ไหวไหม ? อสังหาฯ EEC ครึ่งปีแรกเหลือขาย 6.6 หมื่นหน่วย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออก 3 จังหวัดอีอีซี พบ ณ ครึ่งปีแรกมีหน่วยเหลือขาย 65,999 หน่วย มูลค่า 223,490 ล้านบาท ขณะระยอง รั้งจังหวัดที่มีซัพพลายสะสมเพิ่มขึ้นมากสุด ร้อยละ 22.1 รองลงมา ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออก อัตราการเปลี่ยนแปลงของหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายยังคงมีอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (YoY) และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 Half ล่าสุด โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของบ้านจัดสรร ร้อยละ 3.9 และอาคารชุดร้อยละ 11.7 เมื่อพิจารณาจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 มากถึงร้อยละ -53.2 แต่หน่วยขายได้ใหม่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 และหน่วยเหลือขายมีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยจังหวัดระยองมี Total Supply เพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 22.1 รองลงมาคือ ฉะเชิงเทรา ร้อยละ 6.4 และชลบุรี ร้อยละ 0.7 ตามลำดับ
ในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 มีโครงการเปิดขายใหม่รวม 62 โครงการ จำนวน 6,935 หน่วย มูลค่ารวม 21,897 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 55 โครงการ รวม 4,932 หน่วย มูลค่า 12,290 ล้านบาท และอาคารชุด 7 โครงการ จำนวน 2,003 หน่วย มูลค่ารวม 9,606 ล้านบาท โดยชลบุรี เป็นพื้นที่ที่มีโครงการเปิดขายใหม่มากที่สุด 26 โครงการ ประกอบด้วย บ้านจัดสรร 20 โครงการ และอาคารชุด 6 โครงการ รวม 3,704 หน่วย มูลค่า 14,250 ล้านบาท รองลงมาคือระยอง เปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ เป็นประเภทบ้านจัดสรรทั้งหมด รวม 2,635 หน่วย มูลค่า 5,947 ล้านบาท และฉะเชิงเทรา 6 โครงการ เป็นโครงการบ้านจัดสรร 5 โครงการ และอาคารชุด 1 โครงการ รวม 596 หน่วย มูลค่า 1,700 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจำนวนหน่วยเหลือขาย และหน่วยขายได้ใหม่ ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตา โดย ณ ครึ่งแรก ปี 2563 ในภาคตะวันออก มีอุปทานเหลือขายจำนวน 65,999 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 223,490 ล้านบาท จำแนกเป็นบ้านจัดสรร 45,040 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 125,973 ล้านบาท และอาคารชุด 20,959 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 97,517 ล้านบาท
เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายบ้านจัดสรรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 2.01 – 3.00ล้านบาท มีจำนวน 16,499 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.6 ของหน่วยบ้านจัดสรรที่เหลือขายทั้งหมด ขณะที่อาคารชุดเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 8,401 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 40.1 ของหน่วยอาคารชุดที่เหลือขายทั้งหมด
ทั้งนี้ บ้านจัดสรรที่มีมูลค่าหน่วยเหลือขายมากที่สุดอยู่ในช่วง 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 41,336 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.8 ของมูลค่าบ้านจัดสรรที่เหลือขายทั้งหมด ในขณะที่อาคารชุดส่วนใหญ่มีมูลค่าเหลือขายอยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 38,118 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.1 ของมูลค่าอาคารชุดที่เหลือขายทั้งหมด
ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งแรกปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 11,932 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 37,949 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นบ้านจัดสรร 8,761 หน่วย มูลค่า 24,674 ล้านบาท และอาคารชุด 3,171 หน่วย มูลค่า 13,274 ล้านบาท
โดยหน่วยบ้านจัดสรรขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,168 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.2 สำหรับหน่วยอาคารชุดขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทเช่นกัน มีจำนวน 925 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.2
