ส่อง ทิศทาง อสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย
ตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นปกติช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีถือเป็น Golden Time ของการซื้ออสังหาฯ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะช่วงชิงลูกค้าด้วยการกระหน่ำโปรโมชั่นอย่างร้อนแรง และแม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่มีปัจจัยลบที่หนักหนาเป็นพิเศษจากโควิด-19
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (www.plus.co.th) วิเคราะห์ว่า แม้ปีนี้โลกจะเผชิญกับวิกฤตที่ไม่คาดฝันและผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงไตรมาสสุดท้ายของปี ในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นปกติช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีถือเป็น Golden Time ของการซื้ออสังหาฯ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะช่วงชิงลูกค้าด้วยการกระหน่ำโปรโมชั่นอย่างร้อนแรง และแม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่มีปัจจัยลบที่หนักหนาเป็นพิเศษจากโควิด-19 ทำให้ปีนี้โปรโมชั่นแรงๆ ได้ถูกปล่อยออกมาดึงดูดผู้ซื้อไปมากแล้ว แต่ยังคงเชื่อว่าหมัดเด็ดส่งท้ายปี น่าจะยังคงมีออกมาให้เห็น ผู้ซื้อเองก็ถือเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาเช่นนี้ โดยเฉพาะปีนี้ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าหากใครมีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย การซื้อในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่น่าสนใจที่หาได้ไม่ง่ายนัก
อีกหนึ่งความพิเศษของการเป็นช่วงเวลาทองของการซื้อที่อยู่อาศัยไตรมาสสุดของปีนี้อีกอย่างหนึ่งคือ การเป็นช่วงที่ใกล้จะสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมการโอน จากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุดที่เป็นหลังใหม่ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ด้วยปัจจัยทั้งหมดจึงถือว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ซื้อที่มีความพร้อมในช่วงนี้อย่างแท้จริง
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปีนี้ที่ผ่านมา เป็นอย่างที่ทราบกันครับว่าได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง โดยข้อมูลจากการสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าตัวเลขยอดขายบ้านเดี่ยวในครึ่งปีแรก อุปทานเสนอขายรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 14,082 ยูนิต ลดลง 8% อุปสงค์มีจำนวนทั้งสิ้น 5,115 ยูนิต ลดลง 4% คิดเป็นอัตราการขายเท่ากับ 36% ขณะที่ทาวน์โฮมมีอุปทานเสนอขายรวมอยู่ที่ 31,211 ยูนิต ลดลง 6% ในขณะที่อุปสงค์มีจำนวนทั้งสิ้น 12,248 ยูนิต ลดลง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราการขายเท่ากับ 39% และคอนโดมิเนียมมีอุปทานเสนอขายรวมลดลง 8% หรือมีจำนวนทั้งสิ้น 104,094 ยูนิต ในขณะที่อุปสงค์ลดลง 28% หรือเกิดขึ้นเพียง 17,074 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายเท่ากับ 16% ถึงแม้ว่าภาพรวมจะปรับตัวลดลง หากแต่ในรายละเอียดนั้นพบว่าตลาดทาวน์โฮมถือว่าทรงตัวได้ดีสุด ส่วนหนึ่งเพราะตอบโจทย์ความต้องการของคนที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้นแต่ยังไม่มีกำลังซื้อมากพอสำหรับบ้านเดี่ยวในทำเลที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก
ส่วนแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีนี้ พลัสฯ ยังคงมองว่า ภาวะการแข่งขันในตลาดแนวราบจะมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดระดับราคาปานกลางอย่างเช่นทาวน์โฮม เนื่องด้วยผู้ประกอบการเล็งเห็นว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในขณะนี้มีทีท่าลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าออกมาในราคาถูกลงเพื่อเข้าถึงผู้ซื้อได้มากขึ้น ทำให้ช่วงปลายปีเราจะเห็นการนำเสนอสินค้าที่เจาะไปยังกลุ่มตลาดแนวราบมากขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน กลุ่มลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่เปลี่ยนใจจากคอนโดมิเนียมมาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจากการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หลังจากการระบาดของโควิด–19 ประกอบกับโครงการพัฒนารถไฟฟ้าหลายเส้นทางที่จะเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีซึ่งเชื่อมต่อการเดินทางได้สะดวกขึ้น ทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นภายใต้งบประมาณเท่าเดิม มีแนวโน้มจะสนใจทาวน์โฮมในทำเลที่ห่างออกไปเล็กน้อยเพราะมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อสังหาปีนี้ติดลบ10% ลุ้นศก.-การเมืองสงบ หนุนปีหน้ากลับมาโต
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ชี้สัญญาณบวกตลาดฟื้นตัวปี 64 รับความเชื่อมั่นผู้บริโภคไต่ระดับ ผนวกแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อานิสงส์ “ดอกเบี้ยต่ำ” พร้อมกลยุทธ์ราคาด้านโครงการใหม่เปิดตัวลดลงเหลือ 7.1 หมื่นหน่วย ด้านคอนโดวูบ 50% สวนทาง “แนวราบ”
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 มีปัจจัยบวกที่เพิ่มเข้ามาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และการปรับตัวของผู้ประกอบการ โดยคาดการณ์ว่าปีหน้าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 353,236 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 876,121 ล้านบาท หรือสูงสุดไม่เกิน 383,272 หน่วยคิดเป็น มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 950,591 ล้านบาท
ส่วนโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปีหน้า คาดว่าจะเพิ่มเป็น 88,828-102,151หน่วย คิดเป็นมูลค่า 400,306 ล้านบาท หรือสูงสุดไม่เกิน 102,151 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 448,559 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 24.3% และสูงสุด 42.9% ทั้งนี้เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากในปี 2563 โดยสัดส่วนของโครงการบ้านจัดสรรจะมีจำนวนประมาณ 44,069 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 286,463 ล้านบาท หรือมีสัดส่วน 58.6 % ส่วนอาคารชุดจะมีจำนวนประมาณ 36,784 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 113,843 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 41.4 % ของโครงการที่จะเปิดใหม่ทั้งหมดในตลาด มีจำนวน 36,784 หน่วย มูลค่า 1.13 แสนล้านบาท
“แนวโน้มดีมานด์และซัพพลายในปี 2564 ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ของปีนี้พร้อมปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ดังนั้น ดีเวลลอปเปอร์ต้องโฟกัสทำเล ราคาที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการ และกำลังซื้อกลุ่มลูกค้า แต่ตลาดยังคงมี ปัจจัยลบ คือการปฏิเสธสินค้าของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากกังวลเรื่องหนี้เสียจากกำลังซื้อที่ลดลง รวมถึงปัจจัยทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอน”
ปีหน้าภาพรวมความมั่นใจและกำลังซื้อที่อยู่อาศัยกลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลาง-บน ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป มีโอกาสที่การโอนที่อยู่อาศัยจะปรับตัวขึ้นไปใกล้เคียงปี 2561 หรือ2562 ที่มีจำนวนหน่วยที่โอนกว่า 400,000 ยูนิต มีมูลค่ารวมทะลุ 900,000 ล้านบาท โดยพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัย จะเป็นตลาดแนวราบ โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ที่มีระดับราคา 2-5 ล้านบาทเป็นหลัก
การเปิดโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2564 มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการต่างๆจะกลับมาเปิดโครงการใหม่มากขึ้น โดยเน้นไปที่โครงการแนวราบ คาดว่า จะมีโครงการใหม่เปิดเพิ่ม 88,828 หน่วย หรือคิดเป็นมูลค่า 4 แสนล้านบาท หรือสูงสุดไม่เกิน 102,151 หน่วย มูลค่า 4.48 แสนล้านบาทเติบโต 24.3-42.9% จากปี 63 ที่ถือเป็นปีฐานที่ต่ำ
