คอนโดฯ ชะอำ-หัวหิน ‘ล้นตลาด’ 6.8 พันหน่วย 5 ปี ถึงขายหมด
ไนท์แฟรงค์ เผย ตลาดคอนโดฯ บริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ปี 2563 อยู่ในภาวะ “ล้นตลาด” เหลือขายสะสมกว่า 6.8 พันหน่วย คาด 5 ปี ถึงขายหมด หลังโควิดกระทบกำลังซื้อคนไทย หวังสถานการณ์คลี่คลาย กระตุ้นความต้องการต่างชาติ
นายณัฎฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงานไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดคอนโดครึ่งปีหลังของ พ.ศ. 2563 ยังคงชะลอตัว เนื่องจากยังคงมีความสั่นคลอนทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการระบาดไวรัสโควิด 19 และผลกระทบจากชุมนุมทางการเมือง ส่งผลให้กำลังซื้อคอนโดมีแค่เพียงกลุ่มคนไทยที่ถือเงินเย็นเพียงกลุ่มเดียว
ซึ่งคนกลุ่มนี้มองคอนโดในบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า เป็นบ้านหลังที่สอง เพื่อใช้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่ปกติในกรุงเทพฯ ผู้ประกอบการบางส่วนใช้การลดราคา เพื่อดึงดูดผู้ซื้อ เพื่อเร่งยอดขาย ยอดโอนและปิดโครงการ แต่ผู้ประกอบการบางรายก็ยังคงไม่ลดราคาขายเพราะมองว่าตลาดยังคงไปต่อได้ แต่ใช้วิธีจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าแทน การชะลอตัวการขายคอนโดนั้นส่งผลให้ผู้ประกอบการยังไม่ลงทุนเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มเติม
จากผลวิจัยของบริษัทไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยว่าอุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึง ปี พ.ศ. 2563 มีจำนวนทั้งหมด 27,569 หน่วย และในปี พ.ศ. 2563 มีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ 2 โครงการ จำนวน 348 หน่วย คือโครงการศศรา หัวหิน (110 หน่วย) อยู่บริเวณริมหาดเขาตะเกียบ และโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน (238 หน่วย)
อุปทานคอนโดมิเนียมโดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณชะอำคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 57 รองลงมาคือบริเวณเขาตะเกียบและฝั่งไม่ติดทะเลมีอัตราร้อยละ 14 และ 12 ตามลำดับ อุปทานคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในบริเวณหัวหินคิดเป็นอัตราส่วนที่ร้อยละ 9 ส่วนคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขาเต่าคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 8
กลุ่มผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นชาวไทยที่อยู่ในกรุงเทพมหานครคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 90 มีชาวต่างชาติมาซื้อบ้างคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 10 โดยชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวสแกนดิเนเวียอันได้แก่ชาวนอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ค
นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ และมีชาวจีนบ้าง ซึ่งชาวต่างชาติที่ซื้อคอนโดในบริเวณนี้ส่วนมากมีภรรยาเป็นคนไทยและต้องการซื้อเก็บไว้เพื่ออยู่อาศัยตอนเกษียณอายุ หรือเป็นสถานที่พักผ่อนเวลามาท่องเที่ยวและพักอาศัยระยะยาวประมาณ 3-6 เดือน ส่วนคนไทยที่ซื้อคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้ซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สองเพื่อใช้พักผ่อนในช่วงวันหยุด
ในปี พ.ศ. 2563 คอนโดมิเนียมในบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า มีหน่วยขายไปได้แล้วทั้งสิ้น 20,685 หน่วย จากอุปทานทั้งหมด 27,569 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ร้อยละ 75 โดยอัตราการขายเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2562 ซึ่งมีอัตราการขายอยู่ที่ร้อยละ 73 เนื่องจากมีอุปทานที่เกิดขึ้นใหม่เพียง 348 หน่วย จำนวนหน่วยเหลือขายคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้มีจำนวน 6,884 หน่วย และคาดว่าหากไม่มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นหน่วยเหลือขายที่เหลืออาจจะต้องใช้เวลาขายถึงประมาณ 5 ปี
ในส่วนของจำนวนหน่วยที่ขายได้ใหม่ในแต่ละปีพบว่า ในปี 2563 มีจำนวนหน่วยขายได้ในปีนี้ทั้งหมด 689 หน่วย จะเห็นว่าจำนวนหน่วยขายได้ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งขายได้สูงถึง 1,414 หน่วย จำนวนหน่วยขายได้ใหม่ของคอนโดมิเนียมบริเวณนี้ในช่วงระยะเวลา 5 ปีก่อน ขายได้เฉลี่ยปีละประมาณ 1,400 หน่วย จำนวนหน่วยขายได้ใหม่ในปี 2563 ลดลงอันเนื่องมาจากกำลังซื้อจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติลดลง
โดยกำลังซื้อหลักคือคนไทยลดลงเพราะคนไทยส่วนหนึ่งขาดรายได้ มีเพียงคนไทยที่เป็นกลุ่มคนที่ถือเงินเย็นอยู่ในมือ ซื้อได้บ้างแต่ไม่มากนัก โดยโครงการที่ขายได้เป็นโครงการที่บริหารโดยเชนโรงแรมระดับ 5 ดาวอย่างโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส และโครงการที่ขายได้อีกบางส่วนคือโครงการที่สร้างเสร็จแล้วและผู้ประกอบการต้องการปล่อยห้องที่เหลืออยู่ โดยมีการลดราคาเพื่อกระตุ้นมาตราการการเร่งโอนคอนโดมิเนียมเพื่อที่จะปิดโครงการให้เร็วที่สุด
ราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่เห็นวิวทะเลในบริเวณนี้มีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาขายปรับตัวลงในอัตราร้อยละ 1.1 จากปลายปี พ.ศ. 2562 ส่วนราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่ไม่เห็นวิวทะเลในบริเวณนี้มีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 72,000 บาทต่อ ตารางเมตร ราคาขายปรับตัวลดลงในอัตราร้อยละ 2.3 จากปลายปี พ.ศ. 2562 อันเนื่องมาจากผู้ประกอบการต้องการปล่อยห้องที่เหลือเพื่อรีบปิดโครงการ โดยการเสนอราคาโปรโมชั่นเพื่อลดราคาขาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่เปิดขายมานานและสร้างเสร็จแล้ว
นายณัฎฐา ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้ว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในบริเวณชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า อยู่ในภาวะล้นตลาด (Over Supply) เนื่องจากจำนวนหน่วยเหลือขายในบริเวณนี้ยังมีจำนวนมากอยู่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอตัวการเปิดโครงการ
อีกทั้งระดับราคาขายเฉลี่ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงอันเนื่องมาจากโครงการที่ก่อสร้างเสร็จนำคอนโดมิเนียมมาลดราคาเพื่อปิดโครงการ ในอนาคตหากสถานการณ์เกี่ยวกับการระบาดไวรัสโควิด 19 กลับเข้าสู่สภาวะปกติ โอกาสที่ชาวต่างชาติจะหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยจะมีเพิ่มมากขึ้นเพราะต้องการหาที่อยู่ที่ปลอดภัยเพื่ออยู่อาศัยและหลบหลีกจากสถานการณ์โรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต และตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินน่าจะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจเพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และใช้เวลาเดินทางไม่นาน
อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับอย่างครบครัน นอกจากนี้หัวหินยังมีการคมนาคมที่จะสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะในปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 สายธนบุรี-ปากท่อ (ถนนพระราม 2) ซึ่งมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ทางแยกต่างระดับบางขุนเทียนไปถึงแยกวังมะนาว โดยสามารถใช้จุดขึ้น-ลงสมุทรสงครามเพื่อเข้าสู่หัวหินได้โดยสะดวก (ช่วงที่ 1 ทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัยจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2565) ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลที่ดีต่อตลาดคอนโดมิเนียมบริเวณหัวหินในอนาคต เพราะแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมายังหัวหินมีมากขึ้นเนื่องจากปัจจัยบวกจากการพัฒนาด้านคมนาคมดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สินเชื่อบ้านซบยอดโอนหดตัว 4.7%
ปี2563 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด โดยเห็นได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่คาดว่าจะหดตัวกว่า 4.7% หรือมีจำนวน 1.91 แสนหน่วย ขณะที่การลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงสูงถึง 39% หรือมีจำนวน 7.3 หมื่นหน่วย รัฐบาลจึงมีมติเห็นชอบให้ต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยทั้ง การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจากเดิม 2.0% เป็น 0.01% และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยจากเดิม 1.0% เป็น 0.01% โดยเป็นการซื้อจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การต่อายุมาตรการดังกล่าว จะเข้ามาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคได้สูงถึง 8.94 หมื่นบาท เมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมปกติ (คิดจากราคาที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท) โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้ปานกลางลงไปที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่ม mass market ที่มีความหนาแน่นของผู้บริโภคสูง แต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ ทำให้ผู้บริโภคต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยคาดว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์ปี 2564 ปรับตัวลงเหลือ 1.82-1.85 แสนหน่วยหรือหดตัวลง 3.1-4.7% ซึ่งเป็นระดับตํ่ากว่าศักยภาพ
นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคาร ไทยพาณิชย์เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ตลาดสินเชื่อบ้านปี 64 ยังอยู่ในระดับทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สาเหตุจากการแพร่ระบาดของโควิดและสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ทุกสถาบันการเงินยังคงให้ความสำคัญในการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และในส่วนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เอง ก็ชะลอการเปิดโครงการใหม่ (คอนโดฯ) พร้อมเร่งระบาย stock โครงการเก่าๆ และเบนเข็มสู่กลุ่มโครงการที่มีระดับไม่เกิน 3 ล้านบาทในแนวราบ เพื่อเจาะกลุ่ม Real demand ให้มากขึ้น
“ปีนี้ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ไว้ 78,000 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน โดยยังคงมี Co-campaign ต่างๆ ร่วมกับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ที่สำคัญธนาคารยังคงมีโปรแกรมหลากหลายช่วยบรรเทาการผ่อนชำระต่อเดือนให้ลูกกค้ ทั้งปรับลดค่างวดผ่อนชำระ ขยายเวลาชำระหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้และคุณภาพเอ็นพีแอล”
นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพกล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยต้องมอง 2 ปีที่อยู่ในสถานการณ์โควิดทั้งคู่ โดยปีที่ผ่านมา ธนาคารเน้นคุณภาพสินเชื่อและให้ความช่วยเหลือลูกค้า ขณะเดียวกันธุรกิจยังต้องเติบโตและเลือกเติบโตกลุ่มลูกค้ามีเงินเดือน/มีรายได้ประจำและจับมือโครงการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่โครงการจะคัดเลือกลูกค้ามาแล้วระดับหนึ่ง ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท เช่นเดียวกับปีนี้ที่ยังต้องช่วยเหลือลูกค้า
“ที่ผ่านมาเราได้ช่วยลดภาระไปแล้ว 1 แสนรายและสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติเมื่อสิ้นปี ซึ่งธนาคารค่อนข้างสบายใจ อีกทั้งการระบาดโควิดรอบใหม่ หลายบริษัทจดทะเบียนระบายสต๊อก จึงเป็นโอกาสของผู้ซื้อ โดยซัพพลายตลาดคอนโดยังเหลืออยู่ แต่ในตวามต้องการก็ยังมีแรงซื้อ สำหรับโอกาสเติบโตจะล้อไปกับตลาด แต่ให้ความสำคัญบางกลุ่มเป็นพิเศษ ส่วนกรณีแคมเปญอยู่ฟรี 2ปีหรือ 3ปี โดยโครงการผ่อนชำระแทนผู้ซื้อนั้น ธนาคารจะขอให้ทำโปรโมชั่นด้านอื่นทดแทน เพราะธนาคารต้องคำนวณจากยอดการผ่อนสูงสุดต่อเดือน เพื่อดูความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้า เพื่อไม่สร้างภาระสูงเกินตัวด้วย”
นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัดกล่าวว่า มาตรการลดภาษีที่ดิน 90% ในปี 2564 นั้นเป็นการขยายมาตรการที่หมดเมื่อปลายปีก่อน ส่วนตัวมองว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดนัก เพราะกลุ่มผู้บริโภคยังเป็นกลุ่มเดิม ซึ่งความสามารถซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นกลุ่มค่อนข้างตึงอยู่แล้ว ไม่ได้เติมดีมานด์ให้เข้ามาในระบบ ซึ่งในความคาดหวัง ควรจะเป็นระดับราคาเกินกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป เพราะน่าจะมีกำลังซื้อมากกว่า ซึ่งระดับราคา 3 ล้านบาทกลุ่มนี้มีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ 40:60
ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายไม่ได้ขยายเพิ่ม แต่ได้กลุ่มเดิมที่ยังไม่ซื้อหรือมีความพร้อมจะซื้อเท่านั้นเอง ในแง่ผลต่อการเติบโตไม่น่าจะมากมายและเป็นไปตามความพร้อมผู้บริโภค เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มรายได้ปานกลาง ซึ่งมีภาระหนี้เดิม ภาระอื่นๆ อยู่พอสมควรเมื่อภาวะเศรษฐกิจชะลอ กลุ่มนี้ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตกับรายได้ที่มีก็ไม่ได้มีช่องว่างมากมายนัก จึงอาจจะเป็นจุดที่ยากต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 30.00 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.00 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 29.98 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าเนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากบอนด์ยิลด์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ความหวังเรื่องมาตรการด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 “บาทอ่อนค่าจากเย็นวานนี้ตามภูมิภาค เนื่องจากมีหลายปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 29.95-30.05 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยในประเทศจะมีการประชุม กนง.ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมที่ 0.5%
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ชูเสื้อแล้ว ลิเวอร์พูลเปิดตัว “คาบัค” ร่วมทัพอย่างเป็นทางการ
แนวรับป้ายแดงชาวตุรกีของลิเวอร์พูล ออกโรงหยอดคำหวานใส่ต้นสังกัดใหม่ทันที หลังเผยว่านี่คือสโมสรในดวงใจตั้งแต่วัยเด็ก
วันที่ 3 ก.พ.64 โอซาน คาบัค เซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัย 20 ชาวตุรกี เปิดตัวเป็นสมาชิกใหม่ของลิเวอร์พูลเรียบร้อยแล้ว ที่ศูนย์ฝึกซ้อม AXA Training Centre เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น หลังบรรลุข้อตกลงในสัญญายืมตัวจากชาลเก 04 จนถึงสิ้นสุดฤดูกาลนี้
