‘รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง’ ล้วงลึกอสังหาฯ ปี2564
คอลัมน์ผ่ามุมคิด ผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยนับตั้งแต่ ปี 2563เป็นต้นมา ตกอยู่ในภาวะยากลำบากลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน โดยต่างมีการคาดการณ์กันว่า อาจต้องใช้เวลา 4-5 ปี ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ
จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยนับตั้งแต่ ปี 2563เป็นต้นมา ตกอยู่ในภาวะยากลำบากลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน โดยต่างมีการคาดการณ์กันว่า อาจต้องใช้เวลา 4-5 ปี ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ ขณะล่าสุด ผู้คว่ำวอดในวงการ อย่างนายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ โฮมบายเออร์ กรุ๊ป แพลตฟอร์มด้านการซื้อ-ขายอสังหาฯ รายใหญ่ ได้ถอดบทเรียน วิกฤติอสังหาฯ ดังกล่าว สู่ม่านฉากใหม่ ปี 2564 ไว้อย่างน่าสนใจผ่านลักษณะเฉพาะ ระบุ อุตสาหกรรมนี้ มีขึ้น-มีลง หากรู้ซึ้ง “วิกฤติก็เปลี่ยนเป็นโอกาส”
ผ่ามุมคิด-3641
ตลาดขึ้น-ลงตาม GDP
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนสูงมาก การตัดสินใจลงทุนของนักธุรกิจอสังหาฯ หรือการตัดสินใจซื้อของผู้ซื้อรายย่อย มักเป็นการตัดสินใจตามกำลังซื้อจริงที่มีอยู่ ซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้ หรือกำลังเงินที่มีอยู่เท่านั้น ขณะเดียวกันอสังหาฯ เป็นทรัพย์สินที่มูลค่าเพิ่มได้สูงมากในบางสถานการณ์ หรือมีสภาพคล่องต่ำทำให้ขาดทุนหมุนเวียนได้ในบางเวลา จึงทำให้ธุรกิจอสังหาฯ มีลักษณะพิเศษ คือ เวลาเศรษฐกิจขาขึ้นธุรกิจอสังหาฯ จะมีการขยายตัวเติบโตมากกว่าการเติบโตของรายได้รวมประชาชาติหรือ GDP ในทางตรงกันข้ามเวลาขาลงธุรกิจอสังหาฯ ก็จะลงมากกว่า GDP และในด้านเวลาออกตัว อสังหาฯ ก็จะออกตัวช้า หรือถอยช้ากว่า (time lag) เศรษฐกิจโดยรวมเสมอ ด้วยเหตุนี้ นักพัฒนาอสังหาฯ รุ่นเก๋าประสบการณ์สูง มักจะถามตัวเองก่อนขึ้นโครงการใหม่ว่า ขณะนี้เป็นเวลากี่นาฬิกาของธุรกิจอสังหาฯ ถ้าเป็น 8-9 โมงเช้าก็ตัดสินใจได้แบบหนึ่ง ถ้าเป็น 12 นาฬิกาก็ตัดสินใจแบบหนึ่ง หรือถ้าเป็น 4-5 โมงเย็นก็ต้องทำอีกแบบหนึ่ง เป็นต้น
บริสุทธิ์ กาสินพิลา
“สำหรับตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ติดลบ 12% สูงมากเป็นประวัติการณ์ ไตรมาส 3 ติดลบน้อยลงเหลือ 6% โดยทั้งปีคาดจะลบประมาณ 7% ส่วนปีหน้า ถูกมองจะเป็นบวกประมาณ 4%นั้น อย่าเพิ่งไปซีเรียสกับตัวเลข เพราะคงปรับอีกหลายครั้ง สำหรับอสังหาฯ คูณด้วย 1.5-2.0 เข้าไป จะได้ประมาณอัตราเปลี่ยนแปลงธุรกิจไม่ว่าจะทางบวกหรือลบ”
จับตาแข่งขันสูง -ราคาไม่ขยับ
ปีหน้าอสังหาฯ ด้านซัพพลายมีเหลือเฝือ อุตสาหกรรมพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ไทยมีกำลังการผลิตสูง สูงจนสามารถผลิตที่อยู่อาศัยแนวสูงคอนโดฯได้ล้น เกินความต้องการซื้อของตลาดมาแล้ว แม้เศรษฐกิจถดถอยลง แต่บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ๆ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70% ยังมีแรงกดดันให้ต้องขยายตัวเติบโตต่อไป แต่ด้านกำลังซื้อก็ยังอยู่ในทิศทางอ่อนตัวลง และปีหน้าจะอ่อนตัวลงมากกว่าเดิม เพราะยังมีแนวโน้มธุรกิจล้ม การเลิกจ้าง การว่างงาน รออยู่อีกจำนวนมาก ฉะนั้น เมื่อกำลังการผลิตอสังหาฯ มีล้นเหลือ การแข่งขันในตลาดก็ยิ่งจะเข้มข้นมากกว่าเดิม ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงประมาณ 80% ของ GDP ค้ำคอกำลังซื้อ ที่สำคัญมาตรการ LTV ยังสกัดกำลังซื้อบางส่วน ส่วนกำลังซื้อจากต่างประเทศยังไม่ความหวัง เว้นแต่เราจะมีมาตรการรัฐที่ชาญฉลาดสามารถดึงดูดกำลังซื้อจากต่างประเทศมาล่วงหน้าได้ เมื่อกำลังซื้อยังอยู่ในขาลง อาจทำให้ราคาขายที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ คงไม่สามารถขยับขึ้นไปได้
โร่หากำลังซื้อใหม่
นายบริสุทธิ์ ถอดบทเรียนต่อว่า ที่ผ่านมา บริษัทอสังหาฯ หนีขึ้นตลาดบน จากปัญหาตลาดล่างถูกปฏิเสธสินเชื่อ โดยเฉพาะแนวราบระดับราคาสูงขึ้น เพราะมีความต้องการซื้อมากขึ้น อย่างไรก็ดี มีกลยุทธ์การเจาะหากำลังซื้อกลุ่มใหม่ๆ อันน่าจะสืบเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำ ทำให้คนบางกลุ่มที่กำลังซื้อไม่ถึงแต่อัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้สามารถเอื้อมซ้ำได้ โดยบริษัทอสังหาฯ บางรายที่เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่หลังโควิด-19 ซา มีการปรับแบบดีไซน์และทำราคาใหม่ ให้ราคาขายต่อยูนิตห้องชุดต่ำกว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายมาก่อนหน้านั้นในย่านรอบๆ ราคาตารางเมตรละ 7-8 หมื่นบาท ได้ราคาต่อยูนิตประมาณ 1.5 ล้านบาทกว่าๆ ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก ไม่เพียงเพราะราคาขายต่ำกว่าเท่านั้น แต่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยต่ำมาก 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ย 2.5%ถึงประมาณ 5% ทำให้ภาระงวดเงินผ่อนจากการกู้ 1 ล้านบาท เหลือเพียงเดือนละ 5 พันกว่าบาท ซึ่งก่อนนี้จะเป็นล้านละ 7-8 พันบาท ส่วนเรื่องธนาคารจะอนุมัติหรือปฏิเสธการปล่อยกู้สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ คงต้องไปแก้ไขกันอีกที
