เปิดขุมทรัพย์รฟท.186 ไร่ 3.7 หมื่นล้าน รื้อสัญญาค่าเช่าริมถนนรัชดาฯใหม่
สแกนขุมทรัพย์ที่ดินรัชดาฯของ รฟท. รื้อใหญ่ปรับค่าเช่า 186 ไร่ 124 แปลง 124 สัญญา มูลค่า 3.7 หมื่นล้าน ลากยาวจาก SCB สำนักงานใหญ่ วิภาวดี-รัชวิภา ไปจดศูนย์การค้า เดอะสตรีท ลุยต่อสัญญาโพไซดอน ยาวปี 2597 จ้างที่ปรึกษาประเมินค่าเช่ารูปแบบเดียวกับแปลงเซ็นทรัลลาดพร้าว
ที่ดินแปลงยาวตลอดแนวถนนรัชดาภิเษกกลายเป็นขุมทอง สร้างมูลค่ามหาศาลให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เพราะ นอกจาก มีเส้นทางรถไฟฟ้าพาดผ่าน นักลงทุนปักหมุดสร้างโครงการกันมากแล้ว ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ยังกำหนดให้ ย่านดังกล่าวเป็น ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ต่อขยายมาจากกรุงเทพชั้นในอย่างสุขุมวิทสีลม สาทร ส่งผลให้การติดต่อขอเช่าพื้นที่และการต่อสัญญาในระยะยาวกับรฟท.ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่น เนื่องจาก เดินทางสะดวก อัตราค่าเช่า ไม่สูง เมื่อเทียบกับกำไรต่อปีจากการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน สถานบริการ โรงแรม ศูนย์การค้า ที่จอดรถ อาคารพาณิชย์ ตลาดนัด และแม้แต่ทางเข้า-ออกเชื่อมต่อพื้นที่อาคารบริเวณด้านใน ซึ่งรฟท.ยอมรับว่า ที่ดินเป็นมรดกตกทอด โดยไม่มีต้นทุนมาจากอดีต แต่ปัจจุบันกลับสร้างมูลค่าจากความเจริญ โดยเทียบจากราคาประเมินของกรมธนารักษ์ และราคาซื้อขายตลาดของภาคเอกชน ในย่านเดียว ที่ขยับสูงสวนทางเศรษฐกิจจากการมาของโควิดสูงสุดราคาตารางวาละ 1-1.4 ล้านบาท บริเวณสถานี MRTศูนย์วัฒนธรรม โดยเฉพาะเซ็นทรัลพระราม9 และจะขยับต่อเนื่อง เมื่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม เปิดให้บริการ
รื้อ 124 สัญญา
แหล่งข่าวจากรฟท. เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันรฟท.มีสัญญาเช่าที่ดินย่านรัชดาภิเษก ทั้งหมด 124 แปลง (124สัญญา) 186 ไร่ โดยสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวเริ่มตั้งแต่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ตลอดจนถึงศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดาภิเษก ใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้รฟท.มีรายได้จากค่าเช่าที่ดินบริเวณย่านถนนรัชดาภิเษก กว่า 200 ล้านบาทต่อปี และมีแผนปรับรายได้เพิ่ม
อย่างไรก็ตามขณะนี้ที่ดินหลายแปลงเริ่มทะยอยหมดสัญญาซึ่งแบ่งเป็น2กลุ่มได้แก่กลุ่มสัญญาเช่า ระยะสั้น ส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์ และระยะยาว 30 ปี ซึ่งสัญญาที่จะต่อใหม่ให้กับเจ้าของกิจการ จะว่าจ้างทีมที่ปรึกษา และนำเสนอต่อคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (บอร์ดรฟท.)พิจารณาเห็นชอบเป็นรายๆไป มองว่า โดยจะใช้ราคาตลาดเป็นเกณฑ์เช่นทำเล ห้วยขวาง , ดินแดง เฉลี่ย ราคาตารางวาละ 3แสนบาทสูงกว่าราคาประเมินราว 5หมื่น-1แสนบาทต่อตารางวาเช่นเดียวกับ บางกอกไนท์บาซาหัวมุมถนนรัชดาฯตัดลาดพร้าว ราคาค่อนข้างสูง 5แสนบาทต่อตารางวา ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง เช่นเดียวกับแปลง ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB จุดตัดถนนวิภาวดีรังสิต-รัชโยธินที่ราคาที่ดิน ไม่เกิน 5-6 แสนบาทต่อตารางวา
ที่โพไซดอนพุ่ง
ขณะอาคารโพไซดอน เขตดินแดงเจ้าของกิจการจะปรับธุรกิจ จากสถานบริการอาบอบนวดเป็นโรงแรม 3 ดาว และขอต่อสัญญา ที่จะหมดอายุลงปี 2567 ซึ่งในทางปฏิบัติสามารถทำได้ และต้องปรับค่าเช่าขึ้นรวมมูลค่าและผลตอบแทนในอนาคตที่รฟท.จะได้รับให้เหมือนกับที่ดินแปลงสามเหลี่ยม เซ็นทรัลลาดพร้าว ที่ต่อสัญญาใหม่จาก 3,000ล้านบาทต่อปีเป็นกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปีเป็นต้น
เบื้องต้นรฟท.อยู่ระหว่างดำเนินการประเมินมูลค่าทรัพย์ สินสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว ราว 753 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ดิน 611 ล้านบาท และอาคาร 41 ล้านบาท โดยจัดจ้างที่ปรึกษาความเหมาะสมและค่าตอบแทนที่รฟท.จะได้รับตลอดอายุสัญญา เพื่อพิจารณาในการต่อสัญญา เนื่องจากจะหมดอายุสัญญาภายในปี 2567 คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องดังกล่าวภาย ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุม (บอร์ด) รฟท.พิจารณาเพื่อเห็นชอบภายใน 2-3 เดือน
