‘เอพี’ ผู้นำตลาดรายใหม่
คอลัมน์ ผ่ามุมคิด … ‘เอพี’ ผู้นำตลาดรายใหม่
วิกฤติิโควิด-19 เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของวิกฤติที่เกิดขึ้น และยังคงวนเวียนอยู่ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า เมื่อไหร่จะสิ้นสุด หรือจะมีวิกฤติิใหม่ๆเกิดขึ้นอีกหรือไม่ และความเสียหายจะรุนแรงแค่ไหน เปรียบเป็นโจทย์เร่ง กดดันให้ธุรกิจต้องปรับตัว คือ บทสรุป กล่าวเห็นภาพ ที่หัวเรือใหญ่ของบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ และภารกิจเข็นบริษัทขึ้นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างเต็มตัว หลังผ่านบททดสอบสุดหินเมื่อปี 2563 มาด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งในมิติของรายได้กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิสูงถึง 4.22 พันล้านบาท สะท้อนถึงหลักคิด และการเอาตัวรอดได้อย่างน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม บุคคลระดับตำนาน 30 ปี อย่างนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ที่เคยร้อน-หนาวมานับไม่ถ้วน ระบุ ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เมื่อแรงกระเพื่อมจากโควิด ยังตีวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย ขณะอสังหาฯ 2564 ขยายตัวแบบเชิงรุก มีลุ้นแค่ครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ดีเวลลอปเปอร์ต้องวิ่งแข่งกับความต้องการลูกค้า-กฎกติกาโลกใหม่ ขณะเอพีเดินหน้าทรานฟอร์มทุกมิติ พร้อมส่ง 147 โครงการใหม่-เก่า โดยเฉพาะแนวราบขับเคลื่อน พิชิตยอดขาย 3.35 หมื่นล้าน
โควิดบททดสอบใหญ่
ย้อนไปปี 2563 นั้น คือช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์ เพราะโควิด-19 สร้างบททดสอบใหม่ เป็นความปั่นป่วนตั้งแต่ทางเศรษฐกิจ สังคม และการดำเนินชีวิต ยอมรับปลาย มี.ค. ขณะที่โรคเริ่มระบาด ในฐานะคนทำธุรกิจ มีความหวาดกลัวมาก สิ่งที่ทำอย่างแรก คือ หยุดซื้อที่ดินทั้งหมด และมีนโยบาย เข้มงวดบริหารจัดการเรื่องสภาพคล่องเป็นหลัก ส่วนการเปิดโครงการใหม่ ยังคงเดินหน้า จบปีเอพีเปิดใหม่สูงสุดในตลาด 38 โครงการ แต่บ้านที่สร้าง อยู่ภายใต้การควบคุมต้นทุนที่เหมาะสม สร้างเร็วและต้องขายออกได้เร็ว ทำให้บริษัท เติบโตอย่างก้าวกระโดดสูงสุดเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม
ทั้งมิติรายได้รวม โตกว่า 42% สูงถึง 46,130 ล้านบาท โดยมีสินค้าแนวราบเป็นตัวผลักดันจากหลักพันขึ้นสู่หลักหมื่น และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 38% ขณะฐานะทางการเงิน จากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.03 เหลือเพียง 0.71 เท่านั้น และมีเงินสดพร้อมเบิก 1.4 หมื่นล้าน สะท้อนถึงการบริหารพอร์ตสินค้า และกระแสเงินสดที่รัดกุมท่ามกลางสภาวะวิกฤติ
โควิดทำศก.ซึมยาว
อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางของบริษัทจะดี และการมาของวัคซีนคือ ความหวัง แต่วางใจไม่ได้ จนกว่ากระบวนจัดการโรค แผนกระจายวัคซีนจะสำเร็จ ขณะในมิติของผลกระทบทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ คล้ายระลอกคลื่น สร้างความเสียหายเป็นวงกระเพื่อมกว้าง คาดเวลาในการฟื้นตัวต้องลากยาวอีกหลายปี อย่างต่ำ เศรษฐกิจไทยจะกลับไปเทียบเท่ากับภาวะก่อนโควิด ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี หรือช่วงปี 2567 ส่วนปีนี้ จากการคาดการณ์เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว มองเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“คุยกับนักธุรกิจหลายคน เราเห็นชัด ว่าผลจากโควิดรอบนี้ กระทบเอสเอ็มอีเยอะมาก ภาพลวงตา คือ สมมติฐานว่าจีดีพีไทยจะโต แต่เป็นการโตจากฐานที่ติดลบ ฉะนั้นภาพเศรษฐกิจปีนี้ จะอยู่ในภาวะมึนๆ ซึมๆ”