“การหาแหล่งกำลังซื้อใหม่ๆ ที่ยังมีอยู่ของบริษัทอสังหาฯ ในช่วงกำลังซื้อขาลงเช่นนี้ มักทำไปพร้อมๆ กับการปรับแบบดีไซน์ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ให้ตรงความต้องการตลาด เช่น ทำโครงการขนาดเล็ก เพื่อให้จบโครงการได้เร็วขึ้น”
ตั้งรับความไม่แน่นอน
ทั้งนี้ ปี 2564 จะเป็นปีที่เราต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ที่คาดการณ์ได้ยากและคาดการณ์ไม่ได้ นับเป็นเรื่องยากมากในการวางแผนและการบริหารธุรกิจเราต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน 2 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรก ความไม่แน่นอนการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกใบนี้ แม้ว่าหลายประเทศรวมทั้งไทยเราควบคุมการแพร่ระบาดรอบแรกได้แล้ว แต่ปัจจุบันก็เห็นแนวโน้มการกลับมาแพร่ระบาดรอบสอง ส่วนวัคซีนป้องกันใกล้สำเร็จใช้ได้แล้ว แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่องคุณภาพ เรื่องปริมาณการผลิตที่เพียงพอเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อธุรกิจ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และเรื่องที่ 2 ไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่อนทางสังคมและการเมืองอีกเรื่องหนึ่ง โดยคาดเดาได้ยากว่าจะ จบลงอย่างไร อย่างไรก็ตามเชื่อ “ในวิกฤติมีโอกาส” เมื่อรู้ลักษณะเฉพาะของตลาด และแนวทาง ผู้พัฒนาฯ ต้องทดลองลงมือทำ หามันให้เจอ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จับตาตลาดคอนโดฯปี 2564
คอลลิเออร์สฯ คาด คอนโดฯเปิดใหม่ปี 2564 หดตัวอีก 7.6% เหลือไม่เกิน 2 หมื่นหน่วย
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่าย วิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพ มหานคร มีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ทั้งหมดประมาณ 429,927 ยูนิต หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 42,992 ยูนิต แต่ในปี 2563 ด้วยปัจจัยลบต่างๆที่เข้ามากระทบกลับพบว่า มีอุปทานเปิดขายใหม่เพียงแค่ 21,643 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ที่ต่ำที่สุดของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพ มหานคร ขณะคาดการณ์ล่าสุดสำหรับในปี 2564 นั้น คาดอุปทานเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพ มหานคร จะยังคงปรับตัวลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณไม่เกิน 20,000 ยูนิตเท่านั้น หรือปรับตัวลดลงอีกประมาณ 7.6% จากปีก่อนหน้า
พร้อมคาดว่า สำหรับในปี 2564 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะยังคงปรับลดจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียมลง เน้นพัฒนาโครงการแนวราบในพื้นที่หัวเมืองรอง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นอกจากนี่ยังพบว่าผู้ประกอบการบางรายเลือกที่จะเลื่อนการเปิดการขายโครงการใหม่ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ออกไป
เนื่องจากต้องการเน้นระบายสต๊อกที่ยังคงค้างอยู่ในตลาดโดยเฉพาะสต๊อกที่ก่อสร้างแล้วเสร็จที่ยังคงเหลือขายอยู่ในตลาดและมองว่า สถานการณ์ปัจจุบันยังคงไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ เนื่องจากกำลังซื้อทั้งในส่วนของกำลังซื้อต่างชาติและกำลังซื้อชาวไทยยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 30.05 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.05 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าตามภูมิภาคจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 29.99 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าสหรัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งทั้งสองสภา
“บาทกลับมายืนเหนือ 30 บาทอีกครั้ง หลังการเมืองสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า โดยตลาดคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่” นักบริหารเงิน กล่าว
“เสธ.หมึก” หารือ “ดร.สาธิต” จัดกิจกรรมปั่นต้านโควิด เฟส 2
สมาคมกีฬาจักรยานฯ เข้าหารือ “ดร.สาธิต ปิตุเตชะ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมจัดกิจกรรม “ปั่นในบ้านต้านโควิด” เฟส 2
วันที่ 7 ม.ค. 64 “เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย ทำให้รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้เพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดขึ้น มีคำสั่งให้หลายจังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็นพิเศษ จำกัดการเดินทางเข้า-ออกในจังหวัด
พลเอกเดชา กล่าวว่า สำหรับสมาคมกีฬาจักรยานฯ โดยปกติแล้วมีกิจกรรมที่จะต้องไปจัดการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์ประเทศไทย ในต่างจังหวัดตลอดทั้งปี ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของพี่น้องประชาชนในแต่ละจังหวัดที่พวกเราจะต้องไปเยือนในอนาคต ตนเองพร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯ ทุกคน จึงได้ไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สถาบันควบคุมโรคเขตเมือง บางเขน เมื่อวันที่ 5-6 มกราคม ที่ผ่านมา ด้วยวิธี PCR Swab Test และวิธี Rapid Test ผลปรากฏว่า ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของสมาคมกีฬาจักรยานฯ ทุกคนปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ร้อยเปอร์เซ็นต์
