โควิดระลอกใหม่ ฉุดความเชื่อมั่น อสังหาฯ หวั่นติดลบซ้ำอีก 10%
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผย COVID-19 รอบใหม่ ฉุดความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาฯ อีกครั้ง หลังมาตรเพิ่งเริ่มฟื้นตัวดี เมื่อไตรมาส 4 ปี 2563 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หวั่นตลาดติดลบซ้ำอีก 10 %
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยพบว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 Current Situation Index ผู้ประกอบการฯมีภาวะความเชื่อมั่นดีขึ้น โดยมีดัชนีเท่ากับร้อยละ 46.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ร้อยละ 42.8) แต่ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 ติดต่อกัน 7 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประกาศใช้มาตรการ LTV ได้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการฯยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ผู้ประกอบการฯ ที่ดำเนินการสำรวจในช่วงปลายปี 2563 ซึ่งยังไม่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบสอง มีค่าเท่ากับร้อยละ 54.4 ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ (ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ร้อยละ 52.9) สูงกว่าค่ากลางที่ระดับร้อยละ 50.0 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบฯขณะนั้นเริ่มมีความหวังต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบสองนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการฯ ใน 6 เดือนแรกของปี 2564 ปรับตัวลดลงกว่าผลที่สำรวจข้างต้นได้
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปี 2563 ผู้ประกอบการยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แม้ว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯภาพรวมได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับร้อยละ 49.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 43.1 ขณะที่ผู้ประกอบการฯกลุ่ม Non-listed Companies กลับมีค่าดัชนีเท่ากับ 42.1 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 42.4 ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies จะมีระดับความเชื่อมั่นที่สูงกว่าร้อยละ 50 ในด้าน ยอดขาย การจ้างงาน และการเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่ผู้ประกอบการฯกลุ่ม Non-listed Companies ไม่มีความเชื่อมั่นด้านใดเลยที่เกินกว่าร้อยละ 50 ซึ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies จะเป็นผู้บทบาทหลักในการลงทุนและการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) มีค่าเท่ากับ 54.4 ที่เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสก่อนหน้า แสดงเห็นว่าในภาพรวมผู้ประกอบการมีมุมมองเชิงบวกสำหรับธุรกิจพัฒนาที่อยุ่อาศัยในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดว่าวัคซีนป้องกัน COVID-19 จะนำมาใช้อย่างกว้างขวางและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากขึ้น แต่จะเห็นได้ชัดว่า มุมมองเชิงบวกเช่นนี้ เป็นผลมาจากกลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies ที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับร้อยละ 59.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 58.0 แต่สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการฯ Non-listed Companies มีค่าดัชนีเพียงร้อยละ 46.5 แม้จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อยที่ระดับ 45.2 แต่ได้แสดงให้เห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการ Non-listed Companies ยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2564 ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies มีความเชื่อมั่นมากขึ้นชัดเจนในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านยอดขาย การลงทุน และการเปิดตัวโครงการใหม่
แต่ขอให้ขีดเส้นใต้ไว้หลายๆ เส้นว่า “การสำรวจความเชื่อมั่นฯนี้ ดำเนินการในช่วงปลายปี 2563 ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่” ดังนั้นจึงคาดได้ว่า ในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ปี 2563 นี้ ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการคงจะปรับลดลงจากการสำรวจช่วงปลายปีอย่างแน่นอน โดยเห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับการเปิดขายโครงการใหม่ เพื่อลดจำนวนอุปทานเหลือขายที่ยังมีอยู่มากในตลาด และรอดูผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากช่วงการสำรวจ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ประเมินว่า การเปิดตัวปี 2564 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนประมาณ 89,000 หน่วย แบ่งเป็นแนวสูง 36,000 -37,000 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 30-40% และแนวราบ 52,000 หน่วย แต่ถ้าโควิดยืดเยื้ออาจจะลดลงอีก 10,000 หน่วย เหลือ 79,000 หน่วย เท่ากับปีนี้จะอยู่ระหว่าง 79,000 -89,000 หน่วย สูงกว่าปี 2563 ที่เปิดรวม 71,500 หน่วย แม้ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการยังคงต้องเปิดตัวโครงการใหม่ เพราะสต็อกพร่องลงจากปีก่อน
โดยมีการคาดการณ์ผ่านการจำลองหลายสถานการณ์ (Scenario) เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงภาพรวมแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับดีที่สุด (best) คือ ตลาดจะโต 5-10% ระดับกลาง (base) ตลาดทรงตัวบวกลบไม่เกิน 0.5 % และระดับแย่ที่สุด (worst) ติดลบ 10 % เท่ากับปี 2563 เท่ากับภาพรวมตลาดทั่วประเทศลดลงถึง 20% ซึ่งรุนแรงพอควร เพราะต่ำสุดในรอบ 5 ปี ใกล้เคียงกับช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
