ขยาย อีลิทพ่วงวีซ่า คลุมคอนโดลีสโฮลด์
คอนโดฯหรู เกิน10 ล้าน บนที่ทรัพย์สิน-ราชพัสดุ เฮลั่น TPC จ่อ ขยาย 2 เกณฑ์ต่างชาติ คลุม ลีสโฮลด์-ซื้อวางมัดจำ ได้สิทธิ์วีซ่า 5 ปี จับสัญญาณ หลายโครงการดัง หลังสวน สยามสินธร -ทริปเปิ้ล วาย สามย่านมิตรทาวน์ CBD-ริมน้ำรอเสริฟ TPC เผยรายใหญ่ 30 รายเข้าร่วม
สถานการณ์โควิด -19 ที่เดิม เป็นปัจจัยบวกล่อการลงทุนของต่างชาติ ให้แห่เข้ามาในประเทศไทย โดยคาดปี 2564 อาจะทะลักเข้ามาในหลายรูปแบบ จากการที่รัฐบาลไทยได้รับเสียงชื่นชมยกย่องไปทั่วโลก ว่าสามารถควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยมนั้น ทำให้ไทยได้กลายเป็นเป้าหมาย” เมืองอสังหาฯน่าอยู่ติดอันดับโลก หลังคาดยุคหลังโควิด จะมีดีมานด์ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว ในแง่ Second Home และซื้อเพื่อลงทุนจากลูกค้าต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนนำมาซึ่งนโยบายดึงดูดน่าสนใจ ด้วยการให้วีซ่าระยะยาว แลกกับการซื้ออสังหาฯ ทางอ้อม ผ่านโครงการบัตร “Elite Flexible One”
โดยบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้ผลักดัน เจาะการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมใหม่ก่อสร้างเสร็จพร้อมอยู่ มูลค่าไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท จะได้สิทธิวีซ่า อายุ5 ปี และบริการอื่นๆ โดยได้สร้างความตื่นตัวในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่น้อย
ล่าสุด นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (TPC) เผยว่า กรณีมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ สนใจเข้าร่วมในโครงการบัตรดังกล่าว ราว 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แทบทั้งสิ้น คาดเพื่อต้องการระบายสต็อก และเพิ่มกระแสเงินสด พร้อมได้เสนอแนะเงื่อนไขอื่นๆเข้ามาหลายข้อ โดยเฉพาะ การขอเพิ่ม 2 หลักเกณฑ์ ให้สิทธิ สำหรับการซื้อ-โอนกรรมสิทธิ์ในโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใน 1.กลุ่มรูปแบบลิสต์โฮลด์ (สัญญาเช่า 30 ปี) ร่วมด้วย ซึ่งเดิมทีจำกัดแค่กลุ่มฟรีโฮลด์
รวมถึง ครอบคลุมไปยัง 2. การซื้อลักษณะวางมัดจำไว้ แต่ไม่สามารถเข้ามาดูห้อง ทำสัญญาได้ ซึ่งเป็นยอดขายก้อนใหญ่ของผู้ประกอบการที่ต้องการให้ผลักดัน โดยตนเองเตรียมนำข้อเสนอดังกล่าว เข้าที่ประชุมคณะกรรมการเร็วๆ นี้ หากเพิ่มเพดานได้ คาดเม็ดเงินลงทุนอสังหาฯ ที่วางไว้ว่าจะเกิดขึ้นมากกว่า 1 พันล้านบาท อาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม และไม่นับรวม ผลที่จะเกิดกับโปรแกรมพิเศษใหม่
“Elite Flexible Plus” ซึ่งกำลังผลักดัน และได้รับอนุมัติในหลักการจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แล้ว โดยหลักเกณฑ์นั้น จะเสนอขายใบละ 1-2 ล้านบาท สำหรับสมาชิกใหม่ ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทย ผ่าน 3 หมวดสำคัญ โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ ในมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป หรือ 30 ล้านบาทขึ้นไป จะได้สิทธิวีซ่า 10-20 ปี
