Top3 ทำเลที่ดิน 2020
เซ็นจูรี่ เคาะ Top3 ทำเลที่ดินยอดนิยม ปี 2020 พบดีเวลลอปเปอร์ มองหาย่าน รัชดา -พหลโยธิน-เจริญนคร หวังนำมาพัฒนาคอนโดฯ สูงสุด
เป็นเวลาเกือบ 1 ปีที่ไวรัสโควิด-19 ได้ระบาดไปทั่วโลกส่งผลกระทบมากมายต่อการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมาก่อนหน้าที่โควิด-19 จะระบาดจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวในมิติต่างๆ มองหากลยุทธ์เพื่อให้สามารถก้าวเดินต่อไป
สำหรับการพัฒนาโครงการต่างๆ สิ่งที่เป็นต้นทุนหลักและเป็นตัวแปรสำคัญก็คือ ที่ดิน และ ทำเล การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลต่อการเลือกซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งฝ่ายวิจัย บริษัท บริษัท เซ็นจูรี่ 21 ประทศไทย จำกัด ได้สำรวจความต้องการที่ดินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า ทำเลที่ดินที่มีความต้องการซื้อเพื่อการพัฒนาคอนโดมิเนียมมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1.ทำเลย่านรัชดา ห้วยขวาง และลาดพร้าวตอนต้น โดยย่านนี้ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในซอยระยะห่างจากระบบขนส่งสาธารณะ สามารถเดินได้ 200-500 เมตร อีกทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียม Low Rise ได้ ปัจจุบันที่ดินในทำเลรัชดา ห้วยขวาง และลาดพร้าวตอนต้น มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 – 350,000 บาทต่อตารางวา
2.ทำเลย่านพหลโยธิน (ห้าแยกลาดพร้าว – แยกรัชโยธิน) ทำเลนี้มีความต้องการซื้อเพื่อนำไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียม เนื่องจากบริเวณนี้ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งย่านพหลโยธินยังเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีเหลืองที่เป็นส่วนต่อขยาย ทำให้ที่ดินในบริเวณนี้ มีความต้องการในการนำไปพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันราคาที่ดินในช่วง ห้าแยกลาดพร้าวจนถึงแยกรัชโยธิน อยู่ที่ 700,000 – 1,400,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งราคาในบางช่วงของโซนนี้ อาจจะแพงหรือถูกกว่านี้ก็เป็นได้
3.ทำเลย่านเจริญนคร โซนนี้แวดล้อมไปด้วยโรงแรมหรูมากมาย รวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง ICONSIAM และเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งเป็นสายที่จะวิ่งเข้ามาถึงเจริญนครช่วงต้น ส่วนใหญ่ที่ดินโซนนี้จะถูกนำไปพัฒนาเพื่อทำเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมตั้งแต่ระดับกลางจนถึงระดับสูง ปัจจุบัน ที่ดินในโซนนี้ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 400,000 – 800,000 บาทต่อตารางวา และราคาอาจจะแตะอยู่ในช่วง 800,000 – 1,000,000 บาทต่อตารางวา หากเป็นบริเวณใกล้เคียง ICONSAIM
ส่วนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นโปรดักส์ที่สำคัญในช่วงที่อัตราการซื้อคอนโดมิเนียมลดลง ประกอบกับ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการในตลาดของที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮาส์ ก็มีอัตราสูงขึ้น สำหรับทำเลที่ดินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่
1.ทำเลฝั่งตะวันออกของวงแหวนกาญจนาภิเษก – เมกาบางนา สำหรับในโซนนี้มีบริษํทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาพัฒนาที่ดินเป็นโครงการบ้านเดี่ยวค่อนข้างสูง เนื่องจากอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ มีทางเชื่อมเพื่อเดินทางไปจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้กระทั่งเข้าเมือง ก็ยังคงสะดวกต่อการเดินทาง โดยราคาที่ดินในย่านนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาทต่อตารางวา
2.ทำเลพระรามเก้า-มอเตอร์เวย์ เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ใกล้เมือง และมีการพัฒนารวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ หรือเข้าเมือง ทำให้เป็นอีกหนึ่งทำเลที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลือกไปพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ โดยราคาที่ดินเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 90,000 – 120,000 บาทต่อตารางวา
3.ทำเลฝั่งตะวันตก ราชพฤกษ์ตอนต้น เป็นอีกทำเลที่มีความต้องการหาซื้อที่ดินเข้ามามาก แม้ว่าราคาในปัจจุบันจะปรับเพิ่มขึ้นสูงมากก็ตาม หากแต่ยังคงเป็นบริเวณที่ใกล้กับย่านสาทร จึงทำให้ยังมีความต้องการหาซื้อที่ดินเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพื่อนำไปพัฒนาเป็นโครงการแนวราบในระดับกลางถึงระดับสูง โดยปัจจุบัน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 – 150,000 บาทต่อตารางวา
ขณะที่นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 ประเทศไทย จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า บริษัทพัฒนาโครงการเริ่มกลับมาซื้อที่ดินอีกครั้ง แต่ต้องได้ราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ แต่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียม High Rise ซึ่งยังคงมีสต็อกค้างอยู่พอสมควร ผู้พัฒนาโครงการจึงเน้นการหาที่ดิน เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม Low Rise ที่ต้นทุนในการพัฒนาไม่สูงมากนัก และยังพอมีฐานลูกค้าอยู่
อย่างไรก็ตาม บางบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการซื้อที่ดิน โดยการชะลอการซื้อ และกลับไปพิจารณาที่ดินเดิมที่มีอยู่ในมือว่าสามารถนำมาพัฒนาก่อนแทนการซื้อใหม่ได้หรือไม่
“คาดว่า ทำเลที่นิยมในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ได้เกริ่นไปในตอนต้น จะยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และยังมีทำเลที่มีความต้องการซื้อเพิ่มเติมที่จะเข้ามาในปีหน้าอีก 1-2 ทำเล ได้แก่ ที่ดินโซนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ และ โซนพุทธสาคร ซึ่งเป็นโซนที่เชื่อมต่อมาจากพุทธมณฑลสาย 4 เนื่องจากทั้ง 2 ทำเลดังกล่าวได้มีการขยายถนนโครงข่ายเชื่อมโยงทำเลต่างๆ ทำให้การเดินทางสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นในอนาคต ส่วนแนวโน้มการซื้อขายในปีหน้าอาจจะไม่ได้หวือหวามากนัก รวมถึงราคาที่ดิน ก็ไม่น่าจะมีการปรับขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว” นายกิติศักดิ์ กล่าวปิดท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“สามารถ ราชพลสิทธิ์” แนะ 3 ทางเลือกทางออก “รถไฟฟ้าสายสีเขียว”
“สามารถ ราชพลสิทธิ์” แนะ 3 ทางเลือกผ่าทางตันการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียว เสนอกทม.พิจารณา โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้โดยสารและประเทศชาติเป็นสำคัญ
“สามารถ ราชพลสิทธิ์“รองหัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ แนะทางออกรถไฟฟ้าสายสีเขียว แนะ กทม.พิจารณา 3 ทางเลือก ช่วยผ่าทางตันแก้ปัญหาบริหาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้โดยสารและประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยระบุว่า
ในขณะที่ กทม.โดยกระทรวงมหาดไทยต้องการขยายสัมปทานให้บีทีเอสผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 30 ปี แต่ถูกทักท้วงโดยกระทรวงคมนาคมด้วยข้ออ้างหลักคือค่าโดยสารแพง ทำให้การขยายสัมปทานยังไม่แน่นอน เป็นลูกผีลูกคนอยู่ ส่งผลเสียให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย บทความนี้มีทางออก