อสังหาฯ 64
นายอนุพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับอุตสาหกรรมอสังหาฯนั้น คนจะซื้อเมื่อมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นโดยตรงอย่างไร ก็ไม่ดีเท่า คนมีงานทำ เกิดความมั่นใจในการอุปโภคบริโภค ฉะนั้นรัฐบาลต้องใส่เงินให้ถูกที่ ส่วนดีเวลลอปเปอร์ปีนี้ จะมีความยากในการขอสินเชื่อพัฒนาโครงการ ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะธนาคารต่างกลัว ซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมซัพพลาย ที่พร่องไปมากจากแผนระบายสต็อกที่ยังลุยกันต่อ โดยต้องจับตาระหว่าง ซัพพลายที่ลดลง กับดีมานด์ที่ลดลง มิติไหนแย่มากกว่ากัน อย่างไรก็ตาม ภาวะยังดีกว่าช่วงปี 2540 มาก เพราะรัฐบาลยังมีทุนสำรอง ธุรกิจบางส่วนไปได้ มีเพียงตลาดคอนโดฯ ที่สะบักสะบอม
“ภาพรวมอสังหาฯครึ่งปีแรก น่าจะยังเหนื่อย เร่งระบายของกันอยู่ แต่ครึ่งปีหลัง มีลุ้นเปิดใหม่มากขึ้น เพราะบางเซ็กเมนต์แนวโน้มดี มีตลาดรองรับ ลูกค้าเองจะเริ่มมองหาของดี โดยเฉพาะแนวราบ ถ้าเจาะถูกก็ไปได้” สำหรับเอพี ปีนี้จะมี 147 โครงการทั่วประเทศ พร้อมขายกว่า 1.2 แสนล้านบาท เปิดใหม่ 34 โครงการ มูลค่า 4.3 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้มองว่าเป็นทั้งโอกาสหรืออุปสรรคเพราะหัวใจสำคัญ คือ การบริหารจัดการ
กฎโลกเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยน
ทั้งนี้ โมเดลการทำธุรกิจแบบเดิม ไม่ใช่คำตอบของการอยู่รอดในอนาคตอีกต่อไป สำหรับอสังหาฯ อาจต้องสู้รบถึง 3 ด้าน ตั้งแต่ดีเวลลอปเปอร์กันเอง ,ผู้รับเหมาที่ชำนาญไหลเข้ามาในตลาดต่อเนื่อง และธุรกิจนอกตลาดที่ผันตัวเข้ามาทำ ท่ามกลางเทคโลโลยีไล่ดิสรัปต์ฯ สำหรับพันธกิจของเอพี คือ ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างและหานวัตกรรมสินค้าใหม่ให้ลูกค้านั้น จากอดีตมีพนักงานราว 50 คน สู่ 2 พันคนในวันนี้ แต่ละช่วงที่ผ่านมา เปรียบเป็นการผจญภัย เรามาไกลมาก แต่ถามว่าไปอีกได้ไหม เราก็ต้องเปลี่ยนอีกมาก
โดยในปี 2564 บริษัทเตรียมทรานส์ฟอร์มทุกมิติ เพื่อรับความท้าทายใหม่ๆ ขณะนี้ทุกคนในบริษัท เปรียบอยู่บนเรือลำเดียวกัน กำลังฝ่ามรสุมใหญ่ เราจะใช้กลยุทธ์ 3 ข้อในการขับเคลื่อน คือ 1. สร้างพนักงานให้เป็นผู้นำ เน้นความต้องการลูกค้า มากกว่าข้อจำกัดขององค์กร 2. การสร้างวัฒนธรรมองค์กร ที่เอื้อต่อการสร้างสิ่งใหม่ และ 3.ปรับธุรกิจสู่ดิจิทัลทุกมิติ เพื่อตอบสนองลูกค้า ทั้งสินค้าและบริการอย่างรวดเร็ว เพราะการจะรับกฎกติกาของโลกที่เปลี่ยนใหม่ ต้องเริ่มจากภายในองค์การเป็นหลัก เปรียบมีความพร้อมของเครื่องมือ มีเข็มทิศชัดเจน มรสุมลูกไหนจะฝ่าไปได้ ส่วนในแง่ของโปรดักต์ ยังคงเน้นย้ำ” Unmet Need “สร้างสิ่งใหม่ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แฝงอยู่ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดับฝัน ‘ทำเลทอง’เสือใหญ่ “ต่อขยายรถไฟฟ้า”สายสีเหลือง จ่อไปไม่ถึง
ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าหลายเส้นทางอยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกมากขึ้น แต่สำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายเหลือง ช่วงแยกรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน เชื่อมโยงส่วนต่อขยายสายสี เขียว ช่วงหมอชิต-คูคต แม้จะมีระยะทางสั้นๆ แต่กลับเป็นประเด็นร้อนไม่แพ้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และหากไม่สามารถขยายเส้นทางได้ อาจมีผลทำให้ทำเล “เสือใหญ่” ย่านศาลรัชดาภิเษก ลดความร้อนแรงลงได้