“มีความเป็นไปได้ว่าปี 2564 จะติดลบถึง10 % ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะปีนี้กำลังซื้อที่อั้นอยู่อาจมีไม่มากเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบในแง่ของรายได้ต่อเนื่องมานาน ส่งผลให้ดีมานด์ใหม่ของที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบรุนแรง”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สายสีทอง บูม ‘เจริญนคร’
บทความ สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด
พื้นที่ตามแนวถนนเจริญนครอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงที่อยู่ทางทิศเหนือสะพานสาทรเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนเพราะเป็นทำเลที่มีโครงการคอนโดมิเนียมและคอมมูนิตี้มอลล์เปิดให้บริการต่อเนื่องในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา
แม้ว่าคอมมูนิตี้มอลล์อาจจะไปไม่รอด แต่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากลับกลายเป็น 1 ในทำเลที่น่าสนใจขึ้นมาอีกครั้งเพราะศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองที่เปิดให้บริการผู้ประกอบการให้ความสนใจและเข้าไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกันหลายโครงการ อีกทั้งยังมีโครงการมิกซ์-ยูสของไอคอนสยามที่กำลังก่อสร้างอยู่อีก 1 โครงการซึ่งมีทั้งโรงแรม ค้าปลีก และโค-เวิร์คกิ้ง สเปซ
ทั้งนี้พื้นที่ในช่วงที่ถนนเจริญนครลอดผ่านสะพานสาทรไปจนถึงจุดสิ้นสุดของถนนเจริญนครที่คลองดาวคะนองนั้น แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา อาจจะมีโครงการคอนโด มิเนียมเปิดขายบ้างโดยเฉพาะในพื้นที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็มีเพียงโครงการคอนโดมิเนียมเท่านั้นที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยน แปลงในพื้นที่ อาจจะมีโรงแรมบ้างแต่ก็เป็นโรงแรมระดับบนเพียง 1 โรงแรมในพื้นที่นี้ ร้านอาหารหรือโครงการพาณชิยกรรมอื่นๆ ก็มีไม่มากนัก แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะคึกคักมากขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก่อนสายสีทองเปิดให้บริการ แม้ตลอดแนวของถนนเจริญนครไม่มีเส้นทางรถไฟฟ้า แต่มีโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยเข้ามาทดแทน เป็นโครงการศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยที่ก่อสร้างบนที่ดินราชพัสดุขนาด 18 ไร่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา และถนนเจริญนคร มีอาคารสูงรวมกัน 6 อาคาร ทั้งโครงการมีพื้นที่ใช้สอยรวม 226,000 ตารางเมตรรองรับข้าราชการกว่า 5,000 คน
โดยทั้ง 6 อาคารจะเป็นสำนักงานของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย กรมที่ดิน กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมการพัฒนาชุมชน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้วยงบประมาณในการพัฒนาประมาณ 6 พันล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในปีพ.ศ. 2563-2564 และใช้เวลาในการก่อสร้างอีกประมาณ 2-3 ปี
ดังนั้น การมีคนเข้ามาในพื้นที่มากถึง 4-5 พันคนแบบนี้ย่อมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่แน่นอนในอนาคต โครงการเอเชียทีค 2 ที่เคยมีข่าวว่าจะมีการพัฒนาบนที่ดินขนาด 50 ไร่ที่อยู่ตรงข้ามเอเชียทีค 1 บนถนนเจริญกรุง เป็นอีก 1 โครงการที่คนในพื้นที่ตามแนวถนนเจริญนครรอคอยให้เป็นจริง
เพราะจะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นแบบพื้นที่ช่วงตั้งแต่สะพานสาทรขึ้นไปทางทิศเหนือถึงคลองสานบ้าง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปชัดเจน เมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองเปิดให้บริการการเปลี่ยนแปลงยิ่งเกิดขึ้นแบบชัดเจน เพราะคนจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางไปจากในอดีตเพราะเปลี่ยนมาใช้บริการเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองร้านค้า ร้านอาหาร หรือคอมมูนิตี้มอลล์ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน
ความหนาแน่นของร้านค้าอาจจะไปกระจุกตัวในพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าแทนที่จะกระจายอยู่รอบป้ายรถประจำทางแบบปัจจุบัน อีกทั้งผังเมืองกรุงเทพมหานครฉบับใหม่มีการจัดการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ตามแนวถนนเจริญนครให้มีศักยภาพสูงขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวถนนเจริญนครช่วงตั้งแต่สะพานสาทรขึ้นไปถึงคลองสาน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 29.96 บาทต่อดอลลาร์เคลื่อนไหวกรอบแคบ
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 29.96 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 29.99 บาท/ดอลลาร์
วันนี้คาดว่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ตลาดให้ความสนใจกับการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ชื่อว่า “American Rescue Plan” ของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจจากผลกระทบการระบาดโควิดในสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ตลาดยังให้ความสำคัญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดเช่นกัน
“น้องครีม” ไล่อัด “เนวาล” ลิ่วรอบ 8 คน “โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น”
ทั้งนี้ไฮไลต์อยู่ที่ ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธ์ มืออันดับ 12 ของโลก พบกับ ไซน่า เนวาล มืออันดับ 20 ของโลกจากอินเดีย เกมการแข่งขันออกมาสนุกสูสีตลอดเกมการแข่งขัน แต่เป็นทางด้าน ครีม บุศนันทน์ สามารถพลิกแซงกลับมาเอาชนะไปได้แบบสนุกสุดมัน 2-1 เกม 21-23 , 21-14 และ 21-16 ใช้เวลาแข่งขัน 68 นาที “ครีม” บุศนันทน์ ผ่านเข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับ เมียร์ บลิทเฟลท์ มืออันดับ 18 ของโลกจากเดนมาร์ก ที่เอาชนะ ไอริส หวัง มืออันดับ 50 ของโลกจากสหรัฐฯ มาได้ 2-0 เกม 21-12, 21-16