นายกสองล้อไทย เจ้าของฉายา “หมึกไฟแรง (ปั่น) แซงทุกสนาม” ที่สื่อมวลชนสายกีฬาตั้งให้ กล่าวอีกว่า ล่าสุด เมื่อช่วงสายของวันที่ 7 มกราคม ตนได้เข้าไปอวยพร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พร้อมทั้งหารือการจัดกิจกรรมการออกกำลังกายในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ ได้ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการปั่นจักรยานออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน “ปั่นในบ้านต้านโควิด” เฟส 2 ซึ่งจะเริ่มโครงการในวันเสาร์ที่ 9 มกราคมนี้ รวมไปถึงหารือการจัดแข่งขันกีฬาจักรยานประเภทต่างๆ ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ด้าน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ตามกำหนดเดิมในวันที่ 7 มกราคมนี้ ตนเองจะต้องเป็นประธานแถลงข่าวการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2564 แต่เมื่อมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เราก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรม โดยจะเป็นการขี่จักรยานแบบ Virtual ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข เรามีโครงการ “ก้าวท้าใจ ต้านภัยโควิด” เป็นการออกกำลังกายแบบสะสมเวลาหรือระยะทางตามที่กำหนด ซึ่งจะเริ่มซีซั่น 3 ในวันที่ 1 มีนาคมนี้ ส่วนสมาคมกีฬาจักรยานฯ ก็มีโครงการ “ปั่นในบ้านต้านโควิด” ซึ่งจะเป็นการสะสมเวลาและระยะทางเช่นเดียวกัน ที่สำคัญยังสามารถเข้าร่วมกับโครงการ “ก้าวท้าใจ ต้านภัยโควิด” ซีซั่น 2 ที่เปิดโครงการไปเมื่อกลางปี 2563 ได้อีกด้วย ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ก้าวท้าใจ” ซีซั่น 2 เพื่อสะสมคะแนนแล้วนำมาแลกสิทธิพิเศษได้มากมาย
ดร.สาธิต กล่าวต่อไปว่า ต้องชื่นชมสมาคมกีฬาจักรยานฯ ที่ปรับรูปแบบการแข่งขันในสถานการณ์ที่ไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด โดยจัดการแข่งขันและกิจกรรมในประชาชนทั่วไปมาร่วมออกกำลังกายในรูปแบบ New Normal ส่วนกีฬาชนิดอื่นๆ หากจะจัดการแข่งขันก็ต้องทำแผนเสนอมายังกรมควบคุมโรค และ ศบค. พร้อมจัดทำคู่มือการจัดแข่งขัน เหมือนกับที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้เคยปฏิบัติมา และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นสมาคมกีฬาต้นแบบอย่างแท้จริง
ส่วน “โค้ชตั้ม” พันจ่าอากาศเอก วิสุทธิ์ กสิยะพัท หัวหน้าผู้ฝึกสอนจักรยานถนนทีมชาติไทย เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้มอบนโยบายมาให้สตาฟฟ์โค้ชจัดโปรแกรมการฝึกซ้อมให้กับนักกีฬาทีมชาติในช่วงที่ปิดแคมป์เก็บตัว นักกีฬาต่างกลับไปฝึกซ้อมที่บ้านของตัวเอง พร้อมกับได้มอบให้จัดกิจกรรม “ปั่นในบ้านต้านโควิด” เฟส 2 ซึ่งจะมีการปั่นชาลเลนจ์กันทุกวันเสาร์ เริ่มนัดแรกในวันเสาร์ที่ 9 มกราคมนี้ เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป โดยจะจัดในรูปแบบมีตติ้ง (Meeting) ให้นักปั่นทีมชาติมาเป็นผู้นำปั่นผ่านแอปพลิเคชัน One lap แล้วให้นักปั่นทางบ้านมาร่วมกลุ่ม ส่วนวิธีการเข้าไปลงทะเบียน One lap ได้เผยแพร่ลงในเฟซบุ๊กแฟนเพจของสมาคมฯ Thaicycling Association นอกจากนี้ในระหว่างการปั่นจะมีการไลฟ์สดให้แฟนๆ ทางบ้านได้รับชมทางเฟซบุ๊กของสมาคมฯ ตลอดการแข่งขัน
“โค้ชตั้ม” กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ฝ่ายเทคนิคของสมาคมกีฬาจักรยานฯ เลือกแอปพลิเคชัน One lap มาใช้อีกหนึ่งแพลตฟอร์ม นอกจากแอปพลิเคชัน Zwift ที่เคยใช้ในกิจกรรม “ปั่นในบ้านต้านโควิด” เฟสแรก เนื่องจาก One lap มีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ถูกกว่า เสียค่าสมาชิกแค่เดือนละ 150 บาท ขณะที่ Zwift ต้องเสียเดือนละ 500 บาท แต่ความสนุกในการปั่นไม่ต่างกัน นอกเหนือจากการปั่นแบบชาลเลนจ์ทุกวันเสาร์แล้ว ระหว่างสัปดาห์นักปั่นก็สามารถปั่นเพื่อสะสมเวลาให้ได้ 7 ชั่วโมงขึ้นไป หรือให้ได้ระยะทางรวม 200 กิโลเมตร แล้วส่งเวลาหรือระยะทางรวมมาทาง Inbox เฟซบุ๊กแฟนเพจ Thaicycling Association ทางฝ่ายเทคนิคจะพิจารณาจากผลรวมแล้วส่งของรางวัลพิเศษไปให้ถึงบ้าน สำหรับผลรวมนี้สามารถนำไปร่วมกับโครงการ “ก้าวท้าใจ ต้ายภัยโควิด” ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรม “ปั่นในบ้าน ต้านโควิด” เฟส 2 สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมกีฬาจักรยานฯ www.thaicycling.or.th และที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Thaicycling Association หรือมีข้อสงสัยประการใดสามารถส่งคำถามมาที่ Inbox หรือ “กล่องข้อความ” ในเฟซบุ๊ก.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ห่วงซื้อ Rapid Test ตรวจเอง โอกาสแปลผลผิด ระบาดรุนแรงขึ้น
