หากใครเกิดทันในช่วงปี 2530 คงจะได้เห็นภาพเศรษฐกิจไทยที่ขึ้นสู่จุดสูงสุด มีอัตราเติบโตของจีดีพีสูงถึง 7-10% ต่อปี เรียกว่าเป็นช่วงขาขึ้นจนเกือบทำให้ไทยได้รับการขนานนามเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย แต่การเติบโตครั้งนั้นคือการเติบโตบนฐานที่แสนจะเปราะบาง และใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี เศรษฐกิจที่ปลายโตแต่ฐานง่อนแง่นก็ได้เวลาล้มครืนในชั่วข้ามคืนในปี 2540 เกิดเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้ประเทศไทยถดถอยลงสู่จุดต่ำสุด ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากกองทุนไอเอ็มเอฟ และปรับโครงสร้างหนี้กันจ้าละหวั่น ก่อนจะลืมตาอ้าปากได้อย่างในปัจจุบัน 20 ปีผ่านมาแล้วนับจากวันนั้น ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่วันนี้ทำให้ไทยเข้มแข็งขึ้น
สาเหตุหลักของวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือเรียกอีกชื่อว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นจากส่วนผสมที่ลงตัวของหลายสาเหตุ จุดเริ่มต้นคือการเปิดเสรีทางการเงินในปี 2532 ทำให้ประเทศไทยพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากขึ้น โดยกำหนดค่าเงินบาทเป็นแบบคงที่คือ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สถาบันการเงินกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อปล่อยกู้ โดยที่กระบวนการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างหละหลวม ทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อรายได้เป็นจำนวนมาก ภาวะฟองสบู่แตกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ และการโจมตีค่าเงินบาทจากนักลงทุนต่างชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในขณะนั้น นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท จนเหลือเงินสำรองประมาณแค่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น หรือเรียกว่าแทบหมดตัวเลยก็ว่าได้ ก่อนจะมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปลี่ยนจาก 25 บาทต่อดอลล่าสหรัฐฯ กลายเป็น 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ และขึ้นสูงสุดเป็น 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2541 เรียกว่าทำให้เศรษฐกิจไทยล้มทั้งยืน จากจีดีพีที่เติบโตในปี 2539 สูงถึง 10.1% ตกมาอยู่ที่ 2.6% ในปี 2540 และติดลบ 2.2% ในปี 2541 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดจาก 1,410.33 จุด ในเดือนมกราคม 2539 เหลือเพียง 207 จุด ในเดือนกันยายน 2541 ยอดหนี้เสียสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยต้องขอเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) จำนวนกว่า 17.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2540
ถอดบทเรียน แอล.พี.เอ็น. วิกฤตสอนให้ระมัดระวัง
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2532 และผ่านพ้นช่วงระยะเวลาการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนกระทั่งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้บริษัทฯ เป็นหนี้สูงถึง 3,305.94 ล้านบาท ภายในชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็นภาพเดียวกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในขณะนั้น โดยบริษัทฯ รอดพ้นจากวิกฤตในห้วงเวลานั้นด้วยการเร่งดำเนินการตัดขายทรัพย์สินและที่ดินหลายแปลง ลดพนักงานบางส่วน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และนำเงินมาบริหารโครงการ พร้อมเร่งโครงการก่อสร้างแอล.พี.เอ็น. สุขุมวิท ทาวเวอร์ ให้แล้วเสร็จ เพื่อส่งมอบให้ลูกค้าได้ทันกำหนด และเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัทฯ เน้นการพัฒนาในพื้นที่ที่มีความเชี่ยวชาญ จากที่พัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม ก็หันมาพัฒนาเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่างราคาประมาณ 1 ล้านบาท เน้นการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง ก่อสร้างเร็วภายใน 1 ปี เพื่อหมุนรอบเงินกลับเข้ามาเร็ว ทำให้สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฯ เริ่มกลับมาดีขึ้นในปี 2544 และทำให้เกิดการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ รวมไปถึงโครงสร้างต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการหนี้สินของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกิน 1:1
