ตลาดที่อยู่อาศัย ภาคตะวันตก สุดซึม! ครึ่งปีเปิดใหม่แค่ 10 โครงการ
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผย ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันตกสุดซึม พบอัตราการขาย ครึ่งปีแรก 2563 ลดลงกว่า 30% ขณะจำนวนโครงการเปิดใหม่มีแค่ 10 โครงการ ส่วนใหญ่ยังตั้งอยู่ในทำเล จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยข้อมูลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในภาคตะวันตก ในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 ซึ่งเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย โดยในช่วงที่ทำการสำรวจ พบว่ามีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ณ ครึ่งแรก ปี 2563 (Total Supply) ทั้งหมด 141 โครงการ จำนวน 5,515 หน่วย มูลค่ารวม 27,423 ล้านบาท จำแนกเป็นโครงการบ้านจัดสรร 110 โครงการ 2,700 หน่วย มูลค่า 12,798 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 31 โครงการ 2815 หน่วย มูลค่า 14,625 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมีหน่วยเหลือขายจำนวน 4,988 หน่วย และในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 594 หน่วย
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันตก อัตราการเปลี่ยนแปลงของหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายยังคงมีอัตราลดลงร้อยละ -31.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (YoY) โดยเป็นการลดลงของบ้านจัดสรร ร้อยละ -14.2 และอาคารชุดร้อยละ -41.9 เมื่อพิจารณาจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 มากถึงร้อยละ -69.6 หน่วยขายได้ใหม่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลงร้อยละ -66.7 และหน่วยเหลือขายมีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลงร้อยละ -68.8 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จังหวัดเพชรบุรีมี Total Supply ลดลงมากที่สุด ร้อยละ -41.9 ส่วนประจวบคีรีขันธ์ลดลงร้อยละ -19.8
ในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 มีโครงการเปิดขายใหม่รวม 10 โครงการ จำนวน 594 หน่วย มูลค่ารวม 5,982 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 9 โครงการ รวม 356 หน่วย มูลค่า 2008 ล้านบาท และอาคารชุด 1 โครงการ จำนวน 238 หน่วย มูลค่ารวม 3,974 ล้านบาท โดยประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ที่มีโครงการเปิดขายใหม่มากที่สุด 9 โครงการ ประกอบด้วย บ้านจัดสรร 8 โครงการ และอาคารชุด 1 โครงการ รวม 568 หน่วย มูลค่า 5,905 ล้านบาท ส่วนเพชรบุรี เปิดโครงการใหม่ 1 โครงการ เป็นประเภทบ้านจัดสรรทั้งหมด รวม 26 หน่วย มูลค่า 77 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจำนวนหน่วยเหลือขาย และหน่วยขายได้ใหม่ ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตา โดย ณ ครึ่งแรก ปี 2563 ในภาคตะวันตก มีอุปทานเหลือขายจำนวน 4,988 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 23,373 ล้านบาท จำแนกเป็นบ้านจัดสรร 2,390 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 11,350 ล้านบาท และอาคารชุด 2,598 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 12,024 ล้านบาท
เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายบ้านจัดสรรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 640 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.8 ของหน่วยบ้านจัดสรรที่เหลือขายทั้งหมด ขณะที่อาคารชุดเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 1,002 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 38.6 ของหน่วยอาคารชุดที่เหลือขายทั้งหมด
ทั้งนี้ บ้านจัดสรรที่มีมูลค่าหน่วยเหลือขายมากที่สุดอยู่ในช่วง 5.01 – 7.5 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 3,435 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.3 ของมูลค่าบ้านจัดสรรที่เหลือขายทั้งหมด ในขณะที่อาคารชุดส่วนใหญ่มีมูลค่าเหลือขายอยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 4,281 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.6 ของมูลค่าอาคารชุดที่เหลือขายทั้งหมด
ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งแรกปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 527 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 4,050 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นบ้านจัดสรร 310 หน่วย มูลค่า 1,449 ล้านบาท และอาคารชุด 217 หน่วย มูลค่า 2,602 ล้านบาท
โดยหน่วยบ้านจัดสรรขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 104 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33.5 สำหรับหน่วยอาคารชุดขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทเช่นกัน มีจำนวน 45 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.7