“เมย์” ศุภนิดา เกตุทอง มืออันดับ 46 ของโลก เอาชนะ อีฟเกนีย่า โคเซทสกาย่า มืออันดับ 25 ของโลกจากรัสเซีย ไปได้ 2-0 เกม 21-16, 21-8 ใช้เวลาแข่งขัน 29 นาที “เมย์” ศุภนิดา ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ คาโรลิน่า มาริน มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลกจากสเปน ที่เอาชนะ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 13 ของโลกมาได้แบบขาดลอย 2-0 เกม 21-8, 21-12 ใช้เวลาแข่งขัน 34 นาที
ประเภทคู่ผสมรอบเมนดรอว์รอบสอง (16 คู่) “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 44 ของโลก พ่ายให้กับ ปราวีน จอร์แดน กับ เมลาติ เดว่า อ๊อตตาเวียนติ คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากอินโดนีเซียไปแบบสนุกสูสี 0-2 เกม 14-21, 20-22 ใช้เวลาแข่งขัน 29 นาที
ประเภทชายเดี่ยวรอบเมนดรอว์รอบสอง(16 คน) “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 29 ของโลก พ่ายให้กับ แอนโทนี่ ซินนิซุกะ กินติ้ง มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลกจากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 16-21 ,19-21 ใช้เวลาแข่งขัน 42 นาที, “เพชร” โฆษิต เพชรประดับ มืออันดับ 33 ของโลก พ่ายให้กับ ราสมุส เกมเก้ มืออันดับ 17 ของโลกจากเดนมาร์ก ไปอย่างขาดลอย 0-2 เกม 20-22 , 8-21 ใช้เวลาแข่งขัน 49 นาที , “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 15 ของโลก พ่ายให้กับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น มือวาง 4 ของรายการ มืออันดับ 4 ของโลกจากเดนมาร์ก 0-2 เกม 13-21,17-21 ใช้เวลาแข่งขัน 41 นาที
ประเภทหญิงคู่รอบเมนดรอว์รอบสอง(16 คู่) “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธารากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มืออันดับ 11 ของโลก เอาชนะ อีมีลี่ ลาเฟล กับ แอนเน่ ทรานส์ คู่มืออันดับ 30 ของโลกจากฝรั่งเศส ไปแบบง่ายดาย 2-0 เกม 21-9 และ 21-13 ใช้เวลาแข่งขัน 39 นาที “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กับ “วิว” รวินดา ผ่ายเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ ลักษิกา กัลละหะ กับ อทิตยา โปวานนท์ ที่ชนะผ่าน ยูกิ ฟูกูชิมะ กับ ซายากะ ฮิโรตะ คู่มือวาง 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 1 ของโลกจากญี่ปุ่น หลังจากทีมญี่ปุ่นได้ถอนตัวออกจากการแข่งขันทั้งทีม , “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย กับ “เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล คู่มืออันดับ 20 ของโลก พ่ายให้กับ เกรเซีย โพลี่ กับ อาพรียานี่ ราฮายู คู่มือวาง 5 ของรายการ คู่มืออันดับ 8 ของโลกจากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 18-21 ,13-21 ใช้เวลาแข่งขัน 58 นาที
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “ผลงานโดยรวมของนักกีฬาไทยวันนี้ ทำได้ดีตามเป้าหมาย เริ่มจาก ประเภทหญิงเดี่ยว “เมย์” ศุภนิดา สามารถผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปได้ ในขณะที่ “ครีม” ทำได้ดี ใช้ความสด สดกว่า เล่น มาราธอนปราบเนวาลไปได้ โดยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ส่วนในประเภทชายเดี่ยว ทั้งสองคนทั้ง “กัน” และ “วิว” ทำผลงานได้ดีเพียงแต่ต้องยอมรับว่า “วิว” โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการเล่นและชั้นเชิงฝีมือเพียงแต่ว่าเป็นรอง กินติ้ง ในจังหวะเกมบุก ขณะที่ “กัน” ผลงานการฝึกซ้อมภายใต้ระบบใหม่ โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมกับเกมการเล่นหน้าเนตที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของวิคเตอร์ได้”
“ในประเภทหญิงคู่ ก็เป็นไปตามคาดหมาย “กิ๊ฟวิว” สามารถเอาชนะคู่จากฝรั่งเศสได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในขณะที่ “บาสปอป้อ” ก็เป็นอีกครั้งที่โชว์ให้เห็นมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม แก้ไขสถานการณ์ที่ตกเป็นรองในเกมแรก แล้วมาชนะในสองเกมหลัง ส่วน “หมิว” ต้องยอมรับว่าวันนี้มารีนมาดีจริงๆ ทั้งความเร็ว ความหนัก ทำให้เราต้านทานไม่ไหว”
ขณะที่ ไซนา เนห์วาล นักแบดมินตัน หญิงเดี่ยว มืออันดับ 20 โลกจากอินเดีย ที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันแบดมินตันในอีก 2 รายการที่เหลือในประเทศไทยได้ หลังจากผลการตรวจโควิด-19 ครั้งล่าสุดออกมาเป็นลบ เผยผ่าน sntv.com กล่าวชมรัฐบาลไทยที่ทำให้การแข่งขันแบดมินตันเดินหน้าต่อไป รู้สึกปลอดภัยกับการเป็นเจ้าภาพของไทย ทุกอย่างยอดเยี่ยม ขอปรบมือให้ฝ่ายจัดที่จัดการทุกอย่างได้ดี โดยเฉพาะการป้องกันโควิด-19 โดยกล่าวว่า คิดว่าบางสิ่งยังเป็นอันตราย โลกต้องเจ็บปวดจากโควิด และในความเป็นจริงคือตนเองก็เจ็บปวดกับมันมาในช่วงเดือนrพฤศจิกายน และในอินเดียอย่างที่คุณทราบว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก
“ฉันรู้สึกดีกับแนวทางที่สหพันธ์แบดมินตันโลกจัดการแข่งขันอีกครั้ง ขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ทำให้การแข่งขันนี้เดินหน้าต่อไป มันไม่ใช่งานง่าย แต่ทุกคนรวมทั้งฉันเองยินดีมากๆ นักกีฬารู้สึกปลอดภัย ทุกอย่างยอดเยี่ยม ต้องปรบมือให้กับฝ่ายจัดการแข่งขันที่จัดการทุกอย่างได้อย่างดี” เนห์วาล กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ตัวเลือกแก้อาการ “เจ็บคอ” ยาแก้อักเสบ vs ตัวช่วยจากธรรมชาติ