อีกด้าน นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาและตัวแทนขายด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ให้ความเห็น “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียม กลุ่มลิสโฮลด์ ใจกลาง ซีบีดี โดยเฉพาะย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4 หรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ล้วนเป็นทำเลที่มีดีมานด์ ของกำลังซื้อระดับบนรองรับ และเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติจำนวนมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมดี ปลอดภัย เหมาะกับการพักผ่อน ใช้ชีวิต แม้จะเป็นในลักษณะการซื้อ ที่ไม่ได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ก็ตาม โดยส่วนใหญ่เป็นการถือครองแบบสัญญาเช่า 30 ปี
ส่วนกรณี ททท. เล็งเพิ่มเงื่อนไข ให้โครงการสร้่างเสร็จพร้อม ในกลุ่มลีสต์โฮลด์ ร่วมด้วยในบัตร Elite Flexible One นั้น มองจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติขึ้นมาก และเป็นผลดีกับผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะโครงการดัง เช่น โครงการ สินธร เรสซิเดนซ์ จากผู้พัํฒนาบริษัท สยามสินธร จำกัด ซึ่งเป็นคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรี ราคาขายเฉลี่ย 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ ยูนิตละ 10 ล้านบาทขึ้นไป ขณะอัตราปล่อยเช่าสำหรับชาวต่างชาติ อยู่ที่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมา การขายไม่หวือหวา เนื่องจากคนไทยให้การตอบรับน้อย จากปัจจัยลักษณะการถือครอง, ราคา และขนาดห้องใหญ่
อีกหนึ่งโครงการที่น่าจับตา สำหรับการซื้อเพื่อลงทุน คือ โครงการ ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นท์ โดย บมจ. เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (เดิม: โกลเด้นท์แลนด์) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการมิกซ์ยูส สามย่านมิตรทาวน์ ทำเลจุฬา-สามย่าน ซึ่งแม้จะมีราคาต่อยูนิตไม่สูงถึงระดับ 10 ล้านบาท อยูุ่ที่ราว 5 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ย 1.2 แสนบาทต่อตร.ม.เท่านั้น แต่เนื่องจาก ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีกลุ่มผู้เช่าชัดเจน (นิสิต-นักศึกษา)ทำให้เป็นที่หมายตาของต่างชาติ ในการซื้อเพื่อลงทุนรวมกันหลายยูนิต เช่นกัน ส่วนซัพพลายที่อยู่ระหว่างการขาย ณ ปัจจุบัย มีโดดเด่นทั้งสิ้น 8 โครงการ จำนวน 1,546 ยูนิต มูลค่าลงทุน 2.93 หมื่นล้านบาท เหลือขายราว 492 ยูนิต
ขณะความเคลื่อนไหว เมื่อไม่นานมานี้ อสังหาริมทรัพย์รายแรก ที่ประกาศตัวเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว คือ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดคอนโดฯในกลุ่มลักชัวรี ราคาขายมากกว่า
10 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 11% ของตลาดหน่วยใหม่ประมาณ 1 หมื่นหน่วย (ปี 2561- มิ.ย.ปี 2563) ซึ่งมีฐานลูกค้าต่างชาติ จีน ฮ่องกง เกาหลี และไต้หวัน เต็มโควต้า 49% ในทุกโครงการ จับจังหวะทอง เพื่อใช้ในการเร่งให้ต่างชาติเข้ามาโอนกรรมสิทธิ์ และขายเพิ่ม ใน 3 โครงการขนาดใหญ่ ที่มียอดขายสูง 80-99% ได้แก่ เดอะ ลอฟท์ สีลม, เดอะ รีเวอร์ และ เดอะ ดิโพลแมท 39 โดยต่างมีราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม.