ทั้งนี้ บ้านจัดสรรขายได้ใหม่มีมูลค่ามากที่สุดอยู่ในช่วง 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 7,988 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.4 สำหรับอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วง 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 3,526 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.6
เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้างของหน่วยเหลือขายทั้งหมด พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 41.2 ยังไม่ก่อสร้าง รองลงมาอยู่ระหว่างการก่อสร้างร้อยละ 39.6 และที่เหลือร้อยละ 19.2 ก่อสร้างเสร็จแล้ว หากแยกตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ ร้อยละ 43.0 ยังไม่ก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างสร้างร้อยละ 41.8 และสร้างเสร็จแล้วร้อยละ 15.2 ขณะที่อาคารชุดส่วนใหญ่ยังไม่ก่อสร้างร้อยละ 37.4 อยู่ระหว่างก่อสร้างร้อยละ 34.8 และ ยังไม่ก่อสร้างร้อยละ 27.8 ตามลำดับ
ด้านอัตราดูดซับ หรือ Absorption Rate ของตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออก ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ใช้เป็นเครื่องชี้อุปสงค์ (Demand) ของตลาดที่อยู่อาศัยนั้น การสำรวจในรอบครึ่งแรกปี 2563 พบว่า มีอัตราดูดซับต่อเดือนเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่ร้อยละ 2.6 โดยบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากร้อยละ 2.3 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.7 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ขณะที่อาคารชุดมีอัตราดูดซับลดลงช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากร้อยละ 3.3 ลดลงเป็นร้อยละ 2.2 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563
ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 มากที่สุด 3 ลำดับแรก คือทำเลนิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น ทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก และทำเลหาดจอมเทียน ตามลำดับ
สำหรับทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ทำเลนิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น ทำเลหาดจอมเทียน และทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ประมาณการทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออก ปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 โดยคาดว่า ณ ครึ่งหลังปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยรอการขายจำนวน 70,447 หน่วย มีมูลค่าหน่วยเหลือขายจำนวน 243,137 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 71,555 หน่วย มีมูลค่าหน่วยเหลือขายประมาณ 249,491 ล้านบาท ในครึ่งแรกปี 2564 ในขณะที่อัตราดูดซับต่อเดือนของบ้านจัดสรร คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ในครึ่งหลังปี 2563 และเพิ่มขึ้นเป็น 2.0 ในครึ่งแรกปี 2564 ส่วนอัตราดูดซับต่อเดือนของอาคารชุดคาดว่าจะลดลงมาอยูที่ร้อยละ 1.0 ในครึ่งหลังปี 2563 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 1.1 ในครึ่งแรกปี 2564
สำหรับการเคลื่อนไหวด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณการว่าจะยังคงลดลงต่อเนื่องโดยคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ประมาณ 6,156 หน่วย ในครึ่งหลังปี 2563 และเปิดใหม่อีก 6,830 หน่วยในครึ่งแรกปี 2564 ในขณะที่จำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ครึ่งหลังปี 2563 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 23,943 หน่วย มูลค่า 40,381 ล้านบาท และหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นมเป็น 35,636 หน่วย มูลค่า 41,216 ล้านบาท ในครึ่งแรก ปี 2564 ซึ่งประมาณการดังกล่าวอยู่ภายใต้ตัวแปรที่ยังไม่มีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เพอร์เฟคฯ บูมถนน ” หอการค้าไทย” จับมือทุนฮ่องกง ผุดคฤหาสน์หรูแพงสุด 70 ล.