ผมเห็นด้วยที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายถูกลง เพื่อช่วยให้มีผู้มาใช้บริการมากขึ้น ทำให้รถติดน้อยลง ลดมลพิษ และลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง
แต่การทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้นั้นภาครัฐจะต้องเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมดหรือลงทุนเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่มีเอกชนมาร่วมลงทุนเลยหรือมาร่วมลงทุนเป็นส่วนน้อย ซึ่งหากภาครัฐต้องเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่จะต้องใช้เงินจำนวนมากในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอที่จะสร้างหรือขยายเส้นทางรถไฟฟ้าเพิ่มเติมเป็นระยะทางยาวได้ อีกทั้งการพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ จะได้รับผลกระทบด้วย
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมาลงทุนทั้งหมดหรือมาร่วมลงทุนบ้าง เพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินของภาครัฐ ในกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งกำกับดูแลโดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีรูปแบบการลงทุนดังนี้
1. การลงทุนสายหลัก
สายหลักหรือไข่แดงประกอบด้วยช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน กทม.ได้ให้สัมปทานแก่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เป็นเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี 2542-2572 โดยบีทีเอสเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด
2. การลงทุนส่วนต่อขยาย
ส่วนต่อขยายประกอบด้วยช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ช่วงอ่อนนุช-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-คูคต บางช่วงลงทุนโดย กทม. บางช่วงลงทุนโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งต่อมาในปลายปี 2561 รฟม.ได้โอนภาระหนี้ให้ กทม. ทั้งนี้ กทม.ได้ว่าจ้างบีทีเอสให้เป็นผู้เดินรถโดยบีทีเอสต้องลงทุนขบวนรถไฟฟ้า การว่าจ้างบางช่วงเริ่มตั้งแต่ปี 2555-2585 บางช่วงเริ่มตั้งแต่ปี 2559-2585 และที่สำคัญ ได้ว่าจ้างให้เดินรถสายหลักหรือไข่แดงด้วยหลังจากสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2572 จนถึงปี 2585
เมื่อเงื่อนไขการให้สัมปทานและการว่าจ้างบีทีเอสยังคงเป็นพันธะผูกพันระหว่าง กทม.กับบีทีเอสอยู่ ผมจึงขอเสนอทางออกในการแก้ปัญหาการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้
1. ทางเลือกที่1เปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่
ก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2572 กทม.จะต้องเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่ โดยผู้รับสัมปทานจะต้องรับผิดชอบการเดินรถ การบำรุงรักษา รวมทั้งการลงทุนเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับเส้นทางสายหลักและส่วนต่อขยาย
ข้อดีของทางเลือกนี้ก็คือ กทม.สามารถกำหนดค่าโดยสารให้ถูกลงได้ โดยกำหนดเงื่อนไขค่าโดยสารไว้ในการประมูล
แต่ทางเลือกนี้ ในช่วงปี 2562-2572 กทม.จะต้องมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ปีละประมาณ 1,300 ล้านบาท และค่าชดเชยการขาดทุนในการให้บริการส่วนต่อขยายปีละประมาณ 1,500 ล้านบาท รวมทั้งค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลประมาณ 20,000 ล้านบาท และค่าชดเชยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) ประมาณ 20,000 ล้านบาท
เหตุที่ต้องชดเชยกองทุนฯ เป็นเพราะบีทีเอสได้ขายรายได้ในอนาคต (ปี 2558-2572) ของเส้นทางสายหลักหรือไข่แดงให้กองทุนฯ ไปแล้ว เพื่อจูงใจให้มีผู้มาร่วมลงทุนในกองทุนฯ ทั้งนี้ บีทีเอสต้องการนำเงินจากกองทุนฯ มาใช้หนี้เดิมและเพื่อลงทุนเพิ่มเติม การใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ซึ่งถูกกว่าเดิมจะทำให้รายได้ของกองทุนฯ ลดลง จึงต้องชดเชยให้กองทุนฯ
ดังนั้น รวมเป็นเงินทั้งหมดที่ กทม.จะต้องจ่ายในช่วงปี 2562-2572 เท่ากับ 68,000 ล้านบาท ส่วนภาระหนี้เงินต้นอื่นและดอกเบี้ยหลังปี 2572 กทม.สามารถนำเงินที่จะได้รับจากผู้รับสัมปทานจ่ายคืนได้
แต่อย่างไรก็ตาม ทางเลือกนี้อาจทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง กทม.กับบีทีเอส เนื่องจาก กทม.ได้ว่าจ้างบีทีเอสให้เดินรถทั้งสายหลักและส่วนต่อขยายจนถึงปี 2585 ไปแล้ว ดังนั้น การเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่ก่อนปี 2585 อาจเป็นเหตุให้บีทีเอสฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก กทม.ได้
2. ทางเลือกที่2จ้างบีทีเอสเดินรถตามสัญญาจ้างเดิม
กทม.ได้ว่าจ้างให้บีทีเอสเป็นผู้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งหมดจนถึงปี 2585 ประกอบด้วยส่วนต่อขยายบางช่วงตั้งแต่ปี 2555-2585 บางช่วงตั้งแต่ปี 2559-2585 รวมทั้งสายหลักหรือไข่แดงหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2572 จนถึงปี 2585
ข้อดีของทางเลือกนี้ก็คือรายได้จากค่าโดยสารทั้งหมดจะตกเป็นของ กทม. ทำให้ กทม.สามารถกำหนดค่าโดยสารให้ถูกลงได้ และจะไม่มีข้อพิพาทกับบีทีเอส
แต่ทางเลือกนี้ในช่วงปี 2562-2572 กทม.จะต้องมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ปีละประมาณ 1,300 ล้านบาท และค่าชดเชยการขาดทุนปีละประมาณ 1,500 ล้านบาท รวมทั้งค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลประมาณ 20,000 ล้านบาท และค่าชดเชยกองทุนฯ ประมาณ 20,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งหมดที่ กทม.จะต้องจ่ายในช่วงปี 2562-2572 เท่ากับ 68,000 ล้านบาท ส่วนภาระหนี้เงินต้นอื่นและดอกเบี้ยหลังปี 2572 กทม.สามารถนำเงินที่จะได้รับจากค่าโดยสารซึ่งเป็นของ กทม.ทั้งหมดจ่ายคืนได้
3. ทางเลือกที่3ขยายสัมปทานให้บีทีเอส
ในกรณี กทม. มีข้อจำกัดเรื่องกระแสเงินสด และไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถเลือกทางเลือกที่ 1 หรือทางเลือกที่ 2 ได้ จำเป็นจะต้องเลือกทางเลือกนี้ นั่นคือขยายสัมปทานให้บีทีเอสเป็นเวลา 30 ปี จากปี 2572-2602 โดยมีเงื่อนไขจากการเจรจาต่อรองกับบีทีเอส ดังนี้
3.1 บีทีเอสจะต้องแบ่งรายได้จากค่าโดยสารให้ กทม.ในช่วง 30 ปี เป็นเงินกว่า 2 แสนล้านบาท รวมทั้งจะต้องแบ่งรายได้เพิ่มเติมให้ กทม.หากบีทีเอสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเกิน 9.6%
3.2 ในช่วงปี 2562-2572 บีทีเอสจะต้องรับผิดชอบค่าดอกเบี้ยเงินกู้แทน กทม.ปีละประมาณ 1,300 ล้านบาท และค่าชดเชยการขาดทุนปีละประมาณ 1,500 ล้านบาท รวมทั้งค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลประมาณ 20,000 ล้านบาท และค่าชดเชยกองทุนฯ ประมาณ 20,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งหมดที่บีทีเอสจะต้องจ่ายแทน กทม.ในช่วง 10 ปี เท่ากับ 68,000 ล้านบาท
3.3 อัตราค่าโดยสาร 15-65 บาท ซึ่งมีค่าโดยสารสูงสุด 65 บาท ลดลงจากเดิมซึ่งมีค่าโดยสารสูงสุด 158 บาท ผมมีความเห็นว่าหาก กทม.ต้องการทำให้ค่าโดยสารถูกลงกว่า 65 บาท ก็สามารถทำได้โดยการนำผลตอบแทนที่ได้รับจากบีทีเอสไปช่วยสนับสนุนค่าโดยสาร หรือรับผลตอบแทนน้อยลงนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยผ่าทางตันของรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้โดยสารและประเทศชาติเป็นสำคัญ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จับตา ธปท.สู้ค่าเงินบาทแข็งไม่หยุด
กรุงศรีคาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 30.00-30.30 มองดอลลาร์ทรงตัว จับตามาตรการ ธปท.