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานคณะกรรมการบริหาร ไรมอน แลนด์ คาดหวังว่า ในระยะที่เข้าร่วม 2 ปื จะได้ยอดโอนฯ เพิ่ม และยอดขายใหม่ 200 ล้านบาท “เป้าประสงค์หลัก ต้องการขยายฐานลูกค้าต่างชาติและเรียกความสนใจในโครงการเดอะ ลอฟท์ สีลม ซึ่งมีราว 40 ยูนิตรอโอนฯ และอีก 800 ตร.ม. รอขายเพิ่ม ส่วนในปี 2565 รอลุ้น ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ อีกหนึ่งโครงการ เข้าร่วม หากก่อสร้างแล้วเสร็จทันกำหนด ซึ่งผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ แต่ได้วีซ่าอยู่ไทย 5 ปี”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘อนันดา’ ออกหุ้นกู้ฯ 2,500 ล้าน เปิดจองซื้อ 12-14 ม.ค.ปีหน้า
อนันดา เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ 2 รุ่น อายุ 1 ปี 9 เดือน ผลตอบแทน 3.90% ต่อปี -อายุ 3 ปี ผลตอบแทน 4.50% ต่อปี มูลค่าไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ส่วนสำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มไม่เกิน 1,000 ล้านบาท รวมไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ผ่าน 5 สถาบันการเงิน ดีเดย์ 12-14 ม.ค. 64
นาย ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างยื่นข้อมูลขอเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 2 รุ่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเป็นหุ้นกู้ฯ อายุ 1 ปี 9 เดือน และอายุ 3 ปี ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.90% ต่อปี และ 4.50% ต่อปีตามลำดับ กำหนดจ่ายผลตอบแทนทุก 3 เดือน จำนวนไม่เกิน 1,500 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมอีกจำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 2,500 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ฯ ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB”
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 5 แห่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย ซีมิโก้ และบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส โดยคาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 12-14 ม.ค. 2564 นี้
“การออกหุ้นกู้ฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงเดือนเมษายน และตุลาคม 2564 โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้อย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตอบรับจาก
ผู้ลงทุนเป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นถึงผู้ลงทุนมั่นใจในการเติบโตและโอกาสในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมติดกับแนวรถไฟฟ้าที่มีโอกาสในการเติบโตสูงและยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ทำให้เรามั่นใจว่า การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเหมือนกับที่ผ่านมาอย่างแน่นอน” ดร. ชัยยุทธกล่าว
แม้ว่าปี 2563 ที่ผ่านมาจะเป็นปีแห่งความท้าทาย เนื่องจากมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนหลายด้าน อย่างไรก็ดี การลงทุนในหุ้นกู้ฯ ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่แสวงหาการลงทุนในตราสารที่มีระยะเวลาลงทุนที่แน่นอน และกำหนดจ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอในระดับที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้
ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยคาดการณ์ไตรมาสที่ 4/2563 จะมียอดโอนสูงสุดของปีซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการรับรู้รายได้ของโครงการร่วมทุนใหม่ถึง 5 โครงการ และ ณ 30 กันยายน 2563 บริษัทฯ ยังคงรักษาเงินสดในกลุ่มรวมโครงการร่วมทุนกว่า 10,000 ล้านบาท และยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ที่ระดับต่ำที่ประมาณ 1.1 เท่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 30.03 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัว
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.03 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าเล็กน้อย จากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 30.05 บาท/ดอลลาร์ แต่มีแนวโน้มทรงตัวเนื่องจากมีธุรกรรมเบาบางเพราะตลาดต่างประเทศหลายแห่งปิดทำการ ขณะที่ดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
“บาทแข็งค่าจากเย็นวานนี้เล็กน้อย แต่ทรงตัวนิ่งๆ เมื่อวานบาทกลับมาแข็งค่าเร็วมากหลังไม่มีประกาศล็อคดาวน์” นักบริหารเงิน กล่าว
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้เป็นเรื่องความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปหลัง Brexit ที่สามารถตกลงกันได้แล้ว แต่อาจไม่มีผลมากนักเพราะเป็นไปตามตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นเรื่องสถานการณ์โควิด-19หลังรัฐบาลปรับแนวคิดในการแก้ปัญหาที่จะไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจหยุดชะงัก
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 29.95-30.10 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ไม่ได้สอนมาแบบนี้ “ตูราม” สุดงง หลังเห็นลูกชายกลายเป็นจอมถุย
“ลิลิยง ตูราม” ยอมรับไม่ปลื้มแบบสุดๆ หลังเห็นลูกชายกลายเป็นนักเตะจอมหัวร้อน ถุยน้ำลายใส่หน้าคู่แข่ง จนกลายเป็นประเด็นดราม่าในลีกเมืองเบียร์