โดยสัญญาเช่าที่ดินแปลงโพไซดอน มีเพียงสัญญาเดียว ซึ่งเป็นสัญญาจัดหาประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีอาคาร จำนวน 11 ชั้น เป็นสถานที่อาบอบนวด อาคารพาณิชย์ 7 ชั้น 3 คูหา และอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 32 คูหา
ตอบแทน 200 ล้าน
สำหรับสัญญาเช่าที่ดินของรฟท.ย่านถนนรัชดาฯ แปลงโพไซดอน สัญญาเริ่มตั้งแต่ปี 2537-2567 ระยะเวลา 30 ปี ที่ผ่านมาบริษัทชำระค่าเช่าอยู่ที่ กว่า4แสนบาท ในการลงทุนครั้งแรกเป็นที่ดินเปล่า ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องลงทุนก่อสร้างอาคาร
ขณะเดียวกันในระเบียบของรฟท.หากมีการต่อสัญญาในพื้นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกจำเป็นต้องจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ ซึ่งจะทำให้ที่ดินดังกล่าวมีราคาแพงขึ้น เบื้องต้นจากผลการศึกษาหากต่ออายุสัญญาออกไปอีก 30 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2567-2597 ระยะเวลา 30 ปี ทางบริษัทต้องจ่ายค่าตอบแทนให้รฟท.ราว 200 กว่าล้านบาท โดยในปีแรกบริษัทต้องชำระค่าเช่าให้รฟท.ราว 40 ล้านบาทต่อปี หลังจากนั้นจะมีการปรับอัตราค่าเช่าที่ดิน 10% ทุกๆ 3 ปี ซึ่งรฟท.มีหลายแนวทางศึกษารูปแบบการต่ออายุสัญญา หลายปนวทาง เช่น แบบ 10 ปี 20 ปี และ 30 ปี
ต่อ“ทวินทาวเวอร์”
ทั้งนี้รฟท.จะให้สิทธิผู้เช่ารายเดิมในการต่ออายุสัญญาก่อน หากผู้เช่ารายเดิมไม่สนใจที่จะต่อสัญญา รฟท.จะดำเนินการเปิดประมูลโครงการในพื้นที่เช่านั้นๆ นอกจากนี้มีโรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์เนื้อที่ 6.53 ไร่ ย่านรองเมือง เขตปทุมวัน ของ บจ.โกลเด้น แอสเซ็ท ที่จะหมดสัญญา 20 ปี ภายในปี 2565-2566 ก่อนสัญญาเช่ารัชดาภิเษก แปลงโพไซดอน
แหล่งข่าวจากสำนักงานเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อาคารโพไซดอน หากจะเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นโรงแรม 3ดาวไม่จำเป้นต้องทุบทั้งอาคาร อย่างไรก็ตาม ที่ดินของรฟท.ในเขตดินแดงจะคลอบคลุม ที่ดินเอสพานาดบางส่วน บิ๊กซี เดอะสตีท เต็มพื้นที่ 16 ไร่
บิ๊กทุนจองเต็มพื้นที่
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์จำกัด บริษัทประเมินทุนทรัพย์ที่ดินระบุว่าที่ดินของรฟท.ย่านรัชดาฯเป็นทำเลทองที่เอกชนให้ความสนใจและเต็มทั้ง124แปลงส่วนใหญ่จะต่อสัญญาระยะยาว เพราะเป็นกิจการใหญ่อย่างสำนักงานใหญ่ไทยพาณิชย์ จุดตัดถนนวิภาวดีราคาที่ดิน ประมาณ 5แสนบาทต่อตารางวา เช่นเดียวกับบางกอกไนท์บาซา รัชดาฯตัดลาดพร้าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อสังหาฯ ‘ไซส์เล็ก’ ราคาถูก มาแรง
อสังหาฯ ใหญ่ หาน่านน้ำใหม่ เปิดเกมพัฒนาโครงการเล็ก ราคาถูก-เข้าถึงได้ ทะลวงตลาดที่อยู่อาศัยปี 2564 หลังเศรษฐกิจฝืด กำลังซื้อเปราะบาง จับตาบมจ.แสนสิริ รุกคอนโดฯ ล้านต้น หนุนสภาพคล่อง ขณะโนเบิล-ออริจิ้น คาดเดินหน้าส่งแบรนด์ไม้เด็ด กระจายปักหมุดทั่วกรุงเทพฯ
เศรษฐกิจของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งแม้สำนักงานสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) คาดการณ์ไว้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวได้ราว 3.5- 4.5% แต่นับเป็นการขยายตัวจากฐานที่ต่ำผิดปกติของปี 2563 นั้น
กำลังส่งสัญญาณให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตลาดที่อยู่อาศัย เร่งปรับตัวและเตรียมรับมือ หลังภาวะดังกล่าว ย่อมส่งแรงกระเพื่อมทางลบ ต่อกำลังซื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งคาดการณ์คนเสี่ยงได้รับผลกระทบ เสี่ยงตกงาน และรายได้ลดลงราว 4.7 ล้านคนในทุกสาขาอาชีพ
ไม่นับการระบาดซ้ำในระลอก 2 ส่งผลตัวเลขหนี้ครัวเรือนส่อแววไต่ระดับสู่ 5 แสนบาทต่อครัวเรือน จาก 4.8 แสนบาทในช่วงปีที่ผ่านมา ตอกย้ำ คนไทยต้องติดอยู่ในวังวน “แบกหนี้” ขยับขยาย ด้านที่อยู่อาศัยลำบาก แม้จะเป็นปัจจัย 4 มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
สำหรับทางรอดในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น นอกจากคำเตือน ว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ลง และเฟ้นหาทำเลที่มีเรียลดีมานด์ (ความต้องการจริง) รองรับแล้ว เซ็กเมนต์หรือราคาขายที่ลูกค้าสามารถจับต้องเข้าถึงได้ ก็นับเป็นอีกแสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์ ให้สามารถประคองธุรกิจและยังรักษาการเติบโตได้
สอดคล้องกับการวิเคราะห์กลยุทธ์ทางธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ ของนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ว่า โครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น น่าจะเป็นโครงการขนาดเล็ก และมีราคาขายที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ เพราะผู้บริโภค ย่อมจะเลือกซื้อสินค้า จากการดูกำลังซื้อที่แท้จริงของตนเอง โดยไม่หวังพึ่งรายได้ที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างในอดีต
ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” เช็กความพร้อมผู้ประกอบการเบอร์ใหญ่ในตลาด ที่ทยอยประกาศแผนการเปิดโครงการใหม่ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมูลค่าที่จะเกิดขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านบาท กว่า 100 โครงการนั้น พบส่วนใหญ่ มีกลยุทธ์ และทิศทางการพัฒนาโครงการที่ใกล้เคียงกัน
คือ การขยายไปยังทำเลใหม่ๆ รอบเมือง ซึ่งราคาที่ดินยังไม่ขยับแรงมาก ทั้งในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ พร้อมๆการปรับโปรดักต์และราคาขายที่ลดลง ตั้งแต่โครงการระดับกลาง และ Affordable (เข้าถึงได้) เพื่อหวังตอบรับกับความสามารถในการซื้อส่วนใหญ่ของคน ณ ปัจจุบัน
เริ่มตั้งแต่ เจ้าตลาดบ้านแพงอย่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ปีนี้เตรียมเปิด 24 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2.6หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้จะเป็นการเปิดที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว นับเท่าตัว แต่เซ็กเมนต์ส่วนใหญ่ 3 ใน 4 พบเป็นโปรดักต์สำหรับบ้านหลังแรก ระดับราคาเข้าถึงง่าย ขนาดไซส์ไม่ใหญ่มาก ตั้งแต่แบรนด์ ‘สิริ เพลส’-‘อณาสิริ’-‘สราญสิริ’ และ ‘บุราสิริ’
รวมถึงการเตรียมเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ ในกลุ่มคอนโดฯ ลักษณะกระจายทำเล ในราคาเริ่มต้น ล้านต้นๆ ซึ่งผู้บริหาร ระบุว่า ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยในแง่เพิ่มสภาพคล่อง สร้างเงินหมุนเวียนให้กลับมาได้เร็วอีกด้วย
“อดีตเราทำตลาดกว้างมากตั้งแต่ราคา 1 – 100 ล้าน แต่สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันไม่เหมือนเดิม ภาวะแย่ ลูกค้ามีอำนาจการซื้อลดลง ฉะนั้น ในทุกโปรดักต์ ราคาต้องย่อมเยาว์ ต่ำลงมา ขนาดโครงการเล็กลง เพื่อลดเวลา และเงินทุน จากเดิมใช้เวลา 4-5 ปีจบโครงการ อาจเหลือเพียง 1 ปีกว่าๆ ช่วยลดความเสี่ยง ทั้งการพัฒนา และ การขาย” นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ. แสนสิริ กล่าว
เช่นเดียวกับ อีกค่ายใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) (เดิม: โกลเด้นแลนท์) ประกาศเปิดใหม่ 24 โครงการ มูลค่าเกือบแตะ 3 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการไม่ใหญ่ กระจายหลายทำเล และเติมเพิ่มในทำเลเดิม เช่น ทาวน์โฮมราคา 2.5 ล้านบาท และนีโอโฮม (บ้านแฝด) ราคาไม่แพงรวมถึงการเตรียม เปิดคอนโดฯ 1 โครงการ ในระดับราคาไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อตร.ม. อีกด้วย ภายใต้ความกังวล ว่าแม้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ แต่คาดเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและหนี้สินครัวเรือนยังคงสูง
