“รฟท.”เซ็นรวด4สัญญา “ไฮสปีดไทย-จีน” 3.6หมื่นล้าน 29 มี.ค.นี้
“รฟท.” เซ็นรวด 4สัญญา “ไฮสปีดไทย-จีน” 3.6 หมื่นล้าน 29 มี.ค.นี้
รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แจ้งว่า ในวันที่ 29 มี.ค.นี้ เตรียมลงนามสัญญาจ้างในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-จีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วง กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา จำนวน 4 สัญญา รวมวงเงินประมาณ 3.61 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
1.สัญญา 4-2 ช่วงดอนเมือง-นวนคร ระยะทาง 21.80 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 8,626 ล้านบาท 2.สัญญา 4-3 ช่วงนวนคร-บ้านโพ ระยะทาง 23 กม. วงเงิน 11,525 ล้านบาท 3.สัญญา 4-4 ศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย วงเงิน 6,573 ล้านบาท
4.สัญญา 4-6 ช่วงพระแก้ว-สระบุรี ระยะทาง 31.60 กม. วงเงิน 9,429 ล้านบาท ขณะที่สัญญาที่เหลือ อาทิ สัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ระยะทาง 13.30 กม. วงเงิน 9,913 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติม และรอลงนามสัญญาจ้าง
ส่วนสัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กม. อยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารประกวดราคา รวมถึงจะต้องรอความชัดเจนเนื่องจากโครงสร้างทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่งในขณะนี้ อยู่ระหว่างการเร่งรัดหาข้อสรุปการดำเนินงาน เพื่อไม่ให้กระทบทั้ง 2 โครงการ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“AWC” จับมือ “ไฮแอท”ลุยโรงแรม1,000ห้อง
“AWC” จับมือ ไฮแอทพัฒนา โรงแรม1,000ห้อง ภายใต้แบรนด์ไฮแอททั่วประเทศ ปักหมุด ทำเลจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา
การระบาดอีกรอบของไวรัสโควิด-19 ซ้ำเติมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่สำหรับ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) หรือ AWC ภายใต้ปีก”เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนา “แล้วกลับเป็นโอกาสทอง ต่อยอดพัฒนา โรงแรม รองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ทันทีที่สถานการณ์พลิกฟื้น ล่าสุด จับมือกับ ไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น (Hyatt Hotels Corporation) (NYSE:H) ในสัญญาครั้งสำคัญเพื่อพัฒนาและบริหารโรงแรมใหม่ ภายใต้แบรนด์ไฮแอท ทั่วประเทศไทย และการลงนามในสัญญาครั้งนี้คาดว่าจะนำไปสู่การพัฒนาโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเครือไฮแอท จำนวนรวมกว่า 1,000 ห้อง
มีเป้าหมายเพื่อเป็นตัวเลือกโรงแรมและประสบการณ์อันหลากหลายยิ่งขึ้นให้แขกผู้มาพัก ลูกค้า และสมาชิก World of Hyatt ในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่ง ยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งอุตสาหกรรมโรงแรมระดับโลกของไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางเข้ามาทั้งเพื่อประกอบธุรกิจ และพักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพให้ AWC เป็นหนึ่งในเจ้าของโรงแรมแบรนด์ในเครือไฮแอทรายใหญ่ของประเทศไทยอีกด้วย
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์และริเริ่มความร่วมมือกับไฮแอท ภายใต้ความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย การจับมือกับไฮแอทจะส่งผลให้เรานำเสนอสิ่งที่โดดเด่นให้กับลูกค้าทั้งกลุ่มนักธุรกิจและผู้เดินทางมาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ภายใต้มาตรฐานการบริการระดับสูงสุด
“การสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับแบรนด์โรงแรมระดับโลก ทำให้เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดและตอบความต้องการของลูกค้าและนักเดินทางได้หลากหลาย เพิ่มศักยภาพและความหลากหลายให้ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวของไทยเพื่อขยายฐานลูกค้านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ครอบคลุมมากขึ้น โรงแรมใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้าจะทำให้พอร์ตโครงการของเราสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และสามารถตอบสนองรสนิยมและความชื่นชอบที่แตกต่างกันไปของกลุ่มนักเดินทางท่องเที่ยวจากทั่วโลกซึ่งมีความพิถีพิถันและเลือกสรรเฉพาะแต่สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง” นางวัลลภาเสริม
AWC จะพัฒนาโรงแรมใหม่ ๆ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอแบรนด์โรงแรมในระดับ Upper Upscale ระดับลักชัวรี่ และโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ของไฮแอท เพื่อมอบประสบการณ์อันเหนือระดับในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของไทย ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย และพัทยา การพัฒนาโครงการโรงแรมใหม่ ๆ เหล่านี้จะส่งผลดีอย่างเด่นชัดต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวของไทย พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกคนล้วนอยากมาเยือน
นายเดวิด อูเดล ประธานบริหาร กลุ่มไฮแอท เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การลงนามสัญญาครั้งนี้นับเป็นการส่งเสริมความมุ่งมั่นของเราในการขยายแบรนด์ไฮแอทให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศไทย การเป็นพันธมิตรกับ AWC ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดของไทย จะช่วยให้เราขยายพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ไฮแอท โดยมุ่งเน้นการให้บริการด้านไลฟ์สไตล์ในจุดหมายปลายทางที่มีความสำคัญที่สุดต่อแขกผู้มาพักของเรา และสมาชิก World of Hyatt ด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งของ AWC ทั้งในธุรกิจโรงแรมและตลาดประเทศไทย เรามั่นใจว่าจะสามารถนำเสนอแบรนด์ที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น พร้อมกับนำตัวเลือกใหม่ ๆ ที่มีความโดดเด่นมาสร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจโรงแรมของไทยในปัจจุบัน”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ผลสำรวจคนไทยออมเงินมากขึ้นหลังฟื้นโควิด
ผลการสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของธนาคารยูโอบี พบว่าผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพทางการเงินมากขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด และให้ความสำคัญมากกว่ากลุ่มตัวอย่างจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เกือบ 3 ใน 4 (ร้อยละ 72) ของคนไทยต้องการจัดการกับเรื่องการเงินเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งมากกว่ากลุ่มตัวอย่างในมาเลเซีย (ร้อยละ 70) เวียดนาม (ร้อยละ 69) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 60) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 46)
ร้อยละ 64 ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยกล่าวด้วยว่าพวกเขาได้เปลี่ยนวิธีบริหารจัดการการเงินและเริ่มต้นที่จะบันทึกค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาวินัยทางการเงินในช่วงโควิด-19 ในบรรดากลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทย(ร้อยละ 66) มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมทางการเงินที่โดดเด่นที่สุด พวกเขาเพิ่มการรัดเข็มขัดและติดตามค่าใช้จ่ายของตนอย่างใกล้ชิดขึ้นมากในช่วงที่มีการระบาด มากกว่าสามในสี่ (ร้อยละ 