สำหรับ คาบัค เปิดใจผ่านเว็บไซต์สโมสรว่า รู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล เพราะนี่คือสโมสรที่ยอดเยี่ยม และต้องการที่จะลงสนามเพื่อโชว์ฝีเท้าให้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ แข้งดังชาวตุรกียังเผยอีกว่า “ลิเวอร์พูลคือทีมในดวงใจของผมตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นผมจึงต้องการย้ายมาที่นี่เสมอ เพื่อลงเล่นในสนามอันยอดเยี่ยม และต่อหน้าแฟนบอลที่น่าทึ่งแห่งนี้ ตอนนี้ความฝันก็เป็นจริงแล้ว”
“ผมคิดว่าพรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่อยู่ในระดับสูงสุดของวงการฟุตบอล มันเป็นลีกที่ดี และอาจจะยากที่สุดในโลกด้วย แต่ผมได้ลงสนามในเกมบุนเดสลีกามาหลายนัดแล้ว และที่นั่นก็เป็นลีกที่ดีเช่นกัน ดังนั้นผมคิดว่านี่น่าจะเป็นความท้าทายที่ดี และผมก็พร้อมแล้ว”
สำหรับ โอซาน คาบัค จะสวมเสื้อหมายเลข 19 เพื่อลงสนามรับใช้ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2020-21.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ชวนบริจาคพลาสมา ช่วยผู้ป่วยโควิด-19
สถานการณ์ของโควิด-19 ยังพบการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ ทางสภากาชาดฯ จึงชวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่หายแล้ว สุขภาพแข็งแรงดี มาบริจาคพลาสมาเพื่อใช้เป็นส่วนเสริมการรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยรายอื่น
รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวถึงโครงการวิจัยใช้พลาสมาบริจาคเพื่อรักษาโรคโควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ว่า มีผู้ป่วยที่หายแล้วลงทะเบียนมากกว่า 400 ราย แต่สามารถบริจาคพลาสมาได้เพียง 152 คน จำนวน 446 ถุง สามารถเตรียมเป็นพลาสมาโควิด-19 (Covid-19 Convalescent Plasma หรือ CCP) ที่มีภูมิต้านทานสูงเพียงพอ ได้จำนวน 383 ถุง ซึ่งได้นำไปดำเนินการแล้ว คือ 1. เตรียมเป็นพลาสมาโควิด-19 (CCP) พร้อมใช้เสริมการรักษาจำนวน 342 โดส ซึ่งมีโรงพยาบาลเบิกใช้ไปแล้ว 5 แห่ง ใช้เสริมในการรักษาผู้ป่วย 9 ราย สามารถกลับบ้านได้ 6 คน เสียชีวิต 1 ราย และยังรักษาตัวอยู่ 2 คน 2. นำ CCP 160 ถุง ไปผลิตเซรุ่ม COVID-19 Intramuscular Immunoglobulin (CIMIG) ได้ 700 ขวด ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาวิเคราะห์ความเสถียรและความปลอดภัยของเซรุ่ม
ด้านศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กว่า 1 ปี ที่พบการระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ ความหวังการมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทย ถือเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษา คือ การนำพลาสมาของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่หายแล้ว มาใช้ในการรักษาผู้ป่วย
ซึ่งจากการทดลองใช้พลาสมาในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในสถานกักกันโรค 1 ราย เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่มีอาการปอดบวมรุนแรง แต่หลังจากให้พลาสมา CCP ทันทีที่เข้าโรงพยาบาล โดยให้ 2 ครั้ง ล่าสุดผู้ป่วยอาการดีขึ้น สามารถลดการใช้ออกซิเจนได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าผู้ป่วยรายนี้ได้อานิสงส์จากการให้พลาสมาค่อนข้างเร็วส่วนเซรุ่ม COVID-19 Intramuscular Immunoglobulin (CIMIG) ได้นำมาทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 5 คน โดยฉีดเซรุ่ม CIMIG จำนวน 6 ซีซี ต่อ 1 คน และเจาะเลือดอาสาสมัครเพื่อไปตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงศึกษาระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 และผลข้างเคียงก่อนนำไปใช้จริง
นายแพทย์ยง ย้ำว่า ถึงเวลาช่วยชาติรอบ 2 ขอเชิญผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่หายแล้ว สุขภาพแข็งแรงดี มาบริจาคพลาสมาเพื่อใช้เป็นส่วนเสริมการรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วย สามารถลงทะเบียนออนไลน์ ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนัดหมายคัดกรองในรายละเอียดต่อไป หรือสอบถาม โทร. 0 2256 4300
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
Must VS Have to “ต้อง” เหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน
Must VS Have to “ต้อง” เหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน
อีกหนึ่งเรื่องที่สามารถนำไปตั้งชื่อเพลงของวง Getsunova ได้ “ต้องเหมือนกันแต่ต่างกัน” เพราะ Must และ Have to เรารู้ความหมายของมันโดยทั่วกันว่าแปลว่า “ต้อง” ทั้งสองแล้ว ต้อง Have to ต้องใช้ตอนไหน Must แตกต่างจาก have to หรือไม่ และทั้งสองมีหลักการใช้อย่างไรนั้นเรามาสรุปมาให้แบบสั้นๆ เพื่อให้ทุกคนได้รู้จัก Must และ have to ในมุมที่ไม่เคยรู้มาก่อน
Must เป็น “ต้อง”แบบไหน?