ขณะบมจ.โนเบิล ที่ประกาศเล่นใหญ่ไทยแลนด์ ผ่านมูลค่าเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุด 4.51 หมื่นล้านบาท จำนวน 11 โครงการนั้น พบนอกจาก เตรียมส่งโครงการหรูผ่านการร่วมทุนกับทุนไทยและต่างชาติ เพื่อเข็นกำลังซื้อต่างชาติที่มีโอกาสกลับมาคึกคัก ควบคู่กับการแตกไลน์ตลาดแนวราบแล้ว อีกหนึ่งโฟกัสสำคัญของปีนี้ คือ การบุกคอนโดฯราคาเข้าถึงได้ ผ่านแบรนด์ “Nue” เช่น Nue Noble เซ็นทรัลบางนา และ Nue Condo แอท ดอนเมือง รูปแบบโลว์ไรส์ สร้างเร็ว โอนเร็ว มูลค่าต่ำกว่า 1 พันล้านต่อโครงการ ซึ่งจะเปิดในช่วงครึ่งปีแรก ด้วยราคาขาย ล้านต้นๆ ถึง 2 ล้านกว่าๆ ส่วนแนวราบ ทาวน์เฮาส์จะเริ่มที่ 4 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการประกาศเกมเล่นของอีกค่ายใหญ่ บมจ.ออริจิ้น หลังจากปีที่ผ่านมา เจาะกำลังซื้อถูกจุด และจุดแข็งด้านทำเล ผ่านแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) ใช้กลยุทธ์ ลดต้นทุนด้านการบริหารจัดการที่ไม่กระทบต่อตัวสินค้า เช่น ไม่มีสำนักงานขาย เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการคอนโดฯ ได้ง่าย ราว 7 หมื่นบาทต่อตร.ม.หรือ ราคาล้านต้นๆ เท่านั้น ซึ่งในปีนี้เอง นายพีระพงศ์ จรูญเอก ซีอีโอบริษัท ระบุ พร้อมเดินหน้ารับมือทุกปัจจัยกระทบตลาด เปิดใหม่ทั้งสิ้นรวม 20 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่ในวงการ อย่าง บมจ.พฤกษาฯ ซึ่งปีนี้เตรียมเปิดใหม่ 29-30 โครงการ มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เลื่อนมาจากปีก่อนหน้านั้น แย้มว่าจะหันไปเจาะกลุ่มลูกค้ากลาง-บน กำลังซื้อสูงมากขึ้น เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากยอดปฎิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นนั่นเอง และนับเป็นโจทย์ใหญ่ ที่ผู้ประกอบการข้างต้น ต้องหาทางแก้ปัญหารับมือ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 30.02 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.02 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 29.97 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากดอลลาร์กลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร
“บาทอ่อนค่าตามภูมิภาคและทิศทางตลาดโลก เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าหลังเฟดส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 29.95-30.10 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“พรปวีณ์” สุดเฉียบ แซงดับ “รัชนก” เปิดหัวศึกเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์
“หมิว” พรปวีณ์ เค้นฟอร์มเฉียบ แซงดับเอาชนะรุ่นพี่อย่าง “เมย์” รัชนก ไปอย่างสนุก 2-1 เกม ประเดิมเก็บชัยชนะในศึกขนไก่เวิลด์ทัวร์ ไฟนอล 2020 ได้อย่างสวยงาม
การแข่งขันแบดมินตัน “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอล 2020” ชิงเงินรางวัลรวม 1,500,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45,150,000 บาท ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ซึ่งในวันนี้เป็นการชิงชัยวันแรก
การแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว กลุ่ม บี คู่ที่น่าสนใจในช่วงเย็น “เมย์” รัชนก อินทนนท์ เต็ง 3 รายการ พบกับรุ่นน้องร่วมชาติ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 13 ของโลก
ในเกมแรกถึงแม้ รัชนก จะเอาชนะไปได้ก่อน 21-15 แต่หลังจากนั้น “หมิว” พรปวีณ์ เล่นได้อย่างมั่นใจขึ้น แซงเอาชนะไปในสองเกมหลัง 21-11 และ 21-18
ทำให้จบเกม พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ พลิกเอาชนะ รัชนก อินทนนท์ ไปอย่างสนุก 2-1 เกม 15-21, 21-11, 21-18 คว้าชัยชนะประเดิมทัวร์นาเมนต์ได้อย่างสวยงาม
ส่วนนัดที่สอง รัชนก อินทนนท์ จะพบกับ พีวี. สินธุ จากอินเดีย ส่วน พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ จะพบกับ ไถ่ จื่อ อิง เต็งหนึ่งของรายการจากไต้หวัน ในวันพรุ่งนี้.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เผยผลอนามัยโพล พบประชาชนสวมหน้ากากป้องกันโควิด-19 มากขึ้น
