สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 28 มกราคม 2564

เปิดขุมทรัพย์รฟท.186 ไร่ 3.7 หมื่นล้าน รื้อสัญญาค่าเช่าริมถนนรัชดาฯใหม่

เปิดขุมทรัพย์รฟท.186 ไร่ 3.7 หมื่นล้าน รื้อสัญญาค่าเช่าริมถนนรัชดาฯใหม่

สแกนขุมทรัพย์ที่ดินรัชดาฯของ รฟท. รื้อใหญ่ปรับค่าเช่า 186 ไร่ 124 แปลง 124 สัญญา มูลค่า 3.7 หมื่นล้าน ลากยาวจาก SCB สำนักงานใหญ่ วิภาวดี-รัชวิภา ไปจดศูนย์การค้า เดอะสตรีท ลุยต่อสัญญาโพไซดอน ยาวปี 2597 จ้างที่ปรึกษาประเมินค่าเช่ารูปแบบเดียวกับแปลงเซ็นทรัลลาดพร้าว

ที่ดินแปลงยาวตลอดแนวถนนรัชดาภิเษกกลายเป็นขุมทอง สร้างมูลค่ามหาศาลให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เพราะ นอกจาก มีเส้นทางรถไฟฟ้าพาดผ่าน นักลงทุนปักหมุดสร้างโครงการกันมากแล้ว ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ยังกำหนดให้ ย่านดังกล่าวเป็น ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ต่อขยายมาจากกรุงเทพชั้นในอย่างสุขุมวิทสีลม สาทร ส่งผลให้การติดต่อขอเช่าพื้นที่และการต่อสัญญาในระยะยาวกับรฟท.ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่น เนื่องจาก เดินทางสะดวก อัตราค่าเช่า ไม่สูง เมื่อเทียบกับกำไรต่อปีจากการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน สถานบริการ โรงแรม ศูนย์การค้า ที่จอดรถ อาคารพาณิชย์ ตลาดนัด และแม้แต่ทางเข้า-ออกเชื่อมต่อพื้นที่อาคารบริเวณด้านใน ซึ่งรฟท.ยอมรับว่า ที่ดินเป็นมรดกตกทอด โดยไม่มีต้นทุนมาจากอดีต แต่ปัจจุบันกลับสร้างมูลค่าจากความเจริญ โดยเทียบจากราคาประเมินของกรมธนารักษ์ และราคาซื้อขายตลาดของภาคเอกชน ในย่านเดียว ที่ขยับสูงสวนทางเศรษฐกิจจากการมาของโควิดสูงสุดราคาตารางวาละ 1-1.4 ล้านบาท บริเวณสถานี MRTศูนย์วัฒนธรรม โดยเฉพาะเซ็นทรัลพระราม9 และจะขยับต่อเนื่อง เมื่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม เปิดให้บริการ

รื้อ 124 สัญญา

แหล่งข่าวจากรฟท. เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันรฟท.มีสัญญาเช่าที่ดินย่านรัชดาภิเษก ทั้งหมด 124 แปลง (124สัญญา) 186 ไร่ โดยสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวเริ่มตั้งแต่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ตลอดจนถึงศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดาภิเษก ใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้รฟท.มีรายได้จากค่าเช่าที่ดินบริเวณย่านถนนรัชดาภิเษก กว่า 200 ล้านบาทต่อปี และมีแผนปรับรายได้เพิ่ม

อย่างไรก็ตามขณะนี้ที่ดินหลายแปลงเริ่มทะยอยหมดสัญญาซึ่งแบ่งเป็น2กลุ่มได้แก่กลุ่มสัญญาเช่า ระยะสั้น ส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์ และระยะยาว 30 ปี ซึ่งสัญญาที่จะต่อใหม่ให้กับเจ้าของกิจการ จะว่าจ้างทีมที่ปรึกษา และนำเสนอต่อคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (บอร์ดรฟท.)พิจารณาเห็นชอบเป็นรายๆไป มองว่า โดยจะใช้ราคาตลาดเป็นเกณฑ์เช่นทำเล ห้วยขวาง , ดินแดง เฉลี่ย ราคาตารางวาละ 3แสนบาทสูงกว่าราคาประเมินราว 5หมื่น-1แสนบาทต่อตารางวาเช่นเดียวกับ บางกอกไนท์บาซาหัวมุมถนนรัชดาฯตัดลาดพร้าว ราคาค่อนข้างสูง 5แสนบาทต่อตารางวา ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง เช่นเดียวกับแปลง ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB จุดตัดถนนวิภาวดีรังสิต-รัชโยธินที่ราคาที่ดิน ไม่เกิน 5-6 แสนบาทต่อตารางวา

ที่โพไซดอนพุ่ง

ขณะอาคารโพไซดอน เขตดินแดงเจ้าของกิจการจะปรับธุรกิจ จากสถานบริการอาบอบนวดเป็นโรงแรม 3 ดาว และขอต่อสัญญา ที่จะหมดอายุลงปี 2567 ซึ่งในทางปฏิบัติสามารถทำได้ และต้องปรับค่าเช่าขึ้นรวมมูลค่าและผลตอบแทนในอนาคตที่รฟท.จะได้รับให้เหมือนกับที่ดินแปลงสามเหลี่ยม เซ็นทรัลลาดพร้าว ที่ต่อสัญญาใหม่จาก 3,000ล้านบาทต่อปีเป็นกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปีเป็นต้น