อุณหภูมิเย็นๆ เป็นใจให้อาการเจ็บคอก่อตัวขึ้นง่ายๆ ซึ่งหลายคนคิดว่าอาการเจ็บคอเกี่ยวข้องกับคออักเสบ จึงหา “ยาแก้อักเสบ” มากิน โดยหารู้ไม่ว่ายาแก้อักเสบคือยาปฏิชีวนะที่มีประโยชน์ในการบำบัดโรคติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ในการแก้อักเสบที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ และการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น นอกจากจะทำให้เกิดความสิ้นเปลืองแล้ว ในระยะยาวยังอาจเกิดโทษต่อร่างกาย เช่น ส่งเสริมให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา การแพ้ยา การเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้อีกด้วย ดังนั้น เราจึงควรรู้ก่อนว่าที่เจ็บคออยู่นั้นเป็นเพราะอะไร
สำหรับสาเหตุที่พบบ่อยของอาการเจ็บคอ ได้แก่
- คออักเสบจากเชื้อไวรัส/ไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอเล็กน้อย ตรวจดูภายในลำคอ ไม่พบว่ามีทอนซิลโตและผนังคอหอยไม่มีลักษณะอักเสบ (คือไม่พบว่ามีสีแดงกว่าปกติ) ในกรณีที่เป็นไข้หวัด จะมีอาการเจ็บคอในลักษณะดังกล่าวในวันแรกๆ และต่อมาเมื่อมีอาการน้ำมูกไหล อาการเจ็บคอมักจะทุเลาไปเอง
- ทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจดูภายในลำคอพบทอนซิลบวมโต ออกสีแดงจัดและอาจมีจุดหนองอยู่บนทอนซิล
กรณีเจ็บคอโดยไม่มีไข้
- โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย และมักมีอาการคันคอ คันจมูก จาม น้ำมูกใสๆร่วมด้วย เวลาสัมผัสถูกสิ่งที่แพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร อากาศเย็น เป็นต้น มักมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
- การระคายเคือง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย เวลาถูกสิ่งระคายเคือง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เป็นต้น เมื่อละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ทุเลาไปเอง
- แผลร้อนใน (แผลแอฟทัส) เมื่อเกิดขึ้นที่คอหอย ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคออย่างมาก จนกลืนและพูดลำบาก ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บทั่วลำคอ แต่สามารถบอกชี้ได้ว่ามีจุดที่เจ็บตรงไหนได้ชัดเจน อาการเจ็บจะเป็นมากที่สุดใน 3-4 วันแรก หลังจากนั้นจะเจ็บน้อยลง และค่อยๆทุเลาไปได้เองภายใน 7-10 วัน
- โรคกรดไหลย้อน มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป (ส่วนน้อยอาจพบในวัยหนุ่มสาว) ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า อาจมีอาการเสียงแหบหรือไอร่วมด้วย พอสายๆ ก็ทุเลาไป มักเป็นทุกวัน เรื้อรังเป็นแรมเดือน หรือจนกว่าได้รับการบำบัดรักษา บางคนอาจมีอาการเจ็บลิ้นปี่หลังกินอาหารร่วมด้วย
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการเจ็บคอ สามารถปฎิบัติตัวดังนี้
การดูแลเบื้องต้น
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ โดยผสมเกลือป่น 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง
- หากมีน้ำมูกใสหรือมีอาการของโรคภูมิแพ้ ให้กินยาแก้แพ้-คลอร์เฟนิรามีน
- หากมีไข้หรือเจ็บคอมาก ให้กินพาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง
- งดการดื่มเหล้า และสูบบุหรี่
- หากไม่ทุเลาใน 4 วัน ควรไปพบแพทย์
กรณีที่ควรไปพบแพทย์
- มีไข้สูง และเจ็บคอมาก
- มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
- มีอาการเจ็บคอทุกวันเกิน 1 สัปดาห์
- คลำได้ก้อนแข็งที่ข้างคอ
ตัวช่วยจากธรรมชาติเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
ดื่มน้ำอุ่น การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยลดการระคายเคือง ช่วยละลายเสมหะ และทำให้รู้สึกสบายคอ ช่วยลดการอักเสบลงได้ เพราะเมื่อร่างการได้รับน้ำอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นเพียงพอ สามารถต่อสู้กับแบคทีเรียได้ดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ความรู้สึกภาษาอังกฤษ และอารมณ์ต่างๆ กว่า 70 คำไว้บอกความรู้สึกของคุณ
ความรู้สึกภาษาอังกฤษคือ Feeling (ฟี๊ลลิง) ส่วนคำว่าอารมณ์ภาษาอังกฤษคือ Emotion (อิโม๊เชิน) คุณรู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับความรู้สึกและอารณ์กันมากน้อยแค่ไหนกันเอ่ย วันนี้เราจะมาเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องให้กระจ่างๆไปเลย คัดมาเฉพาะคำที่สำคัญๆ ได้ทั้งสิ้น 73 คำศัพท์ด้วยกัน
ความรู้สึกและอารมณ์ภาษาอังกฤษ (Feeling and Emotion)
อารมณ์ (Emotion) หมายถึงประสบการณ์ในความรู้สำนึกและอัตวิสัยที่ถูกกำหนดลักษณะเฉพาะโดยการแสดงออกทางจิตสรีรวิทยา ปฏิกิริยาทางชีววิทยา และสภาพจิตใจ *
ส่วนความรู้สึกนั้น (Feeling) จะถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ ทั้งระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ผ่านอย่างน้อย 30 ประสาทเคมี ซึ่งทำปฏิกิริยาเดี่ยวหรือร่วมกันอย่างซับซ้อน **
สิ่งที่ถูกรู้ หรือถูกรับรู้, สิ่งที่ยึดหน่วงจิตโดยผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์.
afraid อ่านว่า (อะเฟร๊ด) แปลว่า กลัว
angry อ่านว่า (แอ๊งกริ) แปลว่า โกรธ
anxious อ่านว่า (แอ๊งเชิส) แปลว่า กังวลใจ
ashamed อ่านว่า (อะเช๊มดึ) แปลว่า อับอาย
awkward อ่านว่า (อ๊อคเวิด) แปลว่า งุ่มง่าม
bashful อ่านว่า แบ๊ชเฟิล แปลว่า อาย
bored อ่านว่า (บอด) แปลว่า เบื่อ
brave อ่านว่า (เบรฝ) แปลว่า กล้าหาญ
calm อ่านว่า (คาม) แปลว่า ใจเย็น
cautious อ่านว่า (ค๊อเชิส) แปลว่า ระมัดระวัง
comfortable อ่านว่า (คั๊มฟทะเบิล) แปลว่า สบายใจ
confident อ่านว่า (ค๊อนฟิเดินท) แปลว่า มั่นใจ
confused อ่านว่า (เคินฟิ๊วซทึ) แปลว่า สบสน
content อ่านว่า (เคินเท๊นท) แปลว่า พึงพอใจ
crazy อ่านว่า (เคร๊ซิ) แปลว่า บ้าคลั่ง
cross อ่านว่า (คร็อส) แปลว่า โกรธ
curious อ่านว่า (คิ๊วเรียส) แปลว่า อยากรู้อยากเห็น
delighted อ่านว่า (ดิไล๊ทิด) แปลว่า ยินดีปรีดา
depressed อ่านว่า (ดิพร๊สท) แปลว่า สิ้นหวัง
disappointed อ่านว่า (ดิสซะพ๊อยทิด) แปลว่า เสียใจ, ผิดหวัง
discouraged อ่านว่า (ดิสเก๊อะริจ) แปลว่า ท้อแท้
disgusted อ่านว่า (ดิสกั๊สติด) แปลว่า ขยะแขยง