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำรวจอนามัยโพล ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 10-22 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนสวมหน้ากากเป็นประจำ ร้อยละ 94.48 ไม่สวมหน้ากากเลย ร้อยละ 0.9 ดังนั้น เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 จึงขอเน้นย้ำประชาชนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อออกจากบ้าน หมั่นล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจอนามัยโพล ประเด็นพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในการป้องกันโรคโควิด-19 ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 10-22 มกราคม 2564 จากประชาชนทั่วประเทศ 19,279 คน พบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมสวมหน้ากากเป็นประจำเมื่อไปที่สาธารณะถึง ร้อยละ 94.48 ในขณะที่ไม่สวมหน้ากากเลย มีเพียงร้อยละ 0.9 ซึ่งกลุ่มอายุที่สวมหน้ากากน้อยที่สุด คือ กลุ่มอายุน้อยกว่า 15 ปี และอายุ 15 – 24 ปี และเมื่อสอบถามต่อในกรณีที่เดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ พบว่า สถานที่ที่ประชาชนสวมหน้ากากน้อย คือ สวนสาธารณะ/สนามกีฬา ร้อยละ 66.5 ฟิตเนส/โรงยิม ร้อยละ 69.9 รวมทั้ง วัด โบสถ์ โบราณสถาน ร้อยละ 70.9 จึงควรเน้นย้ำให้ประชาชนเมื่อไปสถานที่เหล่านี้ควรสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นกรณีจำเป็น เช่น ขณะทานอาหาร ขณะออกกำลังกาย เป็นต้น
สำหรับสถานที่ที่ประชาชนสวมหน้ากากมากที่สุดคือ ห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 82.53 รองลงมาคือ ตลาดและตลาดนัด ร้อยละ 80.45 สำหรับพฤติกรรมการป้องกันตัวเอง พบว่าในภาพรวมประชาชนตรวจวัดไข้ก่อนเข้าสถานที่ต่าง ๆ ร้อยละ 92.45 ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ ร้อยละ 88.14 และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่คนพลุกพล่าน ร้อยละ 82.07
“ทั้งนี้ กรมอนามัยยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนสวมหน้ากากตลอดเวลาและสวมอย่างถูกวิธี เมื่อออกจากบ้าน ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร และหลีกเลี่ยงการไปในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งขอให้โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ-ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการสถานที่สาธารณะต่าง ๆ หรือจดบันทึกประวัติการเดินทางของตนเองในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้การสอบสวนโรคทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ขอความร่วมมือสถานประกอบการต่าง ๆ ประเมินมาตรฐานความสะอาดปลอดภัยป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยตนเองผ่านแพลตฟอร์ม “Thai Stop COVID” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเฝ้าระวัง สร้างความมั่นใจให้ประชาชนที่มารับบริการ และยกระดับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ภาษาอังกฤษ ชื่อหน่วยในกระทรวง
ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานของรัฐในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (Ministry of Social Development and Human Security) มีหน่วยงานอะไรบ้างที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ และพวกเรารู้จักทุกหน่วยงานหรือเปล่า
ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
Department of Children and Youth – กรมกิจการเด็กและเยาวชน |
Department of Empowerment of Persons with Disabilities – กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ |
Department of Older Persons (DOP) – กรมกิจการผู้สูงอายุ |
Department of Social Development and Welfare (DSDW) – กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ |
Department of Women’s Affairs and Family Development – กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว |
Institute of Community Organization Development (Public Organization) – สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) |
Office of the Minister – สำนักงานรัฐมนตรี |
Office of the Permanent Secretary – สำนักงานปลัดกระทรวง |
The National Housing Authority – การเคหะแห่งชาติ (รัฐวิสาหกิจ) |
The Pawn Office – สำนักงานธนานุเคราะห์ |
ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
BMW ผงาดแชมป์รถหรูในรอบ 20 ปี ประเดิมชัยศักราชใหม่อัดโปรโมชั่นแรง
ค่ายรถหรูเร่งเครื่องยนต์กระตุ้นยอดขายตั้งแต่ต้นปี บีเอ็มดับเบิลยู ได้ใจหลังครองแชมป์ปี 2563 เดินหน้าอัดโปรโมชั่นโหดต่อเนื่อง BMW X1 จัดส่วนลดของแถมร่วม 3 แสนบาท หรือ ซีรีส์ 2 แกรนด์ คูเป้ ลดได้ 2 แสนบาท ด้าน Audi Q3 โหนกระแสช่วยผ่อนคนละครึ่ง 12 เดือนมูลค่า 1.54 แสนบาท ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวเอสยูวีฟูลไซส์ GLS รุ่นประกอบในประเทศ ราคาถูกลง 2.36 ล้านบาท