เพอร์เฟค จับมือ ฮ่องกงแลนด์ เปิดตัวโครงการคฤหาสน์หรู “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” มูลค่า 5.7 พันล้านบาทพร้อมเตรียมพื้นที่สำหรับโรงเรียนนานาชาติแห่งใหม่ บูม ถนนเอกชนตัดใหม่ “หอการค้าไทย” ศูนย์กลางการอยู่อาศัยใจกลางทำเลแจ้งวัฒนะ
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัว “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” โครงการแรกที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ หนึ่งในพันธมิตรชั้นนำจากต่างประเทศที่มีประสบการณ์มากกว่า 130 ปี โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในโครงการกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี่ของ ฮ่องกง แลนด์ มาใช้เพื่อสร้างความโดดเด่นด้วยมาตรฐานระดับสากล เพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ สร้างความแตกต่างจากโครงการอื่นในระดับเดียวกัน แนวคิดโครงการเป็นการนำจุดเด่นของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้แก่ ทะเลสาบขนาดใหญ่ มารวมกับรูปแบบโครงการที่หรูหราอันเป็นจุดเด่นของ ฮ่องกง แลนด์ ซึ่งคฤหาสน์หรูในบรรยากาศทะเลสาบขนาดใหญ่ นับเป็นสินค้าที่หาได้ยากในตลาดบ้านระดับบนในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการเลือกทำเลที่เหมาะสมในย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นซีบีดีของกรุงเทพตอนเหนือ
“เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่แบรนด์ใหม่ ที่นับเป็นแบรนด์สินค้าระดับบนสุดของบริษัท แบ่งเป็น 2 เฟส พื้นที่รวม 102 ไร่ จำนวน 177 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 5,400 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวเฟสแรก พื้นที่ 36 ไร่ จำนวน 57 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาท มีแบบบ้านทั้งหมด 5 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 346-570 ตร.ม. ระดับราคา 26-70 ล้านบาท รูปแบบบ้านหลังใหญ่สุดมีขนาดถึง 570 ตารางเมตร เป็นบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดเท่าที่บริษัทเคยพัฒนาขึ้นมา เพื่อสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ทั้งนี้ บ้านระดับ บนถือเป็นโอกาสทางการตลาดในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังคงมีกำลังซื้อสูง ในช่วงพรีเซลส์ โครงการสามารถทำยอดขายได้แล้ว 550 ล้านบาท
แนวคิดของ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” เป็นโครงการบ้านหรูริมน้ำ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมอันหรูหราของคฤหาสน์ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบ้านที่โอ่อ่าและสะท้อนถึงการใช้ชีวิตหรูหรา โครงการได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การตกแต่งอย่างงดงาม ไปจนถึงการติดตั้งระบบบ้านอัจฉริยะ พร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่วิวทะเลสาบกว้าง ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้ง ฟิตเนส เล้าจ์ พื้นที่เล่นสำหรับเด็ก สระว่ายน้ำ ในการพัฒนาโครงการเลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ ฮ่องกง แลนด์ มีการทำงานร่วมกับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ร่วมกันกำหนดแนวคิดโครงการ การออกแบบ การก่อสร้าง ไปจนถึงการวางแผนกลยุทธ์การขายและการตลาด
โครงการ เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ ตั้งอยู่บน “ถนนหอการค้าไทย” ถนนเส้นใหม่บนทำเลแจ้งวัฒนะ ชัยพฤกษ์ ซึ่งบริษัทใช้งบกว่า 400 ล้านบาท ในการก่อสร้างถนนยาว 4 กิโลเมตร เดินทางได้สะดวกเพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีปากเกร็ด จึงทำให้ทำเลนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก บริษัทมีที่ดินในทำเลดังกล่าวรวม 677 ไร่ ทั้งที่พัฒนาโครงการไปแล้ว อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ และที่ดินรอการพัฒนาในอนาคต นอกเหนือจากโครงการของบริษัทแล้ว ถนนดังกล่าวยังมีโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อีก 3 บริษัท รวมพื้นที่ 272 ไร่ บริษัทยังมีแผนยกระดับ “ถนนหอการค้าไทย” ไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยใจกลางกรุงเทพตอนเหนือ โดยนอกจากโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว ยังจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ คอมมูนิตี้ มอลล์ ย่านการค้าและบริการ เพื่อรองรับชุมชนขนาดใหญ่ที่มีจำนวนรวม 3,290 ยูนิต ในทำเลถนนหอการค้าไทย ยังมีที่ดินของสถาบันการศึกษา โดยเป็นที่ดินของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พื้นที่ 215 ไร่ และล่าสุดยังจะโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพแห่งใหม่บนพื้นที่ 14.8 ไร่
ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ หรือ Singapore International School of Bangkok (SISB) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ได้เตรียมดำเนินการเปิดแคมปัสแห่งใหม่บนถนนหอการค้าไทย โดย นายเคลวิน โคว (Mr.Kelvin Koh) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสไอเอสบี เปิดเผยว่า เอสไอเอสบี เป็นบริษัทชั้นนำในด้านการศึกษาที่เชี่ยวชาญในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ปัจจุบันโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ มีทั้งหมด 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ SISB ประชาอุทิศ, SISB สุวรรณภูมิ, SISB ธนบุรี และ SISB เชียงใหม่ โดยมีนักเรียนทั้งหมด 2,600 คน ตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาเกรด 12
ล่าสุด เอสไอเอสบี ได้ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน 14.8 ไร่ กับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เพื่อรองรับแผนขยายสาขาเพิ่่มเติมในทำเลแจ้งวัฒนะ ถนนหอการค้าไทย เพื่่อตอบสนองความต้องการการศึกษาในหลักสููตรนานาชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งเน้นนำการศึกษาเข้าถึงคน “Making quality education accessible to all” การคัดเลือกทำเลในย่านแจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ นอกจากจะรองรับการศึกษาทั้งของผู้อยู่อาศัยในโครงการต่างๆ ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และโครงการอื่นในทำเลนี้แล้ว ยังทำให้สามารถให้การศึกษาที่มีคุณภาพครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพตอนเหนืออาทิ ดอนเมือง หลักสี่ นนทบุรี ปทุมธานี โดยโรงเรียนนานาชาติแห่งใหม่นี้ จะมีหลักสูตรการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษา (เกรด 12) แผนการพัฒนาโรงเรียน แบ่งเป็น 2 ช่วง โดยระยะแรกเปิดสอนหลักสูตรอนุบาลถึงประถมศึกษา และในระยะสองจะเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาเพิ่มเติม สำหรับกำหนดการเปิดการเรียนการสอนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของบริษัท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดาวโจนส์,น้ำมัน,ทองคำปิดร่วงแรง หวั่นโควิดฉุกศก.โลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,519.95 จุด ร่วงลง 943.24 จุด หรือ -3.43% ขณะที่ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,271.03 จุด ลดลง 119.65 จุด หรือ -3.53% ขณะที่ดัชนี แนสแดค ปิดที่ 11,004.87 จุด ลดลง 426.48 จุด หรือ -3.73%
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อวันที่ 28 ต.ค. โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ประเทศต่างๆประกาศมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งสหรัฐ และความล่าช้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2.18 ดอลลาร์ ปิดที่ 37.39 ดอลลาร์ ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2.08 ดอลลาร์ ปิดที่ 39.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 32.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,879.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สยบข่าวลือ! “บิลล์” ต่อสัญญาเชียงราย 3 ปี
บิลล์ โรซิมาร์ ดาวยิงชาวบราซิล ที่กำลังจะหมดสัญญากับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ล่าสุดทางสโมสรได้ประกาศ ต่อสัญญาฉบับใหม่อย่างเป็นทางการกับ บิลล์ โรซิมาร์ อมันซิโอ โดยเจ้าตัวจะค้าแข้งต่อในถิ่นสิงห์ สเตเดียมออกไปอีก 3 ปี หรือจนถึงฤดูกาล 2023