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.00-30.30 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.15 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยมูลค่า 0.6 พันล้านบาท และ 3.3 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยคาดว่านักลงทุนจะซื้อขายอย่างระมัดระวังในสัปดาห์นี้ ซึ่งตลาดการเงินในประเทศเปิดทำการเพียง 2 วัน
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า จุดสนใจหลักอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) วันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าจะมีมติเพิ่ม QE จำนวน 5 แสนล้านยูโร โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมดังกล่าวสอดคล้องกับการส่งสัญญาณจากอีซีบีในการประชุมเมื่อเดือนตุลาคม นอกจากนี้ นักลงทุนจะติดตามบทสรุป Brexit โดยตลาดคาดว่าสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในนาทีสุดท้าย สะท้อนว่าความเสี่ยงด้านขาลงของเงินปอนด์ยังเปิดกว้างกรณีไม่เกิดดีล ส่วนปัจจัยอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ ได้แก่สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่พุ่งสูงขึ้นมากในสหรัฐฯ และความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงท่ามกลางความหวังในเรื่องวัคซีนและมาตรการด้านการคลัง อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มขาดแรงส่ง ในภาวะเช่นนี้ เราคาดว่าเงินดอลลาร์อาจทรงตัวที่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ต่อไป
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะชี้แจงมาตรการเพิ่มเติมในการปรับระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและการดูแลเงินบาทในวันที่ 9 ธ.ค. เพื่ออธิบายการปรับสภาพแวดล้อมของตลาด โดยทางการระบุว่าได้ติดตามดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดท่ามกลางการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้น ทางด้านดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนพฤศจิกายน ลดลง 0.41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการติดลบน้อยที่สุดในรอบ 9 เดือน ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมอาหารสดและพลังงานเพิ่มขึ้น 0.18% อนึ่ง เราคาดว่าการซื้อขายยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวังจากท่าทีที่เข้มงวดมากขึ้นต่อการดูแลค่าเงินบาทของธปท. แม้ว่านับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเงินบาทแข็งค่าทิศทางเดียวกับสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ทั้งนี้ เงินวอนเกาหลีใต้ เงินหยวนจีน และเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นราว 2.0%, 0.7% และ 0.3% ตามลำดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ครบเครื่องเรื่องไทรอยด์
โดย อ.นพ.บุญสาม รุ่งภูวภัทร และ อ.นพ.พนัส บิณศิรวานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ต่อมไทรอยด์ ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย โดยจะอยู่บริเวณกลางลำคอใต้ลูกกระเดือก ทางด้านหน้าของลำคอ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็นต่อมที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายและจะมีแนวเชื่อมกันตรงกลางบริเวณหน้าหลอดลม ต่อมไทรอยด์ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยในการควบคุมระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย โดยร่างกายจะสามารถผลิตฮอร์โมนได้จากการสั่งงานจากสมอง ซึ่งสมองจะหลั่งฮอร์โมนมาควบคุมต่อมไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ได้อย่างถูกต้อง รวมถึงร่างกายต้องมีสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ คือ สารไอโอดีน ในปริมาณที่เพียงพอจึงจะทำงานได้ปกติ
ความผิดปกติที่สามารถเกิดได้ที่ต่อมไทรอยด์แบ่งเป็น 2 อย่างหลักๆ คือ ความผิดปกติที่ฮอร์โมน และความผิดปกติที่บริเวณโครงสร้าง เช่นการเกิดเนื้องอกขึ้นในต่อมไทรอยด์ ซึ่งความผิดปกติที่ฮอร์โมนอาจพบร่วมกับการเกิดเนื้องอกขึ้นในต่อมไทรอยด์ได้ โดยความผิดปกติที่ฮอร์โมนอาจจะเกิดจากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไปหรือภาวะไทรอยด์เป็นพิษ และการผลิตฮอร์โมนที่น้อยเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากตัวต่อมไทรอยด์เองหรือส่วนของสมองที่ควบคุม การรักษาในกลุ่มนี้จะมีเป้าหมายเพื่อทำให้ฮอร์โมนไทรอยด์กลับมาปกติ โดยทั่วไปจะรักษาด้วยการให้ยา อาจจะมีผู้ป่วยบางรายที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการกลืนแร่ และการผ่าตัดส่วนความผิดปกติที่บริเวณโครงสร้างและการมีเนื้องอกขึ้นมาในต่อมไทรอยด์ ในอดีตนั้นเกิดจากประชาชนประสบปัญหาการขาดสารไอโอดีน จึงมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์โตที่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า “โรคคอพอก” ซึ่งในกลุ่มนี้พอได้รับยารักษา ก้อนก็จะยุบลง แต่ในปัจจุบันการขาดสารไอโอดีนพบได้น้อยมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมาด้วยก้อนเนื้องอกในต่อมไทรอยด์ที่ไม่ค่อยตอบสนองกับการได้รับยา เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์จะได้รับการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ และการเจาะตรวจเซลล์บริเวณเนื้องอกไปตรวจ เมื่อได้ผล แพทย์จะประเมินจากผลตรวจ และแจ้งแนวทางการรักษา ซึ่งการรักษาเนื้องอกในต่อมไทรอยด์ จะแบ่งเป็นการติดตามอาการที่ผิดปกติ ขนาดก้อน การเจาะตรวจเซลล์บริเวณเนื้องอก และการผ่าตัด