ไตรมาส 3 ขยายตัวเกินคาด 17.1%
สำหรับ การสำรวจยอดการโอนกรรมสิทธ์อยู่อาศัยของไตรมาส 3 มีจำนวนทั้งสิ้น 93,230 หน่วย มูลค่า 246,066 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 17.1% เกินคาดหมาย ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสะสม 9 เดือน มีจำนวนทั้งสิ้น 261,855 หน่วย มูลค่า 668,936 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อน -7.9% ซึ่งอยู่ในระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี
โดยพบว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบ 180,322 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 458,280 ล้านบาท ปรับตัว “ลดลง” จากปีก่อนหน้า 6.1% ขณะที่อาคารชุดมีจำนวนทั้งสิ้น 81,533 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 210,656 ล้านบาท ปรับตัว “ลดลง” จากปีก่อนหน้า 11.6% ทั้งนี้ อัตรา “ติดลบ” น้อยลง ถือเป็นสัญญาณบวกในด้านดีมานด์ที่มีการปรับเข้าสู่สถานการณ์ตลาดที่ดีขึ้น
ยอดโอนเพิ่มสะท้อนดีมานด์ยังมี
ทั้งนี้ การโอนกรรมสิทธิ์ประเภทบ้านใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 131,303 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 425,134 ล้านบาท ปรับตัว “ลดลง” จากปีก่อนหน้า 5.5% และบ้านมือสองจำนวนทั้งสิ้น 130,552 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 243,802 ล้านบาท ปรับตัว “ลดลง” จากปีก่อนหน้า 10.2% เมื่อพิจารณาในระดับราคาพบว่า แนวราบในระดับราคา 2.01-3 ล้านบาทมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนสูงสุด 43,335 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 24 % ของการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 31.3%
ขณะที่อาคารชุดระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทมีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดจำนวน 25,840 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 31.7% ของการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด แต่เป็นการโอนที่มีอัตรา “ลดลง” เมื่อเทียบปีก่อนหน้า 17.6% โดยกลุ่มที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดคือระดับราคา 7.51-10 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัว 6.1%
โครงการใหม่เปิดตัวลดลง
นายวิชัย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นช่วงจุดต่ำสุดของตลาด ทำให้ภาพรวมของตลาดในปีนี้ยังน่าจะติดลบถึง 10% และแนวโน้มจะมีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 351,640 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 862,500 ล้านบาท โดยมีการปรับตัวลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า-10.3%และ -7.3 %ตามลำดับ ขณะที่การเปิดตัวโครงการใหม่ “ลดลง” ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยอดสะสม 9 เดือน พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 50,781 หน่วย มูลค่า 228,949 ล้านบาท มีการปรับตัวลดลง20.9 % ซึ่งเป็นการลดลงของโครงการอาคารชุดถึง -41.8 % ขณะที่บ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น3.5 %โดยแยกเป็นประเภทอาคารชุด 20,089 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 39.6 %ทาวน์เฮ้าส์ 19,802หน่วยคิดเป็น 39% บ้านเดี่ยว 5,784หน่วย คิดเป็น 11.4% บ้านแฝดจำนวน 4,709 หน่วย คิดเป็น 9.3% และอาคารพาณิชย์ 397 หน่วยคิดเป็น 0.8%
ส่วนทำเลที่มีโครงการเปิดตัวใหม่สะสมมากสุดช่วง 9 เดือนแรก ใน5 ทำเล ได้แก่ 1.ลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ จำนวน 6,153 หน่วย 2.เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 4,677 หน่วย 3.บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 4,210 หน่วย 4.เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 3,799 หน่วย และ 5.บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 3,495 หน่วย โดยกลุ่มราคาที่มีการเปิดตัวใหม่สูงสุดคือระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 17,557 หน่วย คิดเป็น 34.6 % ของหน่วยที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด
ปีนี้ ประมาณการโครงการเปิดตัวใหม่ทั่วประเทศอยู่ที่ 71,467 หน่วยลดลงจากปีก่อน 27.3 % ซึ่งเป็นการ “ลดลง” ของโครงการอาคารชุดถึง 50% ขณะที่บ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 1.4%
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
บาทเปิด 30.32 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า
เงินบาทเปิดตลาด 30.32 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า ตามทิศทางภูมิภาค ให้กรอบวันนี้ 30.25-30.40 บาทต่อดอลลาร์
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.32 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 30.30/31 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ, การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณดูแลค่าเงินบาท และสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
“บาทอ่อนค่าเล็กน้อยตามภูมิภาคจากความกังวลเรื่องการเมืองในประเทศ การส่งสัญญาณดูแลค่าเงินบาท ส่วนต่างประเทศเป็นเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ที่มีความรุนแรงมากขึ้น” นักบริหารเงิน กล่าว
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ดูแลดี ชีวียืนยาว
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุของคนไข้ให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
เจ็บแน่นหน้าอก
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและเรื้อรัง
ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
เพศชายเป็นได้มากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
ประวัติครอบครัว
ปัจจัยที่ควบคุมได้
สูบบุหรี่
ไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูง
ไม่ออกกำลังกาย
น้ำหนักมากหรืออ้วน
โรคเบาหวาน
กินอาหารไม่มีประโยชน์
ความเครียด
ผลกระทบหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หรือรู้ตัวช้า ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามเวลา เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง ไขมันจะเริ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้หลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด เกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 คนไข้จะเริ่มมีอาการแสดง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากคนไข้พบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอก หรืออาการอื่นที่กล่าวมาข้างต้น คนไข้จะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที และเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากสูงขึ้นแสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ร่วมกับซักประวัติคนไข้ สอบถามระยะเวลาที่เจ็บแน่นหน้าอก หากมากกว่า 20 นาที อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
หากหลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน รักษาด้วยยา
หากหลอดเลือดตันมาก รักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ
หากไม่สามารถทำบอลลูนหัวใจได้ รักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ
การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง (ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดน้ำหนักตัว)
กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
กินอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
ไม่สูบบุหรี่
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
กินอาหารที่มีไขมันน้อย
ออกกำลังกายเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
ควบคุมน้ำหนัก
ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
“มาดามแป้ง” สุดปลื้ม การท่าเรือได้คัมแบ็คแพทสเตเดี้ยม ชวนแฟนๆมาร่วมฟื้นนรกทีมเยือนอีกครั้ง