บิลล์ โรซิมาร์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมโอเคมาก กับการต่อสัญญาฉบับใหม่กับทางต้นสังกัดต่อไปอีก 3 ปี และแน่นอนว่าสัญญาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าผมต้องการที่จะแขวนสตั๊ดที่สโมสรแห่งนี้”
“เชียงรายคือบ้านของผม เราอยู่กันแบบครอบครัว แฟนบอลทุกคนก็น่ารักและคอยให้การต้อนรับผมอย่างดีในทุก ๆ ที่ ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไปจากที่แห่งนี้ ขอให้แฟนบอลมั่นใจผมยังพร้อม และมีความกระหายในการเล่นฟุตบอล แน่นอนผมจะทำผลงานให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการขอบคุณทุก ๆ กำลังใจที่มีให้แก่ผม”
สำหรับ บิลล์ โรซิมาร์ อมันซิโอ ดาวยิงชาวบราซิลวัย 36 ปี ย้ายมาร่วมทัพสิงห์ เชียงราย ฯ เมื่อเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2018 และพาทัพสิงห์ เชียงราย ฯ คว้าแชมป์มาครองอย่างมากมาย เอฟเอคัพ , ลีกคัพ 2018 , ไทยลีก 2019 และ ไทยแลนด์แชมเปี้ยนส์คัพ 2020
โดยบิลล์ โรซิมาร์ ลงสนามในสีเสื้อของสิงห์ เชียงราย ฯ ไปแล้วทั้งหมด 72 นัด ยิง 46 ประตู แอสซิสต์ 13 รวมทุกรายการ และในปัจจุบันฤดูกาล 2020 บิลล์ ลงสนามไป 10 นัดยิงไป 8 ประตู นำเป็นดาวซัลโวไทยลีกอยู่ ณ ขณะนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome)
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome-ACS)
หมายถึง กลุ่มอาการที่มีลักษณะบ่งชี้ถึงกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน อาการที่สำคัญ คือ เจ็บเค้นอกรุนแรงเฉียบพลัน หรือเจ็บขณะพักนานกว่า 20 นาที หรือเจ็บเค้นอกซึ่งเกิดขึ้นใหม่รุนแรงกว่าเดิม ร้อยละ 70 มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดแดงหัวใจอุดตันจากการแตกของตะกรัน แบ่งตามลักษณะอาการทางคลินิกได้ 3 กลุ่ม คือ
1. ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่พบการยกตัวผิดปกติของช่วง ST (ST segment) ในคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นกลุ่มอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ และพบค่าเอ็นไซม์การทำงานของหัวใจผิดปกติ มักแสดงถึงการอุดตันของหลอดเลือดแดงหัวใจเส้นสำคัญ ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ ตลอดความหนาของผนังกล้ามเนื้อหัวใจ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตกะทันหันได้
รูปที่ 1: ภาพแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่พบการยกตัวของช่วง ST
2. ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่ไม่พบการยกตัวของช่วง ST (ST segment) ในคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ร่วมกับพบค่าเอ็นไซม์การทำงานของหัวใจผิดปกติ บ่งบอกถึงการอุดตันของหลอดเลือดแดงหัวใจบางส่วน ในกรณีนี้กล้ามเนื้อหัวใจจะขาดเลือดเพียงส่วนหนึ่งของผนังกล้ามเนื้อ
รูปที่ 2: ภาพแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ไม่พบการยกตัวของช่วง ST
3. ภาวะอาการเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่ เป็นกลุ่มอาการเจ็บแน่นหน้าอกที่อาจพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติหรือผิดปกติได้แต่ค่าเอ็นไซม์การทำงานของหัวใจปกติ อาการปวดที่เป็นในแต่ละครั้งจะเพิ่มความปวดที่รุนแรงและนานมากขึ้น
สาเหตุของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
เป็นสภาวะของหลอดเลือดหัวใจที่เสื่อมสภาพหรือแข็งตัวแล้วเกิดมีการฉีกขาด หรือปริแตกที่ด้านในของผนังหลอดเลือด เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มอย่างรวดเร็วบริเวณที่มีการปริแตกหรือฉีกขาด ซึ่งจะมีการกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดอย่างรวดเร็วในบริเวณดังกล่าว หากลิ่มเลือดอุดกั้นบางส่วนทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกไม่คงที่แต่ยังไม่มีกล้ามเนื้อหัวใจตาย กรณีลิ่มเลือดเกิดการอุดตันโดยสมบูรณ์จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
1. เพศ เพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
2. อายุ เพศชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
3. พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัว (first degree relative) หมายถึง พ่อแม่ พี่น้อง ลูก เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันก่อนวัยอันควร (เพศชายอายุน้อยกว่า 55 ปี เพศหญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี)
ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้
1. ความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคตา หรือโรคไต
2. ระดับไขมันในเลือดสูง ไขมันจะจับที่ผนังด้านในหลอดเลือดหัวใจเกิดการรวมตัวเป็นแผ่นหนามากขึ้น ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
3. การสูบบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง เกิดความดันโลหิตสูง
4. โรคเบาหวาน ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงตีบแข็งได้
5. อ้วนลงพุง เนื่องจากคนที่อ้วนลงพุงส่วนใหญ่พบว่ามีระดับไขมันในหลอดเลือดสูง โดยพิจารณาได้จากขนาดของเส้นรอบเอว ผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร และผู้หญิงไม่เกิน 80 เซนติเมตร
6. ขาดการออกกำลังกาย จะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก การเผาผลาญพลังงานน้อย และเกิดการสะสมของไขมันได้
7. ความเครียด ทำให้ร่างกายเกิด การเผาผลาญไขมันในหลอดเลือดผิดปกติ ทำให้ระดับไขมันในหลอดเลือดสูงได้
อาการแสดงของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
1. เจ็บแน่นหน้าอก มีอาการเจ็บแน่นอยู่ใต้หน้าอก อาจร้าวไปที่แขน ไหล่ คอ หรือกราม อาการเจ็บประมาณ 5-10 นาที อาจถูกกระตุ้นโดยการออกแรง หรือภาวะเครียด อาการจะดีขึ้นเมื่อได้พักหรือใช้ยาอมใต้ลิ้น หรือพ่นยาใต้ลิ้น แต่ในภาวะกล้ามเนื้อโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกอย่างต่อเนื่อง แม้จะอมยาใต้ลิ้นแล้ว หรือมีการเจ็บแน่นหน้าอกแม้ในขณะนั่งพักก็ได้
2. ใจสั่น เหงื่อออกมาก เหนื่อยง่าย
แนวทางการรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
1. การรักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจ ทำการรักษาโดยการขยายด้วยบอลลูน และ/หรือการขยายด้วยขดลวด มีทั้งขดลวดแบบเคลือบยา ไม่เคลือบยา และขดลวดแบบละลายได้ พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
2. การรักษาด้วยการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ เป็นการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ เพื่อให้เลือดไหลเวียนข้ามบริเวณที่มีการตีบตันไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้
3. การรักษาด้วยยา
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
1. ออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที การออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือ การเดิน โดยเริ่มเดินช้าๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง แต่อย่าให้เกินกำลังตนเอง
2. เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก ให้หยุดกิจกรรมนั้นๆ ทันทีและอมยาใต้ลิ้น 1 เม็ด หากอาการยังไม่ทุเลาลงให้อมยาใต้ลิ้นซํ้าได้อีก 1 เม็ด ห่างกัน 5 นาที แต่ไม่ควรเกิน 3 เม็ด หากอาการไม่ดีขึ้นใน 15-20 นาที ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
3. ทำจิตใจให้สงบ หาเวลาพักผ่อนและลดความเครียด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น เช่น การดูเกมกีฬา การแข่งขันที่เร้าใจ
4. สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ หากมีอาการใจสั่น หายใจขัด หรือเจ็บหน้าอกนานเกิน 15 นาทีหลังมีเพศสัมพันธ์ควรปรึกษาแพทย์
5. หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอุจจาระแรงๆ
6. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสเค็มและหวาน
7. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นํ้าชา กาแฟ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
อาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์
1. อาการเจ็บหน้าอก (Angina pectoris) จะมีอาการเจ็บลึกๆ แน่นๆ บริเวณกลางหน้าอก ลักษณะเหมือนถูกรัดหรือกดหรือถูกบีบ อาจร้าวไปที่บริเวณไหล่ แขน โดยเฉพาะไหล่และแขนซ้ายด้านใน อาจร้าวไปบริเวณขากรรไกร หรือบริเวณลิ้นปี่