เศรษฐกิจไทยปัจจุบันห่างไกลวิกฤตเหมือนปี 40
ธปท. ยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม แม้จะมีโอเวอร์ซัพพลายบ้างในบางทำเลแต่ยังไม่น่ากังวล เพราะเป็นเพียงฟองสบู่เล็ก ๆ ที่ไม่ได้กระทบเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันไม่ได้ระดมทุนผ่านธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนเท่านั้นเหมือนปี 2540
สอดคล้องกับศูนย์วิจัยศุภาลัย ที่เปิดเผยว่า แม้ว่าปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายคงค้างจะอยู่ในช่วง 100,000-180,000 หน่วย แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกเหมือนกับในปี 2540 เพราะค่าเฉลี่ยการขายโครงการในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 38.5% หรือเทียบเท่าการขายโครงการให้หมดโดยเฉลี่ยที่ 2.6 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดี และต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าธุรกิจที่อยู่อาศัยยังมีสุขภาพที่ดี หากเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การขายของปี 2542 หลังวิกฤตต้มยำกุ้งอันเป็นปีที่ต่ำสุดที่ 14% ต่อปี และจำนวนคงค้างกว่า 140,000 หน่วย ถ้าหากจำนวนที่อยู่อาศัยคงค้างมีเกิน 200,000 หน่วย ค่อยเริ่มคิดหาหนทางแก้ไข ก็ยังไม่สายเกินไป
จาก ‘ต้มยำกุ้ง’ สู่ ‘ต้มกบ’ เมนูใหม่ แต่รสชาติแย่เหมือนเดิม
แม้ว่าไทยจะยังห่างไกลจากภาวะวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 แต่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังพุ่งตรงไปสู่วิกฤตใหม่จากการเติบโตในระดับต่ำมาเป็นระยะเวลานาน ผิดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราเติบโตสูงกว่าไทยทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ทำให้ต่างประเทศหันไปลงทุนมากขึ้น ปัญหาทางการเมืองที่ฝังรากลึก รวมทั้งไทยมีการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ภาคการเกษตรยังขาดประสิทธิภาพในการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่ม และระบบราชการที่ยังขาดประสิทธิภาพและยังมีการคอร์รัปชัน ส่งผลทำให้ประเทศไทยย่ำอยู่กับที่ก่อให้เกิด “วิกฤตต้มกบ” ซึ่งจะทำให้ประเทศสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างช้า ๆ กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินไปแล้ว
วิกฤตเก่าที่ผ่านไปแล้วสร้างบาดแผล แต่ก็เสริมประสบการณ์ให้กับนักลงทุนไทยไม่น้อย เรียกว่าโอกาสซ้ำรอยเป็นไปได้ยาก แต่เส้นทางใหม่วันนี้กำลังมีวิกฤตใหม่ที่แง้มประตูรออยู่ในอนาคตหรือไม่ คงไม่มีใครรู้
ที่มา ddproperty.com
CGDเดินหน้าเต็มสปีดรับEEC ลุยพัฒนาอสังหาฯ 2 พันล้านที่ฉะเชิงเทรา
“คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์” เดินหน้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) หลังกรมสรรพากรไฟเขียวออกหนังสือแจ้งการยกเว้นภาษีการรับโอนกิจการ มั่นใจช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายเบน เตชะอุบล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD เปิดเผยว่า จากการที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560 ให้บริษัทสามารถเดินแผนจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการรับโอนกิจการทั้งหมดจากบริษัท โพรฟิท เวนเจอร์ส จำกัด แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย โดยทางสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 ได้ออกหนังสือแจ้งการได้รับยกเว้นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรจากการรับโอนกิจการทั้งหมดให้ใน วันที่ 23 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าโครงการนี้ จะช่วยเสริมรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว (Recurring Income) ให้กับบริษัท อีกทั้งยังจะเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งจะต้องอาศัยเวลาในการก่อสร้างและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ ทางบริษัทได้ผ่านการศึกษาและพิจารณาผลตอบแทนอย่างละเอียด มีความเหมาะสม สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับ CGD ได้ในระยะยาว
สำหรับโครงการฉะเชิงเทราเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-use Development) สร้างบนเนื้อที่ 79-3-63 ไร่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งสอดคล้องกับโครงการจังหวัดนำร่องเพื่อรองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ ในอนาคต โดยกำหนดให้มีความสอดคล้องกับการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ-ระยอง โครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสอดคล้องกับแผนบริหารจัดการท้องถิ่นในอนาคต
โดยในโครงการจะรวมเอาพื้นที่สวนสาธารณะ ย่านที่พักอาศัย และย่านพาณิชยกรรมและเขตเศรษฐกิจเข้าไว้ด้วยกัน โครงการฉะเชิงเทราแห่งนี้ประกอบไปด้วยโซนสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ รวมถึงร้านค้าปลีกภายในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน คอมมิวนิตี้มอลล์ และโซนตลาด outdoor รองรับผู้เช่าพื้นที่สำหรับจำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง และเครื่องดื่ม ภายใต้พื้นที่รวมกว่า 40,000 ตารางเมตร
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น
ทำรายได้ชั่วข้ามคืน ‘บิทคอยน์’ ทำความรู้จักสกุลเงินดิจิตอลนี้กัน
เดี๋ยวนี้หันหน้าไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึงบิทคอยน์ บิทคอยน์ แล้วก็บิทคอยน์ อ่าว…อะไรคือบิทคอยน์ล่ะ? กลายเป็นคำถามที่มีแต่คนอยากรู้ เพราะมีข่าวว่าบางคนสามารถทำรายได้จากบิทคอยน์วันละหลายพัน-เป็นหมื่น ถือว่าไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลยจริงไหม
ไทยรัฐออนไลน์ จึงจะพาท่านไปทำความรู้จักว่าเจ้าบิทคอยน์นี้คืออะไร ทำรายได้แบบไหน เหมาะกับใคร ตามไปดูกัน
1. บิทคอยน์คือสกุลเงินรูปแบบดิจิทัลที่ใช้บนโลกไซเบอร์เท่านั้น เป็นสกุลเงินที่ไม่มีใครสามารถจับต้องได้ หรือที่เรียกกันว่า Crypto Currency ที่มีจุดเด่นคือสามารถโอนเงินให้กันได้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ผ่านเครือข่ายแม่ข่ายของบิทคอยน์
2. พบการใช้บิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2009 โดยผู้ที่คิดค้นระบบนี้คือชาวญี่ปุ่นชื่อซากาชิ นากาโมโต้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใครมาจากไหน นี่คือชื่อจริงหรือนามแฝงก็ไม่มีใครทราบได้
3. บิทคอยน์สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลไหนก็ได้ในโลกไม่ว่าจะ ดอลลาร์สหรัฐฯ บาท เยน หยวน หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้นเราสามารถโอนเงินไปยังประเทศต่างๆ โดยแปลงเฉพาะค่าเงินได้ทันที
4. ถ้าอยากได้บิทคอยน์ จะต้องใช้ซอฟต์แวร์ชื่อ Bitcoin Mining เพื่อคำนวนสูตรคณิตศาสตร์ซับซ้อน แต่ในที่สุดแล้วจำนวนบิทคอยน์ในระบบจะมีได้เพียง 21 ล้านชุดเท่านั้น
5. สำหรับในประเทศไทย เรายังไม่มีกฎหมายรองรับว่าสกุลเงินนี้สามารถชำระหนี้ได้จริง แต่ในธนาคารโลกบิทคอยน์เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น สามารถใช้ได้กับร้านค้าชั้นนำในอเมริกา และโรงแรมกว่า 3 แสนแห่งทั่วโลก
มูลค่าเงินบาท ต่อ 1 บิทคอยน์ วันที่ 24 มิถุนายน 2560
ไทยรัฐออนไลน์ เข้าใจอีกว่าเมื่อได้อ่านข้อมูลคร่าวๆ ข้างต้นไปแล้ว หลายท่านยังเกิดคำถามขึ้น ดังนั้น เราจึงสรุปข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมให้ท่านดังนี้
แตกต่างจากบัญชีธนาคารทั่วไปอย่างไร?
ผู้ใช้เพียงแค่เปิดบัญชีออนไลน์ ไม่ผ่านระบบบัญชีธนาคารทั่วไป ทำให้ไม่มีบันทึกสเตทเมนต์เหมือนกับการทำธุรกรรมทางการเงินทั่วไป พร้อมทั้งยังไม่มีค่าธรรมเนียม หรือมีแต่ต่ำมาก ส่งผลให้การทำธุรกรรมต่างๆนั้นมีต้นทุนเพียงนิดเดียว
ค่าเงินของบิทคอยน์มาจากไหน?
เมื่อสมัยก่อนมูลค่าของทองมาจากการขุดเหมืองแร่ ในทางเดียวกันบิทคอยน์ก็มาจากการขุดเหมืองแร่ในระบบคอมพิวเตอร์ การจะได้มาซึ่งบิทคอยน์นั้นก็ต้องขุดเหมืองโดยใช้ซอฟต์แวร์พิเศษเพื่อแก้โจทย์คณิตศาสตร์ต่างๆ และจะได้รับบิทคอยน์เพิ่มจำนวนหนึ่งเป็นการตอบแทน
การ์ดจอขายดี เกี่ยวอะไรกับบิทคอยน์?