วันที่ 24 ธ.ค.63 เกมบุนเดสลีกาเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ในเกมคู่ระหว่าง โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ที่เปิดบ้านแพ้ให้กับ ฮอฟเฟนไฮม์ ไป 1-2 ปรากฏว่า มาร์คัส ตูราม เก็บอารมณ์ไม่อยู่ ไปถุยน้ำลายใส่หน้า สตาฟาน พอสช์ แนวรับของทีมเยือน ทำให้โดนต้นสังกัดปรับค่าเหนื่อยเป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับโดนเดเอฟเบแบนเพิ่มอีก 6 นัด และปรับเงินอีกราว 4 หมื่นยูโรเป็นการลงโทษ
รวมถึงล่าสุด ลิลิยง ตูราม กล่าวถึงลูกชายว่า “เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสื่อ เพราะผมเองก็ได้ดูเกมนี้อยู่ และรู้สึกตกใจมากเหมือนกัน ผมได้แต่ถามตัวเองว่า นั่นคือลูกชายผมจริงๆ หรือเปล่า”
“หลังจากนั้น มาร์คัส อธิบายกับผมว่า เขาทำไปด้วยความโมโห ทำให้แสดงกิริยาดูถูกคู่ต่อสู้โดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่เขาต้องการให้คนจดจำคือ เขาทำไปโดยไม่เจตนา เพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าเขาเป็นคนที่สามารถถ่มน้ำลายใส่ใครก็ได้ตามใจชอบ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย”.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ป้องกันโควิดงดทานดิบ เลี่ยงสัมผัส
สถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้มีความกังวลเรื่องการบริโภคสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานการตรวจพบโควิด-19 อยู่ในสัตว์น้ำ แต่เพื่อสุขอนามัยที่ดี ไม่ควรทานดิบหรือไม่สุก และไม่ควรใช้มือสัมผัสกับสัตว์น้ำโดยตรง
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ตามที่ประเทศไทยได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ซึ่งแหล่งแพร่กระจายโรคมาจากตลาดกุ้งในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และได้ขยายวงกว้างไปยังพื้นที่อื่น ๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับพี่น้องประชาชนถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยในการบริโภคสัตว์น้ำ อีกทั้งยังกระทบต่อการจำหน่ายสินค้าสัตว์น้ำ รวมถึงการประกอบอาชีพของเกษตรกรชาวประมงเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค กรมประมงจึงขอย้ำชัดอีกครั้งว่า ยังไม่มีรายงานการตรวจพบโควิด-19 อยู่ในตัวของสัตว์น้ำแต่อย่างใด โดยสัตว์น้ำเป็นสัตว์เลือดเย็นไม่มีปอดแต่ใช้เหงือกในการหายใจ และยังมีความแตกต่างของผิวเซลล์ ซึ่งปลามีโครงสร้างไม่เหมือนคนทั้งหมด ทำให้โอกาสที่เชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์เข้าสู่เซลล์ของสัตว์น้ำเป็นไปได้ยาก
“ที่ผ่านมายังไม่เคยมีรายงานการเกิดโรคจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเดียวกันนี้ อาทิ โรคซาร์ส (SARS) และเมอร์ส (MERS) ในสัตว์น้ำที่เป็นสัตว์เลือดเย็นมาก่อน (อ้างอิงข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ นายสัตว์แพทย์ ดร.วิน สุรเชษฐพงษ์ คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) แต่อย่างไรก็ตาม การปนเปื้อนของโควิด-19 อาจเกิดขึ้นได้จากการขาดสุขอนามัยที่ดี”
ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานและสัมผัสสัตว์น้ำ จึงขอให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและผ่านการผลิตที่มีมาตรฐาน เน้นให้ความใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยเป็นสำคัญ โดยไม่ควรรับประทานอาหารสัตว์น้ำที่ดิบหรือไม่สุก และไม่ควรใช้มือสัมผัสกับสัตว์น้ำโดยตรง อาจใช้ถุงมือหรืออุปกรณ์ในการหยิบหรือตัก และล้างทำความสะอาดสัตว์น้ำเป็นอย่างดีก่อนทำการปรุงอาหารทุกครั้ง
ซึ่งโควิด-19 จะถูกทำลายด้วยความร้อนที่ 56 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 30 นาที และหากความร้อนสูงขึ้นระยะเวลาที่เชื้อถูกทำลายจะสั้นลง (อ้างอิงข้อมูลจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
นอกจากนี้ กรมประมงยังได้เข้มงวดในการควบคุมความปลอดภัยและสุขอนามัยในสินค้าสัตว์น้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคตลอดสายการผลิต โดยมีการตรวจสอบแหล่งที่มาของสัตว์น้ำที่วางจำหน่ายก่อนถึงมือผู้บริโภค อีกทั้งยังเพิ่มมาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพและสุขอนามัยในกลุ่มเกษตรกร ชาวประมง และผู้ประกอบการ
พร้อมติดตามเฝ้าระวัง และป้องกันการระบาดของโรคร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดมาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพและการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การคัดกรองลูกเรือประมงและคนประจำเรือในช่วงเวลาเข้า-ออก ณ ท่าเทียบเรือประมงทุกแห่ง การกำหนดมาตรการป้องกันการปนเปื้อนของโควิด-19 ในแรงงานที่เข้าไปทำงานในโรงงานแปรรูป
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
9 ประโยคง่ายๆ ใช้ขอโทษแทนคำว่า “SORRY”
เวลาที่เราอยากจะเอ่ยปากขอโทษใครสักคนเป็น ประโยคภาษาอังกฤษ นอกเหนือจากคำว่า “Sorry” หรือ “I’m sorry.” แล้ว เราจะกล่าวคำขอโทษอย่างไร เพื่อแสดงความเสียใจได้อีกบ้างนะ มาดูสำนวนภาษาอังกฤษง่ายๆ ที่สามารถเลือกไปใช้ได้ตามสถานการณ์กันเลย
“I sincerely apologize for having overlooked the issue, it was a mistake, and I will make sure it doesn’t happen again.”