ทั้งนี้ บ้านจัดสรรขายได้ใหม่มีมูลค่ามากที่สุดอยู่ในช่วง 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 399 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.5 สำหรับอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วง 10 ล้านบาท มีมูลค่ารวม 2,182 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 83.9
เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้างของหน่วยเหลือขายทั้งหมด พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 46.5 สร้างเสร็จแล้ว รองลงมาอยู่ระหว่างการก่อสร้างร้อยละ 31.9 และที่เหลือร้อยละ 21.6 ยังไม่สร้าง หากแยกตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.1 ยังไม่ก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างสร้างร้อยละ 40.8 และสร้างเสร็จแล้วร้อยละ 14.1 ขณะที่อาคารชุดส่วนใหญ่ สร้างเสร็จแล้วร้อยละ 76.4 อยู่ระหว่างก่อสร้างร้อยละ 23.6 ตามลำดับ
ด้านอัตราดูดซับ หรือ Absorption Rate ของตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันตก ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ใช้เป็นเครื่องชี้อุปสงค์ (Demand) ของตลาดที่อยู่อาศัยนั้น การสำรวจในรอบครึ่งแรกปี 2563 พบว่า มีอัตราดูดซับต่อเดือนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่ร้อยละ 3.3 มาอยู่ที่ร้อยละ1.6โดยบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากร้อยละ 3.1 ลดลงเป็นร้อยละ 1.9
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ขณะที่อาคารชุดมีอัตราดูดซับลดลงช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากร้อยละ 3.4 ลดลงเป็นร้อยละ 1.3 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 มากที่สุด 3 ลำดับแรก คือทำเลหัวหิน ปราณบุรีและทับใต้ ตามลำดับ
สำหรับทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ทำเลชะอำตอนเหนือ เขาหินเหล็กไฟ และเขาตะเกียบ ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ประมาณการทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก ปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 โดยคาดว่า ณ ครึ่งหลังปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยรอการขายจำนวน 6,788 หน่วย มีมูลค่าหน่วยเหลือขายจำนวน 28,907 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 7,195 หน่วย มีมูลค่าหน่วยเหลือขายประมาณ 30,734 ล้านบาท ในครึ่งแรกปี 2564 ในขณะที่อัตราดูดซับต่อเดือนของบ้านจัดสรร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.4 ในครึ่งหลังปี 2563 และเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 ในครึ่งแรกปี 2564 ส่วนอัตราดูดซับต่อเดือนของอาคารชุดคาดว่าจะลดลงมาอยูที่ร้อยละ 1.1 ในครึ่งหลังปี 2563 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 1.2 ในครึ่งแรกปี 2564
สำหรับการเคลื่อนไหวด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณการว่าจะยังคงลดลงต่อเนื่องโดยคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ประมาณ 709 หน่วย ในครึ่งหลังปี 2563 และเปิดใหม่อีก 794 หน่วยในครึ่งแรกปี 2564 ในขณะที่จำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ครึ่งหลังปี 2563 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 2,571 หน่วย มูลค่า 5,554 ล้านบาท และหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 4,498 หน่วย มูลค่า 6,101 ล้านบาท ในครึ่งแรก ปี 2564 ซึ่งประมาณการดังกล่าวอยู่ภายใต้ตัวแปรที่ยังไม่มีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ตลาดที่อยู่อาศัย 2564 โต10%
ตลาดที่อยู่อาศัยปี2564 ขอโต 10% หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการซัดดาวน์ทั่วประเทศในช่วงท้ายไตรมาสแรกต่อเนื่องไตรมาส 2 อย่างหนัก
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไทย เดินทางมาถึงไตรมาส 4 ช่วงโค้งสุดท้ายของปี อย่างยากลำบาก หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการซัดดาวน์ทั่วประเทศในช่วงท้ายไตรมาสแรกต่อเนื่องไตรมาส 2 อย่างหนัก พบผลพ่วงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจภาพรวมนั้น ส่งผลให้ธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งช้ำในอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ปลายปี 2562 หดตัวอย่างรุนแรง สะท้อนจากตัวเลข ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุ ความเปราะบางทางเศรษฐกิจนั้น ได้ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ในกลุ่มที่อยู่อาศัยสะสมช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ติดลบจากปีก่อนหน้าถึง 7.9% ด้วยจำนวน 261,855 หน่วย มูลค่าเพียง 668,936 ล้านบาทคาดจบปี 2563 ตลาดจะติดลบราว 10.3% ในแง่จำนวนหน่วย ที่ 351,640 หน่วย และติดลบในเชิงมูลค่า 7.3% ที่ 862,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ปรับประมาณคาดการณ์ใหม่