เพราะในช่วงแรกนักขุดเหมืองทั้งหลายแก้โจทย์คณิตศาสตร์นี้ด้วยเครื่องโปรเซสเซอร์หรือคอมพิวเตอร์ของตัวเอง แต่พวกเขาก็ค้นพบว่าการ์ดจอเจ๋งๆ ที่เอาไว้ใช้เล่นเกมนั้นเหมาะกับการขุดเหมืองมากกว่า ถึงแม้ว่าการ์ดจอสำหรับเกมพวกนี้จะเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้เครื่องเกิดความร้อนอย่างมากขึ้น ทีนี้ก็เลยมีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า ASIC ที่ถูกออกแบบมาเพื่อขุดเหมืองโดยเฉพาะ ช่วยให้ขุดไวและกินไฟน้อยลงแต่มีราคาแพง
ถึงหลายคนจะมองว่าบิทคอยน์เป็นอีกช่องทางการลงทุนหนึ่งที่หาเงินมาได้อย่างง่ายๆ แต่ก็ต้องลงทุนในด้านเซิร์ฟเวอร์ และยังต้องระวังเหล่าแฮกเกอร์ไว้ให้ดี เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีใครรับประกันได้เลยว่าบิทคอยน์จำนวนนี้จะสูญหายหรือไม่ อย่าลืมว่า “การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน”
ที่มา thairath.co.th
3 ขั้นตอนจัดสนามหญ้าหน้าบ้าน เพิ่มความสดชื่น
บ้านในฝันที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีคงไม่อาจจะสมบูรณ์ได้หากขาดสนามหญ้าหน้าบ้านช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เท่าทวี โดยเฉพาะช่วงก่อนฝนตกที่มีกลิ่นต้นหญ้าพัดผ่านตามสายลมให้สัมผัสธรรมชาติ หรือจะเป็นพื้นที่กิจกรรมสำหรับสมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างอบอุ่นในสวน
การเนรมิตสนามหญ้าหน้าบ้านไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่ศึกษาทำความเข้าใจเล็กน้อย ก่อนมอบหน้าที่ให้คนสวนหรือจะเป็นผู้ดูแลรักษาสนามหญ้าด้วยตัวเองก็ย่อมได้ ด้วยวิธีการดังนี้
เลือกหญ้าที่ใช่
หญ้าหลากหลายสายพันธุ์มีความแตกต่างกันในหลายเรื่อง เช่น ความทนทาน การดูแลรักษา ควมสวยงาม และความเหมาะสมกับพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีหญ้า 4 ชนิดที่ได้รับความนิยม ได้แก่ หญ้านวลน้อย หญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลเซีย หญ้าเบอร์มิวด้า และหญ้าฟลอริด้า ซึ่งหญ้าแต่ละประเภทนั้นจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง มาดูกัน
– หญ้านวลน้อย หญ้าพื้นเมืองของไทย ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นหญ้าที่มีความทนทานสูง เหมาะสำหรับการปูเป็นพื้นสนาม เนื่องจากชอบแสงแดดและสามารถขึ้นในพื้นที่กลางแจ้งได้เป็นอย่างดี รวมถึงดูแลรักษาไม่ยาก แค่หมั่นรดน้ำในช่วงฤดูร้อน เพื่อไม่ให้ใบเหลืองจากแดดและอากาศร้อน
– หญ้าญี่ปุ่น มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดใบกว้าง จะมีใบประมาณ 4 มิลลิเมตร และชนิดใบกลม ซึ่งได้รับความนิยมในประเทศไทย เนื่องจากใบเล็กและละเอียดกว่า โดยเฉพาะการนำมาใช้จัดสวนแบบญี่ปุ่น เนื่องจากเติบโตช้าอาจจะต้องใช้เวลาเดือนหรือเป็นปี จึงขึ้นเต็มสนาม แต่เมื่อขึ้นแล้วจะคลุมดินอย่างหนาแน่น จนวัชพืชไม่สามารถขึ้นได้ และทนต่อโรคหรือแมลงมากกว่าหญ้าชนิดอื่น รวมถึงทนต่อการเหยียบย่ำพอควร และไม่ค่อยยืดหยุ่นตัวเหมือนหญ้านวลน้อย เพียงแต่ต้องการน้ำมาก ถ้าขาดน้ำเป็นระยะเวลานานจะทำให้ใบเหลืองทันที และหากปล่อยไว้นานไม่ตัดแต่งจะขึ้นกระจุกตัวและลำบากในการตัดแต่งต่อไป
– หญ้ามาเลเซีย ในบางท้องที่อาจจะเรียกหญ้าเห็บหรือหญ้าไผ่ ส่วนใหญ่ปลูกในสวนยางพาราภาคใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย ก่อนจะได้รับความนิยมนำมาปลูกในสวนหน้าบ้าน โดยเป็นหญ้าที่มีใบขนาดใหญ่ที่สุดประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร ชอบแดดแบบรำไร เช่น ร่มไม้หรือชายคาบ้าน เพียงแต่เป็นหญ้าที่ต้องการน้ำมาก ทำให้ต้องรดน้ำทุกวัน
– หญ้าเบอร์มิวด้า หรือหญ้าแพรก มีสีเขียวสดหากได้รับแสงแดดเต็มที่ ทนต่อความแห้งแล้งและความร้อนได้สูง แค่น้ำค้างก็สามารถเติบโตได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการให้หญ้าคุณภาพดี เราควรหมั่นรดน้ำให้พอเพียง และอย่าปลูกในที่ร่มหรือตามชายคาบ้าน โดยใส่ปุ๋ยทิ้งระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน รวมถึงระวังการเจริญเติบโตไม่ให้กลายเป็นวัชพืชเข้าไปยังแปลงดอกไม้หรือถนนที่มีรอยแตกให้หญ้าแทรกตัวได้