เบื้องต้นรฟท.อยู่ระหว่างดำเนินการประเมินมูลค่าทรัพย์ สินสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว ราว 753 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ดิน 611 ล้านบาท และอาคาร 41 ล้านบาท โดยจัดจ้างที่ปรึกษาความเหมาะสมและค่าตอบแทนที่รฟท.จะได้รับตลอดอายุสัญญา เพื่อพิจารณาในการต่อสัญญา เนื่องจากจะหมดอายุสัญญาภายในปี 2567 คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องดังกล่าวภาย ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุม (บอร์ด) รฟท.พิจารณาเพื่อเห็นชอบภายใน 2-3 เดือน

โดยสัญญาเช่าที่ดินแปลงโพไซดอน มีเพียงสัญญาเดียว ซึ่งเป็นสัญญาจัดหาประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีอาคาร จำนวน 11 ชั้น เป็นสถานที่อาบอบนวด อาคารพาณิชย์ 7 ชั้น 3 คูหา และอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 32 คูหา

ตอบแทน 200 ล้าน

สำหรับสัญญาเช่าที่ดินของรฟท.ย่านถนนรัชดาฯ แปลงโพไซดอน สัญญาเริ่มตั้งแต่ปี 2537-2567 ระยะเวลา 30 ปี ที่ผ่านมาบริษัทชำระค่าเช่าอยู่ที่ กว่า4แสนบาท ในการลงทุนครั้งแรกเป็นที่ดินเปล่า ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องลงทุนก่อสร้างอาคาร

ขณะเดียวกันในระเบียบของรฟท.หากมีการต่อสัญญาในพื้นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกจำเป็นต้องจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ ซึ่งจะทำให้ที่ดินดังกล่าวมีราคาแพงขึ้น เบื้องต้นจากผลการศึกษาหากต่ออายุสัญญาออกไปอีก 30 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2567-2597 ระยะเวลา 30 ปี ทางบริษัทต้องจ่ายค่าตอบแทนให้รฟท.ราว 200 กว่าล้านบาท โดยในปีแรกบริษัทต้องชำระค่าเช่าให้รฟท.ราว 40 ล้านบาทต่อปี หลังจากนั้นจะมีการปรับอัตราค่าเช่าที่ดิน 10% ทุกๆ 3 ปี ซึ่งรฟท.มีหลายแนวทางศึกษารูปแบบการต่ออายุสัญญา หลายปนวทาง เช่น แบบ 10 ปี 20 ปี และ 30 ปี

บิ๊ฏทุนยึดขุมทองรฟท.

ต่อ“ทวินทาวเวอร์”

ทั้งนี้รฟท.จะให้สิทธิผู้เช่ารายเดิมในการต่ออายุสัญญาก่อน หากผู้เช่ารายเดิมไม่สนใจที่จะต่อสัญญา รฟท.จะดำเนินการเปิดประมูลโครงการในพื้นที่เช่านั้นๆ นอกจากนี้มีโรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์เนื้อที่ 6.53 ไร่ ย่านรองเมือง เขตปทุมวัน ของ บจ.โกลเด้น แอสเซ็ท ที่จะหมดสัญญา 20 ปี ภายในปี 2565-2566 ก่อนสัญญาเช่ารัชดาภิเษก แปลงโพไซดอน

แหล่งข่าวจากสำนักงานเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อาคารโพไซดอน หากจะเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นโรงแรม 3ดาวไม่จำเป้นต้องทุบทั้งอาคาร อย่างไรก็ตาม ที่ดินของรฟท.ในเขตดินแดงจะคลอบคลุม ที่ดินเอสพานาดบางส่วน บิ๊กซี เดอะสตีท เต็มพื้นที่ 16 ไร่

บิ๊กทุนจองเต็มพื้นที่

นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์จำกัด บริษัทประเมินทุนทรัพย์ที่ดินระบุว่าที่ดินของรฟท.ย่านรัชดาฯเป็นทำเลทองที่เอกชนให้ความสนใจและเต็มทั้ง124แปลงส่วนใหญ่จะต่อสัญญาระยะยาว เพราะเป็นกิจการใหญ่อย่างสำนักงานใหญ่ไทยพาณิชย์ จุดตัดถนนวิภาวดีราคาที่ดิน ประมาณ 5แสนบาทต่อตารางวา เช่นเดียวกับบางกอกไนท์บาซา รัชดาฯตัดลาดพร้าว 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาฯ ‘ไซส์เล็ก’ ราคาถูก มาแรง 

อสังหาฯ ‘ไซส์เล็ก’ ราคาถูก มาแรง 

อสังหาฯ ใหญ่ หาน่านน้ำใหม่ เปิดเกมพัฒนาโครงการเล็ก ราคาถูก-เข้าถึงได้ ทะลวงตลาดที่อยู่อาศัยปี 2564 หลังเศรษฐกิจฝืด กำลังซื้อเปราะบาง จับตาบมจ.แสนสิริ รุกคอนโดฯ ล้านต้น หนุนสภาพคล่อง ขณะโนเบิล-ออริจิ้น คาดเดินหน้าส่งแบรนด์ไม้เด็ด กระจายปักหมุดทั่วกรุงเทพฯ

เศรษฐกิจของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งแม้สำนักงานสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) คาดการณ์ไว้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวได้ราว 3.5- 4.5% แต่นับเป็นการขยายตัวจากฐานที่ต่ำผิดปกติของปี 2563 นั้น

กำลังส่งสัญญาณให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตลาดที่อยู่อาศัย เร่งปรับตัวและเตรียมรับมือ หลังภาวะดังกล่าว ย่อมส่งแรงกระเพื่อมทางลบ ต่อกำลังซื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งคาดการณ์คนเสี่ยงได้รับผลกระทบ เสี่ยงตกงาน และรายได้ลดลงราว 4.7 ล้านคนในทุกสาขาอาชีพ 

ไม่นับการระบาดซ้ำในระลอก 2 ส่งผลตัวเลขหนี้ครัวเรือนส่อแววไต่ระดับสู่ 5 แสนบาทต่อครัวเรือน จาก 4.8 แสนบาทในช่วงปีที่ผ่านมา ตอกย้ำ คนไทยต้องติดอยู่ในวังวน “แบกหนี้” ขยับขยาย ด้านที่อยู่อาศัยลำบาก แม้จะเป็นปัจจัย 4 มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต 

สำหรับทางรอดในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น นอกจากคำเตือน ว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ลง และเฟ้นหาทำเลที่มีเรียลดีมานด์ (ความต้องการจริง) รองรับแล้ว เซ็กเมนต์หรือราคาขายที่ลูกค้าสามารถจับต้องเข้าถึงได้ ก็นับเป็นอีกแสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์ ให้สามารถประคองธุรกิจและยังรักษาการเติบโตได้ 

อสังหาฯปี64 ไปทางไหน?

สอดคล้องกับการวิเคราะห์กลยุทธ์ทางธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ ของนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ว่า โครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น น่าจะเป็นโครงการขนาดเล็ก และมีราคาขายที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ เพราะผู้บริโภค ย่อมจะเลือกซื้อสินค้า จากการดูกำลังซื้อที่แท้จริงของตนเอง โดยไม่หวังพึ่งรายได้ที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างในอดีต

ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” เช็กความพร้อมผู้ประกอบการเบอร์ใหญ่ในตลาด ที่ทยอยประกาศแผนการเปิดโครงการใหม่ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมูลค่าที่จะเกิดขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านบาท กว่า 100 โครงการนั้น พบส่วนใหญ่ มีกลยุทธ์ และทิศทางการพัฒนาโครงการที่ใกล้เคียงกัน

คือ การขยายไปยังทำเลใหม่ๆ รอบเมือง ซึ่งราคาที่ดินยังไม่ขยับแรงมาก ทั้งในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ พร้อมๆการปรับโปรดักต์และราคาขายที่ลดลง ตั้งแต่โครงการระดับกลาง และ Affordable (เข้าถึงได้) เพื่อหวังตอบรับกับความสามารถในการซื้อส่วนใหญ่ของคน ณ ปัจจุบัน 

เริ่มตั้งแต่ เจ้าตลาดบ้านแพงอย่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ปีนี้เตรียมเปิด 24 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2.6หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้จะเป็นการเปิดที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว นับเท่าตัว แต่เซ็กเมนต์ส่วนใหญ่ 3 ใน 4 พบเป็นโปรดักต์สำหรับบ้านหลังแรก ระดับราคาเข้าถึงง่าย ขนาดไซส์ไม่ใหญ่มาก ตั้งแต่แบรนด์ ‘สิริ เพลส’-‘อณาสิริ’-‘สราญสิริ’ และ ‘บุราสิริ’

รวมถึงการเตรียมเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ ในกลุ่มคอนโดฯ ลักษณะกระจายทำเล ในราคาเริ่มต้น ล้านต้นๆ ซึ่งผู้บริหาร ระบุว่า ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยในแง่เพิ่มสภาพคล่อง สร้างเงินหมุนเวียนให้กลับมาได้เร็วอีกด้วย

“อดีตเราทำตลาดกว้างมากตั้งแต่ราคา 1 – 100 ล้าน แต่สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันไม่เหมือนเดิม ภาวะแย่ ลูกค้ามีอำนาจการซื้อลดลง ฉะนั้น ในทุกโปรดักต์ ราคาต้องย่อมเยาว์ ต่ำลงมา ขนาดโครงการเล็กลง เพื่อลดเวลา และเงินทุน จากเดิมใช้เวลา 4-5 ปีจบโครงการ อาจเหลือเพียง 1 ปีกว่าๆ ช่วยลดความเสี่ยง ทั้งการพัฒนา และ การขาย” นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ. แสนสิริ กล่าว