76) ของมิลเลนเนียลชาวไทยยังกล่าวว่าพวกเขาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อช่วยติดตามสถานะทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวโน้มพฤติกรรมการติดตามค่าใช้จ่ายนี้ ยังเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มลูกค้ามิลเลนเนียลของ TMRW เช่นกัน ธนาคารดิจิทัลแห่งแรกในอาเซียนโดยธนาคารยูโอบีนี้ มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าจากปี 2563 โดยลูกค้าได้ใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ Smart Insights ที่เรียนรู้พฤติกรรมการใช้จ่ายรายบุคคลด้วยเทคโนโลยี AI และช่วยให้ลูกค้าวางแผนทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น ผ่านอินไซต์สรุปรายการค่าใช้จ่ายรายเดือนในแต่ละหมวด พร้อมฟังก์ชันที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถกำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายรายเดือนล่วงหน้าได้เอง และรับการแจ้งเตือนเมื่อการใช้จ่ายใกล้ถึงงบประมาณที่ตั้งไว้
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินของผู้บริโภคชาวไทยแล้ว การระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลต่อเป้าหมายทางการเงินของพวกเขาด้วย การสำรวจครั้งนี้ยังพบว่าผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 52) ปรับเปลี่ยนพอร์ตการเงินใหม่ โดยเพิ่มสัดส่วนของเงินออมคิดเป็นร้อยละ 40 ของการเปลี่ยนแปลง ตามด้วยเงินฝากประจำ (ร้อยละ 39) และแผนประกัน (ร้อยละ 36) หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย (ร้อยละ 36) ยังกล่าวด้วยว่าพวกเขาได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาด
นายยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอาเซียนปี 2563 นี้ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยกำลังพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการเสริมสร้างสุขภาพทางการเงิน เพื่อให้พวกเขามีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ในระหว่างการแพร่ระบาด และสามารถฟื้นกลับมาอย่างแข็งแกร่งหลังจากสถานการณ์ผ่านพ้นไป เราพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือลูกค้าในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนผ่านความรู้ความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่งและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายสำหรับลูกค้ารายย่อยของเรา”
การสำรวจเกี่ยวกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาเซียนโดยธนาคารยูโอบี จัดทำขึ้นเพื่อทำความเข้าใจผู้บริโภคในอาเซียนให้ดีขึ้น เนื่องจากภูมิภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มตัวอย่างในการตอบแบบสอบถามมีจำนวนมากกว่า 3,500 คนจาก 5 ประเทศในอาเซียน รวมถึงกลุ่มตัวอย่างชาวไทยกว่า 600 คน
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
อายุเป็นเพียงตัวเลข “ดิเอโก อุเมฮาระ” คว้าแชมป์เกม Street Fighter ด้วยวัย 39 ปี
“ดิเอโก อุเมฮาระ” ผงาดคว้าแชมป์ เกม Street Fighter รายการ Capcom Pro Tour 2020 Season Final ด้วยการเอาชนะ สึเนฮิโร คานาโมริ ไป 4-1 เกม ด้วยวัย 39 ปี
ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยที่อ้างว่าหากอายุของนักกีฬามากขึ้น ผลงานในการแข่งขันมักจะด้อยลงไปด้วย แต่เป็นข้อยกเว้นสำหรับ ดิเอโก อุเมฮาระ ชาวญี่ปุ่น วัย 39 ปี
หนึ่งในนักแข่งเกมไฟต์ติ้งที่เป็นตำนานของประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง สึเนฮิโร คานาโมริ ด้วยสกอร์ 4-1 เกม จากการแข่งขันทั้งหมด 7 เกม จนสามารถคว้าแชมป์การแข่งขันเกม Street Fighter รายการ Capcom Pro Tour 2020 Season Final เมื่อคืนวันอังคารที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้สำเร็จ