– หญ้าฟลอริด้า หรือหญ้าทิฟกรีน ซึ่งมักใช้ในสนามกอล์ฟหรือปลูกในสวน เพราะทนต่อการเหยียบย่ำและฟื้นตัวได้เร็ว ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มเมื่อสัมผัส โดยสามารถเติบโตได้เร็ว และทนต่อความแห้งแล้ง หรือน้ำท่วมได้ดี เพียงแต่ต้องปลูกในที่แจ้ง ไม่สามารถปลูกในที่แสงน้อยหรือแดดรำไรได้ รวมถึงต้องหมั่นรดน้ำและระวังการเติบโตไม่ให้กลายเป็นวัชพืช
เทคนิคการปูหญ้า
หลังจากเลือกหญ้าที่เหมาะกับสวนและความต้องการของเราแล้ว อย่างไรก็ตาม การปลูกหญ้ามี 2 รูปแบบ หากไม่ต้องการวุ่นวายกับขั้นตอนการเพาะบ่มให้ต้นหญ้าเติบโตและค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาทั้งค่าปุ๋ยบำรุง และค่าน้ำที่ต้องเปิดทิ้งไว้เลี้ยงเมล็ดพันธุ์ให้ชุ่ม เราสามารถเลือกซื้อหญ้าแผ่นสำเร็จรูปปูให้เต็มสนามหญ้าแทนการหว่านเมล็ดพันธุ์
เริ่มจากการสำรวจพื้นที่และอาณาบริเวณที่ต้องการปูหญ้า พร้อมปรับสภาพดินให้เรียบร้อย โดยเพิ่มสารอาหารให้ดิน ด้วยดินขลุยไผ่ หรือโรยทรายขี้เป็ด ก่อนจะรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มทั่วบริเวณ หลังจากนั้นจึงนำพันธุ์หญ้าปูให้เต็มพื้นที่ ใช้จอบปรับแต่งดินและกดหญ้าให้ติดกับดิน รดน้ำบนหญ้าให้ชุ่มอีกครั้ง
ขณะที่ในบริเวณที่หน้าดินทรุดหรือน้ำเซาะเป็นแอ่งจนไม่สามารถปรับแต่งพื้นที่ให้เรียบเสมอกันได้ เราสามารถปลูกหญ้าได้ตามปกติ เนื่องจากต้นหญ้าสามารถเจริญเติบโตมายังพื้นที่ดังกล่าวได้ตามธรรมชาติ หรืออาจจะเร่งระยะเวลาการเติมเต็มพื้นที่ ด้วยการโรยเมล็ดหญ้าลงในบริเวณที่เว้าแหว่ง ก่อนจะใส่ปุ๋ยชีวภาพคลุมทับและรดน้ำจนชุ่มชื้น ต้นหญ้าจะใช้เวลาเติบโตเติมให้พื้นที่สมบูรณ์ประมาณ 2 สัปดาห์
ดูแลรักษาหญ้าให้เขียวขจี
หากช่วงที่ปูหญ้ามีแดดแรงหรืออากาศแห้ง เราควรรดน้ำให้ชุ่มทันทีต่อเนื่องประมาณ 2 อาทิตย์ เพื่อให้หญ้าตั้งตัว เนื่องจากหญ้าเป็นพืชที่ต้องการน้ำสำหรับการเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ โดยเราอาจจะรดน้ำให้ชุ่มทุกเช้า และเว้นมาเป็นช่วงเย็น หรืออาจจะติดตั้งสปริงเกอร์พ่นน้ำชนิดตั้งเวลาได้ สำหรับรดน้ำเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน พร้อมทั้งบำรุงรักษาด้วยปุ๋ยออแกนิกส์ หรือปุ๋ยชีวภาพที่มีจุลินทรีย์อยู่ข้างใน ซึ่งไม่เกิดผลกระทบต่อธรรมชาติ
นอกจากนั้น เราควรหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนถึงสิ่งผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นกับสนามหญ้าหน้าบ้านของเรา เช่น วัชพืช และศัตรูพืช โดยพยายามไม่ใช้สารเคมีรุนแรงและเลือกใช้ยาฆ่าแมลงที่มีส่วนประกอบของธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสมาชิกในครอบครัว
ที่สำคัญอย่าลืมหมั่นตัดหญ้าเป็นประจำ โดยพยายามตัดหญ้าไม่เกิน 1 ใน 3 ของความยาวต้นหญ้าทั้งหมด เนื่องจากหากตัดหญ้าสั้นเกินไปอาจจะกระทบทระเทือนถึงรากและทำให้ต้นหญ้าตายได้ แต่เน้นการเล็มหญ้าอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ พร้อมทั้งปล่อยให้หญ้าที่ตัดเล็มรวมกันบนสนาม เพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงหญ้าอีกครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่ตัดเล็มหญ้า ต้นหญ้าจะผลิตยอดอ่อนออกมาเขียวขจียิ่งขึ้น
ที่มา ddproperty.com
แก้ไขปัญหาในชีวิต ด้วยหลักธรรม บทความดีๆที่น่าอ่าน
เชื่อว่าทุกคนย่อมพบเจอปัญหาในชีวิตมากมาย ไม่รู้จะแก้ยังไง นอนไม่หลับคิดมาก เครียดหนัก รู้สึกท้อแท้ ไม่อยากจะทำอะไร วันนี้เรามีบทความดีๆมาฝาก
ปัญหาชีวิตเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ
1. ปัญหาชีวิตเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น เมื่อเศรษฐกิจทรงตัวหรือซบเซา ทำให้รายได้ของเราลดน้อยลง ยามเศรษฐกิจเฟื่องฟูทำให้รายได้เพิ่มมากกว่าเดิม เศรษฐกิจไม่ดีนักจะมีการจี้การปล้นการลักขโมยมากกว่าปกติ ซึ่งก็มีผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อชีวิตเรา ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างปัญหาชีวิตที่เกิดจากปัจจัยภายนอก