นายหญิงสิงห์เจ้าท่า ยอมรับสุดดีใจ เมื่อไทยลีกอนุมัติให้ท่าเรือกลับมาใช้รังเหย้า แพท สเตเดี้ยม พร้อมชวนแฟนบอลมาร่วมเชียร์ให้เต็มโควต้าสนาม ยืนยัน นรกทีมเยือนพร้อมรับสุพรรณบุรี 20 พ.ย. นี้
หลังไทยลีกอนุมัติให้สโมสรการท่าเรือ เอฟ.ซี. กลับมาใช้ “แพท สเตเดี้ยม” เป็นรังเหย้าได้อีกครั้ง หลังสโมสรได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบไฟฟ้าทั้งระบบ ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งได้มีการลงพื้นที่รับฟังคำชี้แจงและทดสอบระบบร่วมกันแบบครบกระบวนการ
ด้าน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ซีอีโอ เมืองไทยประกันภัย ในฐานะประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟ.ซี. หัวเรือใหญ่ในการดำเนินการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจนปรับปรุงแล้วเสร็จ ได้กล่าวความรู้สึกว่า “ยอมรับว่าลุ้นและติดตามข่าวใกล้ชิด พอทราบก็รู้สึกทั้งดีใจมากๆ เพราะทุกฝ่ายทำงานอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นสิงห์เจ้าท่า ไม่ใช่แค่ผู้เล่นหรือผลงานของทีมเท่านั้น แต่มันคือบ้านของเราด้วย ซึ่งเป็นพื้นที่ของคนครอบครัวท่าเรือ ดังนั้น การได้กลับมาครั้งนี้เป็นของขวัญล้ำค่าของแฟนๆ ทุกคน”
“เรามั่นใจว่าเราพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งขวัญกำลังใจนักเตะที่จะได้ลงเล่นท่ามกลางบรรยากาศการเชียร์ที่อบอุ่นเหมือนเดิม ด้านร่างกายเราไม่มีปัญหาใดๆ น่ากังวล แป้งเชื่อว่าทุกคนคิดถึงบรรยากาศของความเป็นนรกของทีมเยือน จึงอยากชวนแฟนบอลท่าเรือมาให้เต็มโควต้าตอนนี้ มาเติมสีสันรสชาติให้กับบ้านหลังเดิม ที่เหลือเป็นเรื่องของนักเตะที่จะทำให้เกมวันนั้นสนุกอย่างแน่นอน” มาดามแป้ง กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ โปรแกรมนัดถัดไปของการท่าเรือ เอฟ.ซี. จะเปิดบ้านต้อนรับสุพรรณบุรี เอฟซี ในวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563 เวลา 18.30 น. ณ สนามแพท สเตเดี้ยม ถ่ายทอดสด NBT 2HD
คำถาม ภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน พร้อมคำอ่าน คำแปล
คำถามเบื้องต้นในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคำถามที่ใช้บ่อย เจอบ่อย มีอะไรบ้าง ฝึกพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน จากคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย พร้อมคำอ่าน คำแปล สารบัญ Common […]
คำถามเบื้องต้นในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคำถามที่ใช้บ่อย เจอบ่อย มีอะไรบ้าง ฝึกพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน จากคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย พร้อมคำอ่าน คำแปล
Common questions (คอมเมิน เควสเชินสฺ) คำถามทั่วไป
Who? (ฮู) ใคร
What? (วอท) อะไร
When? (เว็น) เมื่อไหร่
Where? (แว) ที่ไหน
Why? (วาย) ทำไม
How? (ฮาว) อย่างไร, ยังไง
ประโยคตัวอย่าง ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ในชีวิตประจำวัน
What is it? (วอท อิส อิท) มันคืออะไร
What is this? (วอท อิส ดีส) นี่คืออะไร
What is that? (วอท อิส แดทฺ) นั่นคืออะไร
What time is it? (วอท ไทมฺ อิส อิท) กี่โมงแล้ว
How do you know? (ฮาว ดู ยู โน) คุณรู้ได้อย่างไร
เร่งหาข้อสรุปโครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่”
ที่ประชุม ศบศ.เห็นชอบในหลักการ “รถเก่าแลกรถใหม่” ตั้งเป้า 1 แสนคัน พร้อมสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือรายละเอียด-มาตรการ-แหล่งเงิน แนวทางเร่งรัดขับเคลื่อนอย่างเหมาะสม
หลังจากที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ – กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการพูดคุยเพื่อขอให้ผลักดันโครงการ รถเก่าแลกรถใหม่ โดยนำรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป มาเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้มีความนิยมเพิ่มขึ้น รวมไปถึงยังช่วยบริหารจัดการซากยานยนต์ และแก้ไขปัญหาเรื่อง PM2.5
อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเงื่อนไขหรือรายละเอียดออกมา ซึ่งทางกระทรวงอุตสาหกรรมเผยว่าต้องพูดคุยร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยืนยันว่าต้องการผลักดันโครงการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศฟื้นตัว
ล่าสุดนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 63 ว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบศ.) เห็นชอบในหลักการข้อเสนอโครงการบริหารเศรษฐกิจระยะปานกลางและระยะยาว ชุดที่ 2 ที่เสนอโดย คณะอนุกรรมการวิเคราะห์และเสนอแนะมาตรการบริหารเศรษฐกิจ และส่งเสริมการลงทุนในระยะปานกลางและระยะยาว
ประกอบด้วยโครงการที่ควรได้รับการส่งเสริมแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม ประกอบไปด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อให้ประเทศไทยเป็นเมืองสะอาด เช่น โครงการรถแลกแจกแถม (รถเก่าแลกรถใหม่ 100,000 คัน) , โครงการจักรยานยนต์ไฟฟ้าไทยชนะ และ โครงการจัดหารถโดยสารเพื่อประชาชนของขสมก. โดยการเช่ารถโดยสารปรับอากาศไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสนับสนุนการส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ การส่งเสริมการจ้างงาน เช่น การเสริมสร้างการจ้างงานในภูมิลำเนา โครงการบริบาลชุมชนระดับหมู่บ้าน การส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตประชารัฐ เป็นต้น การจัดตั้งสถานที่กักกันแรงงานต่างด้าวใน 11 จังหวัด และการบริหารจัดการภาครัฐด้านการเงินและการค้าระหว่างประเทศ เช่น การจัดทำข้อมูลด้านทรัพยากรการเงินของประเทศ รวมทั้งการรักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น
“ได้ให้ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือรายละเอียดมาตรการ โครงการแหล่งเงิน และแนวทางการเร่งรัดขับเคลื่อนให้เป็นไปอย่างเหมาะสมต่อไป”
8 พฤติกรรมต้องทำในฤดูหนาว…หากไม่อยากดูแก่ ดูโทรม
เมื่อฤดูหนาวเริ่มเข้ามา ปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญคือ ผิวแห้งกร้าน ผิวแตกลาย หากดูแลกันไม่ดี เมื่อมองในกระจกแต่ละที ความแก่ ความโทรมจะฟ้องให้เห็นชัดเลยทีเดียว วันนี้เราจึงนำเคล็ดลับเด็ดๆ โดนๆ กับพฤติกรรมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น ความสดใส สุขภาพดีในช่วงฤดูหนาวมาฝากกัน รับรองว่า…ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหน ความสวยใสก็ยังอยู่แน่นอนค่ะ
8 สิ่งห้ามขาด กับการดูแลสุขภาพในช่วงหน้าหนาว
1. ออกกำลังกาย ข้อดีของการออกกำลังกายที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานสูง ป้องกันการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี แต่ข้อดีอีกอย่างที่หลายคนนึกไม่ถึงคือ มันช่วยให้เลือดลมสูบฉีด หลังออกกำลังกายจะสังเกตได้ว่าผิวหน้าและผิวกายจะแดงขึ้น แลดูเปล่งปลั่ง และการที่เหงื่อออกเป็นการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายออกไป คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงมีผิวดี หน้าใส บางคนสิวแทบไม่มีเลย
2. รักษาสุขภาพให้แข็ง ทำได้ง่ายๆ โดยการทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
3. บำรุงผิว ปัญหาหนึ่งที่เจอกันบ่อยๆ ในฤดูหนาวคือ ผิวแห้งกร้าน บางคนแห้งจนคันหรือลอกกันเลยทีเดียว วิธีแก้คือต้องไม่ขี้เกียจทาครีมค่ะ หลังอาบน้ำเสร็จซับผิวแค่พอหมาดๆ แล้วทาโลชั่นเลย เลือกประภทที่มีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้นหน่อยนะคะ จะช่วยรักษาความชุ่มชื่นได้ดีกว่า และต้องทาให้ทั่วทั้งตัวด้วยค่ะ ห้ามทาแต่แขนขา ส่วนริมฝีปาก หากแห้งลองสครับสัก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หลังแปรงฟันใช้แปรงขัดเบาๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก หลังจากนั้นล้างให้สะอาดแล้วทาด้วยลิปบาล์มค่ะ สามารถเติมในระหว่างวันหากเริ่มรู้สึกว่าปากแห้ง