การแข่งขันครั้งนี้ “อุเมฮาระ” ที่อายุย่างเข้าเลข 4 จำเป็นต้องลงแข่งด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อย เนื่องจากเขาประสบอุบัติเหตุหกล้ม จนนิ้วก้อยมือซ้ายหัก ซึ่งหลังจากตำนานชาวญี่ปุ่นคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นนักแข่งที่ถูกขนานนามว่าเป็นตำนานที่อมตะกว่าเดิมขึ้นไปอีก.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
เค็มแค่ไหน ไตไม่พัง ความดันไม่พุ่ง
ปัจจุบันทั้งองค์กรรัฐ หน่วยงานด้านการแพทย์ และภาคีเครือข่าย พยายามรณรงค์เรื่องการปรับพฤติกรรมลดการกินเค็ม ซึ่งนำไปสู่การเกิด โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน แต่หลายคนก็ยังไม่ปรับพฤติกรรมการกินเค็ม เพราะยึดติดในรสชาติอาหารที่คุ้นลิ้น วันนี้ เราขอเสนอแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วยวิธีง่ายๆ ให้ลองปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน เพื่อลดเค็ม ลดการได้รับโซเดียม ดังนี้
1) ทำความเข้าใจก่อนว่า คำแนะนำในการบริโภคโซเดียม ไม่ควรเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม ในขณะที่อาหารที่วางจำหน่ายทั่วไปต่อ 1 เสิร์ฟ ก็อาจให้โซเดียมอยู่แล้ว 600 – 1,500 มิลลิกรัมต่อมื้อ ซึ่งหมายความว่า ความแปรผันของปริมาณโซเดียมมีค่อนข้างมากจากอาหารที่วางขายในท้องตลาด จึงควรใช้วิธีลดเท่าที่ทำได้ และควบคุมแบบไม่ปล่อยผ่านบ่อยๆ ในทุกมื้อที่ได้รับประทานอาหาร
2) ลดการปรุง เติมน้ำปลา พริกน้ำปลา ซีอิ๊วและน้ำจิ้มต่าง ๆ ลงจากพฤติกรรมเดิม ๆ เช่น จากเคยเติม 3 ช้อนชา ก็ลดลงเหลือ 1-2 ช้อนชา หรือ เปลี่ยนจากการเติมทีละช้อนโต๊ะ เป็นช้อนชาก็ยิ่งดี
3) ลดพฤติกรรมการชุบน้ำจิ้ม เปลี่ยนเป็นแค่จิ้มครึ่งชิ้น เช่น ก่อนหน้าเคยจิ้มเนื้อย่างแบบชุบเนื้อแช่ทิ้งไว้ในน้ำจิ้ม ก็ลดเป็นจิ้มผิวๆ หรือชุบเนื้อครึ่งเดียว หรือจิ้มเพียงบางส่วน ไม่ปล่อยแช่ในน้ำจิ้มจนชุ่มโชก หรือตักน้ำจิ้มด้วยปลายช้อนมาใส่เนื้อที่จะกินแทนการจิ้ม
4) พิจารณาส่วนประกอบเมนูก่อนตัดสินใจบริโภค ระวังการกินอาหารโซเดียมสูงที่ซ้ำซ้อน เช่น ยำไข่เค็มหมูยอ จะเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์แปรรูปถึงสองชนิด คือ ไข่เค็ม และหมูยอ ซึ่งมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าไข่ปกติและหมูสดปกติ แนะนำให้เลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อบริโภค และเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างให้เป็นเนื้อสัตว์หรืออาหารจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ยำไข่เค็มหมูยอ เปลี่ยนเป็น ยำไข่ดาวใส่หมูยอ หรือ ยำไข่เค็มใส่หมูชิ้น/หมูสับ แทน เป็นต้น
5) ลดปริมาณการซดน้ำแกง หรือราดน้ำผัด น้ำยำลงคลุกข้าว เพราะในน้ำปรุงรสเหล่านี้จะมีโซเดียมอยู่ในปริมาณสูง หากต้องการซดก็ซดแต่เพียงพอดี ไม่มากเกินไปหรือซดจนหมด
เท่านี้ เราก็ได้แนวทางการบริโภคอาหารไม่ให้ได้รับโซเดียมมากเกินไป จนเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาต่อสุขภาพร่างกายแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
เริ่มที่ประโยค (Sentence)
“เอาอีกแล้ว เริ่มด้วยประโยคอีกแล้ววว!” เสียงน้องๆบางคน แว่วมาตามสายลม
นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะภาษาของชนชาติไหนๆ ก็ต้องเริ่มเรียนรู้ทำความรู้จักผ่านประโยคกันก่อนทั้งนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ บทนี้เอาแค่คร่าวๆก็พอ เดี๋ยวเราค่อยไปเรียนรู้รูปแบบประโยคที่ซับซ้อนมากกว่านี้ (Part of speech) ในบทต่อๆไป
….เพื่อที่จะไม่เครียดกันเกินไป
ถ้าเราจะสอนคนที่เพิ่งเริ่มดูฟุตบอลให้ดูแล้วสนุกเหมือนเรา แทนที่จะเข้าเรื่องดิวิชั่น 1 หรือพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เริ่มต้น บลา บลา บลา….เราควรจะมาอธิบายตำแหน่งและองค์ประกอบต่างๆของกีฬาฟุตบอลก่อน ดีมั้ย?