หลังจากก่อนหน้าเคยคาดการณ์ไว้ว่า ตลาดทั้งปีอาจจะติดลบถึง 20% แต่เนื่องจากพบสัญญาณการฟื้นตัวตลาดในช่วงไตรมาส 3 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ผ่านการที่รัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจ อีกทั้งผู้ประกอบการปรับตัวให้เข้ากับภาวะกำลังซื้อ โดยการลด แลก แจก แถม และลดค่าใช้ใช้จ่ายต่างๆ ให้กับลูกค้า ทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้าขึ้นมาถึง 17.1% และอาจได้จากอานิสงส์ ช่วงสิ้นปี ซึ่งเปรียบเป็น โกลเด้นท์ ไทม์ (Golden Time) ของการซื้ออสังหาฯ ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการ ยังคงเล่นเกมช่วงชิงลูกค้า ด้วยการกระหน่ำโปรโมชันอย่างร้อนแรงต่อเนื่อง จะช่วยดึงกราฟการโอนกรรมสิทธิ์ให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นที่ถดถอยในตลาด ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ ได้สะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวในฝากฝั่งผู้ประกอบการอย่างเห็นได้ชัด จากตัวเลขจำนวนโครงการเปิดใหม่สะสม 9 เดือน รวม 50,781 หน่วย มูลค่า 228,949 ล้านบาท ซึ่งลดลงมากกว่า 20% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเป็นการหดตัวเยอะสุดในกลุ่มคอนโดมิเนียมราว 42%
สำหรับทิศทางของตลาดในช่วงปี 2564 ซึ่งยังคงต้องอาศัยแรงเหวี่ยงสำคัญจากแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจทั้งระบบ เพื่อเพิ่มรายได้และกำลังซื้อให้กลุ่มคนต้องการมีบ้าน โดยหากอ้างอิงตาดคาดการณ์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ประเมินหากไม่มีปัจจัยลบต่างๆมาเพิ่ม เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกที่ 4% จากฐานที่ติดลบ 6% ในช่วงปี 2563 ได้ สอดคล้องกับรูปแบบการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่ง นาย วิชัย วิรัตกพันธ์ ฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่า ตลาดจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ภายใต้สมมุติฐาน ไม่มีปัจจัยลบทางการเมืองเข้ามากระทบ และตลาดมีปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามา
จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราดอกเบี้ย ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.50% ต่อปีเช่นนี้ เป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการขอสินเชื่อของผู้บริโภค โดยกรณีที่ดีที่สุด ตลาดอาจขยายตัวได้ถึง 10.2% ในแง่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ราว 9.5 แสนล้านบาท หรือหากไม่เป็นดั่งคาดการณ์ มีปัจจัยลบอื่นๆ เข้ามารุมเร้าเพิ่มเติม กรณีเลวร้ายสุด ตลาดคงติดลบ 8.6% มูลค่าการโอนฯ ดิ่งสู่ตัวเลข 7.8 แสนล้านบาท เท่านั้น
“ตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ คงถึงจุดต่ำสุดแล้ว ปีหน้าจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นรายไตรมาส ความเป็นไปได้สูงสุด สำหรับทิศทางตลาดปี 2564 นั้น มองไม่ได้แย่ แต่คงอยู่ในระดับทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2563 ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนทั้งปีราว 3.51 แสนหน่วย มูลค่า 8.7 แสนล้านบาท แต่หากมีมาตรการเข้ามากระตุ้นตลาดโดยตรง จำนวนหน่วยโอนฯที่จะเกิดขึ้น อาจแตะถึงระดับ 3.8 แสนหน่วย”
ปัจจัยบวกที่นายวิชัย กล่าวถึงถูกขยายความเพิ่มเติม ว่านอกเหนือจากเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ จะกลับมาเดินเครื่องเป็นปกติอีกครั้งแล้ว ยังหมายรวมไปถึงการแก้ปัญหาที่เป็นจุดบอดสำคัญของตลาดอย่างการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญด้วย หลังจากพบว่า ทุกทำเลยังมีความต้องการ แต่ผู้บริโภคมีความยากลำบากในการยื่นขอกู้ จากความเปราะบางทางรายได้ และธนาคารรัฐและเอกชนต่างเข้มงวดในการพิจารณา
เนื่องจากเป็นกังวลการก่อหนี้เสีย ทำให้ผู้ซื้อจำนวนมาก กู้ไม่ผ่าน สะท้อนจากผู้ประกอบการต้องนำหน่วยขายได้ออกมาขายซ้ำ มากกว่า 1 ครั้ง และมากสุดนับ 5 ครั้งในปัจจุบัน พร้อมย้ำ ว่าถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องออกมาตรการกระตุ้นตลาด ที่จะส่งผลทางบวกต่อได้ทันทีและมหาศาล ผ่านการขยายเพดาน ลดค่าโอน-จดจำนอง ที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปสู่กลุ่ม 3-5 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่าที่เป็นและเนื่องจากเป็นพอร์ตใหญ่ มีมูลค่าเหลือขายสูงสุดและรอการซื้อและโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดในตลาด ด้านแนวโน้มการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2564