โควิด-19 ระบาดระลอกสอง ซึ่งรุนแรงมากกว่ารอบแรกที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ป่วยและกระจายไปยัง 56 จังหวัดทั่วประเทศ สร้างความกังวลใจของประชาชนทั้งกลุ่มเสี่ยงและไม่เสี่ยงจนหลายคนมองหาวิธีการตรวจหาเชื้อ โควิด-19 โดยเฉพาะ Rapid Test เพื่อลดความกังวล อย่างไรก็ตาม อย. ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วง เนื่องจากการซื้อมาตรวจเองอาจจะนำไปสู่การแปลผลที่ผิดพลาด
ปัจจุบัน วิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยใช้มีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ 1. การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธี Real-time RT PCR ซึ่งเป็นวิธีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำและประเทศไทยพร้อมใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้มีข้อดี คือ มีความไว มีความจำเพาะสูง สามารถทราบผลภายใน 3-5 ชั่วโมง และสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสในปริมาณน้อยๆ ได้ในรูปแบบของสารพันธุกรรม ดังนั้น ไม่ว่าจะ เชื้อเป็น หรือเชื้อตาย ตรวจจับได้หมดจาก สารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่วนบน ส่วนล่าง ของ ผู้สงสัยติดโควิด-19 ดังนั้น จึงเป็นวิธีที่เหมาะสม สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาที่รวดเร็ว ตั้งแต่ระยะแรกของการเกิดโรค และใช้ติดตามผลการรักษาได้
โดยเก็บตัวอย่างส่งตรวจจากการป้ายเยื่อบุในคอ หรือ ป้ายเนื้อเยื่อหลังโพรงจมูก เพราะเชื้อไวรัสอยู่ในเซลล์จึงต้องขูดออกมา และหากเชื้อลงไปในปอด ก็จะต้องนำเสมหะที่อยู่ในปอดออกมาตรวจ การตรวจวิธีนี้ต้องระวังการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม จึงต้องทำในห้องแล็บที่ได้รับมาตรฐาน
2. การตรวจภูมิคุ้มกัน (IgM/IgG) ด้วยชุดทดสอบแบบรวดเร็ว Rapid Test เก็บตัวอย่างด้วยการเจาะเลือด สามารถทราบผลใน 15 นาที การตรวจวิธีนี้จะทำได้หลังมีอาการป่วย 5 – 7 วัน หรือได้รับเชื้อมาแล้ว 10 – 14 วัน ดังนั้น การใช้ Rapid Test ตรวจภูมิคุ้มกัน (IgM/IgG) ในช่วงแรกของการรับเชื้อ หรือช่วงแรกที่มีอาการ ผลการตรวจจะขึ้นลบ ซึ่งไม่ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ โดยปกติธรรมชาติของร่างกายเมื่อได้รับเชื้อ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งภูมิคุ้มกันจะเกิดหลังจากมีอาการประมาณ 5 – 7 วัน โดยการตรวจดังกล่าว อย.อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาล ต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขเท่านั้น
นอกจากนี้ โรงพยาบาลต่างๆ ยังเพิ่มบริการ ตรวจโควิด-19 แบบ Drive Thru Test เพื่อความสะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องลงจากรถ อาทิ รพ. สินแพทย์ รามอินทรา , รพ.สินแพทย์ เทพารักษ์ , รพ. พญาไท 3 , รพ. สมิติเวช สุขุมวิท , รพ. พริ้นซ์สุวรรณภูมิ , รพ.เอกชัย สมุทรสาคร , รพ.นครธน , รพ.บางโพ , รพ.สุขุมวิท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคไวรัสโควิด-19 ที่กำลังขยายวงกว้างในขณะนี้ ได้สร้างความกังวลต่อคนทั่วโลก รวมถึง ในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น การตรวจค้นหาและคัดกรองผู้ติดเชื้อได้ดำเนินการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีประชาชนบางส่วนเกิดความวิตกกังวลว่าตนเองจะได้รับเชื้อหรือไม่ จึงหันไปสั่งซื้อชุดตรวจไวรัสโควิด-19 ที่จำหน่ายในสื่อออนไลน์มาใช้เอง
นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอเตือนว่า อย่าหาซื้อชุดตรวจโควิด Rapid Test ที่ลักลอบขายผ่านออนไลน์ มาตรวจเอง เพราะเสี่ยงต่อการแปลผลที่ผิดพลาด เนื่องจากชุดตรวจโควิด แบบ Rapid Test เป็นการตรวจหาภูมิต้านทาน ไม่ได้เป็นการตรวจหาเชื้อ ดังนั้น จึงต้องได้รับเชื้อในระยะเวลาหนึ่งถึงจะตรวจพบภูมิต้านทาน หากเพิ่งได้รับเชื้อจะตรวจไม่พบในทันที จึงเป็นข้อจำกัดของชุดตรวจชนิดนี้ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการตรวจและแปลผลโดยผู้เชี่ยวชาญหรือนักเทคนิคการแพทย์เท่านั้น
“ไม่แนะนำให้ใช้โดยทั่วไป และบางครั้ง ตรวจแล้วคิดว่าตัวเองปลอดภัยก็อาจทำตัว ตามปกติ เอาเชื้อไปติดคนอื่นต่อได้ อาจส่งผล ทำให้การระบาดของโรครุนแรงยิ่งขึ้นจากการ แปลผลที่ผิดพลาด รวมถึงมีโอกาสที่เกิดผลลวง ได้ ชุดตรวจ Rapid Test โควิด-19 ตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ที่ต้องขายเฉพาะแก่สถานพยาบาล หรือ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และ สาธารณสุขเท่านั้น และจะต้องจัดทำรายงานการขาย ให้ อย. ทราบ”
“สำหรับประชาชนที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หรือ สัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือมีอาการไข้สูงเกินกว่า 37.5 องศา อ่อนเพลีย มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย สูญเสียการได้กลิ่นและรับรสชั่วคราว หอบเหนื่อย ขอให้ไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล ภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องต่อไป” รองเลขาธิการฯ อย. กล่าว
ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า ปัจจุบัน ห้องปฏิบัติการและเครือข่าย ตรวจ SARS-CoV-2 ที่ผ่านการรับรองการทดสอบ ความชำนาญทางห้องปฏิบัติการจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีจำนวนทั้งสิ้น 247 แห่ง แบ่งเป็น “กรุงเทพและปริมณฑล 91 แห่ง” (ภาครัฐ 38 แห่ง, ภาคเอกชน 53 แห่ง) และ “ต่างจังหวัด 156 แห่ง” (ภาครัฐ 126 แห่ง, ภาคเอกชน 30 แห่ง)
จำนวนการตรวจโควิด-19 ทั้งภาครัฐและเอกชน (ข้อมูลจาก 176 แห่ง) ตั้งแต่เริ่มมีการเปิดให้บริการ – 1 ม.ค. 64 รวมการตรวจสะสม ทั้งสิ้น 1,657,402 ตัวอย่าง สำหรับน้ำยาคงคลัง (ตัวอย่าง) ณ วันที่ 1 ม.ค. 64 ได้แก่ RNA ex-traction จำนวน 379,465 ตัวอย่าง และ RT-PCR จำนวน 501,385 ตัวอย่าง
ทั้งนี้ ประชาชนที่เข้าเกณฑ์ต้องตรวจ เชื้อโควิด-19 ฟรี ได้แก่ ผู้ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเดินทางมาจากเขตติดโรค พื้นที่ที่ระบาด ต่อเนื่อง ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับ ผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค / พื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง มีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยสงสัย/ผู้ป่วยยืนยัน หรือเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน โดยมีอาการทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหอบ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส สามารถไปตรวจได้ที่ โรงพยาบาล ตามสิทธิที่เลือกรักษา เช่น สิทธิประกันสังคม สิทธิบัตรทอง ฯลฯ โดยโรงพยาบาลจะทำการเก็บตัวอย่างจากคอ โพรงจมูก และส่งตัวอย่างไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือเครือข่ายห้องแล็บที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รับรอง
สำหรับประชาชนทั่วไป ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง หรือ มีความกังวลต้องการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง สามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง รพ.ของรัฐและเอกชน โดยค่าตรวจหาเชื้อโควิด-19 รพ.รัฐ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 – 8,000 บาท รพ.เอกชน ราคาอยู่ที่ประมาณ 2,500 – 8,000 บาท สามารถค้นหารายชื่อห้องปฏิบัติการเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบความชำนาญ ทางห้องปฏิบัติการ เครือข่ายตรวจ SARS- CoV-2 จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทางออนไลน์ ในเว็บไซต์ https://service.dmsc.moph.go.th/labscovid19
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
กระทรวงพลังงาน ภาษาอังกฤษ ชื่อหน่วยงานต่างๆในกระทรวง (Ministry of Energy)
ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานของรัฐในสังกัดกระทรวงพลังงาน (Ministry of Energy) มีหน่วยงานอะไรบ้างที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ และพวกเรารู้จักทุกหน่วยงานหรือเปล่า
ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน
Department of Alternative Energy Development and Efficiency – กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน |
Department of Energy Business – กรมธุรกิจพลังงาน |
Department of Mineral Fuels – กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ |
Institute of Energy Funds Management (Public Organization) – สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) |
Office of the Minister – สำนักงานรัฐมนตรี |
Office of the Permanent Secretary -สำนักงานปลัดกระทรวง |
PTT Public Company Limited – บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน |
The Electricity Generating Authority of Thailand (EGAT) – การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) |
The Energy Policy and Planning Office – สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
เผยเหตุโจมตีเชื่อมโยงงานวิจัยวัคซีน โควิด-19
ช่วงปลายปี 2020 นักวิจัยของแคสเปอร์สกี้ระบุพบความเคลื่อนไหวของ APT จำนวน 2 รายการที่มีเป้าหมายเป็นงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ โควิด-19 (COVID-19) หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข และบริษัทธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญของแคสเปอร์สกี้ประเมินว่าต้องมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มลาซารัส (Lazarus) อันอื้อฉาวอย่างแน่นอน
ขณะที่ชาวโลกกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องการแพร่ระบาดและมาตรการเฝ้าระวังต่างๆ หลายส่วนก็พยายามเร่งพัฒนาวัคซีนออกมาโดยเร็วเพื่อประโยชน์ของชาวโลก แต่ก็มีความพยายามด้านมืดที่มีผู้ก่อภัยคุกคามบางกลุ่มหาช่องทางเอาประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเอง จากการเฝ้าสอดส่องความเคลื่อนไหวของกลุ่มลาซารัสมาอย่างต่อเนื่อง จากที่มีเป้าหมายไปตามอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มจับสังเกตุได้ว่าผู้ก่อภัยคุกคามกลุ่มนี้เริ่มติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวโยงกับ โควิด-19 ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ดังพบได้จากกิจกรรมความเคลื่อนไหวจำนวนสองครั้งด้วยกัน