ตัวอย่างเช่น ในทีมฟุตบอลหนึ่งๆ มีตำแหน่งอะไรบ้าง (มิดฟิลด์, ศูนย์หน้า, ผู้รักษาประตู ฯลฯ) อยู่ตรงไหนของสนาม (หน้า กลาง ซ้าย ขวา ฯลฯ) ฯลฯ เป็นต้น
ประโยคส่วนใหญ่ของภาษาอังกฤษ ก็จะประกอบด้วยผู้เล่นหลักดังนี้:
“ประธาน (S) – เราจำตัว S ใหญ่ ง่ายๆว่าหมายถึง ประธาน เพราะมาจากคำว่า Subject”
นึกภาพก็เปรียบเสมือน ‘ประธานสโมสรฟุตบอล’ นั่นเอง คือ ถ้าขาดประธานไปเสียคนนึงแล้ว ทุกอย่างก็จบ พับเก็บโครงการไปได้เลย ไม่ครบทีม ไม่ถือเป็นประโยคอีกต่อไปแล้ว
ส่วนจะหยิบเอาคำนาม(N.) หรือเชิญ คำสรรพนาม(Pron.) มาทำหน้าที่เป็นประธานก็ได้ ขอให้ประโยคหนึ่งๆ มีประธานก็พอ
…..ต่างกันตรงที่ว่า ประธานของสโมสรฟุตบอล อาจมีได้คนเดียวเท่านั้น แต่ประธานของประโยคภาษาอังกฤษ จะมีกี่คนหรือกี่สิ่งก็ได้ ขอเพียงใช้ ‘and’ หรือเครื่องหมาย ‘,’ มาเชื่อมต่อกัน เช่น
“Papa, Mama, and Satawee are going to the supermarket.” – ปะป๊า หม่าม้า และศตวีย์ กำลังจะไปซูเปอร์มาร์เก็ตกัน
ถัดมา คือ กริยา(Verb) – กริยามีหลายแบบ เดี๋ยวในบทต่อๆไป พี่ๆน้องๆจะได้เห็นเอง แต่ตอนนี้ รู้เพียงว่า กริยาแปลตรงตัวเลย ก็คือ ‘การกระทำ’ นั่นเอง
เช่น ประธานจะกัด เตะ ต่อย ตบ หรือทำอะไรก็ตามต่อนักฟุตบอลในสโมสร การกระทำเหล่านั้นนั่นแหละ คือ คำกริยาโดยจำอักษรย่อๆว่า ‘V’
สุดท้าย คือ กรรม
“เราจำง่ายๆว่า กรรม คือ ตัว O เพราะมันย่อมาจากคำว่า Object”
เมื่อมีการกระทำ ก็ต้องมีผู้รับกรรม เช่น หากกล่าวถึงนักฟุตบอล นักฟุตบอลจะเตะอะไรล่ะ? ก็ต้องเตะฟุตบอล
เจ้าฟุตบอลนี้เอง คือ กรรม เพราะมันทำหน้าที่รองรับการกระทำ คือ ถูกเตะ
กรรมก็เหมือนกัน จะเป็นคำนามหรือคำสรรพนาม ก็กลายมาเป็นกรรมได้ทั้งสิ้น ลองว่าต้องมาถูกวางอยู่ท้ายประโยคแล้วล่ะก็ ส่วนใหญ่มาเพื่อรับกรรมกันหมดนั่นแล เช่น
I kicked Satawee – ฉันเตะศตวีย์ (ศตวีย์เป็นกรรม)
She kissed him – หล่อนจูบเขา (เขานี่ก็เป็นกรรม จะหมายถึงใครก็ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่า ทำหน้าที่รองรับการกระทำไป)
TIPS:
ในประโยคภาษาอังกฤษใดๆ ถ้าไม่มีกรรม ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ไปสู่นิพพานนะครับ….เพียงแต่เราจะเรียกประโยคลอยๆเหล่านั้นว่า “วลี” (Phrase) ซึ่งไม่มีสาระแก่นสารอันใด
ตัวอย่างเช่น
วลีที่ว่า
I love ฉันรัก,
He likes เขาชอบ,
They (Birds) fly พวกมัน (ฝูงนก) บิน,
Peter walks ปีเตอร์เดิน เป็นต้น
อีกอย่างหนึ่งที่ควรจำไว้ คือ คำนามสามารถนำมาใช้เป็นได้ทั้งประธานและกรรมในประโยค แต่หากเป็นคำสรรพนาม เมื่อจะทำหน้าที่เป็นกรรม รูปแบบของคำจะเปลี่ยนไป เช่นคำว่า They เมื่อทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค จะต้องเปลี่ยนเป็นคำว่า Them เป็นต้น
นั่นล่ะครับ ถ้าจะให้อธิบาย ‘ประโยคส่วนใหญ่’ ในภาษาอังกฤษภาพรวมทั้งหมด ก็มีเพียง ‘S + V + O’ แค่นั้นเอง
อย่างไรก็ดี ในบทถัดๆไป ในเรื่องของ Part of Speech (อ่านว่า พาร์ท ออฟ สปีช) เดี๋ยวเราจะไปเจาะลึกประโยคแบบซับซ้อน อันมีองค์ประกอบอื่นๆเพิ่มเข้ามา รวมถึงรูปแบบอื่นๆของ Verb (V) และ Object (O) กันอีกที
แต่ตอนนี้ ลองมาทบทวนกันสักหน่อย กับคำถามทดสอบด้านล่าง
คำถามทดสอบ:
1) คำใดไม่สามารถทำหน้าที่ ‘ประธาน’ (S) ของประโยคได้
a. He b. Cat c. Play d. Somsri
2) คำใดเป็นกริยา (V)
a. School b. Swim c. Animal d. We
3) คำใดสามารถเป็นได้ทั้งประธาน (S) และกรรม (O) ของประโยค
a. She b. Banana c. Fly d. They
เฉลย
1. (ข้อ c.) เพราะเป็นคำกริยา ส่วนข้ออื่นๆ เป็นนามและสรรพนาม ซึ่งสามารถทำหน้าเป็นประธานได้ทั้ง 2 รูปแบบ
2. (ข้อ b.) เพราะคำกริยา คือ การกระทำ ซึ่ง Swim = ว่ายน้ำ อันถือเป็นการกระทำอย่างหนึ่งนั่นเองครับ