นั้นนายวิชัย ประเมินว่า แม้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการยังฟื้นกลับมาไม่เต็มที่ แต่สต็อกสินค้าที่ถูกเทขายออกไปเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้า ทำให้ผู้ประกอบการอาจต้องเร่งเติมสินค้าเข้ามา ผ่านการเปิดโครงการใหม่ๆ โดยคาดสินค้ากลุ่มบ้านแฝด จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลังจากเป็นกลุ่มสินค้าเดียวที่มีการโอนกรรมสิทธิ์เป็นบวกในช่วง 9 เดือนแรก รวมถึงกลุ่มทาวน์เฮาส์ ก็ยังจะได้รับความนิยมต่อส่วนทำเลที่ตั้ง 3 โซนโดดเด่น ได้แก่ 1 .ย่านสมุทรปราการ ทั้ง 2 ฝั่ง เนื่องด้วยพบการเกิดใหม่ของโรงงานอุตสาหกรรมยังไปได้ การจ้างงานไม่ได้รับผลกระทบ ขณะศักยภาพของพื้นที่ถูกเติมเต็มด้วยรถไฟฟ้าเส้นหลัก 2. ย่านนนทบุรี โดยเฉพาะโซน บางบัวทอง จากการเชื่อมต่อโดยรถไฟฟ้า เป็นโอกาสการเข้าไปเติมเต็มของตลาดแนวราบ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตาม ข้อจำกัดใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการประกาศผังเมืองรวมฉบับใหม่เช่นกัน และ 3.โซน สมุทรสาคร ย่านตลิ่งชัน สาย 4 ซึ่งกำลังจะมีรถไฟฟ้าเดินทางไปถึง ย่อมทำให้เกิดความต้องการด้านที่อยู่อาศัยใหม่ๆ มากขึ้น เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กรุงศรีมุ่งเป็นผู้นำเทรดไฟแนนซ์นำร่องธุรกรรม L/C ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง ต่อยอดความสำเร็จในการให้บริการลูกค้าธุรกิจผ่านนวัตกรรมการเงินที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กรุงศรีประสบความสำเร็จในการนำนวัตกรรมบล็อกเชนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Global Trade Finance Blockchain) มาใช้ในธุรกรรมเลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit: L/C) ระหว่างคู่ค้าซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก สร้างปรากฎการณ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศให้รุดหน้าไปอีกขั้น ดำเนินการใน Own Sandbox ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
นายสยาม ประสิทธิศิริกุล รองประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและปฏิบัติการ และรักษาการแทนผู้บริหารสายงายดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรียังคงมุ่งมั่นในพันธกิจการทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกค้าผ่านกระบวนการปฏิบัติงานของธนาคารและไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีการเงินบนช่องทางดิจิทัล ในครั้งนี้กรุงศรีประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้ ในการทำธุรกรรม L/C ระหว่างคู่ค้าในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในวงการธนาคารพาณิชย์ไทยที่สามารถให้บริการดังกล่าวด้วยนวัตกรรมชั้นแนวหน้าที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล”
ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นการต่อยอดพัฒนาการของกรุงศรีในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วคล่องตัวในการทำธุรกรรมการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยก่อนหน้านี้ กรุงศรีเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศได้สำเร็จ
นางยิ่งลักษณ์ คงคาสัย ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกรรมการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในโครงการนำร่องการใช้นวัตกรรมดังกล่าว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกและประสบผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยม นวัตกรรมดังกล่าวได้พลิกโฉมรูปแบบการทำธุรกรรม L/C แบบเดิมๆ และก้าวข้ามข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาการธุรกรรมระหว่างประเทศ และลดทอนกระบวนการยื่นเอกสารไปมาระหว่างกัน อีกทั้งยังมีความปลอดภัย โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงกับกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศให้สามารถเดินหน้าและขับเคลื่อนธุรกิจไปได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และง่ายขึ้นอย่างมาก กรุงศรีเชื่อมั่นว่าในโลกธุรกิจที่มีความท้าทายมากมาย การส่งมอบนวัตกรรมที่เป็นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจะช่วยสร้างโอกาสให้ลูกค้าประสบความสำเร็จ”
นายคาร์ล แว็กเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Contour กล่าวว่า “กรุงศรีประสบความสำเร็จในการ เชื่อมโยงธุรกรรมการค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่นบนแพล็ตฟอร์มของ Contour เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่จะช่วยการยกระดับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมถึงกลุ่มลูกค้าธุรกิจ สถาบันการเงิน อีกทั้งยังขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถืออีกด้วย”
“การนำร่องบริการ L/C แบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างคู่ค้าธุรกิจในไทยและญี่ปุ่นผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนในครั้งนี้พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Contour ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชนธุรกรรมเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Blockchain-based global trade finance platform) กรุงศรีทำหน้าที่ธนาคารผู้เปิดเครดิต (Issuing Bank) ให้กับผู้ซื้อ (Importer) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนโลหะสัญชาติญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย และได้ทำการสั่งซื้อสินค้านำเข้าจากคู่ค้าซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น การทำธุรกรรม L/C ระหว่างประเทศผ่านนวัตกรรมบล็อกเชนนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดีภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น” นายสยาม กล่าวเพิ่มเติม