“ฉันขอโทษจากใจจริงที่มองข้ามปัญหานี้ไป ซึ่งเป็นความผิดพลาด และจะตรวจเช็กให้มั่นใจ ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก” (เป็นประโยคที่เหมาะสำหรับการขอโทษ หากคุณละเลยหรือหลงลืมอะไรไป)
“Please forgive me.”
ยกโทษให้ฉันด้วย (ประโยคขอโทษแบบทั่วไปที่สามารถใช้ได้หลายกรณี)
“I’m terribly sorry.”
ฉันขอโทษอย่างสุดซึ้ง (ประโยคนี้เหมาะกับการใช้ขอโทษในเรื่องร้ายแรง ซึ่งสามารถต่อท้ายด้วย for แล้วตามด้วยสิ่งที่อยากขอโทษก็ได้)
“I’ve no intention to make you mad I’m really sorry.”
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอโกรธเลย ขอโทษจริงๆ (ประโยคขอโทษอารมณ์แบบง้อแฟน ใครแฟนงอนอยู่เอาไปใช้เลย)
“How sad for you it happened”
ฉันรู้สึกเสียใจกับคุณในสิ่งที่เกิดขึ้น (เป็นการขอโทษแบบอารมณ์สำนึกผิดแล้วจ้า เหมาะกับการใช้ขอโทษแฟนหรือคนที่สนิท)
“It’s unfortunate that it happened.”
ฉันเสียใจมากจนไม่รู้จะแสดงความเสียใจออกมายังไง (เป็นการขอโทษในเชิงออดอ้อนหน่อยๆ เหมาะกับการใช้ขอโทษคนสนิท)
“I made a stupid mistake.”
สิ่งที่ฉันทำมันเป็นความผิดที่โง่เง่ามากเลย (เป็นการขอโทษในเชิงตัดพ้อตัวเองไปอีก)
“I cannot express how sad I am.”
ฉันเสียใจมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไง (เป็นประโยคขอโทษที่ออกจะเป็นทางการนิดหน่อย)
“I promise not to do such nonsense again, I’m wrong and I’ll not do that again”
ฉันยอมรับว่าฉันทำผิดไป ขอสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำอีกหากว่าเราทำผิดไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะเอ่ยคำขอโทษ หวังว่า 9 ประโยค ที่เรานำมาฝากกันนี้จะช่วยให้กล่าวคำขอโทษได้ง่ายขึ้นนะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
OPPOสร้างห้องปฏิบัติการนวัตกรรม5Gในอินเดีย
OPPO ประกาศสร้างห้องปฏิบัติการนวัตกรรมด้าน 5G ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาไฮเดอราบาด ในการพัฒนาเทคโนโลยีหลักเพื่อการเชื่อมต่อด้าน 5G ecosystem โดยการจัดตั้งห้องปฏิบัติการใหม่นี้ถือเป็นก้าวที่ท้าทายของ OPPO ในการขยายการโปรโมท 5G เชิงพาณิชย์ พร้อมเร่งการเปิดตัวเทคโนโลยีด้าน 5G ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในอินเดีย
Levin Liu, หัวหน้าสถาบันวิจัย OPPO Research Institute กล่าวว่า“5G เป็นทิศทางที่จำเป็นอย่างมากมาโดยตลอดในการพัฒนาเทคโนโลยีของ OPPO และประเทศอินเดียก็ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุด พร้อมเป็นที่ที่เราให้ความสำคัญในความสามารถของคนในท้องถิ่นอย่างมาก โดยการสร้างห้องปฏิบัติการ 5G ในอินเดีย เรามีเป้าหมายในการสร้างเทคโนโลยีหลักใน 5G Ecosystem ที่มีความล้ำสมัยมากขึ้น รวมถึงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ของเรา”
โดยการพัฒนานี้ มีความสอดคล้องกันกับกลยุทธ์ 3+N+X ที่แบรนด์ได้ประกาศไปเมื่อไม่นานมานี้ โดย N หมายถึง จำนวนความสามารถที่สำคัญที่ OPPO เป็นผู้นำในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นด้าน 5G, AI และ การเชื่อมต่อ ซึ่งห้องปฏิบัติการนี้จะมีส่วนช่วยในการสร้างวิวัฒนาการของเทคโนโลยีอันก้าวหน้านี้
ในกลุ่มผู้เล่นด้าน 5G, OPPO ถือเป็นแบรนด์ที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดมาตรฐานด้าน 5G, การพัฒนาผลิตภัณฑ์, การพัฒนาแอพพลิเคชั่น และนวัตกรรม พร้อมเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เพียงรายเดียวที่มีส่วนในการผลักดันมาตรฐาน 3GPP แบบครบวงจรในปี 2558 โดยในเดือนกันยายน 2563 OPPO ได้ส่งข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรฐานด้าน 5G แก่ 3GPP มากกว่า 3,000 รายการ และได้ประกาศการจดสิทธบัตรด้าน 5G ใน ETSI อีกมากกว่า 1,000 ฉบับ นอกจากนี้ OPPO ยังเป็นบริษัทที่มีจำนวนสิทธิบัตรด้าน 5G มากเป็น 10 อันดับแรกของโลก อ้างอิงจาก Japanese research institution NGB Corporation