ที่ผ่านมาบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอีสเทิร์น บางกอก โมโนเรล จำกัด (EBM) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง ได้เสนอลงทุนโครงการดังกล่าวเองทั้งหมด โดยเพิ่ม วงเงิน 3,779 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานก่อสร้างและเวนคืนที่ดิน ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร (กม.) พร้อมแบ่งรายได้เพิ่มในกรณีที่ปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเมื่อถึงจุดที่กำหนดส่วนแบ่งให้กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
ขณะเดียวกัน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องการให้ EBM ชดเชยให้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT กรณีที่การต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่งผลกระทบต่อรายได้และผู้โดยสารของ MRT สายสีน้ำเงิน ทั้งนี้ BTS ยืนกรานมาโดยตลอดว่าจะไม่ขอเกี่ยวข้องในกรณีชดเชยรายได้ให้กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เนื่องจาก BEM ไม่ใช่คู่สัญญาของบีทีเอส
ล่าสุดนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าผลการเจรจาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเหลือง ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ระหว่าง รฟม. กับบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ EBM ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนโดยกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (บีทีเอส-ซิโนไทยฯ-ราชกรุ๊ป) เป็นผู้รับสัมปทานว่า เนื่องจากทาง EBM ได้ทำหนังสือถึงรฟม.โดยยืนยันชัดเจนว่า ไม่สามารถรับภาระค่าชดเชยรายได้จากผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ตามที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทำหนังสือถึงรฟม. ขอให้เจรจากับ EBM
“ทั้งนี้บอร์ดรฟม.ได้มอบหมายให้รฟม.ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องชดเชยเพิ่มเติมให้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ดในครั้งถัดไป เราต้องประมาณการในส่วนที่ต้องรับภาระค่าชดเชยตามที่ BEM เรียกร้อง เพื่อประกอบการพิจารณา ส่วนจะมีการเจรจาเพิ่มเติมกับ EBM หรือไม่ขึ้นอยู่กับมติบอร์ดรฟม.เป็นผู้พิจารณา”
ที่ผ่านมา รฟม.เคยศึกษาเบื้องต้นแล้วพบว่า เมื่อเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยายในปีแรก จะส่งผลกระทบต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยผู้โดยสารจะลดลงประมาณ 9,000 คนต่อวัน ขณะที่รายได้หายไปประมาณ 180,000 บาทต่อวัน และผู้โดยสารรวมถึงรายได้จะลดลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปีสุดท้ายของสัมปทานผู้โดยสารจะหายไปประมาณ 30,000 คน รายได้หายไปประมาณ 600,000 บาทต่อวัน ทั้งนี้ตามสัญญาระบุว่าจะต้องเจรจาให้ได้ข้อยุติก่อนเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ภายในเดือน ก.ค.2565
ฟากนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหารบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอีสเทิร์น บางกอก โมโนเรล จำกัด (EBM) ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรณีที่รฟม.จะศึกษาในส่วนที่ต้องชดเชยรายได้ให้กับ BEM นั้น ทาง BTS มองว่าคงต้องรอดูผลการศึกษาในครั้งนี้จากรฟม.ก่อน เนื่องจากที่ผ่านมารฟม.ให้ BEM เป็นผู้ศึกษาที่ต้องชดเชยรายได้เองหากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเหลือง ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน
“หากรฟม.จะเจรจาโดยยึดผลการศึกษาล่าสุดนั้นเราคงต้องดูเงื่อนไขของรฟม.ก่อนว่าเป็นอย่างไร หลังจากนั้นจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมอีกครั้ง แต่เรายืนยันจุดยืนเดิม คือไม่ชดเชยรายได้ให้กับ BEM เพราะโครงการฯนี้ เราเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 100%”
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการ (บอร์ด) สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึง แยกรัชโยธิน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เบื้องต้นในส่วนของผลการศึกษาความเหมาะสมฯ พบว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยายฯ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและการให้บริการรถไฟฟ้าแก่ประชาชน
โดยการเพิ่มศักยภาพของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ในการรองรับการเดินทางเชื่อมต่อของผู้โดยสารเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายหลักได้มากถึง 4 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ให้สามารถเข้าถึงโครงข่ายรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางบนแนวถนนรัชดาภิเษกที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม สำนักงานศาลยุติธรรม ศาลอาญา สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง เป็นต้น
ทั้งนี้คงต้องจับตาดูว่าโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเหลืองมีแนวโน้มที่จะก่อสร้างตามเส้นทางสายหลักได้หรือไม่ และจะได้ข้อสรุปในรูปแบบใด ถือเป็นอีกโครงการที่ประชาชนยังรอคอยคำตอบ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หุ้นไทยวันนี้ (8 มี.ค.) เปิดตลาด +15.06 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,559 จุด
ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (8 มี.ค.) ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,559.17 จุด ปรับขึ้น +15.06 จุด หรือคิดเป็น +0.98% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 3,414 ล้านบาท เมื่อเวลา 10:00:05 น.
ดัชนี SET50 ล่าสุดปรับขึ้น +10.57 จุด คิดเป็น +1.10% อยู่ที่ 968.90 จุด โดยมูลค่าซื้อขายรวม อยู่ที่ 2,168 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 63.49% ของการซื้อ-ขายทั้งหมด
10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายโดดเด่นที่สุด
1. PTTEP : 425.05 ล้านบาท ราคา +4.00 บาท (+3.45%)
2. PTT : 292.62 ล้านบาท ราคา +1.00 บาท (+2.47%)
3. PTTGC : 289.03 ล้านบาท ราคา +2.75 บาท (+4.20%)
4. STA : 242.28 ล้านบาท ราคา +1.00 บาท (+2.04%)
5. BBL : 139.81 ล้านบาท ราคา +2.00 บาท (+1.58%)
6. SCB : 133.40 ล้านบาท ราคา +2.00 บาท (+1.79%)
7. KBANK : 117.36 ล้านบาท ราคา +2.50 บาท (+1.67%)
8. OR : 97.61 ล้านบาท ราคา +0.25 บาท (+0.83%)
9. IRPC : 92.60 ล้านบาท ราคา +0.10 บาท (+2.86%)
10. CPALL : 86.41 ล้านบาท ราคา +0.75 บาท (+1.16%)
ดัชนี mai ปรับขึ้น +2.98 จุด คิดเป็น +0.76% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ 397.64 จุด มูลค่าซื้อขาย 140.95 ล้านบาท
หมายเหตุ: ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โปรดตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
“โปรแจ๊ส” จบที่อันดับ 11 ร่วม ผ่านเข้ารอบไปอย่างสง่างาม ในศึกพีจีเอทัวร์