ครั้งที่หนึ่งเป็นการโจมตีหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์สองตัวในกระทรวงถูกมัลแวร์ที่มีความซับซ้อนแทรกซึมเข้ามาเมื่อ 27 ตุลาคม 2563 เรียกว่า ‘wAgent’ เป็นชื่อที่ทีมแคสเปอร์สกี้ใช้เรียกมัลแวร์ตัวนี้ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์เจาะลึกพบว่ามัลแวร์ wAgent ที่ถูกนำมาใช้เล่นงานกระทรวงครั้งนี้มีวิธีการทำงานแพร่กระจายเชื้อเช่นเดียวกับมัลแวร์ที่กลุ่มลาซารัสเคยใช้งานเมื่อครั้งเข้าโจมตีธุรกิจคริปโตเคอร์เรนซี่ก่อนหน้านี้
ครั้งที่สองเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับบริษัทยาจากเทคโนโลยีมาตรวัด (telemetry) พบการเจาะเข้ามาในโครงสร้างระบบบริษัทเมื่อ 25 กันยายน 2563 บริษัทนี้วิจัยพัฒนาวัคซีน COVID-19 อย่างถูกต้องพร้อมสิทธิ์ในการผลิตและจำหน่าย แต่ครั้งนี้อาชญากรใช้มัลแวร์ชื่อ Bookcode ที่เคยถูกรายงานไปก่อนหน้านี้โดยเวนเดอร์เจ้าหนึ่งว่าน่าจะมีความเกี่ยวโยงอยู่กับกลุ่มลาซารัส จาการตรวจสอบสายการโจมตีผ่านบริษัทซอฟต์แวร์ในเกาหลีใต้ และนักวิจัยของแคสเปอร์สกี้ยังได้สังเกตุพบกลุ่มลาซารัสทำสเปียร์ฟิชชิ่ง หรือวางแผนการบ่อนทำลายเว็บไซต์เพื่อกระจายมัลแวร์ Bookcode มาแล้วในอดีต
มัลแวร์ wAgent และ Bookcode ใช้ในการโจมตีทั้งสองครั้งมีฟังก์ชั่นที่คล้ายคลึงกัน เช่น แบ็กดอร์เต็มรูปแบบ ที่เมื่อถึง เพย์โหลดสุดท้ายแล้ว ผู้ก่อภัยคุกคามก็มีอำนาจการควบคุมเหนือเครื่องของเหยื่อเพื่อกระทำการใดก็ได้ตามที่ต้องการ
จากความคล้ายคลึงหลายประการที่สังเกตุพบ นักวิจัยของแคสเปอร์สกี้ยืนยันอย่างมั่นใจว่าทั้งสองเหตุการณ์นั้นมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มลาซารัสอย่างแน่นอน การค้นคว้าวิจัยยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น
นายซองซู ปาร์ค ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของแคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “ความเคลื่อนไหวทั้งสองเหตุการณ์นี้เผยถึงความสนใจของกลุ่มลาซารัสต่อข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับ COVID-19 แม้กลุ่มนี้จะฉาวโฉ่จากการคุกคามอุตสาหกรรมการเงิน แต่ก็ข้ามฝั่งมางานวิจัยเชิงกลยุทธ์ได้เช่นกัน นั่นย่อมหมายว่ากิจกรรม งานข้อมูล องค์ประกอบที่เกี่ยวกับการพัฒนาวิจัย เช่น คิดค้นวัคซีน หรือวิธีการรับมือการแพร่ระบาด ต้องเตรียมรับมือกับการคุกคามจู่โจมทางไซเบอร์ด้วยเช่นกัน”
โปรดักส์ของแคสเปอร์สกี้สามารถตรวจจับมัลแวร์ wAgent ในชื่อ HEUR:Trojan.Win32.Manuscrypt.gen และ Trojan.Win64.Manuscrypt.bx มัลแวร์ Bookcode ถูกตรวจจับได้ในชื่อ Trojan.Win64.Manuscrypt.ce
อยู่อย่างไรให้รอดปลอดภัยจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ แคสเปอร์สกี้ขอแนะนำมาตรการความปลอดภัยเพื่อการป้องกัน ดังต่อไปนี้
• สนับสนุนทีม SOC (หน่วยกู้ภัยไซเบอร์) ของคุณให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลวิเคราะห์ภัยไซเบอร์ที่ทันสมัย (TI) เช่น พอร์ทัล Kaspersky Threat Intelligence Portal ของแคสเปอร์สกี้เปิดให้ทีมงานใช้ข้อมูลภัยคุกคามได้ ประกอบด้วย ข้อมูลการโจมตีไซเบอร์ และรายงานวิเคราะห์ที่รวบรวมมาถึงมากกว่า 20 ปี สามารถใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และยังเปิดให้ใช้ฟีเจอร์ตรวจเช็คไฟล์ URLs และ IP addresses ว่าปลอดภัยหรือไม่ สามารถเข้าใช้งานได้ที่ https://opentip.kaspersky.com/
• อบรมพนักงานของท่านด้วยหลักสูตรขั้นพื้นฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่ทุกคนควรรู้และปฏิบัติได้ เพื่อให้รู้ทันเทคนิคล่อลวงง่ายๆ ที่มักใช้ในการทำการจู่โจมแบบมีเป้าหมาย (targeted attacks) ได้แก่ ฟิชชิ่ง หรือ วิศวกรรมสังคมออนไลน์ ทั้งหลาย
• องค์กรที่ปราถนาจะทำการตรวจสอบสืบค้นของตนเองจะได้รับประโยชน์จาก Kaspersky Threat Attribution Engine อย่างยิ่ง เพราะช่วยจับคู่เทียบโค้ดอันตรายที่ตรวจพบ กับโค้ดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลมัลแวร์ ตรวจหาความคล้าย ลักษณะเฉพาะตัวที่พบในเคมเปญ APT ที่พบมาแล้วก่อนหน้านี้
• สำหรับการตรวจจับในระดับเอนด์พอยนท์นั้น ควรจะเป็นการสืบสวนและการแก้ไขทันที สามารถติดตั้งโซลูชั่น EDR อาทิ Kaspersky Endpoint Detection and Response ไว้ใช้งานได้
• สำหรับจากการป้องกันเอ็นด์พอยต์ ควรติดตั้งซีเคียวริตี้โซลูชั่นระดับองค์กรที่สามารถตรวจจับภัยไซเบอร์ลงไปในระดับเน็ตเวิร์กได้ตั้งแต่เริ่มเข้ามาคุกคาม เช่น Kaspersky Anti Targeted Attack Platform ก็สามารถใช้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ว่านมหากาฬ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ว่านมหากาฬ
ชื่อสมุนไพร ว่านมหากาฬ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ดาวเรือง (ภาคกลาง),คำโคก(อีสาน,ขอนแก่น,เลย),หนาดแห้ง(โคราช),ผักกาดกบ(เพชรบูรณ์,เพชรบุรี),ผักกาดนกเขา(สุราษฎร์ธานี),หนิวเสอซันฉิ(จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gynura pseudochina (L.) DC. var. hispida Thwaites
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Gynura hispida Thw. ,Gynura bodinieri Levl.