เช่นเดียวกับ อีกค่ายใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) (เดิม: โกลเด้นแลนท์) ประกาศเปิดใหม่ 24 โครงการ มูลค่าเกือบแตะ 3 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการไม่ใหญ่ กระจายหลายทำเล และเติมเพิ่มในทำเลเดิม เช่น ทาวน์โฮมราคา 2.5 ล้านบาท และนีโอโฮม (บ้านแฝด) ราคาไม่แพงรวมถึงการเตรียม เปิดคอนโดฯ 1 โครงการ ในระดับราคาไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อตร.ม. อีกด้วย ภายใต้ความกังวล ว่าแม้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ แต่คาดเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและหนี้สินครัวเรือนยังคงสูง

ขณะบมจ.โนเบิล ที่ประกาศเล่นใหญ่ไทยแลนด์ ผ่านมูลค่าเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุด 4.51 หมื่นล้านบาท จำนวน 11 โครงการนั้น พบนอกจาก เตรียมส่งโครงการหรูผ่านการร่วมทุนกับทุนไทยและต่างชาติ เพื่อเข็นกำลังซื้อต่างชาติที่มีโอกาสกลับมาคึกคัก ควบคู่กับการแตกไลน์ตลาดแนวราบแล้ว อีกหนึ่งโฟกัสสำคัญของปีนี้ คือ การบุกคอนโดฯราคาเข้าถึงได้ ผ่านแบรนด์ “Nue” เช่น Nue Noble เซ็นทรัลบางนา และ Nue Condo แอท ดอนเมือง รูปแบบโลว์ไรส์ สร้างเร็ว โอนเร็ว มูลค่าต่ำกว่า 1 พันล้านต่อโครงการ ซึ่งจะเปิดในช่วงครึ่งปีแรก ด้วยราคาขาย ล้านต้นๆ ถึง 2 ล้านกว่าๆ ส่วนแนวราบ ทาวน์เฮาส์จะเริ่มที่ 4 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการประกาศเกมเล่นของอีกค่ายใหญ่ บมจ.ออริจิ้น หลังจากปีที่ผ่านมา เจาะกำลังซื้อถูกจุด และจุดแข็งด้านทำเล ผ่านแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) ใช้กลยุทธ์ ลดต้นทุนด้านการบริหารจัดการที่ไม่กระทบต่อตัวสินค้า เช่น ไม่มีสำนักงานขาย เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการคอนโดฯ ได้ง่าย ราว 7 หมื่นบาทต่อตร.ม.หรือ ราคาล้านต้นๆ เท่านั้น ซึ่งในปีนี้เอง นายพีระพงศ์ จรูญเอก ซีอีโอบริษัท ระบุ พร้อมเดินหน้ารับมือทุกปัจจัยกระทบตลาด เปิดใหม่ทั้งสิ้นรวม 20 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่ในวงการ อย่าง บมจ.พฤกษาฯ ซึ่งปีนี้เตรียมเปิดใหม่ 29-30 โครงการ มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เลื่อนมาจากปีก่อนหน้านั้น แย้มว่าจะหันไปเจาะกลุ่มลูกค้ากลาง-บน กำลังซื้อสูงมากขึ้น เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากยอดปฎิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นนั่นเอง และนับเป็นโจทย์ใหญ่ ที่ผู้ประกอบการข้างต้น ต้องหาทางแก้ปัญหารับมือ เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บาทเปิด 30.02 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า

บาทเปิด 30.02 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า

เงินบาทเปิดตลาด 30.02 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าตามภูมิภาคจากดอลล์แข็ง หลังเฟดส่งสัญญาณกังวลเศรษฐกิจ

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.02 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 29.97 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากดอลลาร์กลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร

“บาทอ่อนค่าตามภูมิภาคและทิศทางตลาดโลก เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าหลังเฟดส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร” นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 29.95-30.10 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


“พรปวีณ์” สุดเฉียบ แซงดับ “รัชนก” เปิดหัวศึกเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์

“หมิว” พรปวีณ์ เค้นฟอร์มเฉียบ แซงดับเอาชนะรุ่นพี่อย่าง “เมย์” รัชนก ไปอย่างสนุก 2-1 เกม ประเดิมเก็บชัยชนะในศึกขนไก่เวิลด์ทัวร์ ไฟนอล 2020 ได้อย่างสวยงาม

การแข่งขันแบดมินตัน “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอล 2020” ชิงเงินรางวัลรวม 1,500,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45,150,000 บาท ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ซึ่งในวันนี้เป็นการชิงชัยวันแรก

การแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว กลุ่ม บี คู่ที่น่าสนใจในช่วงเย็น “เมย์” รัชนก อินทนนท์ เต็ง 3 รายการ พบกับรุ่นน้องร่วมชาติ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 13 ของโลก

ในเกมแรกถึงแม้ รัชนก จะเอาชนะไปได้ก่อน 21-15 แต่หลังจากนั้น “หมิว” พรปวีณ์ เล่นได้อย่างมั่นใจขึ้น แซงเอาชนะไปในสองเกมหลัง 21-11 และ 21-18

ทำให้จบเกม พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ พลิกเอาชนะ รัชนก อินทนนท์ ไปอย่างสนุก 2-1 เกม 15-21, 21-11, 21-18 คว้าชัยชนะประเดิมทัวร์นาเมนต์ได้อย่างสวยงาม