การผ่าตัดในต่อมไทรอยด์จะทำต่อเมื่อมีข้อบ่งชี้ คือ ก้อนที่มีขนาดโตจนมีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียงเช่น หลอดอาหารและหลอดลม ทำให้เกิดอาการกลืนลำบากหรือหายใจเหนื่อย, ก้อนที่มีลักษณะที่สงสัยว่าจะเป็นกลุ่มมะเร็ง และก้อนที่ผู้ป่วยต้องการที่จะผ่าตัดเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ความสวยงาม เป็นต้น โดยการผ่าตัดจะมีความเสี่ยงที่สำคัญ แม้โอกาสเกิดขึ้นได้น้อย คือเสียงแหบจากการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงเส้นเสียง ซึ่งอยู่บริเวณใต้ต่อต่อมไทรอยด์ ทั้งนี้ผู้ป่วยควรสอบถามรายละเอียดความเสี่ยงต่าง ๆ จากการผ่าตัดกับแพทย์ที่เป็นผู้ผ่าตัดเป็นรายบุคคล
การผ่าตัดโดยทั่วไปสามารถทำได้ด้วยการผ่าตัดแบบเปิด โดยผู้ป่วยจะมีแผลบริเวณตรงกลางคอประมาณ 2 ถึง 4 นิ้ว และการผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งมีทางเข้าบริเวณอื่นทำให้ไม่เกิดแผลเป็นที่คอ ทั้งนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องสอบถามรายละเอียดเป็นรายบุคคลกับแพทย์ที่ทำการผ่าตัด
ในปัจจุบัน จะพบผู้ป่วยที่ตรวจพบเนื้องอกในต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดโต ประเภทที่ตรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่พบลักษณะมะเร็ง ทั้งจากการตรวจอัลตราซาวด์และการเจาะตรวจเซลล์บริเวณเนื้องอก ซึ่งในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีทางเลือกในการรักษาทางใหม่ นอกจากการผ่าตัด คือการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง (High Intensity Focus Ultrasound: HIFU) ส่งคลื่นความร้อนผ่านบริเวณผิวหนังเข้าไปทำให้ก้อนบริเวณเนื้องอกเกิดการยุบตัว ลดขนาดของเนื้องอกลงได้ ประมาณ 20 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม อาจมีรายละเอียดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้น ผู้ป่วยจึงควรสอบถามข้อมูลอีกครั้งกับแพทย์ผู้ทำการรักษา ทั้งนี้ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00 -12.00 น. ณ ชั้น 1 แกรนด์ฮอล์ โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี จะมีการจัดงานเสวนาเรื่อง “ครบเครื่องเรื่องรอบรู้เกี่ยวกับไทรอยด์” พร้อมเปิดตัวทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและแนะนำบริการใหม่ของศูนย์รักษาไทรอยด์สมัยใหม่ ประกอบด้วย อ.นพ.บุญสาม รุ่งภูวภัทร และ อ.นพ.พนัส บิณศิรวานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ นพ.ชาญสิริ เสกสรรค์วิริยะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน ในด้านพัฒนาและส่งเสริมความรู้ความร่วมมือทางการแพทย์ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมงาน พร้อมกับการตรวจคัดกรองไทรอยด์พร้อมรับของที่ระลึก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ สนใจเข้าร่วมงาน ลงทะเบียนได้ที่ โทรศัพท์ 02-438-9000 หรือ กรอกข้อมูลเข้าร่วมงาน ที่ https://forms.gle/Jc3d4XnfGxigtXgz8 (รับจำนวนจำกัด) หรือหากไม่สะดวกมาร่วมงาน รับชมการถ่ายทอดสดผ่าน เฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/SamitivejThonburiHospital
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
จักรยาน เดินหน้าเก็บตัวซีเกมส์ “เวียดนาม” ตัดรายการความหวัง “ไทย”
“เสธ.หมึก” วางแผนเก็บตัวนักปั่นสู้ศึกซีเกมส์ครั้งที่ 31 ที่เวียดนาม หลังทราบกำหนดการชิงเหรียญทอง แต่เจ้าภาพตัดประเภททีมที่เป็นความหวังของไทย
วันที่ 8 ธ.ค. 63 พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ถึงผลการประชุมมนตรีซีเกมส์ ด้วยระบบการประชุมทางไกลกับคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในเรื่องการกำหนดรายการชิงเหรียญทองมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2564 ซึ่งที่ประชุมสรุปว่าจะบรรจุการแข่งขันทั้งสิ้น 40 ชนิดกีฬา 529 รายการ
“เสธ.หมึก” กล่าวว่า ในส่วนของกีฬาจักรยานเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เวียดนามจะบรรจุแต่เพียงประเภทถนน และเสือภูเขา เท่านั้น โดยกำหนดชิงชัยกันทั้งสิ้น 12 เหรียญทอง แบ่งออกเป็น ประเภทถนน 7 เหรียญทอง ประกอบด้วย ไครทีเรียม ชาย-หญิง, ไทม์ไทรอัลบุคคล ชาย-หญิง, แมสสตาร์ต บุคคลชาย, แมสสตาร์ต บุคคลหญิง, แมสสตาร์ต ทีมหญิง / ประเภทภูเขา 5 เหรียญทอง ประกอบด้วย ครอสคันทรี่ ชาย-หญิง, ดาวน์ฮิล ชาย-หญิง และ ครอสคันทรี่ ทีมรีเลย์
พลเอกเดชา เผยว่า “จะเห็นได้ว่าการจัดรายการชิงเหรียญทองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะการตัดรายการทีมไทม์ไทรอัล ชาย-หญิง และ แมสสตาร์ต ทีมชาย ออกจากการชิงเหรียญทอง เท่ากับตัดโอกาสของทีมชาติไทย เนื่องจากนักปั่นของเราเป็นตัวเต็งที่จะกวาดเหรียญทองในการแข่งขันทีมของประเภทถนน ในขณะที่ประเภทเสือภูเขาก็ตัดรายการเมาเท่นไบค์อีลิมิเนเตอร์ออก ซึ่งนักปั่นไทยเราก็เป็นตัวเต็งเหรียญทองเช่นเดียวกัน”
นายกสองล้อไทย กล่าวอีกว่า ไม่ว่าเจ้าภาพจะดำเนินการอย่างไรในการจัดอีเวนต์การแข่งขัน สมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ ก็พร้อมที่จะรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบันนักปั่นไทยก็พัฒนายกระดับฝีเท้าขึ้นมาจากในอดีตจนเป็นที่จับตาของวงการกีฬาสองล้อเอเชีย