น่าจะเป็นสกอร์ที่ดีที่สุดต่อรอบในพีจีเอทัวร์ของ “โปรแจ๊ส” อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ ในรอบสอง กอล์ฟอาร์โนลด์ พาลเมอร์ อินวิเตชันแนล ที่สนาม เบย์ ฮิลล์ คลับ แอนด์ ลอดจ์ ระยะ 7,454 หลา พาร์ 72 เมืองออร์ลันโด รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา ทำไป 7 อันเดอร์พาร์ 65 จาก 8 เบอร์ดี้ และเสียไป 1 โบกี้ จากอันดับท้ายๆ พุ่งพรวดขึ้นมา 76 อันดับ จนจบที่อันดับ 11 ร่วม ผ่านเข้ารอบไปอย่างสง่างาม แต่จบอันดับเท่าไหร่ป่านนี้คงทราบกันแล้ว
และไม่ว่าจะได้ไปเท่าไหร่ หลังจบการแข่งขัน “โปรแจ๊ส” ก็ต้องรีบบินกลับมาฝั่งเอเชียสัปดาห์นี้ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีคิวลงดวลต่อในศึก ยูโรเปียนทัวร์ รายการ คอมเมอร์เชียล แบงก์ กาตาร์ มาสเตอร์ส ที่สนาม เอดูเคชัน ซิตี้ กอล์ฟคลับ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ 11-14 มี.ค. ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วน กอล์ฟแอลพีจีเอ รายการ ไดรฟ์ ออน แชมเปียนชิป ที่สนาม โกลเดน โอคาลา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา 2 โปรสาวไทย “โปรเหมียว” แพตตี้ (ปภังกร) ธวัชธนกิจ กับ “โปรแจน” วิชาณี มีชัย ผ่านตัดตัว ได้เล่นครบทั้ง 4 วัน
กลับมาในบ้านเรากอล์ฟ เปิดสนามศึกออลไทยแลนด์ กอล์ฟทัวร์ “บุญชู เรืองกิจ แชมเปียนชิป 2021” ที่สนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรี คลับ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แม้จะเจอกับพายุฤดูร้อนเข้ามากระทบบ้าง แต่ก็ใส่กันอย่างสนุก ทำสกอร์สูสีกันหลังผ่าน 3 วัน ในกลุ่มผู้นำ 3 อันดับแรก กัญจน์ เจริญกุล 22 อันเดอร์พาร์, ภูมิ ภัทโรพงศ์ 21 อันเดอร์พาร์, เศรษฐี ประคองเวช และ สดมภ์ แก้วกาญจนา 20 อันเดอร์พาร์ ต้องแย่งกันในวันสุดท้าย
สนาม เดอะรอยัล กอล์ฟแอนด์คันทรีคลับ ลาดกระบัง ออก โปรโมชันสุดพิเศษกอล์ฟแพ็กเกจรวมกรีนฟี, แคดดี้, รถกอล์ฟ (นั่งเดี่ยว) ในวันจันทร์-พุธ 1,699 บาท วันพฤหัสฯ-ศุกร์ 1,799 บาท และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หลัง 12.30 น. 1,899 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดหรือจองได้ที่ โทร. 0-2738-1010, 08-1925-3073, 09-2393-5693 Line ID : @theroyalgolf หรือทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ชวนบริจาคโลหิต ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคเลือด
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ขอเชิญชวนบริจาคโลหิตในภาวะวิกฤติ COVID-19 ช่วยผู้ป่วยโรคเลือดกว่า 5 แสนราย ทั่วประเทศ เพราะยังมีผู้ป่วยต้องใช้โลหิตเป็นประจำทุกเดือน
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 รอบ 2 ขณะนี้ การดำเนินงานบริการโลหิต ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไป ไม่สามารถหยุดการรับบริจาคโลหิตได้ เนื่องจากโลหิตยังคงเป็นยารักษาโรคที่สำคัญ ซึ่งต้องได้มาจากการบริจาคเท่านั้น และต้องการใช้ทุกวัน หากขาดโลหิตจะส่งผลกระทบกับผู้ป่วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย จำเป็นที่ต้องใช้โลหิตในการรักษาเป็นประจำ ซึ่งในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา ผู้ป่วยประสบปัญหาในการรอรับโลหิต หรือบางรายต้องเลื่อนการรับโลหิตออกไป นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยผ่าตัดใหญ่ อุบัติเหตุ ตกเลือดจากการคลอดบุตร ฯลฯ ที่มีการเสียโลหิตในปริมาณมาก ต้องให้โลหิตทดแทนอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่สามารถที่จะเลือกเวลาได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ตาม