2. ปัญหาชีวิตเกิดจากปัจจัยภายใน ปัจจัยภายในคือตัวเราเอง สิ่งที่ทำให้ตัวเราเองเกิดปัญหา คือ กิเลส ซึ่งมีกิเลสตัวใหญ่หรือตัวสำคัญ ๓ ตัว
กิเลสตัวแรก โลภะ ความอยากได้ อยากมี ความอยากเป็น มากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีความโลภก็ต้องดิ้นรนแสวงหาต่อไปไม่สิ้นสุด ไม่มีวันจบสิ้น ต้องเหนื่อยยากลำบากตลอดกาล บางคนแสวงหาด้วยวิธีสุจริตไม่ได้ผล เลยแสวงหาด้วยวิธีทุจริตก็มี จึงหาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้ จนกว่าเราจะลดความโลภลงได้จึงจะพบความสงบสุข
กิเลสตัวที่สอง โทสะ ความโกรธ ความคิดประทุษร้ายคนอื่น ความอาฆาตพยาบาทคนอื่น ความปองร้ายคนอื่น การอยู่ร่วมกันย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเหมือนลิ้นกับฟัน เราต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน เพราะส่วนมากคนเราจะไม่มีเจตนาในการทำความชั่ว ไม่ตั้งใจทำความผิดพลาด ทุกคนมีโอกาสทำผิดพลาดกันได้ เหมือนสุภาษิตที่ว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง มีสองขาโด่เด่คงต้องโซเซไปบ้าง เราต้องให้โอกาสแก่คนอื่น หากเป็นผู้บังคับบัญชาต้องแนะนำตักเตือน เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ต้องสั่งสอน
ตัวที่สาม โมหะ ความเขลา ความไม่รู้ รู้ไม่แจ่มชัด ภาษาพระรู้ไม่จริง รู้ไม่ชัด รู้ไม่แจ้ง หรือเข้าใจไม่ชัดแจ้งชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าไม่ฉลาด ความเขลา ความไม่ฉลาดเป็นปัญหาต่อชีวิตคนเรามาก ถ้าแก้ไม่หาย ชีวิตนี้อาจไม่พบความสุขความเจริญก้าวหน้าเลย เป็นผู้ที่ต้องปรับปรุงพัฒนาตัวเองมาก
การแก้ปัญหาชีวิตด้วยธรรมะตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้แก้ปัญหาชีวิตดังนี้
แก้โลภะ ความโลภด้วยการให้บริจาค การรู้จักแบ่งปันสิ่งของให้แก่บุคคลอื่น เป็นการแบ่งความสุขให้แก่คนอื่น พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เนกาสี ลัภเต สุขัง การบริโภคคนเดียวไม่มีความสุข หมายความว่า การทำให้ตนมีความสุขคนเดียว ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง การแบ่งความสุขให้คนอื่นเสวยสุขด้วยจึงเป็นความสุขที่แท้จริง นอกจากนี้การให้เป็นการลดกิเลสคือความโลภให้น้อยลง เมื่อกิเลสคือความโลภน้อยลง ความทุกข์ในก็ลดลง ปัญหาชีวิตก็จะลดลง มีปัญหาชีวิตน้อยลง ความสุขก็จะเกิดขึ้น
แก้โทสะ ความโกรธด้วยเมตตา คิดช่วยให้คนอื่นมีความสุข ปรารถนาดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดี เราควรคิดเสมอว่าไม่มีใครทำถูกทุกอย่างโดยไม่ผิดพลาด คนที่ทำอะไรไม่ผิดพลาดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย ฉะนั้น เมื่อมีการทำงานก็ต้องมีความผิดพลาด เราควรให้อภัยซึ่งกันและกัน คนขี้โกรธ ขี้อิจฉาริษยา ชอบมองคนอื่นในแง่ร้าย มองไม่เห็นคุณงามความดีของคนอื่น พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนคนมีไฟอยู่ในหัวใจ โดยตรัสเป็นภาษาบาลีว่า โทสัคคิ กิเลสตัวโทสะนี้ทำให้เราร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา บางคนมองคนอื่นว่าเป็นศัตรูไปหมด หรือมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น การกระทำของตนถูกคนเดียว อยู่ร่วมกับใครทำงานกับใครไม่ค่อยได้ ไม่มีความสุขในการทำงาน หากสร้างเมตตาจิตให้เกิดขึ้นได้ จะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร จะอยู่ร่วมกับใครก็จะมีแต่ความสุข เพราะเอาชนะโทสะได้