3. (ข้อ b.) เพราะ Banana เป็นคำนาม แต่ She และ They เป็นสรรพนามซึ่งต้องเปลี่ยนรูปคำศัพท์ไปเมื่อทำหน้าที่เป็นกรรม ส่วน Fly เป็นคำกริยาซึ่งไม่สามารถทำหน้าเป็นประธานได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
“การ์มิน”ลุยเปิดออฟฟิศแห่งแรกในไทย ชู 4 กลยุทธ์บุกตลาด
การ์มิน โตแกร่งสวนกระแสวิกฤต เผยรายได้ทั่วโลกกว่า 125,700 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประเดิมเปิดออฟฟิศแห่งแรกในไทย พร้อมชู 4 กลยุทธ์หลักบุกตลาดเต็มตัว
นางสาวมิสซี่ ยาง ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การ์มิน คอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาเราได้พบกับความท้าทายมากมายที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่การ์มินก็ยังสามารถสร้างรายได้สูงเป็นประวัติการณ์อีกครั้งและถือเป็นการเติบโตติดต่อกันเป็นปีที่ 5 เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของการออกกำลังกายและการมอนิเตอร์สุขภาพ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟจากแบรนด์การ์มินที่ผู้บริโภคให้ความมั่นใจได้รับความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ การ์มินยังได้พัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่ครอบคลุมฟังก์ชันด้านเทคโนโลยี GPS เพื่อตอบโจทย์ทุกจังหวะของชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง หรือการติดตามกิจกรรมและการเล่นกีฬาหลากหลายประเภท ทั้งในร่ม กลางแจ้ง หรือแม้ในช่วงเวลาพักผ่อน ทำให้ผู้สวมใส่สามารถมองเห็นภาพรวมและเข้าใจสุขภาพร่างกายของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง”
“จากวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการเป็นผู้นำระดับโลกในทุกตลาดที่เราให้บริการ และความพร้อมของการ์มินในทุกมิติ ตั้งแต่สินค้าที่ครอบคลุมทุกความต้องการ โดดเด่นด้วยรูปแบบการดีไซน์ที่น่าสนใจ คุณภาพที่เหนือกว่า ความคุ้มค่าด้านฟีเจอร์ที่สูงสุด ทีมงานที่พร้อมให้บริการทั่วทุกมุมโลก รวมถึงศักยภาพในการผลิต เราจึงขยายธุรกิจและเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขยายธุรกิจมายังประเทศไทยครั้งนี้จะทำให้การ์มินสามารถส่งมอบบริการที่ดีและสร้างความสะดวกสบายอย่างสูงสุดให้กับลูกค้าของเรา”
นายสกาย เชน ผู้อำนวยการ การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่า “การมาทำตลาดในประเทศไทย การ์มินยังคงความมุ่งมั่นในการส่งมอบเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมทุกๆ จังหวะการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกคนให้มีประสิทธิภาพตาม Every Beat of Life ตั้งแต่สินค้าที่มีพร้อมให้ลูกค้าได้เลือกซื้อได้ตรงกับความต้องการที่เฉพาะเจาะจงครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ สินค้าซีรีส์ VENU และ INSTINCT ที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้มองหานาฬิกาอัจฉริยะหลากหลายสไตล์เพื่อติดตามสุขภาพและการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน สินค้าซีรีส์ FĒNIX สำหรับผู้หลงใหลในการเล่นกีฬากลางแจ้ง สินค้าซีรีส์ FORERUNNER สำหรับผู้ที่รักการวิ่ง ไปจนถึงอุปกรณ์ GPS สำหรับอุตสาหกรรมการบิน ยานยนต์ หรือทางทะเล”