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดารินทร์ ซอโสตถิกุล สาขาโลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคโลหิตจางเรื้อรัง เกิดจากการถ่ายทอดพันธุกรรมจากพ่อและแม่ ที่เป็นพาหะหรือมียีนแฝงของโรคธาลัสซีเมีย ประมาณ 25 ล้านคน ปัจจุบันมีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคนี้สูงถึง 8 แสนราย และมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันตามชนิดของโรค ผู้ป่วยชนิดรุนแรงกว่า 5 แสนราย จำเป็นต้องได้รับโลหิตทุก 3-4 สัปดาห์ เฉลี่ยครั้งละ 1-2 ยูนิต (ถุง) ในการรักษาเพื่อเพิ่มระดับฮีโมโกลบินให้ใกล้เคียงปกติ หากไม่ได้รับโลหิต ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีภาวะซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในประจำวัน
ขอวอนผู้ที่มีสุขภาพดี ร่วมบริจาคโลหิต ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคเลือดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 12 มีนาคม 2564 ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับสายคล้องหน้ากาก “Give Blood Save Lives” แทนคำขอบคุณจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โดยสายคล้องหน้ากากผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษมีคุณค่า เป็น Limited Edition ไม่มีจำหน่าย สามารถนำไปใช้งานได้กับหน้ากากทุกชนิด ในส่วนกลาง บริจาคโลหิตได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 6 แห่ง ได้แก่ ศูนย์รับบริจาคโลหิตและพลาสมา สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค), เดอะมอลล์ บางแค, เดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม, บ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง) และโรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต 6 แห่งในกรุงเทพฯ
ส่วนภูมิภาค บริจาคโลหิตได้ที่ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี, ชลบุรี, ราชบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, นครสวรรค์, พิษณุโลก, เชียงใหม่, นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง), สงขลา ภูเก็ต และโรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
‘ดัน’ กันเข้าไป
จั่วหัวไว้แบบนี้ พี่ๆน้องๆคงจะสงสัยว่า วันนี้ครูจะมาพูดเรื่องอะไรใช่ไหมครับ (ไม่งั้นคงไม่กดเข้ามาอ่านหรอก จริงมั้ย?)
ครูกำลังจะพูดถึงคำว่า ‘done’ ในการใช้งานหลากหลายบริบทนั่นเองคร๊าบบบ
โดยทั่วไปแล้ว เราจะรู้จักคำว่า done ในฐานะกริยาช่องที่ 3 ของคำว่า do กัน แต่มันสามารถเป็นคำขยายนามได้ด้วยนะครับ โดยมีความหมายในทำนองที่ว่า “ทำ (บางอย่าง) เสร็จ” หรือ “พอกันที/ไม่เอาอีกแล้ว” ก็ได้
หากใช้ในความหมายแรก มักจะใช้ร่วมกับคำว่า with ครับ
ตัวอย่างเช่น
I am done with my dinner.
(ฉันทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว)
สังเกตนะครับว่า โครงสร้างจะเป็นดังนี้
S. + V. to be + done
เว้นแต่ในสำนวนที่ว่า ‘get (something) done’
เช่น
Let’s get it done before evening.
(เรารีบทำมันให้เสร็จก่อนหัวค่ำเถอะ)
ส่วนการใช้คำว่า done ในความหมายที่สอง หากพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ก็จะหมายถึงว่า “ทำ(บางสิ่ง)เสร็จแล้ว” แต่ถ้าน้ำเสียงแบบโมโห จึงจะมีความหมายออกไปในเชิง “พอกันที” หรือ “ไม่เอาอีกแล้ว”
I’m done with this job!
(ไม่เอาอีกแล้ว พอกันทีกับงานนี้!)
หากเราจะถามใครว่า “เสร็จหรือยังครับ/คะ” (อย่าคิดลึกนะครับ) หรือถามว่า “พอหรือยัง” ก็สามารถถามได้ว่า….
“Are you done?”