ขณะนี้ สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้มอบนโยบายให้ฝ่ายเทคนิคของสมาคมฯ ดำเนินการวางแผนเก็บตัวฝึกซ้อม เพื่อรับสถานการณ์การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 31 โดยมี “โค้ชตั้ม” พันจ่าอากาศเอก วิสุทธิ์ กสิยะพัท เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนประเภทถนน และเรืออากาศเอก สุภัทร ศรีไสว รับหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนประเภทเสือภูเขา จัดทำแผนการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อม
พลเอกเดชา กล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้น สมาคมกีฬาจักรยานฯ จะให้สิทธิ์ตัวยืนแก่นักปั่นทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่มีผลงานเหรียญทองจากการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นตัวหลัก ในขณะที่สตาฟฟ์โค้ชก็จะติดตามสังเกตฟอร์มของนักปั่นดาวรุ่งจากการแข่งขันจักรยานประเภทถนนชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์ภูมิพล” และการแข่งขันจักรยานประเภทเสือภูเขาชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2564 เพื่อเรียกตัวนักปั่นที่มีผลงานและพัฒนาการเข้าร่วมเป็นนักปั่นทีมชาติไทยอีกทางหนึ่ง โดยจะเริ่มตั้งแต่สนามที่ 1 ที่จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
พลเอกเดชา กล่าวเสริมว่า หนึ่งในแนวทางสำคัญของการเก็บตัวฝึกซ้อมรับการแข่งขันซีเกมส์ ที่ประเทศเวียดนาม ก็คือการแข่งขันกันภายในทีม ซึ่งจะมีการประเมินผลและวัดผลการฝึกซ้อมของนักปั่นทีมชาติไทยเป็นระยะ หากผลการฝึกซ้อมของนักปั่นรายใดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่นักปั่นดาวรุ่งหากมีผลงานดีกว่า ก็จะพิจารณาเข้าสู่ทำเนียบทีมชาติไทยทดแทนต่อไป
“เสธ.หมึก” พูดถึงขุมกำลังของทัพสองล้อไทยว่า “ปัจจุบันนักกีฬาจักรยานของไทย มีตัวเลือกในระดับสูงสุดมากขึ้นกว่าในอดีต ส่งผลให้เราสามารถเลือกนักกีฬาที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขันในแต่ละรายการได้มากขึ้นและเหมาะสมกับสถานการณ์ สำหรับการแข่งขันจักรยานซีเกมส์ ครั้งที่ 31 จะยึดหลักว่า ยังไม่มีนักปั่นรายใดติดทีมชาติหรือเป็นตัวจริง จนกว่าจะถึงกำหนดการส่งรายชื่อ Entry Form By Name”
“ขณะที่นักปั่นตัวจริงที่จะลงแข่งขันจริง ก็จะยึดถือเอาการพิจารณาความเหมาะสมทั้งในเรื่องร่างกาย สภาพจิตใจ และความเหมาะสมกับสภาพของสนามแข่งขันที่จะต้องลงแข่งขันจริงเป็นหลัก ซึ่งก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาส่งชื่อนักปั่นตัวจริงกันในนาทีสุดท้ายตามที่ระเบียบการแข่งขันกำหนดไว้”
วลีเด็ดหนังดัง The Queen’s Gambit
ซีรี่ย์สุดปังดังติดเทรน Netflix เล่าเรื่องของเด็กสาวกำพร้าเซียนหมากรุก Beth Harmone หล่อนสร้างโอกาสให้ชีวิตจากการแข่งขันหมากรุก ซึ่งเป็นเกมส์ของผู้ชาย ซีรี่ย์จำลองโลกในสมัยนั้นว่าผู้ชายเป็นใหญ่ในวงการนี้ ดังนั้นการที่เบธสร้างตำนานของตนขึ้นมาในสมัยนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะผู้หญิงในยุคนั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้เดินตามความฝันของตนเอง
ใครอินกับหนังขนาดนี้ ต้องรู้จักวลีจากหนังเรื่องนี้แล้วละ
มา! เริ่ม…
1. Morning, cracker. (Ep.1 31.57)
แปลว่า หวัดดี ยัยเผือก
ฉากที่โจลีนเซย์ไฮกับเบธในห้องน้ำ ไฮไลต์ที่คำศัพท์ “ cracker” คำนี้มีหลายความหมายนะ เช่น ขนมปังอบกรอบขนมแครกเกอร์
แต่ว่า cracker ในบริบทนี้เป็นคำบูลลี่สีผิวจ้า พูดถึงคนผิวขาว แปลว่า ยัยเผือก ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้ แต่มีไว้ประดับความรู้
ไหนๆก็เข้าเรื่องคำบูลลี่สีผิวแล้ว เราจะยกตัวอย่างคำอื่นด้วยเลย
ขาว = White cracker, White trash
ดำ = Nigger, Nigga
อันนี้ปักหมุดเลย คำต้องห้าม ไม่สุภาพมากค่า
ปล. โจลีนและเบธสนิทกันมาก เป็นการแซวกันเล่นๆ
2. Are you trying to piss her off? (Ep 2 ) (1.01.06)
ไฮไลต์ตรงวลีที่ว่า To piss her off (v)
แปลว่า โมโหมาก โคตรโมโห เป็นแสลงแบบหยาบๆ
piss แปลว่า ปัสสาวะ
Are you trying to piss her off?
แปลว่า เธอตั้งใจจะยั่วโมโหครูเขาใช่มั้ย
ฉากนี้เป็นฉากที่เบธโดนดุเพราะว่าปล่อยให้ครูใหญ่รอนาน
มาลองดูประโยคบอกเล่ากันบ้าง เช่น
I was really pissed when that guy cut me off
แปลว่า ฉันโคตรโมโหตอนหมอนั่นขับรถปาดหน้าฉันเลย
3. It’s high time.
ประโยคนี้น่าสนใจมาก เราจะทดสอบกันแบบเร็วๆเห็นปุ๊ปตอบปั๊ป หากเพื่อนๆได้ยินประโยคนี้ผุดขึ้นมาในสมองครั้งแรกจะตอบว่าเป็นข้อไหน
ระหว่าง
a. เวลาที่สูงส่ง
b. ได้เวลาแล้ว
จะเฉลยเลยน้า คำตอบคือ b จ้า ประโยคนี้แปลว่า “ได้เวลาแล้ว” ใช้กับเหตุการณ์ที่เราต้องการบอกว่า “ได้เวลาแล้วละที่จะทำ…..”
ตัวอย่างประโยค
It’s high time you found a job แปลว่า คุณน่าจะหางานทำตั้งนานแล้วนะ
หรือสำหรับใครที่เพิ่งจบมาใหม่ๆ ใช้ประโยคนี้ก็ได้
It’s high time to find a job แปลว่า ได้เวลาหางานทำแล้ว
4. They will eat you alive. (Ep2 31:23)
ออกตัวก่อนว่าประโยคนี้ แปลตามตัวไม่ได้เด็ดขาด
เพราะจะแปลว่า “พวกเขาจะกินคุณทั้งเป็น” แปลออกมาแล้ว อิหยังวะมาก
ดังนั้นบริบทของประโยคนี้ เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่มีคนนับคะแนนพูดกับเบธ เชิงเตือนว่าเบธนั่นไม่สามารถชนะคู่แข่งได้หรอก
จึงแปลว่า “คุณแพ้เขาราบคาบแน่” “คุณเสร็จเค้าแน่นอน” ซึ่งเบธนางไม่สนใจคำพูดของใครเลย นางเชื่อมั่นและเชื่อในสิ่งตัวเองทำเสมอ
ด้วยบทหนังอันยอดเยี่ยม นักเเสดงชั้นเลิศและวลีภาษาอังกฤษที่ใช้ได้จริงมากมาย เป็นเหตุผลที่เรื่องนี้ควรลิสท์อยู่ในซีรี่ย์ที่ทุกคนต้องตามอย่างแน่นอน ปักหมุดไว้เลย นอกจากจะได้ยินสำนวนแปลกใหม่แล้วยังได้แนวคิดและมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป และอาจสร้างแรงบันดาลให้ใครหลายคน
มาเล่นหมากรุกกันซักตามั้ยจ้ะ…….