เพื่อเร่งการใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ในตลาดโลก OPPO จึงได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Ericsson และ Qualcomm โดยในปีนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการโทร Voice & Data ผ่านเครือข่าย standalone 5G ในสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ OPPO ยังได้โทรผ่าน WhatsApp บนเครือข่าย 5G เป็นครั้งแรกในอินเดียอีกด้วย และในวันนี้ OPPO ได้ร่วมมือเพื่อมอบบริการด้าน 5G กับองค์กรมากกว่า 50 รายทั่วโลก
เพื่อเสริมสร้างจุดยืนปัจจุบันของ OPPO ในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสานต่อความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมล้ำสมัย OPPO จึงจัดตั้งห้องปฏิบัติการในอินเดียเพิ่มเติมอีก 3 ด้าน เพื่อเจาะลึกในด้านกล้อง, พลังงานและแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพการใช้งาน โดยห้องปฏิบัติการเหล่านี้จะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีล่าสุดและล้ำสมัยที่สุด เพื่อการใช้งานทั่วโลก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สาหร่าย คุณประโยชน์จากทะเล และหลากเรื่องควรรู้
สาหร่าย เป็นส่วนประกอบในอาหารยอดนิยมอย่างซูชิ ต้มจืด ขนมกินเล่น และยังถูกสกัดเป็นอาหารเสริมอีกด้วย หลายคนเชื่อว่าสาหร่ายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดความอ้วน หรือต้านมะเร็ง แต่ปัจจุบัน ทางการแพทย์ยังคงไม่รับรองการใช้สาหร่ายในเชิงการรักษา แม้จะมีข้อมูลวิจัยบางส่วนพิสูจน์คุณประโยชน์ของสาหร่ายแล้วก็ตาม
สาหร่ายปริมาณ 1 ช้อนพูน ให้พลังงานเพียง 4 แคลอรี่ โดยประกอบไปด้วยแคลเซียม ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ โฟเลต แมกนีเซียม และไอโอดีนจำนวนมาก แต่ปราศจากโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน และในสาหร่ายสกัดยังมีสารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารฟิวโคแซนธิน (Fucoxanthin) ที่เชื่อว่าอาจช่วยลดน้ำหนัก และสารฟูคอยแดน (Fucoidan) ที่อาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ เป็นต้น
ความเชื่อและข้อพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ของสาหร่าย
ช่วยลดน้ำหนัก การเลือกรับประทานอาหารเป็นส่วนหนึ่งในวิธีการควบคุมน้ำหนัก มีอาหารเสริมมากมายอ้างสรรพคุณของสารสกัดจากสาหร่ายเพื่อการลดน้ำหนัก ทำให้หลายคนเข้าใจว่าการบริโภคสาหร่ายอาจทำให้ผอมลง ทั้งนี้ มีงานวิจัยบางส่วนได้กล่าวถึงประโยชน์ของสารสกัดจากสาหร่ายว่าอาจช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหาร และช่วยลดความรู้สึกหิว ทำให้มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้
งานวิจัยหนึ่งจากประเทศเนเธอร์แลนด์ศึกษาเรื่องความรู้สึกหิวจากกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 18-60 ปี จำนวน 23 คน โดยให้ผู้ทดลองดื่มเครื่องดื่มไฟเบอร์และสารอัลจิเนต (Alginate) ที่สกัดจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล จากนั้นให้ผู้ทดลองบอกอัตราความหิวของตนในแต่ละครั้งหลังจากดื่มเสร็จ ซึ่งการวิจัยพบว่า ไฟเบอร์และสารอัลจิเนตจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล อาจช่วยให้รู้สึกอยู่ท้องนานถึง 5 ชั่วโมงหลังการบริโภค และอาจทำให้รู้สึกหิวน้อยลงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
อีกงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาในผู้ทดลองเพศหญิง 72 คนซึ่งมีภาวะไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ พบว่ากลุ่มทดลองที่บริโภคสารฟิวโคแซนธินที่ได้จากสาหร่ายและน้ำมันเมล็ดทับทิมมีน้ำหนักตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้บริโภคสารดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยจากห้องทดลองพบว่า สารฟิวโคแซนธินอาจช่วยลดน้ำหนักด้วยการสลายกรดไขมัน และเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายได้ด้วย
เช่นเดียวกับที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติเปิดเผยว่า สารสกัดจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลอาจช่วยเสริมสร้างกระบวนการเผาผลาญอาหาร การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