(อันนี้จะมีความหมายแบบแรกหรือแบบหลัง ก็ขึ้นอยู่กับน้ำเสียงเวลาพูดอีกเหมือนกัน)
อีกบริบทหนึ่ง สมมติเวลาเราไปทานอาหารปิ้งย่าง เช่น สเต๊กเนื้อ หากเราต้องการจะบอกว่า “เนื้อยังไม่ค่อยสุกเลย” เราก็สามารถบอกกล่าวแก่พนักงานเสิร์ฟได้ว่า….”The meat isn’t quite done yet.”
นอกจากนี้ คำว่า done เมื่อเติมคำว่า in เข้าไป ยังใช้ในความหมายทำนองว่า “เหนื่อยสุดๆ”
ตัวอย่างเช่น
She cannot go to the party tonight. She looks done in.
(หล่อนคงไปปาร์ตี้คืนนี้ไม่ได้หรอก ท่าทางหล่อนกำลังเหนื่อยสุดๆ)
ลองนำไปฝึกใช้กันดูแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ (ที่จริงแล้วยังมีอีกหลายบริบทที่ใช้คำว่า done เช่น “If you don’t….., you are done” ถ้านายไม่ทำ…… นายเสร็จแน่/ตายแน่/จบเห่แน่ๆ ฯลฯ)
เวลาพูดกับเพื่อนต่างชาติ จะได้ฟังดูเก๋ๆ เท่ห์เหมือนเจ้าของภาษาไปเลยยย
คำถามทดสอบ:
1) ข้อใดเขียนได้ถูกต้อง
a. Tell me when you are done with your work.
b. Please get it done before tomorrow.
c. He done with his homework.
d. ถูกทั้ง a. และ b.
2) “I’ve just run. I’m done in!” แปลได้ว่าอย่างไร
a. ฉันเพิ่งวิ่งมา เหนื่อยสุดๆเลย
b. ฉันเพิ่งวิ่งมา สุกเลย
c. ฉันเพิ่งวิ่งมา ฉันเสร็จแล้ว
d. ถูกทั้ง a. และ b.
3) คำว่า done ในข้อใด หมายถึง “เสร็จแน่/ตายแน่/จบเห่แน่ๆ”
a. If we don’t pay the debt tonight, we are done.
b. I like a well done steak.
c. Let’s get this job done.
d. ถูกทั้ง a. และ b.
เฉลย
1. (ข้อ d.) ส่วนข้อ c. ผิดเพราะขาด V. to be ไป
2. (ข้อ a.) คำว่า done เมื่อเติมคำว่า in เข้าไป จะมีความหมายทำนองว่า “เหนื่อยสุดๆ”
3. (ข้อ a.) สังเกตจากการที่มีคำว่า If หรือ If-Clause นั่นเองครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
เตือนภัย! 4 กลโกง ที่ผู้ใช้ e-Wallet ต้องระวัง
ไปรษณีย์ไทย เตือนภัย! 4 กลโกง ที่ผู้ใช้ e-Wallet ต้องระวัง แนะยืนยันตัวตน KYC ก่อนใช้
ไปรษณีย์ไทย เตือนผู้ใช้ e-Wallet ป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ ผู้ใช้บริการต้อง ทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (KYC) ก่อนใช้บัญชี e-Wallet เพื่อยืนยันว่าเจ้าของบัญชี Wallet และเจ้าของข้อมูลบัตรประชาชนคือคนเดียวกัน ก็จะช่วยปิดช่องว่างในการแฝงตัวของมิจฉาชีพ ทั้งนี้ 4 กลโกง ที่ผู้ใช้ e-Wallet ต้องระวัง ได้แก่
1. แอบอ้าง นำข้อมูลไปเปิดบัญชี e-Wallet ปลอม
2. ปลอม เป็นร้านค้าหลอกให้โอนเงิน
3. หลอกลวง ให้ผู้เสียหายชำระเงิน COD ทั้งที่ไม่ได้สั่งของ
4. ปลอมตัว เป็นคนรู้จัก ด้วยการแฮก LINE หรือ Facebook
สำหรับผู้ใช้บริการการเป๋าเงินไปรษณีย์ Wallet@Post สามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมทางการเงินได้ที่ ปณ. ทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ผักกาดหอม (Lettuce)
ผักกาดหอมหรือผักสลัด เป็นผักที่มีลักษณะและสีสันสวยงาม จึงนิยมนำมาประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามน่าทานให้กับจานอาหาร ผักกาดหอมจะมีลำต้นอวบน้ำขนาดเล็ก และมีใบขนาดใหญ่ปกคลุมลำต้น ผักกาดหอมมีหลากหลายพันธุ์ ซึ่งลักษณะของใบและสีสันก็จะแตกต่างกันไป เช่นผักกาดหอมห่อ (Head Lettuce) จะมีใบสีเขียว อัดรวมกันแน่นจนลักษณะเป็นหัว เนื้อใบบางกรอบ