เค้นฟอร์มเก่ง! บุรีรัมย์ ทำได้บุกถล่ม สุโขทัย 10 ตัว 3-0 ขยับพุ่งที่ 8
การแข่งขัน ฟุตบอล โตโยต้า ไทยลีก 2020 นัดที่ 13 สุโขทัย เอฟซี เปิดบ้านพบกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่สนาม ทะเลหลวง สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2563
เริ่มเกมมา นาทีที่ 16 โอกาสแรกเป็นของเจ้าบ้าน จากจังหวะฟรีคิกหน้าเขตโทษ ปัณณ์พันธุ์พงษ์ ปิ่นกอง ได้ปั่นด้วยซ้าย บอลลอยเฉียดเสาแรกออกหลังไปนิดเดียว
นาทีที่ 24 ทีมเยือนเกือบขึ้นนำ จากจังหวะขึ้นบอลมาทางขวา นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ไหลต่อให้ รัตนากร ใหม่คามิ เข้าเขตโทษถึงเส้นหลัง ก่อนตวัดกลับมาให้ ศุภชัย ใจเด็ด ได้ยิง แต่บอลพุ่งไปชนคานอย่างจัง
นาทีที่ 26 โอกาสอีกครั้งของทีมเยือน เมื่อ จักรพันธ์ แก้วพรม ได้กระชากมาทางซ้าย เข้าเขตโทษ ก่อนจ่ายต่อให้ สุภโชค สารชาติ หลุดเข้าไปยิง แต่ยังติดเซฟ พีระพงษ์ เรือนนินทร์ นายด่านเจ้าถิ่น
นาทีที่ 32 บุรีรัมย์ ขึ้นนำจนได้ จากจังหวะที่สวนกลับ เมื่อ เควิน อินเกรโซ ได้กระชากบอลขึ้นมา เข้าเขตโทษโยกหลบกองหลังเจ้าถิ่น แล้วยิงด้วยซ้าย บอลพุ่งเรียดเข้าไปตุงตาข่ายให้ทีมเยือนออกนำ 1-0
นาทีที่ 40 จักรพันธ์ แก้วพรม ได้กระชากบอลขึ้นมาทางขวา เข้าเขตโทษ ก่อนตักไปที่เสาสองให้ ศุภชัย ใจเด็ด ได้วิ่งมายิงแต่บอลข้ามคานออกไป จบครึ่งแรก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บุกมานำ 1-0
ครึ่งหลัง นาทีที่ 47 สุภโชค สารชาติ ได้ควบขึ้นมาทางขวา ก่อนตวัดเข้าเขตโทษให้ ศศลักษณ์ ไหประโคน ได้ยิง แต่ พีระพงษ์ เรือนนินทร์ ยังพุ่งปัดออกหลังไปได้
นาทีที่ 49 ทีมเยือนมาหนีห่าง เป็น 2-0 จังจังหวะลูกเตะมุมทางขวา เควิน อินเกรโซ เปิดไปที่เสาสอง ศุภชัย ใจเด็ด เบียดกองหลังเข้าถิ่นโหม่งกดลงพื้น หนีมือ พีระพงษ์ เรือนนินทร์ เข้าไปตุงตาข่าย
นาทีที่ 58 โอกาสลุ้นของเจ้าถิ่น เมื่อ ศิลา ศรีกำปัง ได้พาบอลขึ้นมาทางขวา ก่อนเปิดไปที่เสาสอง จอห์น บาจโจ้ ได้พักอกเอาบอลลง ก่อนตวัดยิง แต่บอลข้ามคานออกหลังไปนิดเดียว
นาทีที่ 80 ศาสนพงษ์ วัฒยุชูติกุล ได้ควบขึ้นมาทางซ้าย แล้วจ่ายให้ จอห์น บาจโจ้ กระชากตัดเข้ากลางก่อนสับไก แต่บอลไปตรงตัว ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน นายด่านทีมเยือน
นาทีที่ 88 สุโขทัย มาเหลือผู้เล่น 10 คน เมื่อ ซอ มินตุน ไปยันใส่ ศุภชัย ใจเด็ด ผู้ตัดสินเช็ค วีเออาร์ ก่อนควักใบแดง ให้ ซอ มินตุน
ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+6 ทีมเยือนมาได้ลูกที่ 3 จากจังหวะที่ มาร์โค เชโปวิช ขึ้นมาทางขวาถึงเส้นหลัง ก่อนตบกลับมาให้ รัตนากร ใหม่คามิ ยิงโล่งๆ เข้าไปตุงตาข่าย
จบเกม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บุกถล่ม สุโขทัย เอฟซี 3-0 เก็บสามแต้ม พร้อมขยับขึ้นอันดับ 8 ของตาราง ส่วน สุโขทัย รั้งอันดับ 5 ตามเดิม
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
สุโขทัย เอฟซี : พีระพงษ์ เรือนนินทร์ (GK) , นุกูลกิจ ครุฑใหญ่ , ซอ มินตุน , เอกสิทธิ์ ฉาวบุตร , ปิยะราษฎร์ ลาจังหรีด (นรงฤทธิ์ บุญสุข น.76) ,ศิลา ศรีกำปัง , ปัณณ์พันธุ์พงษ์ ปิ่นกอง (มูฮำหมัดนาเซ กอและ น.58 ) , ศาสนพงษ์ วัฒยุชูติกุล , จุง เมียงโฮ , พงศ์พัทธ์ หลิวรุ่งเรืองกิจ (คัพฟ้า บุญมาตุ่น น.46) , จอห์น บาจโจ้
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด : ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน(GK) , พรรษา เหมวิบูลย์ , อภิวัฒน์ งั่วลำหิน , นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม , เรนาโต้ เคลิค , ศศลักษณ์ ไหประโคน , จักรพันธ์ แก้วพรม ( จีดี คานยุค น.82) , รัตนากร ใหม่คามิ , เควิน อินเกรโซ ( อัคบาร์ อิสมาตุลลาเยฟ น.73) , สุภโชค สารชาติ (มาร์โค เชโปวิช น.84) , ศุภชัย ใจเด็ด
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ประชาชนที่นิยมกินอาหารปิ้งย่างหรือรมควัน หรือเมนูหมูกระทะเป็นประจำ อาจทำให้เสี่ยงต่อการได้รับสารอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ สารไนโตรซามีน (nitrosamines) พบในปลาหมึกย่าง ปลาทะเลย่าง และในเนื้อสัตว์ที่ใส่สารไนเตรท ประเภทแหนม ไส้กรอก เบคอน แฮม ที่มีสีแดงผิดปกติ ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร สารพัยโรลัยเซต (Pyrolysates) พบมากในส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่าง สารกลุ่มนี้บางชนิดมีฤทธิ์ร้ายแรงทางพันธุกรรมมากกว่าสารอะฟลาทอกซินตั้งแต่ 6-100 เท่า และสารพีเอเอช หรือสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbon) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่เกิดในควันไฟ ไอเสียของเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ และเตาเผาเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม
สารนี้จะพบในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารที่ปรุงด้วยการปิ้ง ย่าง หรือรมควันของเนื้อสัตว์ที่มีไขมันหรือมันเปลวติดอยู่ด้วย เช่น หมูย่างติดมัน เนื้อย่างติดมัน ไก่ย่างส่วนติดมัน เนื่องจากขณะปิ้งย่าง ไขมันหรือน้ำมันจะหยดไปบนเตาไฟ ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดสารพีเอเอชลอยขึ้นมาพร้อมเขม่าควันเกาะที่บริเวณผิวของอาหาร พบมากในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง หากกินเข้าไปเป็นประจำจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับและท่อน้ำดี ซึ่งจากข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ในปี 2557 พบว่ามะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในประเทศไทยอันดับหนึ่งคือมะเร็งตับและท่อน้ำดี โดยมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจำนวน 15,305 คน
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า หากทำการปิ้งย่างกินเอง ควรเลือกเนื้อสัตว์เฉพาะส่วนหรือที่มีไขมัน ติดน้อยที่สุด หรือควรตัดส่วนที่เป็นไขมันออกไปก่อน เพื่อลดไขมันที่จะไปหยดลงบนถ่าน ถ้าต้องปิ้งย่างบนเตาถ่านธรรมดา ควรใช้ถ่านที่อัดเป็นก้อน ไม่ควรใช้ถ่านป่นละเอียด หรืออาจใช้ฟืนที่เป็นไม้เนื้อแข็ง เพราะการเผาไหม้ จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ที่สำคัญควรใช้ใบตองห่ออาหารก่อนจะทำการปิ้งย่าง เพื่อเป็นการลดปริมาณไขมันจากอาหาร ที่หยดลงไปบนถ่าน ซึ่งจะทำให้อาหารมีกลิ่นหอมใบตอง และหลังปิ้งย่างควรหั่นส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้มากที่สุด แต่หากกินตามร้านอาหาร เช่น ร้านหมูกระทะ ควรเลือกร้านที่ใช้ภาชนะการปิ้ง ย่าง ที่สามารถลดหรือป้องกันน้ำมันหยดลงบนเตาไฟได้ เข่น ใช้เตาไฟฟ้า หรือเตาไร้ควัน ซึ่งสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่าน หรือเลือกร้านที่ได้รับป้ายอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) จากกรมอนามัยก็จะช่วยสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย
“สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวประเภทแคมป์ปิ้ง กางเต็นท์ในเขตพื้นที่อุทยาน และที่นิยมปรุงอาหารเอง โดยเฉพาะเมนูปิ้งย่าง หมูกระทะ บริเวณที่พักนั้น สิ่งที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังคืออันตรายจากเตาไฟที่ใช้ เพราะหากเป็นกรณีใช้เตาถ่านในการปิ้งย่าง หลังกินเสร็จต้องมั่นใจว่ามีการดับถ่านในเตาไฟจนสนิท เพราะหากไม่ระวังอาจทำให้เกิดไฟไหม้ตามมาได้ หรือในกรณีของการใช้เตาไฟฟ้าก็ต้องมั่นใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สายไฟไม่ชำรุด เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้เช่นเดียวกัน” รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้แล้วจะทำลายความน่าเชื่อถือของคุณ
ในการเรียนภาษาอังกฤษและการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในแต่ละวันนั้น เราอาจจะเคยได้รับการตักเตือนไม่ให้ใช้คำฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ที่จะทำให้ประโยคของเราดูไม่ลื่นไหล หรือว่าไม่สละสลวยเท่าที่ควร แต่เชื่อไหมว่าในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแแล้วนั้น ก็มีคำคำหนึ่งที่อาจทำให้ความน่าชื่อถือของเราหมดไปทันที หากว่าเรานึกจะใช้มันขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือคำว่า…
Actually
อาจจะน่าสงสัยใช่ไหมล่ะคะว่าจู่ ๆ ทำไมถึงเป็นคำนี้ ลองมาฟังคำอธิบายกันหน่อย จริง ๆ แล้วสำหรับผู้ฟังที่มีประสบการณ์ทั้งหลาย คำว่า actually เมื่อใช้ให้ถูกแล้วมันเป็นการเปรียบเทียบความคิดทั้งสองชุดที่แตกต่างกัน และยังเป็นการให้ความกระจ่างอีกด้วย ลองดูประโยคตัวอย่างนะคะ
Q. “Did you go to the store for milk?”
A. “Actually, I stopped at the gas station.”
จากตัวอย่างด้านบนนี้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าผู้คนจะใช้คำนี้ด้วยสาเหตุใดกัน คำถามนั้นถามว่าผู้ถูกถามได้ไปที่ store มาหรือเปล่า แต่ผู้ตอบกลับไม่คิดว่า store ที่อยู่ใน gas station เป็น store ในหัวของผู้พูดจึงได้เปรียบเทียบและตัดสินแล้วว่าจะแวะ gas station แต่ไม่แวะ store นั่นเอง
ทีนี้ลองกลับมาพิจารณาในบริบทการสนทนาทางธุรกิจกันบ้าง การใช้คำฟุ่มเฟือยประเภทนี้ไม่จำเป็นเลยสำหรับเหล่าตัวแทนขายหรือว่าผู้ที่มาทาบทามนักลงทุน เพราะมันจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกตะหงิด ๆ ว่ามันยังมีข้อมูลสำหรับประกอบการตัดสินใจที่ผู้พูดไม่ได้แจ้งอยู่อีกหรือเปล่า เพราะว่าบางทีคำว่า actually นี่ก็เป็นคำเชื่อมให้เราเว้นจังหวะได้คิดในหัวเกี่ยวกับคำถามที่ถูกถามแล้วก็ความเป็นจริง
ในตัวอย่างนี้คำว่า actually ไม่จำเป็นต่อประโยคเลย แต่ว่าผู้ตอบนั้นใส่เพิ่มเข้าไปก็จะยิ่งทำให้ผู้ถามไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีคำว่า actually ด้วย และนั่นอาจจะตามมาด้วยการขอดูรายชื่อของลูกค้าหรือว่าขอให้มีการแนะนำลูกค้าเก่าให้ทราบก็ได้