distressed อ่านว่า (ดิสเตร็ส) แปลว่า เป็นทุกข์
down อ่านว่า (ดาวน์) แปลว่า เศร้า
eager อ่านว่า (อิ๊เกอะ) แปลว่า กระตือรือร้น
embarrassed อ่านว่า (อิมแบ๊เริสท) แปลว่า น่าอับอาย, ขายหน้า
enraged อ่านว่า (อินเร๊จดึ) แปลว่า โกรธแค้น
excited อ่านว่า (อิกไซ๊ทิด) แปลว่า ตื่นเต้น
exhausted อ่านว่า (อิกส๊อซติด) แปลว่า หมดเรี่ยวแรง
fearful อ่านว่า (เฟี๊ยเฟิล) แปลว่า กลัว
frightened อ่านว่า (ไฟร๊เทินดึ) แปลว่า ตกใจกลัว
frustrated อ่านว่า (ฟรั๊สเตรทิด) แปลว่า หงุดหงิด
funny อ่านว่า (ฟั๊นนิ) แปลว่า ขบขัน
furious อ่านว่า (ฟิ๊วเรียส) แปลว่า โกรธจัด
glad อ่านว่า (แกลด) แปลว่า ดีใจ
greedy อ่านว่า (กรี๊ดิ) แปลว่า โลภ
guilty อ่านว่า (กิ๊ลทิ) แปลว่า รู้สึกผิด
happy อ่านว่า (แฮ็พพิ) แปลว่า มีสุข
hesitant อ่านว่า (เฮ๊สิเทินท) แปลว่า ลังเล
hopeful อ่านว่า (โฮ๊พเฟิล) แปลว่า มีหวัง
hopeless อ่านว่า (โฮ๊พลิส) แปลว่า หมดหวัง
horrible อ่านว่า (ฮ๊อเรอะเบิล) แปลว่า น่ากลัว
hurt อ่านว่า (เฮิท) แปลว่า เจ็บปวด
impatient อ่านว่า (อิมเพ๊เชินท) แปลว่า ใจร้อน, ไม่อดทด
inferior อ่านว่า (อินเฟี๊ยเรีย) แปลว่า ด้อยค่า
irritated อ่านว่า (อิ๊ริเทททิด) แปลว่า รำคาญ
jealous อ่านว่า (เจ๊เลิส) แปลว่า อิจฉา
joyful อ่านว่า (จ๊อยเฟิล) แปลว่า เบิกบานใจ
lazy อ่านว่า (เล๊ซิ) แปลว่า ขี้เกียจ
lonely อ่านว่า (โล๊นลิ) แปลว่า อ้างว้าง
loving อ่านว่า (ลั๊ฝวิง) แปลว่า น่ารัก
mad อ่านว่า (แมด) แปลว่า โกรธ
mean อ่านว่า (มีน) แปลว่า ใจร้าย
moody อ่านว่า (มู๊ดดิ) แปลว่า เจ้าอารมณ์
nervous อ่านว่า (เนิ๊ฝเวิส) แปลว่า ประหม่า
patient อ่านว่า (เพ๊เชินท) แปลว่า ใจเย็น, มีความอดทน
playful อ่านว่า (เพล๊เฟิล) แปลว่า ช่างเล่น, สนุกสนาน
pleased อ่านว่า (พลีสดึ) แปลว่า ยินดี
proud อ่านว่า (เพราดึ) แปลว่า ภูมิใจ
reluctant อ่านว่า (ริลั๊คเทิน) แปลว่า ลังเลใจ
resentful อ่านว่า (ริเซ็นเฟิล) แปลว่า ขุ่นเคือง
restless อ่านว่า เร็สเลิส แปลว่า กระวนกระวาย
sad อ่านว่า (แซด) แปลว่า เศร้าใจ
safe อ่านว่า (เซฟ) แปลว่า ปลอดภัย
scared อ่านว่า (สแกด) แปลว่า กลัว
shocked อ่านว่า (ช็อคท) แปลว่า ช็อค
shy อ่านว่า (ชาย) แปลว่า เขินอาย
sleepy อ่านว่า (สลี๊พพิ) แปลว่า ง่วงนอน
stressed อ่านว่า (สเตร็สท) แปลว่า เครียด
surprise อ่านว่า (เซอะไพร๊ซ) แปลว่า ประหลาดใจ
terrified อ่านว่า (เท๊เรอะไฟด) แปลว่า กลัว
tired อ่านว่า (ท๊ายเยิด) แปลว่า เหนื่อย
worried อ่านว่า (ว๊อริด) แปลว่า กังวล
ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
“อาลีบาบา”เผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
สถาบันอาลีบาบา ต๋าโม๋ (Alibaba DAMO Academy) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยระดับโลกของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้เผยแพร่ทิศทางของเทรนด์เทคโนโลยีชั้นนำ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในช่วงหลายปีข้างหน้านี้
นับตั้งแต่เรื่องวัสดุสำหรับผลิตเซมิคอนดักเตอร์ รุ่นที่ 3 และการวิจัยทางการแพทย์และการพัฒนาวัคซีนด้วยปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงการเสริมประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการข้อมูลแบบอัตโนมัติ และเกษตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ เหล่านี้เป็นเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดที่คาดว่าจะเข้ามาผลักดันและสร้างผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
และนี่คือไฮไลท์ของ 10 เทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในปี 2564 จากการคาดการณ์โดยสถาบัน
เทรนด์ที่ 1 การใช้วัสดุผลิตเซมิคอนดักเตอร์ รุ่นที่ 3 คือ GaN และ SiC จะขยายไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ
วัสดุผลิตเซมิคอนดักเตอร์ รุ่นที่ 3 ที่ใช้แกลเลียม ไนไตรด์ หรือ GaN และซิลิคอน คาร์ไบด์ หรือ SiC ซึ่งทนต่ออุณหภูมิความร้อนสูง แรงดันสูง ความถี่ในการใช้งานสูง ไฟฟ้าแรงดันสูง และกัมมันตภาพรังสีสูงได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการนำวัสดุเหล่านี้มาใช้ยังจำกัดอยู่ในวงแคบ เนื่องจากขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อนและมีราคาแพง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเติบโตด้านวัสดุและการผลิตอุปกรณ์ที่ก้าวกระโดด ได้ช่วยให้ค่าใช้จ่ายของวัสดุผลิตเซมิคอนดักเตอร์ รุ่นที่ 3 มีราคาถูกลง การนำไปใช้ในด้านอื่นๆ จึงเป็นไปได้มากขึ้น เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ SiC เป็นหลัก ถูกนำไปใช้ในมอเตอร์อินเวอร์เตอร์ของรถยนต์ และการผลิตสายชาร์จไฟฟ้าเร็วที่ใช้ GaN เป็นพื้นฐาน ได้เริ่มเกิดขึ้นในตลาด ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ เราจะได้เห็นการเริ่มนำวัสดุผลิตเซมิคอนดักเตอร์ รุ่นที่ 3 ไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น สถานีกระจายสัญญาณ 5 จี รถยนต์ที่ใช้พลังงานแบบใหม่ และระบบส่งไฟฟ้าแรงดันสูงมาก รวมถึงศูนย์ข้อมูล
เทรนด์ที่ 2 การแก้ไขความพลาดด้านควอนตัม และประโยชน์ใช้งานของการประมวลผลแบบควอนตัม จะมีความสำคัญที่สุดในยุคหลัง Quantum Supremacy
ปี 2563 เป็นปีที่แรกหลังจากที่โลกประสบความสำเร็จในการนำควอนตัมคอมพิวเตอร์มาแก้โจทย์ปัญหาที่โดยปกติแล้วไม่สามารถแก้ได้ด้วยคอมพิวเตอร์ทั่วไป หรือที่เรียกว่า quantum supremacy ในปี 2563 นักลงทุนทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาในตลาดการประมวลผลด้วยควอนตัม จนทำให้เทคโนโลยีและอีโคซิสเท็มที่เกี่ยวข้องเติบโตตามไปด้วย รวมถึงมีแพลทฟอร์มประมวลผลด้วยควอนตัมก้าวขึ้นมามีบทบาทเด่น ในปี 2564 เทรนด์นี้จะได้รับความสนใจมากขึ้นจากทุกส่วนในสังคม ดังนั้นการประมวลผลแบบควอนตัมจึงต้องทำผลงานให้ได้เทียบเท่ากับความคาดหวังที่ได้รับ ภารกิจในยุคหลัง quantum supremacy จึงต้องสอดคล้องกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม นั่นคือการนำมาใช้แก้ไขปัญหาด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่มีความสำคัญโดยใช้นวัตกรรมที่ทำงานประสานกัน และการกรุยทางไปสู่การแก้ไขข้อผิดพลาดด้านควอนตัมรวมถึงการนำมาใช้ประโยชน์อื่นๆ ซึ่งสองเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการประมวลผลควอนตัมตอนนี้
เทรนด์ที่ 3 วัสดุคาร์บอนที่แปลกใหม่ จะกระตุ้นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยืดหยุ่น
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่น จะให้สมรรถนะที่คงทนแม้จะมีการบิดเบี้ยวทางเทคนิก เช่น การงอ ม้วน หรือยืดออก อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะกับการใช้งานในอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ หรือ wearable device, ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ และจอภาพแบบยืดหยุ่น วัสดุยืดหยุ่นในอดีตมีการใช้จำกัดเนื่องจากไม่มีความยืดหยุ่นมากพอ หรือไม่สามารถทดแทนคุณสมบัติทางไฟฟ้าของวัสดุแข็งที่ทำจากซิลิคอนได้ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การคิดค้นวัสดุคาร์บอนแบบก้าวกระโดด ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยืดหยุ่นก้าวข้ามคุณสมบัติเดิมๆ ของตัวมันเองได้ เช่น ปัจจุบันท่อคาร์บอนขนาดนาโนได้ถูกนำมาใช้ในการผลิตวงจรรวมขนาดใหญ่ที่ให้สมรรถนะการทำงานดีกว่าวงจรซึ่งผลิตจากซิลิคอนในขนาดเดียวกัน นอกจากนี้การ์ฟีน (Garphene) ซึ่งเป็นวัสดุคาร์บอนที่มีศักยภาพสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยืดหยุ่น ก็สามารถผลิตแบบปริมาณมากได้แล้ว
เทรนด์ที่ 4 ปัญญาประดิษฐ์ผลักดันการวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์และวัคซีน
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการตีความภาพถ่ายทางการแพทย์และจัดการข้อมูลสถิติทางการแพทย์ ส่วนการนำมาใช้เพื่อพัฒนาวัคซีนและการวิจัยทางคลินิกของยายังคงอยู่ในขั้นนำร่อง การเกิดขึ้นของอัลกอริธึ่มใหม่ในปัญญาประดิษฐ์และประสิทธิภาพการประมวลผลที่สูงขึ้น ทำให้เราสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาใช้วิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์และวัคซีนได้ง่ายขึ้น ต่างจากเดิมที่ต้องใช้เวลามากและมีราคาสูง ตัวอย่างของงานที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ เช่น การคัดกรองความเสี่ยงคนจำนวนมาก การสร้างโมเดลจำลองของโรค การระบุผู้ติดเชื้อ การคิดค้นสารต้นแบบ และการพัฒนายาต้นแบบ โดยการนำมาใช้งานแบบบูรณการจะลดงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการวิจัยและพัฒนา ผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือประชาชนทั่วไปที่จะได้รับการดูแลรักษาทางการแพทย์และยาที่ดียิ่งขึ้นในเร็วๆ นี้
เทรนด์ที่ 5 เทคโนโลยีการเชื่อมต่อระหว่างสมองและคอมพิวเตอร์ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์
เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อการทำงานของสมองและคอมพิวเตอร์มีความสำคัญต่อปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างมนุษย์และจักรกล และการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเครื่องจักร เทคโนโลยีนี้เป็นเสาหลักและแรงขับเคลื่อนในวิศวกรรมระบบประสาท มันจะวิเคราะห์การทำงานของสมองมนุษย์ในมุมที่ลึกขึ้น การเชื่อมต่อระหว่างสมองและคอมพิวเตอร์นี้สร้างเส้นทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างสมองและอุปกรณ์ภายนอก มันจะรับข้อมูล วิเคราะห์ และแปลสัญญาณสมอง เพื่อใช้ควบคุมเครื่องจักร ในอนาคตเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระหว่างสมองและคอมพิวเตอร์จะทำให้การควบคุมแขนกลหุ่นยนต์มีความแม่นยำมากขึ้น และช่วยเหลือผู้ป่วยที่รู้สึกตัวแต่ไม่สามารถพูดหรือขยับได้ ให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดทางร่างกาย
เทรนด์ที่ 6 การประมวลผลข้อมูลจะกลายเป็นอัตโนมัติและเรียนรู้ด้วยตนเอง
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของการประมวลผลแบบคลาวด์ และการเติบโตของปริมาณข้อมูลแบบทวีคูณ ทำให้เกิดความท้าทายที่น่าวิตกด้านระบบประมวล และค่าใช้จ่ายเพื่อเก็บข้อมูล รวมถึงการบริหารจัดการคลัสเตอร์ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบดั้งเดิม การบริหารจัดการและปรับแต่งด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลาย ดังนั้นการออพติไมซ์ระบบบริหารจัดการข้อมูลแบบอัตโนมัติด้วยปัญญาประดิษฐ์ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการประมวลผลข้อมูลในอนาคต ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ด้วยตนเองจะถูกนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การแยกข้อมูลที่ใช้งานบ่อยและไม่บ่อยออกจากกัน การตรวจจับความผิดปกติ การสร้างโมเดลอัจฉริยะ การวางแผนทรัพยากร การปรับพารามีเตอร์ การทดสอบความทนทานของระบบ และการแนะนำดัชนี (index recommendation) วิธีนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการคำนวณ ประมวลผล จัดเก็บ การดำเนินงานและบำรุงรักษา ระบบบริหารจัดการข้อมูลอัตโนมัติที่เรียนรู้ด้วยตนเองจะถูกพัฒนาให้เกิดขึ้น
เทรนด์ที่ 7 เทคโนโลยีที่รองรับคลาวด์จะเปลี่ยนโฉมหน้าระบบไอที
