีเซล | 21.99 | 21.99 | 22.29 | 21.99 | 21.99 | 21.99 | 21.99 | 21.99 | 21.99 | 21.99 |
ดีเซล B10 | 18.99 | 18.99 | 19.29 | 18.99 | 18.99 | 18.99 | 18.99 | 18.99 | 18.99 | 18.99 |
ดีเซล B20 | 18.74 | 18.74 | 19.04 | 18.74 | 18.74 | – | 18.74 | 18.74 | – | 18.74 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 26.44 | 26.46 | 28.74 | 28.44 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 14.41 | 14.41 | – | – | – | – | – | – | – | – |