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
‘ดีแทค’ จับมือ ‘อาซีฟา’ ผุดโซลูชัน 5G บริหารพลังงานระบบไฟฟ้า
ดีแทค จับมือ อาซีฟา รุกโซลูชัน 5G บนคลื่น 26 GHz พัฒนาระบบบริหารพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ
นายราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เราได้ร่วมมือกับอาซีฟาในการทำเทคโนโลยี 5G คลื่น 26 GHz หรือ Millimeter wave (mmWave) สู่การพัฒนา 5G โซลูชันบริหารพลังงานระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Energy Management) ร่วมกัน โดยมีแนวคิดที่จะนำ 5G ไปขับเคลื่อนภาคธุรกิจต่างๆ ซึ่งดีแทคมีแผนที่จะพัฒนาโซลูชันที่นำจุดเด่นของ 5G รองรับให้ครบทั้ง mMTC, eMBB และ URLLC นอกจากนี้ยังผสมผสานจุดเด่นของการใช้ 5G FWA ในการทำงานร่วมกันทั้งผู้ใช้งานทั่วไปและภาคธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 ของภาครัฐดังนั้นรูปแบบที่ได้ร่วมกับอาซีฟาจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งของภาคอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต รวมทั้ง เชื่อว่าจะสามารถต่อยอดได้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อให้เกิดการนำ 5G มาขับเคลื่อนประเทศร่วมกัน”
ทั้งนี้เนื่องจากในโรงงานอุตสาหกรรม หรือการทำธุรกิจขนาดใหญ่จะต้องมีการใช้อุปกรณ์เครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์จำนวนมากดังนั้นกระแสไฟฟ้าจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนระบบต่างๆ ในเดินหน้าเพื่อกระบวนการผลิต ธุรกิจขนาดใหญ่ ดังนั้น “5G โซลูชันบริหารพลังงานระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Energy Management)” จะมาช่วยป้องกันและแก้ปัญหาหรือลดความเสียหายที่เกิดจากกระแสไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าตก ไฟฟ้าเกิน ไฟฟ้ากระชาก หรือไฟฟ้าดับ เป็นต้น ทั้งนี้ การไฟฟ้าฯ ได้ให้ข้อมูลปัญหาไฟฟ้า* ที่ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าในโรงงานเกิดความเสียหาย อาจได้รับปัญหาจากแรงดันตกชั่วขณะเป็นปัญหาคุณภาพไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันส่งผลกระทบกับผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากอย่างไรก็ตามปัญหาแรงดันตกชั่วขณะสามารถป้องกันหรือแก้ไขได้
สำหรับการพัฒนา 5G โซลูชันบริหารพลังงานระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Energy Management) จะมีส่วนประกอบของ Smart MDB คือ การนำ IoT ที่เชื่อมต่อด้วย 5G เข้าไปช่วยเพิ่มความสามารถให้ตู้ MDB หรือ Main Distribution Board ซึ่งเป็นตู้ที่ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลักของโรงงานและอาคารต่างๆ ให้สามารถส่งข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ มารวมศูนย์ที่แอพพลิเคชันได้แบบเรียลไทม์ ให้ผู้ใช้งานบริหารการใช้ไฟฟ้าได้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นรวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากับระบบไฟฟ้าที่จะส่งผลให้ธุรกิจหยุดชะงัก ซึ่งแนวทางการวิเคราะห์ ตรวจสอบคุณภาพไฟฟ้า แนวโน้มการใช้พลังงานไฟฟ้า และการแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุฉุกเฉินด้วยเทคโนโลยี 5G ที่รองรับ Massive IoT เช่น อุณหภูมิความร้อนภายในตู้ MDB ความชื้น การตรวจจับความเคลื่อนไหว การตรวจจับควัน การวัดการปิดเปิดประตูของตู้ MDB เป็นต้น
ด้านนายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด(มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการพัฒนาสู่โซลูชันให้แก่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค อุตสาหกรรม อาซีฟามุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมระบบบริหารจัดการพลังงาน เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถส่งมอบบริการให้แก่ผู้บริโภคขององค์กรได้ดำเนินกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ โรงงาน และอาคาร ซึ่งให้ความสำคัญต่อการบริหารพลังงานไฟฟ้าจากตู้ MDB หรือ Main Distribution Board เพราะเป็นตู้ที่ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลักจากที่การไฟฟ้าฯจ่ายกระแสไฟเข้าสู่โรงงานหรือองค์กรธุรกิจ ดังนั้น ถ้าตู้ MDB ขัดข้องจะต้องแก้ไขทันทีมิเช่นนั้นจะมีผลเสียรุนแรง ทั้งทำให้ระบบไฟฟ้าในโรงงานมีปัญหาส่งผลต่อผลผลิตทันที และบางกรณีอาจจะมีเหตุฉุกเฉินจึงต้องมอนิเตอร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง การมีระบบ Monitoring ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดปัญหาต่างๆ และใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่า
นอกจากนี้ดีแทคยังเตรียมแผนที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมและพันธมิตรต่างๆ ให้ทดสอบและใช้งาน 5G คลื่น 26 GHz ใน use case รูปแบบต่างๆ อีกมากมาย อาทิโซลูชันบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Management) ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security) เซ็นเซอร์คลังสินค้า (Warehouse Sensors) ระบบแจ้งเตือนผล (Intelligent Report) ระบบติดตามรถยนต์ (Smart Tracking – Vehicle) และ ระบบเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
มะเกี๋ยง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
มะเกี๋ยง
ชื่อสมุนไพร มะเกี๋ยง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หว้าน้ำ (พังงา) , หว้าส้ม (ชุมพร,สุราษฎ์รธานี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cleistocalyx nervosum (DC.) Kosterm. var. paniala (Roxb.) J. Parn. & P. Chantaranothai หรือ Cleistocalyx nervosum var. paniala
ชื่อสามัญ Sunrose Willow , Creeping Water Primrose
วงศ์ MYRTACEAE
ถิ่นกำเนิดมะเกี๋ยง
เชื่อกันว่ามะเกี๋ยงเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียบริเวณแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา รวมถึงเวียดนาม และจีนตอนใต้ สำหรับในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือตอนบน โดยมักพบตามธรรมชาติบริเวณ ตามริมห้วย ริมแม่น้ำ ที่มีความชุ่มชื้น หรืออาจพบได้ในพื้นที่สูงในป่าดิบเขา
ประโยชน์และสรรพคุณมะเกี๋ยง
มะเกี๋ยงเป็นพืชที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งส่วนของผล เมล็ด และลำต้น การใช้ประโยชน์จากผลมะเกี๋ยงในด้านอาหาร พบว่า ผลมะเกี๋ยงนิยมนำมาบริโภคทั้งรูปผลสด และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เช่น น้ำมะเกี๋ยง ไวน์มะเกี๋ยง แยมมะเกี๋ยง มะเกี๋ยงดอง มะเกี๋ยงแช่อิ่มแห้ง มะเกี๋ยงหยี ชามะเกี๋ยง โยเกิร์ตมะเกี๋ยง นอกจากใช้ประโยชน์ในลักษณะของผลิตภัณฑ์อาหารแล้ว