สรุปยอดขายปี 2563 บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไล่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ไม่ทัน ด้วยตัวเลข 10,613 คัน และ 12,426 คัน ตามลำดับ
สำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยอดขายปี 2563 ลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยเป็นยอดที่รวม 2 แบรนด์ คือ บีเอ็ม ดับเบิลยู และ มินิ (ประมาณ 1,000-1,200 คัน ต่อปี) ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ลดลง 29.7% ส่วนหนึ่งเพราะสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจในวิกฤติโควิด-19 และการปรับแผนทำตลาดรถระดับ Entry Level คอมแพ็กต์คาร์ขับเคลื่อนล้อหน้า
ขณะที่ บีเอ็มดับเบิลยู ตลอดปี 2563 เดินหน้ากระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญแรง จัดอีเวนต์ทั้ง สเกลเล็ก สเกลใหญ่ ส่งเสริมให้ดีลเลอร์เดินหน้าลุยแบบไม่ยอมหายใจ พร้อมส่วนลดในแต่ละรุ่นเป็นหลักแสน โดยลูกค้าเลือกแพกเกจทางการเงินได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดเงินสด ซับเงินดาวน์ หรือดอกเบี้ยต่ำ/สูง ผ่อนนาน ประกันภัยชั้นหนึ่ง ตลอดจนใช้โปรแกรม BSI เป็นออพชันเสริม
ปฎิเสธไม่ได้ว่า การทำตลาดเชิงรุก พร้อมอัดเงินส่งเสริมการขายมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ บีเอ็มดับเบิลยู คว้าแชมป์ตลาดรถหรูปี 2563 แทน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ที่ครองตำแหน่งนี้มายาวนาน 19 ปีซ้อน
ต้นปี 2564 ค่ายใบพัดสีฟ้ายังต่อเวลาแคมเปญต่างๆ ที่ใช้ในปีที่แล้ว โดยแต่ละรุ่นมีมูลค่าส่วนลดเป็นแพกเกจรวมหลายแสนบาท เช่น BMW X1 ที่เพิ่งไมเนอร์เชนจ์ (LCI) ปีที่แล้ว ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล X1 sDrive 20d xLine ราคา 2.349 ล้านบาท ได้แพกเกจสนับสนุนทางการเงินเกือบ 3 แสนบาท (รวมประกันภัยชั้น 1)
ส่วน ซีรีส์ 2 แกรนด์ คูเป้ รุ่นประกอบในประเทศเปิดตัวปลายปีที่แล้ว 220i Grand Coupe M Sport ราคาตั้ง 2.479 ล้านบาท มีส่วนลดถึง 2 แสนบาท ขณะที่รุ่นยอดนิยมอย่าง ซีรีส์3 (G20) ได้ส่วนลด 2.3-2.5 แสนบาท รวมถึง X3 รับส่วนลดระดับ 4 แสนบาท
ส่วนโปรดักต์ใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู ประเดิมต้นปีด้วย ซีรีส์ 5 (G30) ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นประกอบในประเทศ ทั้งขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด BMW 530e Elite 2.999 ล้านบาท ราคาเท่าเดิม BMW 530e M Sport 3.739 ล้านบาท ราคาลดลง 2 แสนบาท และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล BMW 520d M Sport 3.539 ล้านบาท ราคาเท่าเดิม
ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ยอมน้อยหน้า ด้วยการเพิ่มไลน์อัพรุ่นประกอบในประเทศ กับเอสยูวีรุ่นใหญ่ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium พร้อมทำราคาขาย 6.499 บาท ถูกกว่าตัวนำเข้า(เปิดตัวปลายปี 2562) ถึง 2.36 ล้านบาท แต่ยังคงฟีเจอร์เด่นๆ เทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกไว้ครบครัน
นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2564 บริษัทตอกยํ้าความมุ่งมั่นที่มีต่อตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย โดยเฉพาะเซกเมนต์เอสยูวีที่มีความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ
“นอกจากตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอ Large Full-Size SUV แบบ 7 ที่นั่งรุ่นประกอบในประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ ที่หรูหราเหนือระดับเช่นเดียวกับตระกูล เอส-คลาส พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น”นายโฟล์เกอร์ กล่าวสรุป
สำหรับปี 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์ หมายมั่นปั้นมือกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์รถหรูเมืองไทยอีกครั้ง ด้วยรถกลุ่มคอมแพ็กต์ประกอบในประเทศ ทั้ง เอ-คลาส ซีดาน และ จีแอลเอ โดยรุ่นแรกเปิดราคาเร้าใจ 1.99 ล้านบาท ยังมาพร้อมโปรโมชันดาวน์ 149,000 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ย 0.99%