หรือแม้กระทั่งการแนะนำสิ่งของต่าง ๆ ให้ลูกค้า สมมติว่าได้รับคำถามว่า
Q. “Do you use the product?”
A. “Actually, I did.”
สำหรับผู้ที่ฟังคำตอบแล้ว มันอาจจะให้ความหมายโดยนัยได้ว่า “ไม่เคยใช้” หรือว่า “เคยใช้ครั้งหนึ่งแล้วไม่เคยหยิบมาใช้อีกเลย” อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็จะก่อเกิดความไม่แน่ใจให้แก่ลูกค้า แล้วลูกค้าก็อาจจะต้องการตัวอย่างการใช้งาน หรือว่ารายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับสินค้าอีกมากมายก่ายกอง
การสนทนาให้ได้สมบูรณ์แบบนั้นจึงควรจะเริ่มจากการตัดคำที่จะบ่งบอกความหมายโดยนัยซึ่งชี้ไปที่ความไม่แน่นอน/ไม่แน่ใจ/ไม่มีประสบการณ์ให้ได้ก่อน ซึ่งคำว่า actually นี่ก็เป็นอีกคำที่ควรจะเว้นไว้ ไม่ควรเอามาใช้ในบริบททางธุรกิจหรือที่เป็นการเป็นงาน เพราะจะทำให้คุณได้เปรียบในการสนทนามากขึ้นนั่นเองค่ะ
แรงงานไทยขาด ‘ทักษะดิจิทัล’ เอกชนแห่เปิดศูนย์อัพสกิล
โควิดชี้ภาพปัญหาแรงงานไทยขาดทักษะดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เอกชนแห่เปิดศูนย์อัพสกิลหวังสร้างอีโคซิสเต็มหนุนแรงงาน-ผู้ประกอบการไทย
จากปัญหาการว่างงานของคนไทยหลายล้านคน หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 นั้นทำให้เห็นได้ชัดว่าแรงงานไทยยังขาดทักษะที่สำคัญในการทำงาน โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี ทั้งนี้ภาคเอกชนจึงได้ผนึกกำลังเร่งสร้างอีโคซิสเต็มเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ Up-Skill และ Re-Skill ด้านดิจิทัลแก่บุคลากร วัยแรงงานของไทยให้สามารถปรับตัว อยู่รอดได้ในยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน และก้าวสู่อาชีพใหม่รับ Next Normal
นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์คได้เปิดตัว “ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก” (True Digital Park House of Digital Academy) แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย เพื่อเป็นศูนย์รวมทุกโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเสริมสร้างบุคลากรของประเทศให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและตอบโจทย์องค์กรต่างๆ ที่เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ House of Digital Academy จะเชื่อมต่อและจับคู่องค์กรกับผู้ที่กำลังมองหางานเพื่อสนับสนุนแรงงานที่กำลังว่างงานในปัจจุบัน โดยตั้งเป้าผู้ที่เข้ามาเรียนประมาณ 2 แสนคนภายในปี 2564 และคาดว่าภายในปี 2565-2566 จะเพิ่มเป็น 7 แสนคน ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของพาร์ทเนอร์ ซึ่งในเฟสที่ 1 นั้นเน้นไปที่การสร้างอีโคซิสเต็ม และเฟส 2 คาดว่าจะเปิดบริการในปี 2565 เน้นไปที่การสร้างทักษะอาชีพ โดยหลักสูตรนั้นมีทั้งโปรแกรมฟรีและมีค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรมที่ต้องการใบประกาศนียบัตร
จะเห็นว่าหลังจากสถานการณ์โควิดนั้นมีคนตกงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ล้านคน ในอนาคตจะมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นในตลาดงานแต่ไม่เพียงพอที่จะรองรับกับจำนวนคนตกงาน หลายคนจำเป็นต้องออกมาทำธุรกิจแต่ก็ยังขาดทักษะ เนื่องจากแต่ละปีมหาวิทยาลัยในไทยมีเด็กจบการศึกษากว่า 5 แสนคน House of Digital Academy คาดหวังว่าประมาณ 20% ของคนกลุ่มนี้จะเข้ามาอัพสกิลรีสกิล โดยคาดหวังที่จะสร้างอีโคซิสเต็มด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะแรงงาน
“ขณะที่ปัญหาของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพหลักๆ คือ เรื่องของทาเลนต์โดย 40% ของสตาร์ทอัพนั้นเปิดเผยว่าทาเลนต์เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะคนที่อยากทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพนั้นไม่รู้ว่าตัวเองต้องเก่งในระดับไหนหรือต้องมีทักษะด้านใดบ้าง ซึ่ง House of Digital Academy ต้องการเป็น Neutral แพลตฟอร์มที่ทุกแบรนด์สามารถเข้ามาร่วมกันได้อย่างไม่มีอคติ (Bias) เพราะเรื่องของการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ”
นอกจากนี้ทางเฟซบุ๊กก็ได้มีการเปิดตัวโครงการ Boost with Facebook เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยในไทยเสริมสร้างศักยภาพด้านดิจิทัล เชื่อมต่อกับลูกค้าและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบนช่องทางออนไลน์ โดยจัดโครงการฝึกอบรมทั้งในรูปแบบบุคคลและแบบออนไลน์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับการสร้างบัญชีธุรกิจบน Facebook และ Instagram ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ประกอบการไทยและเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่มีความสนใจ นอกจากนี้ยังได้ออกแบบการจัดอบรมโดยคำนึงถึงปรัชญาความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการทุกภาคส่วน (Diversity & Inclusion) โดยร่วมกับพันธมิตรในชุมชนที่มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งกลุ่มผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQI) และผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อช่วยให้กลุ่มคนชายขอบเหล่านี้สามารถเข้าถึงการอบรมและแหล่งข้อมูลที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของยุคเศรษฐกิจดิจิทัลแบบใหม่ได้
อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการ Boost with Facebook นั้นเปิดตัวในปี 2562 โดยได้จัดอบรมให้ผู้ประกอบการไทยไปแล้วกว่า 4,500 ราย ในรูปแบบออฟไลน์และ 2,300,000 คน ผ่านคอร์สออนไลน์ โดยเข้าถึงผู้ประกอบการรายย่อยจำนวน 2,183 ราย มีการจัดการฝึกอบรมในแบบบุคคลไปแล้วทั้งสิ้น 19 ครั้งและในรูปแบบออนไลน์ 27 ครั้ง ผู้เข้ารับการอบรม 796 คน หรือ 38% มาจากกลุ่มคนชายขอบและกลุ่มประชากรเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQI) 28% กลุ่มผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย 20% วิสาหกิจชุมชน 20% กลุ่มผู้มีรายได้น้อย 18% กลุ่มผู้ว่างงาน 7% กลุ่มผู้สูงอายุ5%
เม็ดเก๋ากี้ สุดยอดความเก๋าของผลไม้
เดี๋ยวนี้ผักผลไม้จะมีชื่อในหลายชาติหลายภาษาต่างกันไปอย่าง เม็ดเก๋ากี้ อีกชื่อที่หลายคนคุ้นหูก็น่าจะเป็น “โกจิเบอร์รี่” นั่นเอง และแน่นอนว่าวันนี้เราจะพาเก๋ากี้มาแนะนำให้คุณได้รู้จัก รับรองว่าอ่านจบแล้วต้องรีบวิ่งไปซื้อมาทานกันอย่างแน่นอนเพราะว่าประโยชน์ของเก๋ากี้มีเพียบ
ถ้าทาน เม็ดเก๋ากี้ จะได้อะไรบ้าง?