แม้การศึกษาส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากสาหร่ายอาจมีผลต่อการลดน้ำหนัก แต่งานวิจัยเหล่านั้นเป็นการค้นคว้าในกลุ่มทดลองขนาดเล็ก และบางส่วนก็เป็นการศึกษาในห้องทดลองเท่านั้น จึงยังไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพของสาหร่ายในด้านนี้ได้อย่างชัดเจน และยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการบริโภคสาหร่ายนั้นจะปลอดภัยต่อร่างกาย หรือให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้ดีกว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายแต่อย่างใด
ลดระดับน้ำตาลในเลือด ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอาจเป็นเหตุให้เผชิญโรคหรือมีอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ตามมาได้ นอกเหนือจากการรักษาโดยแพทย์ หลายคนเชื่อว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างสาหร่ายอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวานได้
มีงานวิจัยหนึ่งทดลองในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานชาวเกาหลีโดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกควบคุมให้บริโภคอาหารปกติ และกลุ่มที่ 2 บริโภคสาหร่ายปริมาณ 48 กรัม/วัน หลังการทดลองปรากฏว่า กลุ่มที่บริโภคสาหร่ายได้รับไฟเบอร์สูงกว่าอีกกลุ่ม 2.5 เท่า และมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ อีกหลายงานวิจัยยังพบว่า สารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) และไฟเบอร์จากสาหร่าย อาจช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องหลังมื้ออาหาร ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นร่างกายให้ไวต่ออินซูลิน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหล่านี้เป็นการวิจัยขนาดเล็กที่จัดทำขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ทดลองในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก และยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนเพียงพอ ดังนั้น จึงควรมีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากพอยืนยันประสิทธิผลของสาหร่ายต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางการรักษาโรคเบาหวานและอาการอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต
ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง จากแหล่งที่มาตามธรรมชาติ สาหร่ายอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร สารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย จึงคาดว่าสาหร่ายอาจดีต่อสุขภาพ และป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โดยมีงานวิจัยบางชิ้นศึกษาสารสกัดต่าง ๆ จากสาหร่ายทะเลหลากชนิดแล้วพบว่า สารเหล่านั้นอาจทำลายและชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะสารฟูคอยแดนที่สกัดจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล อาจมีฤทธิ์ต้านมะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านมได้ด้วยเช่นกัน
งานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับสาหร่ายในหนูทดลองพบว่า หลังได้รับสาหร่ายในรูปอาหารเสริม หนูทดลองมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมลดจำนวนลง 25-38 เปอร์เซ็นต์ และลดการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลง 18-35 เปอร์เซ็นต์ ตามปริมาณการให้อาหารเสริมจากสาหร่ายเช่นกัน
แม้มีผลลัพธ์ในทางบวก แต่งานวิจัยข้างต้นเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น จึงไม่อาจสรุปว่าการบริโภคสาหร่ายช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ และในปัจจุบันยังคงมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอสนับสนุนประสิทธิภาพของสาหร่ายในการป้องกันมะเร็ง ดังนั้น การยืนยันสมมติฐานในด้านดังกล่าวจำเป็นต้องค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรศึกษาทดลองในมนุษย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์สูงสุดในทางการแพทย์