ชื่อสามัญ –
วงศ์ COMPOSITAE (ASTERACEAE)
ถิ่นกำเนิดว่านมหากาฬ
สำหรับถิ่นกำเนิดของว่านมหากาฬนั้นยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าว่านมหากาฬ มีถิ่นกำเนิดในแถบอินโดจีน เช่นในประเทศ อินโดนีเซีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย เพราะมีการพบว่าว่านมหากาฬครั้งแรกบริเวณภูมิภาคนี้ และยังสามารถพบได้ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณในภูมิภาคนี้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยพบว่านมหากาฬได้ทั่วทุกภาคของประเทศแต่จะพบมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี และมักจะพบที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 200-500เมตร โดยพบในที่ร่มใต้ร่มไม้หรือที่โล่ง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก เมล็ดล่อน ปลายมีขน
ประโยชน์และสรรพคุณว่านมหากาฬ
ในปัจจุบันมีการนำว่านมหากาฬมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย เช่น นิยมใช้ปลูกลงแปลงประดับในสวน เพราะใบมีลวดลายสวยงาม ส่วนชาวลั้วะจะใช้ใบเพื่อนำไปประกอบอาหาร และชาวเมี่ยน ใช้ใบสดนำมารับประทานเป็นผักเครื่องเคียงร่วมกับลาบ
นอกจากนี้ มีการศึกษาวิจัยพบว่าว่านมหากาฬเป็นพืชที่สามารถสะสมโลหะหนักสังกะสีและแคดเมียมได้สูง ในอนาคตคาดว่าจะมีการนำมาใช้ปลูกเพื่อฟื้นฟูสภาพดินในเหมืองแร่ และฟื้นฟูสภาพดินที่ปนเปื้อนโลหะหนักเป็นต้น
สำหรับสรรพคุณทางยาของว่านมหากาฬนั้น ตามตำรายาไทยระบุว่า หัวมีรสเย็น ใช้ดับพิษร้อน พิษกาฬ พิษอักเสบ พิษเซื่องซึม แก้ไข้ แก้เพ้อ คลุ้มคลั่ง แก้พิษตานซาง แก้เริม งูสวัด แก้อาการกระสับกระส่าย รักษาแผลมดลูกในสตรี ช่วยขับประจำเดือน ใบสด ขับระดู ตำพอกฝี หรือหัวละมะลอก งูสวัด เริม ทำให้เย็น ถอนพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้อักเสบ ต้นและราก มีรสขม เป็นยาเย็น มีพิษเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อตับ ใช้เป็นยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้เซื่องซึม ทำให้เลือดเย็น และช่วยฟอกเลือด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ใช้คลายเส้น แก้ปวดเมื่อย ปวดบวม ฟกช้ำ
ลักษณะทั่วไปว่านมหากาฬ
ว่านมหากาฬจัดเป็นไม้ล้มลุก เลื้อยทอดไปตามพื้นดิน ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะของลำต้นสั้น และใหญ่อวบน้ำ มีตาอยู่โดยรอบ มีสีเขียวแกมม่วง สูง ประมาณ 40-60เซนติเมตร ไม่แตกกิ่งด้านข้าง มีหัวอยู่ใต้ดิน รากเนื้อนิ่มอ่อน เปลือกรากเป็นสีเหลือง ฉ่ำน้ำ เนื้อในเป็นสีขาว ยอดอ่อนมีขนสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว ดอกเรียงสลับ สีเขียวแกมม่วง มีลักษณะรูปช้อนแกมรูปขอบขนาน หรือเป็นรูปพิณ ยาวประมาณ 5-30 เซนติเมตรกว้างประมาณ 2-8เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบแหลม ส่วนขอบใบหยัก ใบแผ่ออกอยู่บนพื้นดิน แผ่นใบหนาและแข็ง ผิวใบทั้งด้านล่าง และด้านบนมีขนหนาแน่น มีก้านใบยาวประมาณ 1.5เซนติเมตร เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีขาว ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด มีก้านช่อดอกยาวประมาณ 30เซนติเมตร แทงขึ้นมาจากพื้นดิน ดอกย่อยออกเป็นช่อกระจุกแน่นบนช่อเชิงหลั่น 3-9ช่อ ยาว 1-1.5เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.6-0.8เซนติเมตร ก้านช่อดอกย่อยยาว 0.5-2เซนติเมตร ดอกมีสีส้มเหลือง มีหนามเล็ก ลักษณะเป็นฝอยคล้ายดอกดาวเรืองแต่มีขนาดเล็กกว่า ผิวดอกมีขน โคนก้านมีใบประดับรูปสามเหลี่ยมแคบ ยาวประมาณ 8.10มิลลิเมตร
การขยายพันธุ์ว่านมหากาฬ
ว่านมหากาฬสามารถขยายพันธุ์ตามธรรมชาติด้วยการงอกกอใหม่บริเวณรากที่แผ่ไปตามพื้นดิน หรือขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อใหม่จากโคนต้นเดิม สำหรับการปลูกนิยมใช้ส่วนหัวหรือเหง้าใหม่แบ่งปลูก และถึงการนำส่วนต้นอ่อนมาปักชำ สำหรับดินที่ใช้ควรเป็นดินร่วน หากเป็นดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดีอาจใช้เพียงดินเพียงส่วนเดียวก็ได้ แต่ก็ควรผสมปุ๋ยคอกหรือวัสดุการเกษตร เช่น แกลบ ขี้เถ้า ขี้เลื่อย ขุยมะพร้าว ในอัตราส่วนดิน:วัสดุ ที่ 1:1หรือ 2:1หากเป็นดินชนิดอื่น ควรใช้อัตราส่วนที่ 1:1หรือ 1:2 สำหรับการปลูกควรปลูกในทีร่ม เช่น ใต้ร่มไม้ใหญ่ ใต้สแลน หรือปลูกในที่ร่มที่ได้รับแสงเพียงพอ แต่ไม่มากนัก จะช่วยให้ดินไม่แห้ง และรักษาความชื้นได้ หลังการปลูกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1-2ครั้ง
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานการศึกษาวิจัยส่วนต่างๆ ของว่านมหากาฬว่าพบสาร Flavonoid , Quercetin , Quinic acid นอกจากนี้ยังพบสารประกอบต่างๆอีก เช่น Quercetin-rutinoside, 3,5-dicaffeoyl quinic acid (Isochlorogenic acid A) , 4,5-dicaffeoyl quinic acid (Isochlorogenic acid C) , 3-dicaffeoyl quinic acid, 5- dicaffeoyl quinic acid และสารกลุ่มAlcaioidอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ว่านมหากาฬใช้พอกแก้ฝีและแผลพุพอง โดยใช้ใบสดใช้โขลกผสมกับเหล้า ใช้พอกบริเวณที่เป็นหรือนำส่วนหัวใต้ดิน ล้างทำความสะอาด ตำพอกหรือฝนกับน้ำปูนใส ทาบริเวณที่เป็นฝีและแผลพุพอง วันละ 3-4ครั้ง ใช้รักษาเริมและงูสวัดโดยใช้ใบสด 5-6ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำในภาชนะทีสะอาด ใส่พิมเสนเล็กน้อย หรือใช้ใบสด 5-6ใบ โขลกผสมกับสุรา ใช้น้ำที่ได้ทา และพอกบริเวณที่เป็นด้วยก็ได้ ช่วยในการถอนพิษจากสัตว์ต่างๆ อาทิ แมงป่อง ตะขาบ ตัวต่อ แตน ผึ้ง ฯลฯ นำต้น หัวหรือใบสดมาบดประคบทาแผลบริเวณถูกต่อย หรือนำส่วนตากแห้งบดผสมน้ำประทาประคบแผล จะช่วยบรรเทาอาการปวด และทำลายพิษได้ ใช้บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด นำต้น หัวหรือดอก ตากแห้งแล้วบด นำมาต้มหรือชงเป็นชาดื่ม ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ ปวดบวม ด้วยการใช้ต้นสดนำมาตำให้พอแหลกผสมกับเหล้า ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็น