Must เป็นต้องที่ เรารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างโดยเป็นความรู้สึกของตนเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกและความต้องการของตัวเราเอง เรารู้สึกด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาบอกบอกหรือมีกฎเกณฑ์ใดๆหรือใครบางคนบังคับให้เราทำ
โครงสร้างประโยคของ Must
Subject+must +Verb infinitive.
ยกตัวอย่าง
I must go home because I want to relax. ฉันต้องกลับบ้านเพราะฉันอยากพักผ่อน (เรารู้สึกเหนื่อยจากงานก็เลยอยากกลับบ้านมาเพื่อพัก)
I must pack a suitcase tonight. คืนนี้ฉันต้องเก็บกระเป๋าเดินทาง
I must send an assignment this morning. ฉันต้องส่งงานในเช้านี้้
I must survey the place for camping. ฉันต้องไปสำรวจสถานที่ก่อนจะตั้งแคมป์
Have to เป็น “ต้อง” แบบไหนกัน
Have to เป็นต้องที่ต่างจาก must ตรงที่ have to เป็นต้องที่เราไม่ได้รู้สึกเองแต่เป็นต้องมีสิ่งอื่นบังคับให้เราต้องทำ เช่น กฏหมาย หลักเกณฑ์ ข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด
โครงสร้างประโยคของ have to
Subject + have to+ verb infinitive
ยกตัวอย่าง
You have to stop the car. คุณต้องหยุดรถก่อน (จำเป็นต้องหยุดรถ กรณีที่ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ มีสถานการณ์บังคับทำให้ต้องหยุดรถ)
I have to pack the parcel immediately. ฉันต้องบรรจุพัสดุโดยด่วนเลย (จำเป็นต้องทำการแพคอย่างไว)
They have to pay for tax at that registration counter. พวกเขาต้องจ่ายภาษีที่เคาท์เตอร์งานลงทะเบียน
She has to pay a deposit of 30%. หล่อนต้องจ่ายเงินมัดจำ 30 เปอร์เซ็น (จำเป็นต้อจ่ายมัดจำตามข้อตกลง)
- Have to ใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์ You, We,They,I
- Has to ใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์ He, She,It
- ถ้าพูดถึงอดีตให้ใช้ had to
สรุปอีกที
- Must ใช้ในกรณีที่เป็นความต้องการของเราเอง
- Have to ใช้ในกรณีที่จำเป็นต้องทำ อาจเป็นกฎหรือข้อบังคับ
- โครงสร้างประโยคของ Must (Subject+must +Verb infinitive.)
- โครงสร้างประโยคของ Have to (Subject + have to+ verb infinitive
- I must send an assignment this morning. (ฉันต้องส่งงานเช้านี้)
- I have to send an assignment this morning. (ฉันจำเป็นต้องส่งงานเช้านี้ อาจเป็นเพราะเดดไลน์เช้านี้แล้ว)
ทดสอบความเข้าใจ
1. ฉันจำเป็นต้องไปตอนนี้ แม่สั่งให้กลับบ้าน ประโยคนี้ตรงกับข้อใดในภาษาอังกฤษ
A. I have to go immediately. My mom asked me to go home.
B. I must go immediately. My mom asked me to go home
2. หล่อนจำเป็นต้องไปพบครูใหญ่ ประโยคนี้ตรงกับข้อใดในภาษาอังกฤษ
A. She has to meet a head teacher. B. She must to meet a head teacher.
3. She must go to supermarket today for shopping. ข้อใดให้เหตุผลของการใช้ must to ได้อย่างถูกต้อง?
A. เพราะหล่อนอยากไปโดยความรู้สึกของตัวเอง
B. เพราะหล่อนจำเป็นต้องไปซื้อของ
เฉลย 1.A. 2.A 3.A.