วงจรการพัฒนาสินค้าที่ยาวและประสิทธิภาพในการวิจัยและพัฒนาที่ต่ำของการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิม เป็นปัญหาที่มีมาช้านาน แต่สถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาให้รองรับคลาวด์ได้ตั้งแต่ต้น ทั้งการกระจายข้อมูล การปรับแต่งขนาดได้ และมีความยืดหยุ่น จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว สถาปัตยกรรมนี้ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการและใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และทรัพยากรประมวลผลคลาวด์ที่มีหลายแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สถาปัตยกรรมที่รองรับคลาวด์ได้ตั้งแต่ต้น ทั้งระเบียบวิธี ชุดเครื่องมือ ขั้นตอน ผลิตภัณฑ์ และเทคนิก ทำให้ผู้พัฒนาไม่ต้องกังวลและใช้เวลาไปกับการพัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่เท่านั้น ในอนาคตทั้งชิพ แพลตฟอร์มการพัฒนา แอปพลิเคชั่น และแม้แต่คอมพิวเตอร์ จะพร้อมรองรับคลาวด์ตั้งแต่ต้น ประโยชน์ของเทคโนโลยีที่พร้อมรองรับคลาวด์ตั้งแต่ต้นนี้มีมากมายเกินกว่าจะแจกแจง ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีนี้ช่วยจัดระเบียบส่วนต่างๆ ที่ทำงานหลายชั้นในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ และระบบปฏิบัติการ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผล เพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยี ลดข้อจำกัดในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนคลาวด์ และขยายขอบเขตการใช้งานแอพพลิเคชั่น
เทรนด์ที่ 8 เกษตรกรรมจะถูกขับเคลื่อนโดยข้อมูลอัจฉริยะ
การทำเกษตรแบบดั้งเดิมต้องประสบปัญหาจากการใช้พื้นที่ที่ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดการเชื่อมต่อระหว่างผู้ผลิตและผู้ขาย ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึงอินเตอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT) ปัญญาประดิษฐ์ และการประมวลผลแบบคลาวด์ ได้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร นับตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ไปจนถึงการจำหน่ายให้ผู้บริโภค เซ็นเซอร์รุ่นใหม่ช่วยเก็บข้อมูลจากไร่นาได้แบบเรียลไทม์ การวิเคราะห์บิ๊กดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ช่วยผลักดันการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ทางเกษตรกรรม เกษตรกรสามารถตรวจดูพืชผล ปรับปรุงพันธุ์ได้อย่างแม่นยำ และจัดสรรทรัพยากรในสภาพแวดล้อมได้ตามความต้องการ นอกจากนี้เทคโนโลยี เช่น 5 จี IoT และบล็อกเชน ยังถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมและติดตามการขนส่งพืชผลทางการเกษตร และสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและการขนส่ง เทคโนโลยีดิจิทัลรุ่นใหม่เหล่านี้ทำให้เกษตรกรรมจะไม่ต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศอีกต่อไป และจะถูกขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะแทน
เทรนด์ที่ 9 อุตสาหกรรมอัจฉริยะ ก้าวกระโดดจากการใช้งานกระจุกตัวไปเป็นการใช้งานในวงกว้างทั้งอุตสาหกรรม
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอัจฉริยะถูกนำมาใช้ในงานบางประเภทเท่านั้น เนื่องจากมีราคาสูงและซับซ้อน และข้อมูลจากฝั่งผู้ผลิตแยกส่วนกัน รวมทั้งอีโคซิสเท็มยังไม่พร้อม แต่หลังจากการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ความยืดหยุ่นอย่างมากของเศรษฐกิจดิจิทัลทำให้องค์กรต่างหันมาสนใจ จนทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาและขยายวงอย่างรวดเร็ว และมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากมาย ปัจจัยเหล่านี้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรมอัจฉริยะก้าวกระโดดจากการใช้งานกระจุกตัว ไปเป็นการใช้งานในวงกว้างทั้งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีระบบไอทีเต็มขั้นแล้ว อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าคุณภาพสูง เหล็ก ปูน และเคมี อุตสาหกรรมอัจฉริยะจะถูกนำไปใช้ในทุกที่และช่วยในการตัดสินใจในอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้อย่างครบวงจร มันจะสร้างผลกระทบในวงกว้าง และถูกประยุกต์ใช้กับซัพพลายเชน การผลิต การบริหารจัดการสินทรัพย์ โลจิสติกส์ และการขาย
เทรนด์ที่ 10 ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเมืองในอนาคต
โครงการเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart city เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อทศวรรษก่อน และจุดประกายให้เกิดการพัฒนาสำคัญในการดูแลเมืองด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 เมืองอัจฉริยะหลายแห่งต้องประสบปัญหา จึงเป็นที่มาว่าทำไมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent operations center) จึงได้รับการยอมรับ และถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้ทรัพยากรข้อมูล และสนับสนุนบริการสาธารณะและการดูแลเมืองทั่วโลกอย่างละเอียดแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ปัญญาประดิษฐ์ของ IoT หรือ Artificial Intelligence of Things (AIoT) ยังถูกพัฒนาจนเต็มขั้นและนำไปใช้แพร่หลาย ส่วนเทคโนโลยีการประมวลผลเชิงพื้นที่ก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะสามารถมองแต่ละเมืองเป็นระบบที่หลอมรวมกัน และนำเสนอความสามารถด้านบริการที่ครอบคลุมทั้งเมืองได้ ศูนย์ปฏิบัติอัจฉริยะจะกลายเป็นโครงการสร้างพื้นฐานดิจิทัลของเมืองในอนาคต
เก๊กฮวย สรรพคุณไม่ธรรมดา จัดเป็นยากลิ่นหอม สมุนไพรดับร้อนให้ร่างกาย
ดอกเก๊กฮวยที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสีสวย สรรพคุณของเก๊กฮวยก็ใช่ว่าจะน้อยหน้ารสชาติและกลิ่นหอม ๆ ล้อมรอบไปด้วยประโยชน์ดีต่อสุขภาพ !
เก๊กฮวย สรรพคุณสมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้มีไว้ทำเครื่องดื่มแก้กระหายอย่างเดียว แต่ดอกเก๊กฮวยที่นำมาต้มเป็นชาเก๊กฮวยก็ดี หรือน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพก็ดี ล้วนแล้วแต่แฝงสรรพคุณเป็นยามาด้วย และหากอยากรู้จักสรรพคุณของเก๊กฮวยให้ถ่องแท้ ลองอ่านบทความด้านล่าง แล้วไปหาน้ำเก๊กฮวยดื่มกันเลย !