จากกระแสของผู้บริโภคชาวไทยที่โฟกัสกับการใช้ชีวิตแอ็กทีฟและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับจำนวนครั้งในการทำกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม Garmin Connect เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมในร่ม (Indoor Activities) เพิ่มสูงกว่า 55% ซึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยม ได้แก่ คาร์ดิโอในที่ร่ม และโยคะ ในขณะที่กิจกรรมกลางแจ้ง (Outdoor Activities) เพิ่มสูงกว่า 25% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มกีฬากอล์ฟ และจักรยาน และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในตัวเลขรายได้ของกลุ่มสินค้าซีรีส์ DESCENT สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาดำน้ำ ที่เติบโตกว่า 80% รายได้กลุ่มสินค้าซีรีส์ APPROACH สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟ โตขึ้น 170% รายได้ของกลุ่มสินค้าซีรีส์ EDGE สำหรับผู้ที่รักในการปั่นจักรยาน โตขึ้น 60% รายได้ของกลุ่มสินค้าซีรีส์ VENU ที่เพิ่มขึ้น 20% การ์มินมองเห็นศักยภาพการเติบโตของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable Devices) ในประเทศไทย และความต้องการในสมาร์ทวอทช์ที่ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย หรือทุ่มเทกับการเล่นกีฬาและทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยสามารถวัดผลลัพธ์และมอนิเตอร์ตนเองได้อย่างแม่นยำ
การ์มินจึงเดินหน้ารุกตลาดไทยปี 64 ด้วยกลยุทธ์ 4 ด้านหลัก ได้แก่
1) VERTICAL INTEGRATION ที่เกิดจากกระบวนการควบคุมคุณภาพทั้งสายการผลิตโดยบุคลากรของการ์มิน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การทำการตลาด และการให้บริการ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน กับความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วเท่าทันต่ออุตสาหกรรมที่กำลังพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
2) EXPAND BRAND PRESENCE IN EACH MARKET ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้ง 5 กลุ่มให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยการนำเสนอสินค้าที่ตอบความต้องการที่เฉพาะเจาะจง ผ่านการทำให้การ์มินเป็นที่รู้จักทั้งในการทำตลาดแบบ B2C และ B2B อาทิ การทำตลาดสินค้าประเภทกีฬากอล์ฟ และการดำน้ำ รวมถึงขยายผลลัพธ์ของ Garmin Health Solutions หรือโซลูชันด้านสุขภาพที่เรามีไปสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ และประกันภัย เป็นต้น
3) USER EXPERIENCE ENHANCEMENT กับการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคด้วยกิจกรรมรูปแบบใหม่ๆ จากการ์มินตลอดทั้งปี อาทิ GARMIN RUN CLUB คอมมูนิตี้แห่งใหม่สำหรับนักวิ่งที่คลั่งไคล้ในการออกกำลังกายกับกูรูการวิ่งชื่อดังทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
4) SEAMLESS SERVICE EXPERIENCES การบริการที่เป็นเลิศ กับแผนการให้บริการที่ครอบคลุมลูกค้าชาวไทยในทุกภูมิภาค ตั้งแต่ประสบการณ์หน้าร้านไปจนถึงบริการหลังการขาย ได้แก่ (1) บริการ Drop-off points กว่า 300 จุดที่พร้อมให้บริการทุกจุดทั่วประเทศ (2) ทีม Call Center คอยบริการตอบทุกข้อสงสัยเสมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัว และ (3) บริการ Door-to-door ที่ช่วยลดระยะเวลาการให้บริการลงถึง 50% เพิ่มประสิทธิภาพและรวดเร็วทันใจ
“เราเชื่อว่าการเข้าถึงลูกค้าในทุกย่างก้าวของการใช้ชีวิตภายใต้ Every Beat of Life ด้วยการมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้หลงใหลในการออกกำลังแบบเบื้องต้นในชีวิตประจำวัน กีฬากอล์ฟ การปั่นจักรยาน หรือการดำน้ำ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ การบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ และความมุ่งมั่นในการส่งมอบการใช้ชีวิตที่แอ็กทีฟและมีคุณภาพสำหรับคนไทย จะทำให้การ์มินสามารถคงความเป็นผู้นำตลาด Wearable Device ของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน” นายสกาย กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
16 ประโยชน์ของ สาหร่ายพวงองุ่น กากใยสูง แคลอรี่ต่ำ รักษาสารพัดโรค!!