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
e-Signature โตพรวด คน Gen Z-Millennial แห่ใช้
Adobe Digital Insights เผยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกือบทุกด้านของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดประการหนึ่งคือการเร่งให้เกิดการใช้ e-Signature มากกว่าครึ่งของคนรุ่น Gen Z และ Millennial แห่ใช้
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกือบทุกด้านของผู้บริโภค อะโดบีได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นอย่างดี เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดประการหนึ่งคือการเร่งให้เกิดการใช้ e-Signature ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Document Cloud
ปีที่ผ่านมา องค์กรจำเป็นต้องเดินหน้าเพื่อให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้ หนึ่งในวิธีการที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้คือการใช้ “เอกสารดิจิทัล และ e-Signature” โดยปี 2563 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนการใช้กระดาษสู่เอกสารดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เซ็นสัญญาแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรก และจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในปีนี้และปีต่อไป
รายงาน Adobe Digital Insights ได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้บริโภค 4,000 คนทั่วโลกเกี่ยวกับการใช้งาน e-Signature เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสช่วงการแพร่ระบาด ซึ่งอ้างอิงข้อมูลใช้งาน e-Signature จาก Adobe Sign ของผู้บริโภคในปี 2563 โดยพบผลการศึกษาที่สำคัญดังนี้:
การแพร่ระบาดทำให้เราเรียนรู้ว่า การหยิบจับ หรือรับส่งเอกสารเป็นสิ่งที่ยุ่งยาก ล้าสมัย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ e-Signature และเอกสารดิจิทัลจึงเป็นทางเลือก และเติบโตอย่างเท่าทวีคูณในปีที่แล้ว ผู้บริโภคราว 60% เซ็นชื่อในเอกสารดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง Adobe Sign พบการเติบโตเป็นตัวเลขสามหลักในเดือนมิถุนายนถึงกันยายนปี เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
การเปลี่ยนการใช้จากกระดาษสู่เอกสารดิจิทัลครั้งแรกเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ PDF เปิดตัวในหลายปีก่อน แต่ผู้บริโภคชาวอเมริกันจำนวนมากไม่เคยใช้ e-Signature มาก่อนจนกระทั่งปีที่แล้ว ผลการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันมากกว่าหนึ่งในสี่ (27%) เซ็นชื่อแบบอิเล็กทรอนิกส์ในเอกสารเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยเอกสารครอบคลุมถึงเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น สัญญาธุรกิจ แบบฟอร์มลงทะเบียนทางการแพทย์ สัญญาเงินกู้ สัญญาจ้างงาน และแบบฟอร์มการยินยอมต่างๆ
อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้ e-Signature ที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ การแพร่ระบาดส่งผลให้ชาวอเมริกันมากกว่าหนึ่งในสาม (38%) จัดเก็บเอกสารไว้ในระบบคลาวด์ ทั้งนี้เพราะความสามารถในการจัดเก็บ จัดการ และดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารในระบบคลาวด์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกในโลกวิถีใหม่ เช่น การพบแพทย์ตามที่นัดหมายได้อย่างปลอดภัย การขอคืนภาษีในช่วงที่จำกัดการนัดหมาย หรือการลงทะเบียนเรียนในวิชาต่างๆ
ในปี 2563 ผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเอกสารดิจิทัลและ e-Signature โดยเกือบครึ่งหนึ่งของคนรุ่น Gen Z (53%) ระบุว่าตนเองเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรกในปี 2563 เปรียบเทียบกับสัดส่วนเพียง 30% ของคนรุ่น Baby Boomer และคนรุ่น Gen Z ส่วนใหญ่ (79%) ระบุว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยรู้จัก e-signature มาก่อน และไม่เคยมีโอกาสเซ็นเอกสารดิจิทัลมาก่อนจนเมื่อปีที่แล้ว
มากกว่าครึ่งของคนรุ่น Gen Z และ Millennial ส่วนใหญ่ใช้เอกสารดิจิทัลมากขึ้นในปี 2563 เมื่อเทียบกับหนึ่งในสามของ Baby Boomer นอกจากนี้ 73% ของผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ใช้สมาร์ทดีไวซ์ในการเซ็นเอกสาร เทียบกับหนึ่งในสี่ของ Baby Boomer และ Gen Z และ Baby Boomer ยังคงชอบที่จะใช้เดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อปเซ็น e-sign มากกว่า
การแพร่ระบาดส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ เร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างแพร่หลาย ทั้งในส่วนของภาครัฐ บริการด้านการเงิน และการศึกษา ขณะที่ผู้บริโภคก็มองหาหนทางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงาน และทำกิจกรรมต่างๆ