ส่วนนัดที่สอง รัชนก อินทนนท์ จะพบกับ พีวี. สินธุ จากอินเดีย ส่วน พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ จะพบกับ ไถ่ จื่อ อิง เต็งหนึ่งของรายการจากไต้หวัน ในวันพรุ่งนี้.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เผยผลอนามัยโพล พบประชาชนสวมหน้ากากป้องกันโควิด-19 มากขึ้น

เผยผลอนามัยโพล พบประชาชนสวมหน้ากากป้องกันโควิด-19 มากขึ้น thaihealth

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำรวจอนามัยโพล ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 10-22 มกราคม 2564    ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนสวมหน้ากากเป็นประจำ ร้อยละ 94.48 ไม่สวมหน้ากากเลย ร้อยละ 0.9 ดังนั้น เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 จึงขอเน้นย้ำประชาชนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อออกจากบ้าน หมั่นล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร 

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจอนามัยโพล ประเด็นพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในการป้องกันโรคโควิด-19 ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 10-22 มกราคม 2564 จากประชาชนทั่วประเทศ 19,279 คน พบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมสวมหน้ากากเป็นประจำเมื่อไปที่สาธารณะถึง ร้อยละ 94.48 ในขณะที่ไม่สวมหน้ากากเลย มีเพียงร้อยละ 0.9 ซึ่งกลุ่มอายุที่สวมหน้ากากน้อยที่สุด คือ กลุ่มอายุน้อยกว่า 15 ปี และอายุ 15 – 24 ปี และเมื่อสอบถามต่อในกรณีที่เดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ พบว่า สถานที่ที่ประชาชนสวมหน้ากากน้อย คือ สวนสาธารณะ/สนามกีฬา ร้อยละ 66.5 ฟิตเนส/โรงยิม ร้อยละ 69.9 รวมทั้ง วัด โบสถ์ โบราณสถาน ร้อยละ 70.9 จึงควรเน้นย้ำให้ประชาชนเมื่อไปสถานที่เหล่านี้ควรสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นกรณีจำเป็น เช่น ขณะทานอาหาร ขณะออกกำลังกาย เป็นต้น

สำหรับสถานที่ที่ประชาชนสวมหน้ากากมากที่สุดคือ ห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 82.53 รองลงมาคือ ตลาดและตลาดนัด ร้อยละ 80.45 สำหรับพฤติกรรมการป้องกันตัวเอง พบว่าในภาพรวมประชาชนตรวจวัดไข้ก่อนเข้าสถานที่ต่าง ๆ ร้อยละ 92.45 ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ ร้อยละ 88.14 และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่คนพลุกพล่าน ร้อยละ 82.07

“ทั้งนี้ กรมอนามัยยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนสวมหน้ากากตลอดเวลาและสวมอย่างถูกวิธี เมื่อออกจากบ้าน ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร และหลีกเลี่ยงการไปในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งขอให้โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ-ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการสถานที่สาธารณะต่าง ๆ หรือจดบันทึกประวัติการเดินทางของตนเองในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้การสอบสวนโรคทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ขอความร่วมมือสถานประกอบการต่าง ๆ ประเมินมาตรฐานความสะอาดปลอดภัยป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยตนเองผ่านแพลตฟอร์ม “Thai Stop COVID” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเฝ้าระวัง สร้างความมั่นใจให้ประชาชนที่มารับบริการ และยกระดับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ภาษาอังกฤษ ชื่อหน่วยในกระทรวง

ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานของรัฐในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  (Ministry of Social Development and Human Security) มีหน่วยงานอะไรบ้างที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ และพวกเรารู้จักทุกหน่วยงานหรือเปล่า

กระทรวงพัฒนามั่นคงภาษาอังกฤษ

ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

Department of Children and Youth – กรมกิจการเด็กและเยาวชน
Department of Empowerment of Persons with Disabilities – กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
Department of Older Persons (DOP) – กรมกิจการผู้สูงอายุ
Department of Social Development and Welfare (DSDW) – กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
Department of Women’s Affairs and Family Development – กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
Institute of Community Organization Development (Public Organization) – สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)
Office of the Minister – สำนักงานรัฐมนตรี
Office of the Permanent Secretary – สำนักงานปลัดกระทรวง
The National Housing Authority – การเคหะแห่งชาติ (รัฐวิสาหกิจ)
The Pawn Office – สำนักงานธนานุเคราะห์

ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com


BMW ผงาดแชมป์รถหรูในรอบ 20 ปี ประเดิมชัยศักราชใหม่อัดโปรโมชั่นแรง

BMW ผงาดแชมป์รถหรูในรอบ 20 ปี ประเดิมชัยศักราชใหม่อัดโปรโมชั่นแรง

ค่ายรถหรูเร่งเครื่องยนต์กระตุ้นยอดขายตั้งแต่ต้นปี บีเอ็มดับเบิลยู ได้ใจหลังครองแชมป์ปี 2563 เดินหน้าอัดโปรโมชั่นโหดต่อเนื่อง BMW X1 จัดส่วนลดของแถมร่วม 3 แสนบาท หรือ ซีรีส์ 2 แกรนด์ คูเป้ ลดได้ 2 แสนบาท ด้าน Audi Q3 โหนกระแสช่วยผ่อนคนละครึ่ง 12 เดือนมูลค่า 1.54 แสนบาท ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวเอสยูวีฟูลไซส์ GLS รุ่นประกอบในประเทศ ราคาถูกลง 2.36 ล้านบาท