เปลือก ต้นยังสามารถนำมาต้มน้ำย้อมผ้า ให้สีน้ำตาลอมแดง ใบ นำมาต้มเป็นน้ำย้อมผ้า ให้สีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม เนื้อไม้ ค่อนข้างแข็ง ใช้แปรรูปเป็นไม้ปูพื้น ไม้ชายคา ไม่วงกบ รวมถึงแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ และเมล็ด ยังสามารถนำมาใช้สกัดน้ำมันสำหรับใช้ประกอบอาหารหรือใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอาง และน้ำหอม และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่นๆ
ส่วนสรรพคุณทางยานั้นตามตำรายาพื้นบ้านล้านนา ระบุไว้ว่า เปลือกต้น นำมาต้มน้ำดื่มแก้อาการท้องเสีย น้ำต้มจากเปลือกใช้อาบแก้โรคผิวหนัง นำเปลือกที่ถากจากต้นใหม่ๆ ทาแผล ช่วยรักษาแผลให้หายเร็ว ผลใช้เป็นยาระบาย แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ปวดท้อง ท้องเสีย แก้ปากนกกระจอก นอกจากนี้จาการศึกษาวิจัยในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังระบุถึงสรรพคุณของมะเกี๋ยงว่า ผล ของมะเกี๋ยงสามารถ ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รักษาโรคมะเร็ง ชะลอความเสื่อมของร่างกายเสริมสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ รักษาสภาพของเยื่อบุผิวที่อวัยวะต่างๆ บำรุงประสาท ป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันโรคปากนกกระจอก ป้องกันโรคข้ออักเสบ รักษาโรคความจำเสื่อม รักษาโรคพาร์กินสัน ช่วยในการดูดซึมวิตามินบี12 ช่วยให้เลือดแข็งตัวขณะที่เกิดบาดแผลเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อทั้งการเต้นของหัวใจ ป้องกันโรคปากนกกระจอก ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและต้อกระจก ชะลอการแก่ก่อนวัย เสริมสร้างกระดูก โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ อีกทั้งยังช่วยสังเคราะห์acetylcholine ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการถ่ายทอดและส่งสัญญาณของเซลล์ประสาท และสารในกลุ่ม ฟินอลิกยังออกฤทธิ์จับกับสารกระตุ้นการเกิดมะเร็ง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งรวมถึงยังสามารถ ช่วยในการลดริ้วรอย ลดฝ้า และจุดด่างดำได้อีกด้วย
ลักษณะทั่วไปมะเกี๋ยง
มะเกี๋ยงเป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับหว้าและมีลักษณะคล้ายกันกับหว้ามาก ชื่อในอดีต ชื่อวิทยาศาสตร์เดิมของมะเกี๋ยงคือ Eugenia paniala ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กันมาตั้งแต่ พ.ศ.2375 และจากการศึกษาทบทวนพรรณไม้ในสกุล Eugenia และ Cleistocalyx ใน พ.ศ.2536 โดย ดร.ประนอม จันทรโนทัย ได้เสนอให้จัดพืช E.paniala Roxb. มารวมอยู่ในสกุล Cleistocalyx และกำหนดชื่อวิทยาศาสตร์ของมะเกี๋ยงเป็น C.operculatus เช่นเดียวกับต้นหว้าขาว (หว้าน้ำหรือหว้าส้ม) โดยจำแนกออกเป็นสองชนิดพันธุ์ คือ C.operculatusvar. operculatus (หว้าขาว และ C.operculatusvar. paniala (มะเกี๋ยง) ต่อมาใน พ.ศ.3539 ได้มีการศึกษาทบทวนพืชในวงศ์ Myrtaceae ใหม่อีกครั้ง และได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อวิทยาศาสตร์ของหว้าขาว และมะเกี๋ยงเป็น C.nervosum โดยจำแนกออกเป็นสองชนิดพันธุ์ คือ C.nervosumvar. operculatus (หว้าขาว) และ C.nervosumvar. paniala (มะเกี๋ยง) โดยความแตกต่างระหว่างพืชสองชนิดพันธุ์นี้อยู่ที่การจัดเรียงหรือจำนวนดอกในช่อดอกย่อย ขนาดของฐานรองดอกรูปถ้วย (hypantium) รวมทั้งขนาดและรูปร่างของผล โดยที่มะเกี๋ยงมักมีดอกจำนวน 3 ดอก ติดอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มช่อดอกย่อย มีฐานดอกรูปถ้วย ขนาดใหญ่กว่า 0.4 เซนติเมตร ผลรูปไข่ขอบขนาน (oval-oblong) และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผลมากกว่า 1.5 เซนติเมตร ส่วนหว้าขาวมักมีจำนวนดอกในแต่ละช่อดอกย่อยมากกว่า 4 ดอก ฐานรองดอกรูปถ้วยมีขนาดเล็กกว่า 0.4 เซนติเมตร ผลรูปกลม (globoes) และเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1.5 เซนติเมตร ดังนั้นลักษณะทั่วไปของมะเกี๋ยงจึงมีลักษณะดังนี้
มะเกี๋ยง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร หรือมากกว่า ขนาดลำต้นเมื่อมีอายุมากจะมีขนาดเส้นรอบวงได้ถึง 1.5 เมตร ลำต้นแตกกิ่งมาก เปลือกลำต้นมีสีเทาหรือน้ำตาลอมเทา เปลือกแก่ด้านนอกหลุดล่อนออกเป็นแผ่น เมื่อใช้มีดสับเปลือกด้านในจะมีสีน้ำตาลอมชมพู แต่เมื่อแห้งจะมีสีน้ำตาล ส่วนเนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง มีสีขาวนวลหรือเหลืองอ่อน และมีเสี้ยนค่อนข้างมาก
ใบ ออกเป็นใบเดี่ยวตรงข้ามกันเป็นคู่บนกิ่งย่อย จำนวน 4-6 คู่ ในแต่ละกิ่งย่อย ใบมีรูปรีถึงรูปหอก ขนาดใบกว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 15-25 เซนติเมตร แผ่นใบ และขอบใบเรียบ ใบมีลักษณะเป็นคลื่น และเป็นมันเล็กน้อย แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างมีสีเขียวอ่อน ก้านใบยาว 1.5-3 เซนติเมตร มีเส้นกลางใบด้านบนเป็นร่องตื้น ส่วนเส้นกลางใบด้านล่างนูนขึ้นมองเห็นได้ชัดเจน มีเส้นแขนงใบแยกออกซ้ายขวาสลับกัน ข้างละ 7-15 เส้น ใบอ่อน มีสีเขียวอมแดง ใบแก่มีสีเขียว
ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ แทงออกเป็นช่อ บริเวณปลายกิ่ง แต่ละกิ่งมีจำนวน 5-15 ช่อดอก ช่อดอกยาว 5-10 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกประมาณ 20-80 ดอก โดยมีดอก 3 ดอก ติดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มช่อดอกย่อย ดอกมีสีขาวอมเหลือง มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ และมีกลีบดอก 4 กลีบ ขนาด 0.35-0.45 เซนติเมตรมีเกสรตัวผู้ประมาณ 150-300 อัน มีรังไข่อยู่บริเวณฐานดอก ส่วนฐานรองดอกเป็นรูปถ้วยมีขนาด 0.4 เซนติเมตรขึ้นไป
ผล มีลักษณะเป็นรูปไข่คล้ายผลหว้า แต่เล็ก และป้อมกว่าเล็กน้อย ผลมีเปลือกบาง ผลอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมชมพู ต่อมาเป็นสีแดงเมื่อห่าม เมื่อสุกเป็นสีแดงม่วง และสุกมากเป็นสีดำ ขนาดผลประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร เนื้อผลมีสีขาว หนาประมาณ 3–5 มิลลิเมตร เมื่อรับประทานจะให้รสเปรี้ยวอมฝาดเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม ตรงกลางผลมีเมล็ด 1 เมล็ด
เมล็ดมีลักษณะกลมหรือค่อนข้างเป็นรูปไข่ ขนาดประมาณ 0.7-8 เซนติเมตร 0.8-1 เซนติเมตร เปลือกเมล็ดมีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อเมล็ดภายในมีสีเขียว
การขยายพันธุ์มะเกี๋ยง