ในอดีตโรงเรียนจัดเป็นหน่วยงานที่มี “การใช้กระดาษ” สูงมาก แต่การแพร่ระบาดเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้มีการใช้เอกสารดิจิทัลและ e-signature สำหรับงานสำคัญๆ เช่น การดำเนินงานของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น การสอบเข้า ความช่วยเหลือด้านการเงิน การลงทะเบียนเรียน ทุน และเงินบริจาค หรือบริการสำหรับบุคลากร เช่น สวัสดิการ บัญชีเงินเดือน ด้วยเหตุนี้ การใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์จึงเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน (เพิ่มขึ้น 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) ในทำนองเดียวกัน มีการเติบโตเป็นตัวเลข 3 หลักสำหรับการใช้ e-Signature ในธุรกิจบริการด้านการเงินในเดือนพฤษภาคม (เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า)
ในส่วนของบริการด้านการเงิน ผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของ e-Signature ในอุตสาหกรรมนี้ โดย 80% ของ Gen Z และ Millennial ทั่วโลกเซ็นชื่ออิเล็กทรอนิกส์ในเอกสารด้านการเงิน เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร สัญญาเงินกู้ การลงทุน การจัดการสินทรัพย์ สัญญาจำนอง ในปีที่แล้ว
มากกว่า 63% ของชาวอเมริกันต้องการให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมการขนส่งและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ใช้ e-Signature เพิ่มขึ้นเพื่อจัดการเอกสารสำคัญ แม้ว่าการใช้ Adobe Sign ในส่วนของภาครัฐยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนกับภาคธุรกิจบริการด้านการเงิน แต่หน่วยงานต่างๆ ก็มีการใช้ e-Signature เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่อยเป็นค่อยไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) e-Signature ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ (มิลเลนเนียล) ขณะที่ทุกเจเนอเรชั่นยังให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของเอกสาร และแนวโน้มการเติบโตนี้จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในปีนี้
กว่าสามในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถามใน APAC (76%) ระบุว่า ใช้ e-Signature ในเอกสารมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 โดยมีสัดส่วนสูงสุดในกลุ่มมิลเลนเนียล (61%) นอกจากนั้น กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามใน APAC (53%) ระบุว่า พวกเขาใช้ e-Signature เป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเสนอให้ใช้ทางเลือกนี้มาก่อน โดยชาวอินเดียเป็นกลุ่มที่ใช้ e-Signature เป็นครั้งแรกมากที่สุด (62%) โดยกรมธรรม์ประกันภัย (43%) และการลงทะเบียนที่เกี่ยวกับการแพทย์ (38%) เป็นเอกสารที่ถูกเซ็นชื่อแบบอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ราวสี่ในห้า (82%) ของผู้ตอบแบบสอบถามใน APAC ได้แจ้งความต้องการของตนเองให้แก่บริษัท เพื่อให้มีการเสนอทางเลือกในการเซ็นชื่อแบบดิจิทัลในเอกสารเพิ่มมากขึ้น และ78% ของผู้ตอบแบบสอบถามได้แจ้งกับหน่วยงานภาครัฐ ดังนั้นจึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่องค์กรภาครัฐ และภาคเอกชนที่จะปรับปรุงการให้บริการแก่ประชาชนและเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าด้วยการปรับใช้เวิร์กโฟลว์แบบดิจิทัล
ไซม่อน เดล กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอะโดบี กล่าวว่า “การแพร่ระบาดทั่วโลกก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อรูปแบบการทำงานและการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจากเอกสารที่เป็นกระดาษไปสู่รูปแบบดิจิทัลมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ที่ PDF ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว แต่ปี 2563 คือ ‘จุดเปลี่ยนที่สำคัญ’ เอกสารดิจิทัลได้กลายเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสำคัญในติดต่อสื่อสาร การทำงานร่วมกัน และการทำธุรกรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐ และผู้บริโภค และแน่นอนว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้การแพร่ระบาดยังกระตุ้นให้องค์กรธุรกิจต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนเป็นการเร่งด่วนเพื่อฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ อะโดบีมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรต่างๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในอนาคต”
ผู้ตอบแบบสอบถามใน APAC ราวหนึ่งในสาม (34%) จำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลของตนเองไว้บนระบบดิจิทัล นอกจากนั้น ผู้ตอบแบบสอบถามในสัดส่วนเดียวกัน (36%) ยังบันทึกเอกสารทั้งในรูปแบบดิจิทัลและที่เป็นกระดาษ และระบุว่าการทำสำเนาแบบดิจิทัลเพื่อแบ็คอัพข้อมูลจากเอกสารที่เป็นกระดาษช่วยให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้ เอกสารดิจิทัลส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์หรือระบบคลาวด์ โดยบริการคลาวด์สตอเรจได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มคนเจน Z (65%)
การรักษาความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ตอบแบบสอบถามทุกเจเนอเรชั่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยกว่าสองในสาม (71%) คาดหวังว่าเอกสารควรจะมีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน และกว่าครึ่งหนึ่ง (57%) คิดว่าเอกสารควรจะใช้การยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอน (2-Factor Authorization)