สรุปยอดขายปี 2563 บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไล่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ไม่ทัน ด้วยตัวเลข 10,613 คัน และ 12,426 คัน ตามลำดับ

สำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยอดขายปี 2563 ลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยเป็นยอดที่รวม 2 แบรนด์ คือ บีเอ็ม ดับเบิลยู และ มินิ (ประมาณ 1,000-1,200 คัน ต่อปี) ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ลดลง 29.7% ส่วนหนึ่งเพราะสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจในวิกฤติโควิด-19 และการปรับแผนทำตลาดรถระดับ Entry Level คอมแพ็กต์คาร์ขับเคลื่อนล้อหน้า

ขณะที่ บีเอ็มดับเบิลยู ตลอดปี 2563 เดินหน้ากระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญแรง จัดอีเวนต์ทั้ง สเกลเล็ก สเกลใหญ่ ส่งเสริมให้ดีลเลอร์เดินหน้าลุยแบบไม่ยอมหายใจ พร้อมส่วนลดในแต่ละรุ่นเป็นหลักแสน โดยลูกค้าเลือกแพกเกจทางการเงินได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดเงินสด ซับเงินดาวน์ หรือดอกเบี้ยต่ำ/สูง ผ่อนนาน ประกันภัยชั้นหนึ่ง ตลอดจนใช้โปรแกรม BSI เป็นออพชันเสริม

ปฎิเสธไม่ได้ว่า การทำตลาดเชิงรุก พร้อมอัดเงินส่งเสริมการขายมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ บีเอ็มดับเบิลยู คว้าแชมป์ตลาดรถหรูปี 2563 แทน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ที่ครองตำแหน่งนี้มายาวนาน 19 ปีซ้อน

ต้นปี 2564 ค่ายใบพัดสีฟ้ายังต่อเวลาแคมเปญต่างๆ ที่ใช้ในปีที่แล้ว โดยแต่ละรุ่นมีมูลค่าส่วนลดเป็นแพกเกจรวมหลายแสนบาท เช่น BMW X1 ที่เพิ่งไมเนอร์เชนจ์ (LCI) ปีที่แล้ว ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล X1 sDrive 20d xLine ราคา 2.349 ล้านบาท ได้แพกเกจสนับสนุนทางการเงินเกือบ 3 แสนบาท (รวมประกันภัยชั้น 1)

ส่วน ซีรีส์ 2 แกรนด์ คูเป้ รุ่นประกอบในประเทศเปิดตัวปลายปีที่แล้ว 220i Grand Coupe M Sport ราคาตั้ง 2.479 ล้านบาท มีส่วนลดถึง 2 แสนบาท ขณะที่รุ่นยอดนิยมอย่าง ซีรีส์3 (G20) ได้ส่วนลด 2.3-2.5 แสนบาท รวมถึง X3 รับส่วนลดระดับ 4 แสนบาท

BMW ผงาดแชมป์รถหรูในรอบ 20 ปี ประเดิมชัยศักราชใหม่อัดโปรโมชั่นแรง

ส่วนโปรดักต์ใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู ประเดิมต้นปีด้วย ซีรีส์ 5 (G30) ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นประกอบในประเทศ ทั้งขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด BMW 530e Elite 2.999 ล้านบาท ราคาเท่าเดิม BMW 530e M Sport 3.739 ล้านบาท ราคาลดลง 2 แสนบาท และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล BMW 520d M Sport 3.539 ล้านบาท ราคาเท่าเดิม

ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ยอมน้อยหน้า ด้วยการเพิ่มไลน์อัพรุ่นประกอบในประเทศ กับเอสยูวีรุ่นใหญ่ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium พร้อมทำราคาขาย 6.499 บาท ถูกกว่าตัวนำเข้า(เปิดตัวปลายปี 2562) ถึง 2.36 ล้านบาท แต่ยังคงฟีเจอร์เด่นๆ เทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกไว้ครบครัน

นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2564 บริษัทตอกยํ้าความมุ่งมั่นที่มีต่อตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย โดยเฉพาะเซกเมนต์เอสยูวีที่มีความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ

“นอกจากตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอ Large Full-Size SUV แบบ 7 ที่นั่งรุ่นประกอบในประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ ที่หรูหราเหนือระดับเช่นเดียวกับตระกูล เอส-คลาส พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น”นายโฟล์เกอร์ กล่าวสรุป

สำหรับปี 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์ หมายมั่นปั้นมือกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์รถหรูเมืองไทยอีกครั้ง ด้วยรถกลุ่มคอมแพ็กต์ประกอบในประเทศ ทั้ง เอ-คลาส ซีดาน และ จีแอลเอ โดยรุ่นแรกเปิดราคาเร้าใจ 1.99 ล้านบาท ยังมาพร้อมโปรโมชันดาวน์ 149,000 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ย 0.99%