สาหร่ายพวงองุ่น มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า Green Caviar หรือ Sea Grapes Seaweed
คนญี่ปุ่นเรียกว่า umibudo มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caulerpa lentillifera J. Agardh เป็นสาหร่ายทะเลสีเขียวสด มีเม็ดกลมเล็กคล้ายพวงองุ่น มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก
สาหร่ายพวงองุ่นเป็นสาหร่ายที่อยู่ใต้ท้องทะเลลึก คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานเพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ปัจจุบันสามารถหากินได้ง่ายในประเทศไทยที่นิยมนำมาเพาะเลี้ยงในบ่อเลี้ยง
1. ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหลอดเลือดและช่วยควบคุมความดันโลหิต อีกทั้งยังช่วยบำรุงหลอดเลือดและหัวใจให้แข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว
2.ลดคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
3.ต้านมะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันจากโรคมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมจึงช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
4.บำรุงสายตา สาหร่ายพวงองุ่นมีเบต้าแคโรทีนซึ่งเมื่อย่อยสลายแล้วจะได้เป็นวิตามินเอ จะช่วยในการมองเห็นทำให้ดวงตามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา
5. วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น วิตามินซี วิตามินอี แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ไอโอดีน และเบต้าแคโรทีน
6.ช่วยป้องกันโรคคอพอก สาหร่ายพวงองุ่นมีไอโอดีนสูง จึงช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคไทรอยด์ ป้องกันโรคไทรอยด์และโรคคอพอก
7.คืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว รักษาความชุ่มชื้นของเซลล์ผิว ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย
8.มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการแก่ก่อนวัย ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า และยังมีวิตามินอี ช่วยลดการเหี่ยวย่นของผิว
9. โพแทสเซียมสูง ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิต โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด
10.กากใยสูง เป็นแหล่งอาหารที่มีแคลอรีต่ำและกากใยสูง เหมาะสำหรับผู้ต้องการลดความอ้วน
11.ป้องกันท้องผูก สาหร่ายพวงองุ่นมีแบคทีเรียที่ดีในการย่อยอาหารและขับถ่ายของเสีย ป้องกันท้องผูกและริดสีดวงทวาร
12.มีแมกนีเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
13.บำรุงกระดูก แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกายและข้อกระดูก บำรุงเส้นเอ็น
14.มีสังกะสี ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
15.ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
16. มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
คุณค่าทางอาหารของ สาหร่ายพวงองุ่น 100 กรัม
โปรตีน 12.49 มิลลิกรัม
ไขมัน 0.86 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 59.27 มิลลิกรัม
วิตามินซี 1.00 มิลลิกรัม
วิตามินอี 2.22 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 1,030 มิลลิกรัม
โพแตสเซียม 970 มิลลิกรัม
แคลเซียม 780 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 630 มิลลิกรัม
สังกะสี 2.6 มิลลิกรัม
แมงกานีส 7.9 มิลลิกรัม
เหล็ก 9.3 มิลลิกรัม
ทองแดง 2,200 ไมโครกรัม
ไอโอดีน 1,424 ไมโครกรัม
ขอบคุณข้อมูลจาก today.line.me
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,050.00 | 25,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,623.00 | 24,604.68 | 25,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,460.70 | 22,144.21 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,298.40 | 19,683.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 730.00 | 11,066.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 568.00 | 8,610.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,682.00 | 25,499.12 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/03/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 | – | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.14 | 21.14 | – | – | – | – | – | – | – | 21.14 |
เบนซิน 95 | 34.46 | – | – | – | 34.91 | – | 34.96 | 34.46 | – | 34.46 |
ดีเซล B7 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 |
ดีเซล | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล B20 | 23.94 | 23.94 | 24.14 | – | 23.94 | – | 23.94 | 23.94 | – | 23.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.64 | 31.76 | 33.64 | 33.04 | – | – | – | – | – | 31.64 |
แก๊ส NGV | 13.35 | 13.35 | – | – | – | – | – | – | – | 13.35 |