วิตามินซี ไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก วิตามินเอ ซิงค์ สารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งพวกกรดอะมิโนต่าง ๆ และโปรตีนก็พร้อมจะเป็นของคุณเมื่อได้ทานเก๋ากี้เข้าไป ซึ่งบอกเลยว่าวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้มีประโยชน์กับชีวิตประจำวันของพวกเราไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ถ้าคุณเข้าข่ายเหล่านี้ก็ไม่ควรทาน
คุณรู้ตัวเลยว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดค่อนข้างต่ำ คุณมักจะหน้ามืดอยู่บ่อย ๆ มีการใช้ยาที่เกี่ยวกับการต้านการแข็งตัวของเลือด และไม่ว่าคุณจะมีปัญหาความดันสูงหรือต่ำเก๋ากี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับคุณแน่ ๆ รวมทั้งถ้าเพิ่งคลอดแล้วก็ยังให้นมลูกอยู่ควรห่างจากเก๋ากี้สักพัก
และถ้าคุณจะทานเพื่อผลทางสุขภาพขอแนะนำว่าให้เก๋ากี้เป็นเหมือนตัวเสริมเท่านั้นและการรับประทานถ้าเป็นไปได้อยากให้ลองปรึกษาแพทย์กันให้ดีก่อน
เอาล่ะประโยชน์แบบเน้น ๆ ของเก๋ากี้คืออะไร?
1. เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านหวัดได้เป็นอย่างดี ถ้าคุณทานในปริมาณที่เหมาะสมอย่างเป็นประจำล่ะก็เก๋ากี้จะเข้ามาช่วยเสริมกำลังให้ภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแรงกว่าที่เคยและยังช่วยทำให้คุณไม่ต้องเป็นหวัดกันบ่อย ๆ หรืออาจไม่เป็นเลยได้อีกด้วย
2. ถ้าใครกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักอยู่ให้เก๋ากี้ช่วย
เพราะอย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก เก๋ากี้มีไฟเบอร์อยู่เยอะ แล้วก็ยังมีพลังงานเยอะ ทานนิดเดียวก็ยังให้สิ่งเหล่านี้ได้ดี รสชาติออกเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ทานได้อร่อย อิ่มกันได้ยาว ๆ เมนูแนะนำที่ทานกับเก๋ากี้อร่อยก็ได้ทั้งโยเกิร์ต สลัด
3. ใครใช้ตาเยอะต้องลอง
ในเก๋ากี้มีสารต้านอนุมูลอิสระทำให้ช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของเชลล์ให้กับคุณได้เป็นอย่างดี แล้วยังพ่วงการช่วยดูแลผิวเข้ามาให้คุณได้อีก สายตาดี ผิวก็สวย นี่แหละสิ่งที่เก๋ากี้คว้าใจใครหลาย ๆ คนมาครอง
4. ช่วยเสริมสมรรถภาพได้ดี
อย่างฝั่งคุณผู้ชายได้ทานเก๋ากี้ล่ะก็บอกเลยว่าช่วยเพิ่มปริมาณอสุจิได้ ทำให้อสุจิของคุณเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น ทานไปเรื่อย ๆ เทสโทสเตอโรนก็เพิ่ม ลดระยะเวลาในการหลั่งให้ช้าลง บอกเลยว่านี่แหละคุณค่าที่คุณผู้ชายคู่ควร
ปริมาณเท่าไรเหมาะที่สุดกับการทานเก๋ากี้
สำหรับผู้ใหญ่การทานเก๋ากี้วันละ 20 กรัมก็เป็นปริมาณที่กำลังเหมาะแต่ถ้าอยากทานเพื่อช่วยปัญหาเรื่องสุขภาพล่ะก็ขอแนะนำว่าประมาณ 30 กรัมก็กำลังดี และอย่าทานมาจนเกินไปเพราะอาจกลายเป็นผลเสียกับร่างกายแทนได้
การทานอาหารเสริม สมุนไพร ผัก ผลไม้ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีสรรพคุณที่ดีอย่างไรก็มีขีดจำกัดของความเหมาะสมอยู่ ก่อนจะเลือกทานอะไรอย่าลืมศึกษาข้อมูลกันให้ดี แล้วรับรองเลยว่าคุณจะมีแต่ได้กับได้
ขอบคุณข้อมูลจาก atherbth.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,750.00 | 26,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,733.00 | 26,272.28 | 27,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,559.70 | 23,645.05 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,386.40 | 21,017.82 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 780.00 | 11,824.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 607.00 | 9,202.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,796.00 | 27,227.36 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/11/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 | 21.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 | 21.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 19.94 | 19.94 | 19.94 | 19.94 | 19.94 | – | 19.94 | 19.94 | 19.94 | 19.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.79 | 17.79 | – | – | – | – | – | – | – | 17.79 |
เบนซิน 95 | 28.86 | – | – | – | 29.31 | – | 29.36 | 28.86 | – | 28.86 |
ดีเซล B7 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 | 22.89 |
ดีเซล | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 | 19.89 |
ดีเซล B20 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | 19.64 | – | 19.64 | 19.64 | – | 19.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 27.34 | 27.36 | 29.34 | 28.74 | – | – | – | – | – | 27.34 |
แก๊ส NGV | 13.10 | 13.10 | – | – | – | – | – | – | – | 13.10 |