อีกหนึ่งค่ายเยอรมนี “อาวดี้” ที่ปี 2563 ขายได้ประมาณ 1,000 คัน โต 12 % เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งปีนี้ประกาศเปิดตัวรถใหม่อีกกว่า 10 รุ่น พร้อมจัดแคมเปญโหนกระแสคนละครึ่ง ด้วยการช่วยลูกค้าผ่อนค่างวด 50% เป็นระยะเวลา 12 เดือน เช่น Audi Q3 S line ช่วยผ่อน 12,100 บาทต่อเดือน รวมมูลค่า 145,000 บาท หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% 5 ปี จ่ายเดือนละ 24,990 บาท

Audi A6 40 TFSI ช่วยผ่อน 16,450 บาทต่อเดือน รวมมูลค่า 197,400 บาท Audi Q8 ช่วยผ่อน 32,950 บาทต่อเดือน รวมมูลค่า 395,400 บาท หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% 7 ปี จ่ายเดือนละ 65,900 บาท

ด้านวอลโว่ ที่ปรับพอร์ตการขายเป็นรถขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด ทุกรุ่น โดยปีที่แล้วทำยอดขายได้ 1,824 คัน ลดลง 13.1% ปีนี้ทีเด็ดยังอยู่ที่ Volvo XC40 Recharge และ Volvo S60 ล่าสุดเปิดตัว 3 ดีลเลอร์ใหม่ให้เข้ามาช่วยขาย คือ พระนคร สวีดิช คาร์ ลาดพร้าว, นิวตัน เพรสทีจ ออโต ถนนบรมราชชนนี และ 14 ออโต้มาร์ค จำกัด ถนนพระราม 2 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ประโยชน์ของใบพลู กับหลากสรรพคุณรักษาโรค

 ประโยชน์ของใบพลู

ใบพลู มีฤทธิ์ต้านเชื้อราและแบคทีเรียได้ดี (ไทยโพสต์)

    ใบพลู พืชสมุนไพรไทย กับสรรพคุณช่วยรักษาสารพัดอาการ ที่เป็นภูมิปัญญาแบบไทย ๆ

          เอ่ยถึงใบพลู คนฟังจะจินตนาการย้อนยุคไปไกลหลายสิบปี นึกเห็นภาพคุณย่าคุณยายกับตะกร้าหมากและปากแดง ๆ ที่มีน้ำหมากไหลย้อยนิด ๆ ที่มุมปาก และกระโถนสำหรับบ้วนน้ำหมากทิ้ง ที่ต้องเล่าให้เห็นภาพอย่างนี้เพราะคนไทยที่อายุต่ำกว่า 40 ปีแทบจะไม่เคยเห็นวัฒนธรรมการกินหมากพลูกันแล้ว ยังมีบ้างก็ในชนบทต่างจังหวัดที่ยังคุ้นชินตาในวิถีดำรงชีวิตประจำบ้าน (คนที่กินหมากไม่ใช่แค่คุณย่าคุณยายเท่านั้น คุณปู่คุณตาก็กินด้วย แต่ไม่นิยมหิ้วตะกร้าหมาก อย่างมากก็พกใส่ชายพกสักคำสองคำ)

          ใบพลูนั้นเป็นของคู่กันกับหมากมาช้านาน คนไทยจึงเรียกว่าหมากพลูคู่กันเสมอ ปัจจุบันบทบาทของหมากพลูที่แพร่หลายคือใช้เป็นเครื่องไหว้บูชาในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ หรือใช้ไหว้พระไหว้เทพเจ้า

          การเคี้ยวหมากพลูกลายเป็นของต้องห้ามของคนไทยตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการตัดต้นหมากและพลูทิ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนักเพราะหมากพลูไม่ได้ใช้ประโยชน์แค่นั้น แต่ยังเป็นยาที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะพลูนั้นใช้ประโยชน์ได้เสมือนยาสามัญประจำบ้านปลูกไว้มีแต่ได้ประโยชน์

          ย้อนกลับไปในอดีต ใบพลูเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่มีการเก็บอากรภาษี ค้างละหนึ่งบาท หรือที่เรียกว่าไม้ค้างพลู (หนึ่งค้างก็เหมื่อนพลูหนึ่งต้น) อันแสดงให้เห็นว่าเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจที่มีการซื้อขายกันมายาวนาน และพลูยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการกินหมากของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นไปถึงเอเชียใต้ อย่างมิอาจบอกได้ว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดการกินหมากพลูนั้นเริ่มมาจากที่ใดกันแน่ ดังนั้นจึงมีการส่งใบพลูและหมากออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศในสมัยนั้นจำนวนไม่น้อย