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สาร quercetin-rutinoside, 3,5-dicaffeoyl quinic acid, 4,5 dicaffeoyl quinic acid และ 3-, หรือ 5- caffeoyl quinic acid ที่สกัดได้จากส่วนใบว่านมหากาฬมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเมื่อทำการทดสอบในหลอดทดลอง (in vitro) คือมีผลยับยั้ง nuclear factor kappa B (NF-kB) โดยมีค่าปริมาณของสารที่มีผลยับยั้งการทำงานของโปรตีนลงครึ่งหนึ่ง (IC50)เท่ากับ 25-83 มคก./มล.
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเอทานอลจากใบว่านมหากาฬในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลใบว่านมหากาฬขนาด 0.16-20 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง interleukin-1-β (IL-1β) ในเซลล์เม็ดเลือดของมนุษย์ (human blood cells) ที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS)
การศึกษาทางคลินิก การศึกษาฤทธิ์รักษาโรคสะเก็ดเงินของว่านมหากาฬ ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนาระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง (mild to moderate plaque psoriasis) จำนวน 25คน ทั้งเพศชายและหญิง (อายุเฉลี่ย 48.6 ± 14 ปี) โดยทายาขี้ผึ้งที่มีสารสกัดเอทานอลจากใบว่านมหากาฬ (สัดส่วนสารสกัดต่อตัวทำละลายเท่ากับ 1:10) บริเวณแผลของผู้ป่วยด้านหนึ่งของร่างกาย ส่วนอีกด้านตรงข้ามทายา triamcinolone 0.1% เพื่อเปรียบเทียบ วันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ วินิจฉัยอาการของโรคด้วยแบบประเมิน Targeted Area Score (TAS), Psoriasis Severity Index (PSI) และ Physician’s Global Assessment (PGA) scores และทำการเก็บตัวอย่างผิวหนังทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลองเพื่อตรวจลักษณะทางพยาธิวิทยาด้วยเทคนิคimmunohistochemistry ผลการศึกษาพบว่า การทายาขี้ผึ้งสารสกัดว่านมหากาฬมีผลช่วยบรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงินได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนการรักษา และมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ยา triamcinolone 0.1% นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบของผิวหนังได้แก่NF-κB p65 และ Ki-67 และมีผลช่วยลดความหนาของชั้นผิวหนังกำพร้า (epidermal) บริเวณแผลสะเก็ดเงินได้
การศึกษาทางพิษวิทยา
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
- ตามตำรายาแพทย์แผนจีนระบุว่าต้นและรากของว่านมหากาฬมีพิษเล็กน้อย โดยจะออกฤทธิ์ต่อตับ ดังนั้นจึงต้องระวังในการใช้
- ในการใช้ว่านมหากาฬเพื่อหวังในสรรพคุณทางยา ควรใช้ในปริมาณที่พอดี ไม่ใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ และสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก disthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,150.00 | 27,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,759.00 | 26,666.44 | 27,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,583.10 | 23,999.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,407.20 | 21,333.15 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 792.00 | 12,006.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 616.00 | 9,338.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,823.00 | 27,636.68 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/01/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 23.25 | 23.25 | 23.55 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 | 23.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 22.98 | 22.98 | 23.28 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 | 22.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 21.74 | 21.74 | 22.04 | 21.74 | 21.74 | – | 21.74 | 21.74 | 21.74 | 21.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.84 | 18.84 | – | – | – | – | – | – | – | 18.84 |
เบนซิน 95 | 30.66 | – | – | – | 31.11 | – | 31.16 | 30.66 | – | 30.66 |
ดีเซล B7 | 24.19 | 24.19 | 24.49 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล | 21.19 | 21.19 | 21.49 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 | 21.19 |
ดีเซล B20 | 20.94 | 20.94 | 21.24 | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 | 20.94 | – | 20.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 28.64 | 28.66 | 30.94 | 30.04 | – | – | – | – | – | 28.64 |
แก๊ส NGV | 13.12 | 13.12 | – | – | – | – | – | – | – | 13.12 |