เก๊กฮวยเป็นดอกไม้ตระกูลเดียวกับดอกทานตะวันและดอกดาวเรือง เก๊กฮวยในภาษาจีนเรียกว่า จวี๋ฮัว ถ้าแปลเป็นไทยก็จะเรียกกันว่า ดอกเบญจมาศสวน หรือดอกเบญจมาศหนู ส่วนเก๊กฮวยในภาษาอังกฤษ มีชื่อว่า Chrysanthemum
ชื่อวิทยาศาสตร์ของเก๊กฮวยนั้นเรียกต่างออกไปในแต่ละสายพันธุ์ โดยเก๊กฮวยดอกขาว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dendranthema morifolium (Ramat.) Tzvel. หรือ Chrysanthemum morifolium Ramat. จัดเป็นพืชในตระกูล Asteraceae ส่วนสายพันธุ์เก๊กฮวยดอกสีเหลือง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Dendranthema indicum L. หรือ Chrysanthemum indicum L. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเก๊กฮวยสายพันธุ์สีขาวหรือสีเหลือง สรรพคุณทางยาของเก๊กฮวยก็อยู่ที่ดอกเก๊กฮวยด้วยกันทั้งคู่ค่ะ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นเก๊กฮวย
ต้นเก๊กฮวยเป็นไม้ล้มลุก ขนาดต้นสูงประมาณ 60-150 เซนติเมตร เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่อากาศหนาว ในไทยจึงนิยมปลูกเก๊กฮวยบนที่ราบสูงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนดอกเก๊กฮวยเป็นดอกขนาดเล็ก มีทั้งดอกเก๊กฮวยสีเหลืองและดอกเก๊กฮวยสีขาว ต้นเก๊กฮวยจะออกดอกได้ดีในช่วงฤดูหนาว โดยส่วนใหญ่จะนิยมเก็บดอกมาตากแห้ง นึ่ง หรืออบแห้ง แล้วนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร
เก๊กฮวย สรรพคุณไม่ธรรมดา
สรรพคุณทางยาของดอกเก๊กฮวยมีดีอยู่หลายด้าน โดยสามารถจำแนกประโยชน์ของดอกเก๊กฮวยที่เกี่ยวกับสุขภาพได้ ดังนี้
1. ช่วยดับร้อน ดอกเก๊กฮวยมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการร้อนใน แก้กระหาย แก้ไข้ โดยใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
2. ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะดื่มชาเก๊กฮวยร้อน ๆ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อยได้ ทั้งนี้ให้ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
3. ดีต่อหัวใจ เก๊กฮวยเป็นพืชสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะมีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิต นอกจากนี้ทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ยังระบุว่า เก๊กฮวยช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
4. แก้ตาบวมแดง ในตำรับยาสมุนไพรจีนมักใช้ดอกเก๊กฮวยผสมกับใบหม่อน เก๋ากี้ หรือชุมเห็ดไทย รักษาอาการตาบวมแดงจากการตากลม หรือตาบวมแดงจากภาวะตับพร่อง ไฟในตับมาก โดยใช้ดอกสดล้างสะอาด ตำให้แหลก แล้วนำมาประคบที่ดวงตา
5. แก้วิงเวียน หากมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน เนื่องจากการกำเริบของหยางในตับ สามารถใช้เก๊กฮวยร่วมกับโกฐสอและสมุนไพรฤทธิ์เย็นชนิดอื่นเพื่อบรรเทาอาการได้
6. รักษาแผลฝีหนอง และแผลบวม โดยใช้ดอกเก๊กฮวยสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด บดผสมน้ำแล้วดื่ม จากนั้นนำกากดอกเก๊กฮวยมาพอกตามแผล
7. รักษาผมร่วง ตำรับยาจากประเทศเวียดนามใช้ดอกเก๊กฮวยสดตำละเอียดแล้วกลั่นเอาแต่น้ำมาหมักผม โดยเชื่อว่าดอกเก๊กฮวยสามารถรักษาอาการผมร่วง ช่วยให้สีผมดำ เงางาม ไม่เปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนวัยอันควร
การใช้ดอกเก๊กฮวยให้เป็นประโยชน์เพื่อสุขภาพ ในปัจจุบันจะนิยมนำดอกเก๊กฮวยแห้งมาต้มเป็นน้ำสมุนไพร หรือจิบเป็นชาสมุนไพรกันเสียมากกว่าจะนำดอกเก๊กฮวยมาใช้ภายนอก ดังนั้นเรามาดูวิธีทำน้ำเก๊กฮวยกันค่ะ
วิธีทำน้ำเก๊กฮวย
1. ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำเดือดประมาณ 2 ลิตร
2. ต้มดอกเก๊กฮวยสัก 2-3 นาที แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป (ความหวานตามชอบ)
3. คนสักพักพอให้น้ำตาลทรายละลายจนหมด ปิดไฟ พักไว้จนเย็น
4. เมื่อน้ำเก๊กฮวยพออุ่น ๆ สามารถเทใส่แก้วแล้วดื่มได้เลย หรือจะพักน้ำเก๊กฮวยให้เย็นจากนั้นเติมน้ำแข็งดื่มแบบเย็น ๆ ให้ชื่นใจก็ได้
ทั้งนี้ในการต้มน้ำเก๊กฮวย บางคนอาจใส่ใบเตยลงไปด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม หรืออาจใส่ลูกพุดจีนเพิ่มสีเหลืองให้น้ำเก๊กฮวยมีสีสันมากกว่าเดิมก็ได้เช่นกันค่ะ ว่าแล้วก็ไปหาน้ำเก๊กฮวยมาดื่มเพื่อสุขภาพกันบ้างดีกว่าเนอะ 😉
ขอบคุณข้อมูลจาก health.kapook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 26,200.00 | 26,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,697.00 | 25,726.52 | 26,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,527.30 | 23,153.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,357.60 | 20,581.22 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 764.00 | 11,582.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 594.00 | 9,005.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,759.00 | 26,666.44 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/01/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 | 24.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 | 23.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | – | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.29 | 19.29 | – | – | – | – | – | – | – | 19.29 |
เบนซิน 95 | 31.46 | – | – | – | 31.91 | – | 31.96 | 31.46 | – | 31.46 |
ดีเซล B7 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 | 24.89 |
ดีเซล | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 |
ดีเซล B20 | 21.64 | 21.64 | 21.64 | 21.64 | 21.64 | – | 21.64 | 21.64 | – | 21.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 29.34 | 29.36 | 31.34 | 30.74 | – | – | – | – | – | 29.34 |
แก๊ส NGV | 13.12 | 13.12 | – | – | – | – | – | – | – | 13.12 |