 ประโยชน์ของใบพลู

แม้ปัจจุบันความสำคัญของการบริโภคหมากพลูเรียกได้ว่าแทบจะหมดไปแล้ว ยังเหลือการใช้เป็นเครื่องบูชาที่จะขาดมิได้เท่านั้น จนทำให้ชาวสวนพลูจำนวนไม่น้อยหันหลังให้กลับอาชีพนี้ และบางส่วนที่ยังทำอยู่ก็ดูเหมือนจะไร้ผู้สืบทอด ในความเป็นจริงแล้วอนาคตของสวนพลูยังสดใสเปลี่ยนจากการปลูกแล้วกิน เป็นการปลูกและนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหย ตลาดน้ำมันหอมระเหยโดยรวมทุกชนิดนั้นมีมูลค่าการตลาดมหาศาล สำหรับน้ำมันหอมระเหยใบพลูแม้จะไม่ติดอันดับต้น ๆ แต่ราคาซื้อขายต่อกิโลกรัมราคาก็ไม่น้อย ปัจจุบันซื้อขายกันกิโลกรัมละ 23,000-25,000 บาท

          อนาคตของชาวสวนพลูยังมีแนวโน้มที่ดีถ้ามีการพัฒนากระบวนการตั้งแต่การปลูกและผลิตอย่างเป็นรูปธรรมกระทั่งไปสู่กระบวนการแปรรูป เพราะน้ำมันหอมระเหยใบพลูสามารถพัฒนาเป็นเครื่องสำอางเพื่อความงาม ยาระงับกลิ่นกาย ยาอมบ้วนปาก น้ำมันนวดคลายกล้ามเนื้อ ขี้ผึ้งหรือครีมฆ่าเชื้อรารักษาโรคเชื้อราต่าง ๆ ทำสบู่ก้อน สบู่เหลว ได้ เป็นต้น

          น้ำมันหอมระเหยใบพลู หรือ Betel Vine สกัดจากใบพลู น้ำมันหอมระเหยมีสีเหลืองออกน้ำตาลเข้มมีกลิ่นฉุนค่อนข้างมาก มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลายชนิด เหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในครีมหรือน้ำมันนวดบริเวณช่องท้องเพื่อดูแลระบบทางเดินอาหาร

          สรรพคุณของใบพลูคือ ใบ ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง แก้ลมพิษและฆ่าพยาธิ รักษาแผลช้ำบวม เลือดกำเดาออก แก้ลมพิษ แก้อาการคัน น้ำมันจากใบ แก้คัดจมูก อมกลั่วคอแก้เจ็บคอ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด

          สารสำคัญในใบพลูมีหลายชนิดซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ยับยั้งการเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง ต้านเชื้อราของโรคผิวหนังและกลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ลดการปวดบวมของกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก

 ประโยชน์ของใบพลู

การใช้ใบพลูรักษาโรคและอาการต่าง ๆ นั้นพบว่ามีการใช้แบบง่าย ๆ อาทิ

 ดับกลิ่นปาก ใช้เคี้ยวแล้วคายทิ้งวันละ 2-3 ครั้ง ช่วยดับกลิ่นปากได้
 ดับกลิ่นกาย ใช้ใบสดขยี้ให้แหลกแล้วใช้ทาถูที่ใต้รักแร้เป็นประจำ
 แก้ลมพิษ ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดผสมเหล้าขาวเล็กน้อย ใช้ทาจนหาย
 แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนสักหนึ่งแก้วดื่ม ช่วยลดอาการปวดจุกแน่นเฟ้อและบำรุงกระเพาะอาหารด้วย
 ลดปวดบวม ใช้ใบพลูเลือกใบใหญ่ ๆ นำไปอังไฟให้ร้อนใช้ไปประคบบริวณที่ปวดบวมช้ำ
 รักษากลากและฮ่องกงฟุต เอาใบสดโขลกให้ละเอียดดองกับเหล้าขาวทิ้งไว้ 15 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น

นัยที่สำคัญของพลูในยุคก่อน นอกจากเป็นเครื่องเคี้ยวคู่กับหมากใช้ต้อนรับแขก ใช้เชื่อมสัมพันธ์พบปะสังสรรค์ยังเป็นเครื่องบอกรักระหว่างหนุ่ม-สาว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้หมากพลูไปแล้วอีกฝ่ายให้หมากพลูตอบกลับ แสดงว่ารักนั้นสมหวัง แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องดื่มน้ำบัวบกแทน หนุ่มสาวยุคใหม่ถ้าใครสนใจก็นำไปใช้ลองดู แต่คิด ๆ ไปแล้วอีกฝ่ายที่รับคงนึกว่าเขาเอามากราบไหว้ตัวเองมากกว่าจะบอกรักเป็นแน่แท้

ขอบคุณข้อมูลจาก health.kapook.com

ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 26,050.00 26,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,687.00 25,574.92 26,650.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,518.30 23,017.43 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,349.60 20,459.94 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 759.00 11,506.44 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 590.00 8,944.40 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,748.00 26,499.68 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/01/2564

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 24.25 24.25 24.55 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25
แก๊สโซฮอล์ 91 23.98 23.98 24.28 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98
แก๊สโซฮอล์ E20 22.74 22.74 23.04 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74
แก๊สโซฮอล์ E85 19.49 19.49 19.49
เบนซิน 95 31.66 32.11 32.16 31.66 31.66
ดีเซล B7 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09
ดีเซล 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09
ดีเซล B20 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84
ดีเซลพรีเมี่ยม 29.54 29.56 31.54 30.94 29.54
แก๊ส NGV 13.35 13.35 13.35
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า