ผักกาดหอมที่คนไทยกินกันมากที่สุดก็คือ ผักกาดหอมใบ ที่มีใบสีเขียว โดยใบข้างนอกมีสีเขียวเข้มกว่าใบอ่อนด้านใน ขอบใบหยิกสวย ลำต้นลักษณะเป็นข้อสั้น เนื้อใบกรอบ รสหวานปนฝาดเล็กน้อย กินได้ทั้งแบบสด เช่น ใส่ในสลัด ยำ เมี่ยง แซนด์วิช ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หรือกินเคียงสาคูไส้หมู แต่เมื่อนำไปปรุงสุก ใบจะอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย และรสชาติหวานขึ้น เช่น ใส่ในแกงจืดหรือก๋วยเตี๋ยว
ประโยชน์จากการกินผักกาดหอมก็คือ ช่วยให้นอนหลับง่าย ขับปัสสาวะ ล้างพิษ ขับเหงื่อ และแก้ไข้ และในผักกาดหอมหนัก 100 กรัม จะมีฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 24 มิลลิกรัม รวมถึงมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเอสูง ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาได้เป็นอย่างดี
ผักกาดหอมเป็นพืชที่ใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก เพราะมีแมลงศัตรูพืชและโรคเยอะ อีกทั้งต้นยังเจริญเติบโตใกล้ผิวดิน ก่อนจะกินหรือนำมาปรุงอาหาร จึงควรฉักแยกแต่ละใบออกจากลำต้น แล้วล้างให้สะอาด อีกปัญหาที่พบบ่อยของผักกาดหอมก็คือ มีรสขมจนต้องทิ้ง ซึ่งความขมก็ขึ้นอยู่กับระยะการเก็บผลผลิตและสภาพอากาศตอนปลูก โดยความขมของผักกาดหอม เกิดจากสารแลคทูคาเรียม (Lactucarium) ที่อยู่ในยางสีขาว ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลาย แก้ไอ และแก้ปวด
ขอบคุณข้อมูลจาก prayod.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 24,700.00 | 24,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,600.00 | 24,256.00 | 25,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,440.00 | 21,830.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,280.00 | 19,404.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 720.00 | 10,915.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 560.00 | 8,489.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,658.00 | 25,135.28 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/03/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 26.05 | 26.05 | 26.65 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 | 26.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 25.78 | 25.78 | 26.38 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 | 25.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.54 | 24.54 | 25.14 | 24.54 | 24.54 | – | 24.54 | 24.54 | 24.54 | 24.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 20.54 | 20.54 | – | – | – | – | – | – | – | 20.54 |
เบนซิน 95 | 33.46 | – | – | – | 33.91 | – | 33.96 | 33.46 | – | 33.46 |
ดีเซล B7 | 26.59 | 26.59 | 27.29 | 26.59 | 26.59 | 26.59 | 26.59 | 26.59 | 26.59 | 26.59 |
ดีเซล | 23.59 | 23.59 | 24.29 | 23.59 | 23.59 | 23.59 | 23.59 | 23.59 | 23.59 | 23.59 |
ดีเซล B20 | 23.34 | 23.34 | 24.24 | – | 23.34 | – | 23.34 | 23.34 | – | 23.34 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.04 | 31.16 | 33.74 | 32.44 | – | – | – | – | – | 31.04 |
แก๊ส NGV | 13.35 | 13.35 | – | – | – | – | – | – | – | 13.35 |