อีกหนึ่งค่ายเยอรมนี “อาวดี้” ที่ปี 2563 ขายได้ประมาณ 1,000 คัน โต 12 % เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งปีนี้ประกาศเปิดตัวรถใหม่อีกกว่า 10 รุ่น พร้อมจัดแคมเปญโหนกระแสคนละครึ่ง ด้วยการช่วยลูกค้าผ่อนค่างวด 50% เป็นระยะเวลา 12 เดือน เช่น Audi Q3 S line ช่วยผ่อน 12,100 บาทต่อเดือน รวมมูลค่า 145,000 บาท หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% 5 ปี จ่ายเดือนละ 24,990 บาท
Audi A6 40 TFSI ช่วยผ่อน 16,450 บาทต่อเดือน รวมมูลค่า 197,400 บาท Audi Q8 ช่วยผ่อน 32,950 บาทต่อเดือน รวมมูลค่า 395,400 บาท หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% 7 ปี จ่ายเดือนละ 65,900 บาท
ด้านวอลโว่ ที่ปรับพอร์ตการขายเป็นรถขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด ทุกรุ่น โดยปีที่แล้วทำยอดขายได้ 1,824 คัน ลดลง 13.1% ปีนี้ทีเด็ดยังอยู่ที่ Volvo XC40 Recharge และ Volvo S60 ล่าสุดเปิดตัว 3 ดีลเลอร์ใหม่ให้เข้ามาช่วยขาย คือ พระนคร สวีดิช คาร์ ลาดพร้าว, นิวตัน เพรสทีจ ออโต ถนนบรมราชชนนี และ 14 ออโต้มาร์ค จำกัด ถนนพระราม 2
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประโยชน์ของใบพลู กับหลากสรรพคุณรักษาโรค
ใบพลู มีฤทธิ์ต้านเชื้อราและแบคทีเรียได้ดี (ไทยโพสต์)
ใบพลู พืชสมุนไพรไทย กับสรรพคุณช่วยรักษาสารพัดอาการ ที่เป็นภูมิปัญญาแบบไทย ๆ
เอ่ยถึงใบพลู คนฟังจะจินตนาการย้อนยุคไปไกลหลายสิบปี นึกเห็นภาพคุณย่าคุณยายกับตะกร้าหมากและปากแดง ๆ ที่มีน้ำหมากไหลย้อยนิด ๆ ที่มุมปาก และกระโถนสำหรับบ้วนน้ำหมากทิ้ง ที่ต้องเล่าให้เห็นภาพอย่างนี้เพราะคนไทยที่อายุต่ำกว่า 40 ปีแทบจะไม่เคยเห็นวัฒนธรรมการกินหมากพลูกันแล้ว ยังมีบ้างก็ในชนบทต่างจังหวัดที่ยังคุ้นชินตาในวิถีดำรงชีวิตประจำบ้าน (คนที่กินหมากไม่ใช่แค่คุณย่าคุณยายเท่านั้น คุณปู่คุณตาก็กินด้วย แต่ไม่นิยมหิ้วตะกร้าหมาก อย่างมากก็พกใส่ชายพกสักคำสองคำ)
ใบพลูนั้นเป็นของคู่กันกับหมากมาช้านาน คนไทยจึงเรียกว่าหมากพลูคู่กันเสมอ ปัจจุบันบทบาทของหมากพลูที่แพร่หลายคือใช้เป็นเครื่องไหว้บูชาในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ หรือใช้ไหว้พระไหว้เทพเจ้า
การเคี้ยวหมากพลูกลายเป็นของต้องห้ามของคนไทยตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการตัดต้นหมากและพลูทิ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนักเพราะหมากพลูไม่ได้ใช้ประโยชน์แค่นั้น แต่ยังเป็นยาที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะพลูนั้นใช้ประโยชน์ได้เสมือนยาสามัญประจำบ้านปลูกไว้มีแต่ได้ประโยชน์
ย้อนกลับไปในอดีต ใบพลูเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่มีการเก็บอากรภาษี ค้างละหนึ่งบาท หรือที่เรียกว่าไม้ค้างพลู (หนึ่งค้างก็เหมื่อนพลูหนึ่งต้น) อันแสดงให้เห็นว่าเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจที่มีการซื้อขายกันมายาวนาน และพลูยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการกินหมากของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นไปถึงเอเชียใต้ อย่างมิอาจบอกได้ว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดการกินหมากพลูนั้นเริ่มมาจากที่ใดกันแน่ ดังนั้นจึงมีการส่งใบพลูและหมากออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศในสมัยนั้นจำนวนไม่น้อย
แม้ปัจจุบันความสำคัญของการบริโภคหมากพลูเรียกได้ว่าแทบจะหมดไปแล้ว ยังเหลือการใช้เป็นเครื่องบูชาที่จะขาดมิได้เท่านั้น จนทำให้ชาวสวนพลูจำนวนไม่น้อยหันหลังให้กลับอาชีพนี้ และบางส่วนที่ยังทำอยู่ก็ดูเหมือนจะไร้ผู้สืบทอด ในความเป็นจริงแล้วอนาคตของสวนพลูยังสดใสเปลี่ยนจากการปลูกแล้วกิน เป็นการปลูกและนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหย ตลาดน้ำมันหอมระเหยโดยรวมทุกชนิดนั้นมีมูลค่าการตลาดมหาศาล สำหรับน้ำมันหอมระเหยใบพลูแม้จะไม่ติดอันดับต้น ๆ แต่ราคาซื้อขายต่อกิโลกรัมราคาก็ไม่น้อย ปัจจุบันซื้อขายกันกิโลกรัมละ 23,000-25,000 บาท