4. อาบน้ำอุ่นพอดี อย่าอาบน้ำอุ่นจัดเพราะผิวจะแห้งเสียมาก เวลาอาบไม่ต้องอาบนานเพราะความชื้นจะระเหยออกจากผิวไปหมด เวลาฟอกสบู่ควรใช้สบู่ที่อ่อนโยน ผิวจะได้ไม่ถูกทำร้าย หลังอาบก็บำรุงด้วยโลชั่นทุกครั้ง ทั้งหมดนี้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งค่ะ เพราะการที่ผิวแห้งแปลว่าขาดความชุ่มชื้น ผิวจะเหี่ยวง่าย ดูโทรม เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายด้วยค่ะ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ต้องทำในหน้าหนาว หากไม่อยากผิวเสีย ผิวแห้งกร้านดูแก่กว่าวัย
5. งดการขัดผิว การขัดผิวเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในฤดูหนาว เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ผิวแห้งมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการแสบคันได้ด้วย แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ควรเลือกสิ่งที่อ่อนโยนมาขัดผิว เช่น แตงกวาหรือว่านหางจระเข้ที่ปั่นละเอียดแล้ว ข้าวโอ๊ตผสมน้ำผึ้งหรือน้ำนมเป็นต้น วัตถุดิบกลุ่มนี้จะไม่ทำลายความชุ่มชื้นของผิวมากนัก บางอย่างยังช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิวได้มากขึ้นด้วยค่ะ
6.ทา hand cream เชื่อว่าหลายคนมักจะมองข้ามความสำคัญของผิวพรรณที่มือไป ทั้งๆ ที่เป็นจุดที่ต้องสัมผัสกับสิ่งต่างๆ มากมาย ผิวบริเวณมือจึงแห้งกร้านได้ง่ายมากกว่าจุดอื่น hand cream จึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ลองหาแฮนด์ครีมดีๆ สักตัวมาพกติดกระเป๋าไว้ เพราะเมื่อล้างมือแล้วไม่ได้ทาครีม พอมาเจอกับอากาศเย็น มืออาจจะดูแห้งเหี่ยวไม่น่ามองได้เช่นกันค่ะ
7. มาร์กหน้า ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ แนะนำให้มาร์กหน้าอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งค่ะ เพราะมันช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิว ผิวจะเนียนนุ่มมากขึ้น ไม่หวั่นแม้อากาศจะเย็นจัด แต่ควรเลือกวัตถุดิบที่จะใช้มาร์คหน้าจากธรรมชาตินะคะ เช่น แตงกวา มะเขือเทศ น้ำผึ้ง นมสด ว่านหางจระเข้ เป็นต้น รับรองว่าปลอดภัยไม่ทำร้ายผิวเราแน่นอนค่า
8. ทาครีมกันแดด เห็นหนาวๆ แบบนี้จะไม่ทาครีมกันแดดไม่ได้นะคะ เพราะในช่วงฤดูหนาว แดดก็แรงไม่แพ้ฤดูอื่นเลยถึงแม้อุณหภูมิจะดูเย็นๆ ก็ตาม อย่าลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ไม่งั้นผิวจะคล้ำ ดูแก่ ดูโทรมไม่รู้ด้วยน้า ต้องครีมชนิดที่มี Spf ประมาณ 15-30 ด้วยนะคะ เพราะจะช่วยปกป้องผิวได้ดีกว่า หากมีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ด้วยก็จะปกป้องและบำรุงผิวไปพร้อมๆ กัน
ง่ายมากใช่ไหมละคะกับแนวทางปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญกับความหนาวเย็น หากไม่อยากดูแก่ดูโทรมในฤดูหนาว ก็เพียงแค่ปฏิบัติตาม 8 ข้อนี้ ฤดูหนาวก็ไม่ก่อปัญหาให้ทุกๆ คนอีกต่อไปค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,800.00 | 26,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,736.00 | 26,317.76 | 27,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,562.40 | 23,685.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,388.80 | 21,054.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 781.00 | 11,839.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 608.00 | 9,217.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,799.00 | 27,272.84 | n/a |
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 19.94 | 19.94 | 19.94 | 19.94 | 19.94 | – | 19.94 | 19.94 | 19.94 | 19.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.79 | 17.79 | – | – | – | – | – | – | – | 17.79 |
เบนซิน 95 | 28.86 | – | – | – | 29.31 | – | 29.36 | 28.86 | – | 28.86 |
ดีเซล B7 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 |
ดีเซล | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 |
ดีเซล B20 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | – | 19.64 | 19.64 | – | 19.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 27.34 | 27.36 | 29.34 | 28.74 | – | – | – | – | – | 27.34 |
แก๊ส NGV | 13.10 | 13.10 | – | – | – | – | – | – | – | 13.10 |