การแพร่ระบาดอาจจะยุติลงในไม่ช้า แต่เราเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในหลายๆ ด้านที่เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดจะยังคงอยู่ต่อไป อะโดบีคาดการณ์ว่าผู้บริโภคทั่วโลกส่วนใหญ่ (76%) จะยังคงใช้ e-Signature ต่อไปภายหลังการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ดี ยังคงมีโอกาสสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ และ e-Signature สำหรับผู้บริโภค ชาวอเมริกันกว่า 63% เชื่อว่าบริษัทที่ไม่ได้เสนอทางเลือกสำหรับการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์จะกลายเป็นบริษัทที่ล้าหลัง และผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกน้อยกว่า 47% เชื่อว่าเทคโนโลยี e-Signature ในปัจจุบันมีความก้าวหน้า
แม้ว่าวิกฤตโควิดกำลังจะผ่านพ้นไป แต่ผู้บริโภคทั่วโลกจะไม่กลับไปใช้วิธีการแบบเดิมๆ ในการจัดการและเซ็นชื่อในเอกสารอีกต่อไป เพราะ e-Signature กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ผู้บริโภคเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะยังคงถูกใช้งานอย่างต่อเนื่อง และได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“จาก” กับประโยชน์น่ารู้
คนส่วนใหญ่ จะรู้จักเฉพาะลูกจากที่ทำสำเร็จวางขายคู่กับน้ำแข็งไสใส่น้ำเชื่อมเพิ่มน้ำแดงและนมสดราดลงไป รับประทานช่วงฤดูร้อน หวานอร่อยชื่นใจดีมาก แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าต้น “จาก” เป็นอย่างไร และมีประโยชน์อื่นอีกมากมายคือ ผลอ่อนผ่าเอาเนื้อในมีลักษณะเหมือนลูกชิดจีนกินเป็นผักใช้แกงจืดได้ ส่วนหัวของผลอ่อนมีรสหวานกินได้เช่นกัน แต่ถ้าแก่จัดรสชาติจะฝาดกินไม่ได้ หากนำเนื้อในผลไปเชื่อมให้มีรสหวานนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย เรียกว่า “ลูกจาก” เหมือนลูกชิดจีนทุกอย่าง ทำให้บางคนเข้าใจผิดเรียก “ลูกจาก” เป็นลูกชิดก็มี ใบอ่อนที่แทงขึ้นจากหน่อลอกตากแดดใช้มวนบุหรี่สูบได้ เรียกว่าบุหรี่ใบจาก สมัยก่อนนิยมกันมาก ใบแก่ตัดเย็บติดกันเป็นตับๆ ใช้มุงหลังคาบ้านดีมาก งวงหรือจั่นต้น “จาก” ตัดแล้วใช้ภาชนะรองเอาน้ำหวาน เรียกว่า “น้ำตาลจาก” งวงหรือจั่นจาก ทุบให้แตกเป็นฝอยๆ ทำเป็น แส้ปัดยุงหรือแมลงวัน สะโพกจาก (กาบใหญ่) ตากแห้งเป็นฟืนจุดไฟแรงและดีมาก
จาก หรือ NIPA FRUTICANS, WURMB อยู่ในวงศ์ PALMAE เป็นไม้ยืนต้น มีลำต้นหรือเหง้าใต้ดิน แตกต้นเป็นกอใหญ่ ก้านใบโผล่ขึ้นเหนือดิน ใบเป็นใบประกอบแบนขนนก ออกตรงกันข้ามเหมือนกับใบมะพร้าว ใต้ใบมีปื้นสีขาวนวลคล้ายแป้ง เป็นไม้ชอบขึ้นตามริมแม่น้ำลำคลองที่มีน้ำทะเลท่วมถึงหรือที่ลุ่มใกล้ทะเลและป่าชายเลน ดอกออกเป็นช่อ ดอกตัวผู้เป็นสีเหลือง มีก้านดอกยาวสีน้ำตาล ดอกตัวเมียเป็นช่อกลม ก้านช่อดอกสั้น “ผล” เป็นทะลายขนาดใหญ่ เป็นผลรวมมีผลย่อยจำนวนมากเรียงกันหนาแน่น รูปทรงกลม ก้านผลมีหนามแหลมสั้น ผลย่อยเมื่อแก่จัดเปลือกเป็นสีน้ำตาลชัดเจน เนื้อในผลเป็นสีขาวเรียกว่า “ลูกจาก” นำไปเชื่อมรสชาติหวานรับประทานอร่อยมาก ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ ทางสมุนไพร ใบปรุงเป็นยาแก้ลมต่างๆ ขับเสมหะดับพิษทั้งปวง น้ำตาลจาก สมานริดสีดวงทวารได้ เคยมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ปัจจุบันไม่พบแล้วครับ.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,100.00 | 26,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,691.00 | 25,635.56 | 26,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,521.90 | 23,072.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,352.80 | 20,508.45 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 761.00 | 11,536.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 592.00 | 8,974.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,752.00 | 26,560.32 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/02/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 24.25 | 24.25 | 24.65 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 | 24.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 23.98 | 23.98 | 24.38 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 | 23.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 22.74 | 22.74 | 23.14 | 22.74 | 22.74 | – | 22.74 | 22.74 | 22.74 | 22.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.49 | 19.49 | – | – | – | – | – | – | – | 19.49 |
เบนซิน 95 | 31.66 | – | – | – | 32.11 | – | 32.16 | 31.66 | – | 31.66 |
ดีเซล B7 | 25.09 | 25.09 | 25.49 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 |
ดีเซล | 22.09 | 22.09 | 22.49 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 | 22.09 |
ดีเซล B20 | 21.84 | 21.84 | 22.44 | 21.84 | 21.84 | – | 21.84 | 21.84 | – | 21.84 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 29.54 | 29.56 | 31.94 | 30.94 | – | – | – | – | – | 29.54 |
แก๊ส NGV | 13.35 | 13.35 | – | – | – | – | – | – | – | 13.35 |