แก้โมหะ ความเขลาความไม่ฉลาดด้วยการเจริญจิตภาวนา ปฏิบัติธรรมกรรมฐานหรือการฝึกสมาธิ ท่านที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะได้รับผล ๓ อย่าง คือ ได้สติ สมาธิ ปัญญา สิ่งแรกที่เราได้จากการฝึกสมาธิคือตัวสติ เป็นคนมีสติ ไม่หลงไม่ลืมง่าย อยากทราบเรื่องอะไรระลึกได้เสมอ ที่สำคัญคือเราเป็นคนรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรากำลังทำอะไร ต่อมาเกิดสมาธิ มีความตั้งใจแน่วแน่ในสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเกิดปัญญาว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นผิดหรือถูก เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิทำให้เกิดสติปัญญา คนมีสติปัญญาย่อมไม่โง่เขลา ย่อมแก้ไขปัญหาชีวิตได้ แก้โมหะด้วยการฝึกสมาธิหรือเจริญภาวนา จึงเป็นการแก้กิเลสตัวโมหะที่ถูกวิธีและได้ผล
การแก้ปัญหาชีวิตด้วยธรรมะอีกนัยหนึ่งคือ แก้ด้วยหลักศีล แก้ด้วยหลักสมาธิ แก้ด้วยหลักปัญญา
การแก้ปัญหาชีวิตด้วยหลักศีลคือ เอาศีล ๕ มาช่วยตัดสินปัญหา ไม่ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา ยามโกรธยามทะเลาะกับคนอื่นก็ไม่ทำร้ายเขา พยายามแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ยามยากจนก็ไม่ลักขโมยสิ่งของคนอื่นมาเลี้ยงชีพ หรือไม่โกหกหลอกลวงคนอื่น ที่สำคัญคือ ไม่แก้ปัญหาชีวิตด้วยการดื่มสุรา ซึ่งมีหลายท่านชอบแก้ปัญหาชีวิตด้วยสุรา เสียใจดื่มเหล้า จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะคนเมาเหล้าคือคนขาดสติ เมื่อขาดสติ สมาธิ ปัญญาก็ไม่เกิด ไม่มีสติปัญญาก็แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ ต้องแก้ด้วยหลักศีลคือไม่ดื่มเหล้า จะได้มีสติปัญญาไปแก้ปัญหาชีวิต
การแก้ปัญหาชีวิตด้วยหลักสมาธิคือ การทำอะไรก็ตั้งใจทำ แน่วแน่ เที่ยงแท้ ไม่มีความลังเลสงสัย มีจิตใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรเปลี่ยนง่ายๆ ไม่โลเลเหลวไหลเป็นไม้หลักปักเลน ทำอะไรทำจริง ไม่นิ่งนอนใจ ที่กล่าวมานี้เป็นผลของการฝึกทำสมาธิทั้งสิ้น คนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะเป็นคนลักษณะนี้ สมาธิจึงสามารถช่วยแก้ปัญหาชีวิตได้มาก เพราะคนไม่มีสมาธิหรือคนไม่เคยฝึกสมาธิจะเป็นคนเปลี่ยนใจง่าย ไม่มั่นคง เป็นคนลังเล บางครั้งก็เหลวไหล นิสัยเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ สมาธิจึงมีความสำคัญและจำเป็นต่อการแก้ปัญหาชีวิต
การแก้ปัญหาชีวิตด้วยปัญญา ปัญญานั้นมี ๓ ระดับ คือ
๑. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษาเล่าเรียน การได้ยินได้ฟังมามาก จากประสบการณ์ชีวิต
๒. จินตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด การใช้วิจารณญาณเรื่องที่พบเห็น
๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฝึกฝน การฟังบ่อยๆ การทำให้ชำนาญ หรือการฝึกฝนอบรมจนชำนาญ การทำบ่อยๆ จนเกิดผลปรากฎ เป็นปัญญาความรู้ที่เกิดจากการทดลองหรือผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
ปัญญาที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหมายถึงปัญญาข้อ ๓ ปัญหาที่เกิดจากการทดลองหรือผ่านการพิสูจน์มาแล้ว เป็นปัญญาที่เกิดต่อจากการฝึกสมาธินั่งเอง เพราะก่อนที่ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เราต้องฝึกสมาธิจนชำนาญหรือได้ผลเสียก่อน การฝึกสมาธินั้นจะเกิดผลตามลำดับดังกล่าวมาแล้ว แต่ขอกล่าวซ้ำอีกคือ
อันดับแรกจะเกิดสติ มีสติดี สติไม่ขาด เมื่อสติไม่ขาด สมาธิจะเกิดขึ้น ครั้นสมาธิมีกำลังมากขึ้นจนจิตสงบปัญญาก็จะเกิด ขณะที่จิตสงบ เราสามารถจะคิดค้นหรือคิดแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งได้ผลดีกว่าขณะที่จิตไม่สงบ ถ้าจิตไม่สงบมักจะคิดไม่ออกหรือคิดแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ เรียกตามภาษาพระว่า ปัญญาไม่เกิด เพราะฉะนั้นปัญญาความรู้ความคิดดีๆ จะเกิดขึ้นหลังจากจิตเป็นสมาธิ คนที่จิตมีสมาธิจึงเป็นคนมีเหตุมีผล มีหลักการ มีหลักเกณฑ์ ยึดความถูกต้องมากกว่าความถูกใจ เรียกว่ามีปัญญา
เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาชีวิตหรืออุปสรรคชีวิตเกิดขึ้น เขาย่อมสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ดีกว่าคนอื่น และการแก้ปัญหาด้วย ปัญญานั้นทางพระพุทธศาสนายึดหลักการที่ว่า
“ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุหรือต้นเหตุ เราต้องค้นหาต้นเหตุของปัญหานั้นให้พบ แล้วแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั้น จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้องและถูกจุด”
เป็นลักษณะของการแก้ปัญหาแบบอริยสัจ ๔ เป็นคุณธรรมระดับปัญญา คือศึกษาให้รู้ข้อมูลและต้นเหตุแห่งทุกข์เสียก่อน จึงจะรู้วิธีดับทุกข์ คือดับที่ต้นเหตุของมันจึงจะพ้นทุกข์
การแก้ปัญหาแบบอริยสัจ ๔ สามารถนำมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ลักษณะนี้เป็นการแก้ปัญหาด้วยปัญญา
สัจธรรมหรือความจริงอันประเสริฐประการแรก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบจากการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ คือ ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ไม่มีมนุษย์หรือว่าสัตว์เหล่าใดเลยที่จะพบกับความสุขล้วนๆ เพียงอย่างเดียว ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่เว้นใครแม้แต่คนเดียว จะต่างกันที่ทุกข์มากหรือน้อยเท่านั้นเอง สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องเป็นทุกข์เกิดมาจาก กิเลสที่แอบแฝงติดอยู่ในใจเราตั้งแต่ปฎิสนธิในครรภ์มารดานั่นเอง เมื่อใดก็ตามที่กิเลสมีอำนาจเหนื่อจิตใจมนุษย์ ก็จะบังคับให้เขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลของการประกอบกรรมชั่วดังกล่าวก็คือความทุกข์ทรมานในรูปแบบต่างๆ ซึงเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
คนเราโดยทั่วไปมักไม่ทราบความจริงของชีวิตเหล่านี้เลย จึงพยายามดิ้นรนแสวงหาความสุขโดยการดับทุกข์ให้แก่ตนเองด้วยวิธีการผิดๆ ซึ่งรังแต่จะสร้างวิบากกรรมเพิ่มขึ้นมาอีก เรียกว่าเป็นการดับทุกข์เก่า ด้วยการสร้างทุกข์ใหม่ให้กับชีวิตของเราเอง ด้วยเหตุนี้เองกงล้อความทุกข์จึงดำเนินไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะวิิบากกรรมชั่ว ที่ตนกระทำไว้เรื่อยไปโดยที่ไม่มีโอกาสล่วงรู้สาเหตุที่แท้จริงแห่งความทุกข์เลย
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องให้หมดทุกข์ และเป็นปัจเจกบุคคลที่ต้องเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เหมือนที่พระองค์ได้ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองมาแล้ว ดังนั้นขอให้ทุกท่านได้เรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนแล้วทุกท่านจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง
ธรรมะ สร้างทางสว่างแห่งความสำเร็จในชีวิตและทางแห่งการพ้นทุกข์ ให้กับผู้ที่ศรัทธานั้นก็คือ ตัวเราเอง นั้นเอง
ที่มา zazana.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 5/07/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,700.00 | 19,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,276.00 | 19,344.16 | 20,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,148.40 | 17,409.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 574.00 | 8,701.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 447.00 | 6,776.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,322.00 | 20,041.52 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 5/07/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.55 | 25.55 | – | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | – | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 19.24 | 19.24 | – | – | – | – | – | 19.24 | 19.24 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 |
เบนซิน 95 | 32.66 | – | – | 33.11 | 33.11 | – | 33.16 | 32.66 | 32.66 | 32.66 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 24.49 | 24.49 | 24.49 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 27.49 | 28.17 | 28.17 | 28.17 | 28.17 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 |