อนาคตของชาวสวนพลูยังมีแนวโน้มที่ดีถ้ามีการพัฒนากระบวนการตั้งแต่การปลูกและผลิตอย่างเป็นรูปธรรมกระทั่งไปสู่กระบวนการแปรรูป เพราะน้ำมันหอมระเหยใบพลูสามารถพัฒนาเป็นเครื่องสำอางเพื่อความงาม ยาระงับกลิ่นกาย ยาอมบ้วนปาก น้ำมันนวดคลายกล้ามเนื้อ ขี้ผึ้งหรือครีมฆ่าเชื้อรารักษาโรคเชื้อราต่าง ๆ ทำสบู่ก้อน สบู่เหลว ได้ เป็นต้น
น้ำมันหอมระเหยใบพลู หรือ Betel Vine สกัดจากใบพลู น้ำมันหอมระเหยมีสีเหลืองออกน้ำตาลเข้มมีกลิ่นฉุนค่อนข้างมาก มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลายชนิด เหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในครีมหรือน้ำมันนวดบริเวณช่องท้องเพื่อดูแลระบบทางเดินอาหาร
สรรพคุณของใบพลูคือ ใบ ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง แก้ลมพิษและฆ่าพยาธิ รักษาแผลช้ำบวม เลือดกำเดาออก แก้ลมพิษ แก้อาการคัน น้ำมันจากใบ แก้คัดจมูก อมกลั่วคอแก้เจ็บคอ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด
สารสำคัญในใบพลูมีหลายชนิดซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ยับยั้งการเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง ต้านเชื้อราของโรคผิวหนังและกลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ลดการปวดบวมของกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก
ดับกลิ่นปาก ใช้เคี้ยวแล้วคายทิ้งวันละ 2-3 ครั้ง ช่วยดับกลิ่นปากได้
ดับกลิ่นกาย ใช้ใบสดขยี้ให้แหลกแล้วใช้ทาถูที่ใต้รักแร้เป็นประจำ
แก้ลมพิษ ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดผสมเหล้าขาวเล็กน้อย ใช้ทาจนหาย
แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนสักหนึ่งแก้วดื่ม ช่วยลดอาการปวดจุกแน่นเฟ้อและบำรุงกระเพาะอาหารด้วย
ลดปวดบวม ใช้ใบพลูเลือกใบใหญ่ ๆ นำไปอังไฟให้ร้อนใช้ไปประคบบริวณที่ปวดบวมช้ำ
รักษากลากและฮ่องกงฟุต เอาใบสดโขลกให้ละเอียดดองกับเหล้าขาวทิ้งไว้ 15 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น
นัยที่สำคัญของพลูในยุคก่อน นอกจากเป็นเครื่องเคี้ยวคู่กับหมากใช้ต้อนรับแขก ใช้เชื่อมสัมพันธ์พบปะสังสรรค์ยังเป็นเครื่องบอกรักระหว่างหนุ่ม-สาว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้หมากพลูไปแล้วอีกฝ่ายให้หมากพลูตอบกลับ แสดงว่ารักนั้นสมหวัง แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องดื่มน้ำบัวบกแทน หนุ่มสาวยุคใหม่ถ้าใครสนใจก็นำไปใช้ลองดู แต่คิด ๆ ไปแล้วอีกฝ่ายที่รับคงนึกว่าเขาเอามากราบไหว้ตัวเองมากกว่าจะบอกรักเป็นแน่แท้
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,050.00 | 26,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,687.00 | 25,574.92 | 26,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,518.30 | 23,017.43 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,349.60 | 20,459.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 759.00 | 11,506.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 590.00 | 8,944.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,748.00 | 26,499.68 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/01/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 24.25 | 24.25 | 24.55 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 23.98 | 23.98 | 24.28 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 22.74 | 22.74 | 23.04 | 22.74 | 22.74 | – | 22.74 | 22.74 | 22.74 | 22.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.49 | 19.49 | – | – | – | – | – | – | – | 19.49 |
เบนซิน 95 | 31.66 | – | – | – | 32.11 | – | 32.16 | 31.66 | – | 31.66 |
ดีเซล B7 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 |
ดีเซล | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 |
ดีเซล B20 | 21.84 | 21.84 | 21.84 | 21.84 | 21.84 | – | 21.84 | 21.84 | – | 21.84 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 29.54 | 29.56 | 31.54 | 30.94 | – | – | – | – | – | 29.54 |
แก๊ส NGV | 13.35 | 13.35 | – | – | – | – | – | – | – | 13.35 |