2. อาการเหนื่อยร่วมกับหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น เหงื่อออก
ขอบคุณข้อมูลจาก siphhospital.com
มช. โชว์นวัตกรรมหุ่นยนต์ห่อมะม่วงหนุนเกษตรอัจฉริยะ
มช. พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์ห่อมะม่วงระบบ AI แม่นยำสูง ลดการสูญเสีย จากเชื้อรา-แมลง และเพิ่มความสะดวก ให้แก่เกษตรกร หนุนเกษตรอัจฉริยะ
“มะม่วง” เป็นผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของไทยที่ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ในแต่ละปีสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมะม่วงนํ้าดอกไม้ที่มีขั้นตอนและวิธีการดูแลที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนสายพันธุ์อื่น นั่นคือการห่อผลมะม่วงให้ได้ผลเป็นสีเหลืองทองและสวยงาม แต่ปัญหาของเกษตรกรที่พบคือ การห่อที่มีความคลาดเคลื่อน ทำให้ผลมะม่วงเกิดเชื้อราและมีแมลงเข้าไปทำลายเปลือกและเนื้อ ทำให้เกิดความไม่สวยงามของตัวผลมะม่วง
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ จึงได้ทำการพัฒนาหุ่นยนต์ระบบ AI ในการช่วยห่อมะม่วงขึ้นมา เพื่อความแม่นยำ ลดการสูญเสียและเพิ่มความสะดวกให้แก่เกษตรกร หุ่นยนต์ห่อมะม่วงระบบ AI เป็นการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์โรโบติกส์เข้ามาใช้ในสวน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยากต่อการทำงาน เพราะฉะนั้นหุ่นยนต์ต้องมีเรื่องของระบบการเซนเซอร์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการรับรู้เรื่องสภาพแวดล้อมภายนอก รวมทั้งหุ่นยนต์ต้องหาผลมะม่วงได้ด้วยตัวเอง โดยหุ่นยนต์จะถูกควบคุมด้วยระบบ AI ผสานกับเทคโนโลยีการตรวจจับวัตถุเข้าด้วยกัน
ซึ่งสามารถตรวจจับสีของมะม่วงได้ว่าตรงไหนเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง มีการติดกล้องขนาดเล็กไว้ที่ตัวหุ่นยนต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีการวัดระยะความห่างของมะม่วงได้อย่างแม่นยำ ทำให้การห่อมะม่วงแต่ละครั้งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การห่อที่ถูกต้อง เพียงแค่นำถุงคาร์บอนไปติดตั้งที่ปลายแขนของหุ่นยนต์ เครื่องก็จะใช้การตรวจจับของระบบ AI สั่งการได้ทันที
ในอนาคตสามารถที่จะนำหุ่นยนต์ไปทดลองกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้ รวมถึงการพัฒนาให้หุ่นยนต์มีความสามารถในการช่วยตัดแต่งกิ่งที่มีขนาดเล็ก ไปจนถึงเรื่องของการเก็บข้อมูลทางสถิติว่าจำนวนผลมะม่วงที่เก็บได้ในแต่ละต้นแต่ละปีเป็นเท่าไหร่ สำหรับนวัตกรรมชิ้นนี้ถือว่ามีความแม่นยำที่สูงมากในการห่อมะม่วง ช่วยลดปัญหาการห่อของชาวสวน ทั้งในเรื่องการจ้างแรงงาน ซึ่งลักษณะแรงงานโดยทั่วไปต้องอยู่กลางแดด เผชิญกับความเหนื่อยล้า ความเร่งรีบในการห่อ และเรื่องของการห่อผิดขนาด จากนวัตกรรมหุ่นยนต์ห่อมะม่วงนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่พัฒนาและต่อยอดมากจากการประกวดแข่งขันหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ สำหรับการเกษตรอัจฉริยะ โดยสมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทยและองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดครั้งนี้และนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยให้สามารถใช้งานได้จริง รวมถึงเพิ่มมูลค่าทางการผลิตให้กับเกษตรกรได้ในอนาคต
ด้วยศักยภาพและความเชี่ยวชาญของอาจารย์ นักวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมที่จะสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร อันจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการกระตุ้นกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเกษตรกรไทย และเพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทั้งในแง่ของการยกระดับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตรให้มีความทันสมัย และสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บานไม่รู้โรย
ชื่อวงศ์ : AMARANTHANCEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gomphrena globos L.