การบริโภคสาหร่ายอย่างเหมาะสม
แม้สาหร่ายมีสารอาหารและแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งอาจทำให้มีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ ตามที่กล่าวมา แต่ขณะนี้ยังไม่มีการแนะนำให้ใช้สาหร่ายเพื่อรักษาหรือป้องกันโรคใด ๆ ผู้บริโภคจึงควรรับประทานสาหร่ายในปริมาณพอเหมาะ และคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพเสมอ โดยควรระมัดระวังปริมาณสารประกอบที่อาจเพิ่มขึ้นจากอาหารหรือขนมที่มีสาหร่ายเป็นส่วนประกอบ เช่น เกลือ น้ำตาล น้ำมัน และที่สำคัญ คือ ไอโอดีน
สาหร่ายประกอบไปด้วยไอโอดีนจำนวนมาก โดยในสาหร่าย 1 กรัม จะมีไอโอดีนประมาณ 16-2,984 ไมโครกรัม แตกต่างกันไปตามชนิดของสาหร่าย ดังนั้น หากรับประทานมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ผู้บริโภคจึงควรคำนวณปริมาณการบริโภคสาหร่ายให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงปริมาณไอโอดีนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ดังนี้
- ทารกแรกเกิด-อายุ 6 เดือน 110 ไมโครกรัม/วัน
- ทารกอายุ 7-12 เดือน 130 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 1-13 ปี 90-120 ไมโครกรัม/วัน
- วัยรุ่นอายุ 14-18 ปี และผู้ใหญ่ 150 ไมโครกรัม/วัน
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร 220-290 ไมโครกรัม/วัน
นอกจากนี้ การบริโภคสาหร่ายปริมาณมากอาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาวาร์ฟาริน หรืออาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการแพ้ทางผิวหนัง โรคผิวหนังเหลือง โรคคอพอก และอาจมีผลต่อลำไส้ได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือกำลังเผชิญภาวะใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคสาหร่ายและพืชทะเลอื่น ๆ ทุกครั้ง เช่น ผู้ป่วยไทรอยด์ เพราะอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ หากได้รับไอโอดีนปริมาณมากและเข้มข้นจนเกินไป และผู้ที่ให้นมบุตรยิ่งควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะไอโอดีนอาจถูกส่งผ่านทางน้ำนมแล้วส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ของทารกได้
ขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,650.00 | 26,750.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,726.00 | 26,166.16 | 27,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,553.40 | 23,549.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,380.80 | 20,932.93 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 777.00 | 11,779.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 604.00 | 9,156.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,789.00 | 27,121.24 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/12/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 22.75 | 22.75 | 23.25 | 22.75 | 23.25 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 | 22.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 22.48 | 22.48 | 22.98 | 22.48 | 22.98 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 | 22.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 21.24 | 21.24 | 21.74 | 21.24 | 21.74 | – | 21.24 | 21.24 | 21.24 | 21.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.54 | 18.54 | – | – | – | – | – | – | – | 18.54 |
เบนซิน 95 | 30.16 | – | – | – | 31.11 | – | 30.66 | 30.16 | – | 30.16 |
ดีเซล B7 | 24.19 | 24.19 | 24.69 | 24.19 | 24.69 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล | 21.19 | 21.19 | 21.69 | 21.19 | 21.69 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 |
ดีเซล B20 | 20.94 | 20.94 | 21.44 | 20.94 | 21.44 | – | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 28.64 | 28.66 | 31.14 | 30.04 | – | – | – | – | – | 28.64 |
แก๊ส NGV | 13.12 | 13.12 | – | – | – | – | – | – | – | 13.12 |