มะเกี๋ยงสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง แต่ในปัจจุบันนิยมใช้วิธีเพาะเมล็ดมากกว่า เพราะมะเกี๋ยงเป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงกว่า 10 เมตร ผู้ที่ปลูกจึงต้องการให้ต้นมะเกี๋ยงมีรากแก้วที่ยึดเกาะแน่นไม่ล้มง่าย ส่วนวิธีการปลูกก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกับการปลูกไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ
องค์ประกอบทางเคมี
จากการศึกษาวิจัยพบว่าผลของมะเกี๋ยงมีสาระสำคัญอยู่หลายชนิด เช่น Resveratrol TanninCatechol Catechin Quercetin Kaempferol Cyanidin 3-glucoside (Chrysanthemin) Citric acidMalic acid gallic acid ในเปลือกต้นพบสาร Tannin นอกจากนี้เมล็ดมะเกี๋ยงที่สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ linalool, R-terpinene, R-ionone และ caryophyllene, terpinene-4-ol-, limonene, linalool ทั้งนี้ผลสดของมะเกี๋ยงยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของมะเกี๋ยง (ผลสด 100 กรัม)
– พลังงานทั้งหมด 297.58 กิโลแคลอรี
– ใยอาหาร 26.32%
– กรดไขมัน 2.41%
– โปรตีน 6.64%
– คาร์โบไฮเดรต 59.91%
– วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) 4574.80 หน่วยสากล (IU)
– วิตามินบี 2 717.30 ไมโครกรัม
– วิตามินบี 3 57.44 ไมโครกรัม
– วิตามินซี 12.80 มิลลิกรัม
– วิตามินอี 14 หน่วยสากล (IU)
– แคลเซียม 408.60 มิลลิกรัม
– แมกนีเซียม 87.32 มิลลิกรัม
– เหล็ก 3.50 มิลลิกรัม
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
แก้ท้องเสีย ท้องเดิน ปวดท้อง โดยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ใช้ดื่ม 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น หรือจะใช้เปลือกต้นนำมาต้มกบน้ำอาบ ช่วยแก้โรงผิวหนังต่างๆ ผลสุกใช้รับประทานสดๆ ช่วยในการระบาย แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ปากนกกระจอก เปลือกต้น(ด้านใน) ใช้ถากให้เป็นขุยเล็กๆใช้ทาหรือประคบแผลช่วยห้ามเลือดและทำให้แผลหายเร็วขึ้น ลดฝ้า และจุดด่างดำ โดยนำผลมะเกี๋ยงมาฝานเป็นแผ่นใช้ทาบริเวณจุดด่างดำเป็นประจำ ใช้ควบคุมและลดน้ำตาลในเลือด โดยการนำใบสด 3-7 ใบ มาต้มในน้ำ 1 ลิตร นาน 15-20 นาที แล้วกรองเอากากออก นำน้ำที่ได้มาใช้ดื่ม ครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาการ เช้า-เย็น ติดต่อกัน 3-5 วัน
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการศึกษาได้ทำการสกัดสารจากเมล็ดมะเกี๋ยงบดแห้ง ด้วยวิธีหมักในเอทานอล 95% จากการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS Assays พบว่า สารสกัดส่วนเอทิลอะซิเตต และบิวทานอล เป็นส่วนที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดเฮกเซน และคลอโรฟอร์ม โดยมีค่า TEAC เท่ากับ 1.5108 และ 1.3943 กรัม/กรัม ตามลำดับ
ฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย มีการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยจากสารสกัดเมล็ดมะเกี๋ยง ในรูปแบบครีมและเจลที่ผสมสารสกัดเมล็ดมะเกี๋ยงความเข้มข้นร้อยละ 1.25 โดยน้ำหนัก ระบุว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองรูปแบบมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดที่ไม่มีส่วนผสมขอสารสกัดเมล็ดมะเกี๋ยง และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระต่ายและจากการทดสอบในอาสาสมัคร 15 คน พบว่าครีมมะเกี๋ยงและเจลมะเกี๋ยงมีประสิทธิภาคลดริ้วรอย และมีความคงตัวที่ดี
ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อ P.acnes ของสารสกัดและน้ำหมักชีวภาพจากพืชสมุนไพรพบว่าสารสกัดเมล็ดมะเกี๋ยงแห้ง และสารสกัดเมล็ดมะเกี๋ยงสดที่สกัดโดยการ reflux ด้วยเอทานอล 50% และหมักด้วยเอทานอล 95% มีฤทธิ์ต้านเชื้อ P.acnes ต่ำสุด คือ 0.623% W/V หรือ 6.25mg/ml
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
จากการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา พบว่า สารสกัดเนื้อมะเกี๋ยงด้วยน้ำ ไม่พบความเป็นพิษเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลันในหนูขาว และยังมีฤทธิ์เหนี่ยวนำระบบต้านอนุมูลอิสระในตับหนู
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการรับประทานผลสุกแบบสดๆ ของมะเกี๋ยง หรือรับประทานในรูปแบบอาหารน่าจะมีประโยชน์และความปลอดภัยมากกว่าการบริโภคแบบแปรรูปอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม หากรับประทานมากจนเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย หรือท้องเดินได้ เพราะผลสุกของมะเกี๋ยงมีรสเปรี้ยวผสมอยู่ ส่วนการรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาป้องกันโรค ควรรับประทานแต่พอดี ไม่ควรใช้เกินขนาดที่ระบุไว้ในตำรายาต่างๆ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพาะอาจส่งผลต่อสุขภาพได้
ขอบคุณข้อมูลจาก disthai.com
ชนิดทอง |
ราคารับซื้อ กรัมละ |
ราคารับซื้อ บาทละ |
ราคาขาย บาทละ |
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
26,400.00 |
26,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,710.00 |
25,923.60 |
27,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,539.00 |
23,331.24 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 80% |
1,368.00 |
20,738.88 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
770.00 |
11,673.20 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
599.00 |
9,080.84 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,772.00 |
26,863.52 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/12/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
แก๊สโซฮอล์ 95 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
22.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
22.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 |
20.84 |
20.84 |
20.84 |
20.84 |
20.84 |
– |
20.84 |
20.84 |
20.84 |
20.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 |
18.34 |
18.34 |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
18.34 |
เบนซิน 95 |
29.76 |
– |
– |
– |
30.21 |
– |
30.26 |
29.76 |
– |
29.76 |
ดีเซล B7 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
23.79 |
ดีเซล |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
20.79 |
ดีเซล B20 |
20.54 |
20.54 |
20.54 |
20.54 |
20.54 |
– |
20.54 |
20.54 |
– |
20.54 |
ดีเซลพรีเมี่ยม |
28.24 |
28.26 |
30.24 |
29.64 |
– |
– |
– |
– |
– |
28.24 |
แก๊ส NGV |
13.10 |
13.10 |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
13.10 |