ชื่อสามัญ : Bachelor’s buttom, Globe amaranth
ชื่อพื้นเมืองอื่น : กะล่อม, ตะล่อม (ภาคเหนือ) ; ดอกสามเดือน (ภาคใต้) ; บานไม่รู้โรย (ภาคกลาง) ; สามปีบ่เหี่ยว (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก (ExH) สูงประมาณ 15-60 ซม. ลำต้นตั้งตรงหรือโคนต้นอาจจะเอนราบกับดิน ที่ข้อของต้นจะพอกออกเล็กน้อย และเกิดรากตามข้อ ลำต้นมักจะมีข้อสีแดงหรือบางต้นมีสีเขียว กิ่งอ่อน ๆ มีขนอยู่ทั่วไป
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะใบรูปใบหอก หรือรูปขอบขนานหรือ รูปขอบขนานแกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ตัวใบมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ใบกว้าง ก้านใบยาว แต่ใบคู่ยอดที่ติดกับดอกจะไม่มีก้าน
ดอก ออกเป็นกระจุกกลม ๆ ประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ มากมาย อยู่บนก้านช่อดอก ออกเดี่ยว ๆ หรือ บางครั้งก็ออกเป็นกลุ่ม 2-4 กระจุก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.75-2.25 ซม. มี 3 สี คือ ขาว ชมพู และม่วงแดงเข้ม ออกดอกตามซอกใบใกล้ยอด แต่ละดอกมีใบประดับ 2 ใบ กลีบรวมมี 5 กลีบ ออกดอกตลอดปี
ผล ลักษณะรูปไข่แกมขอบขนาน มีเปลือกบาง ขนาดเล็ก ยาวเพียง 2-5 มม. เมล็ดแบน สีน้ำตาล เป็นมัน
นิเวศวิทยา
เป็นไม้ถิ่นเดิมของอเมริกากลางและอเมริกาใต้หรืออเมริกาเขตร้อน ปัจจุบันนิยมปลูกกันแพร่หลายเป็นไม้ประดับ ตามบ้านเรือนหรือตามสวนสาธารณะ
การปลูกและขยายพันธุ์
เจริญเติบโตได้ในดินทุกสภาพ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ หรือการเพาะเมล็ด
ประโยชน์ทางยา
รสและสรรพคุณในตำรายา
แพทย์แผนไทยใช้ชนิดดอกสีขาวเป็นยา
ราก รสเย็นขื่น แก้โรคระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดู รักษาโรคบิดและอาการไอ
ทั้งต้น รสขื่นเล็กน้อย ต้มเอาน้ำดื่มแก้หนองใน กามโรค ขับปัสสาวะ นิ่ว และแก้ระดูขาว
ช่อดอก รสจืด สุขุม ใช้กล่อมตับ แก้ตาเจ็บ แก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้บิด แก้ปวดศีรษะ
วิธีและปริมาณที่ใช้
- แก้หอบหืด บิดมูก โดยใช้ดอกสด 15-20 ดอก ล้างให้สะอาดต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร เคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง แล้วกรองเอาน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้ว หรือ 200 ซีซี
- ขับปัสสาวะ นิ่ว แก้โรคหนองใน โดยใช้ต้นสดชนิดดอกสีขาวทั้งต้น 100 กรัม ล้างให้สะอาดต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร นานประมาณ 10-15 นาที กรองเอาน้ำดื่ม วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร
ข้อควรทราบ
- ดอกสามารถใช้ทำดอกไม้ประดิษฐ์ และในหมู่เกาะชวาใช้เป็นอาหารจำพวกผักชนิดหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก prayod.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,750.00 | 27,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,798.00 | 27,257.68 | 28,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,618.20 | 24,531.91 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,438.40 | 21,806.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 809.00 | 12,264.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 629.00 | 9,535.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,863.00 | 28,243.08 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/10/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.04 | 20.04 | 20.04 | 20.04 | 20.04 | – | 20.04 | 20.04 | 20.04 | 20.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.84 | 17.84 | – | – | – | – | – | – | – | 17.84 |
เบนซิน 95 | 28.96 | – | – | – | 29.41 | – | 29.46 | 28.96 | – | 28.96 |
ดีเซล B7 | 21.89 | 21.89 | 22.09 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 |
ดีเซล | 18.89 | 18.89 | 19.09 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 |
ดีเซล B20 | 18.64 | 18.64 | 18.84 | 18.64 | 18.64 | – | 18.64 | 18.64 | – | 18.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 26.34 | 26.36 | 28.54 | 27.74 | – | – | – | – | – | 26.34 |
แก๊ส NGV | 13.83 | 13.83 | – | – | – | – | – | – | – | 13.83 |