จุฬาฯ พลิกโฉมที่ดินบล็อก34 สามย่าน ทะยานสู่เมืองนวัตกรรมการแพทย์ชั้นสูง
จุฬาฯ พลิกโฉมที่ดินบล็อก34 สามย่าน ทะยานสู่เมืองนวัตกรรมทางการแพทย์ชั้นสูง รับกลุ่มกำลังซื้อกระเป๋าหนักทั้งไทย-ต่างชาติ ใน3-4ปีข้างหน้าหลังปิดรับฟังความเห็น -เงื่อนไขจบ เตรียมขายซองประมูล เชื่อม โซนสยามสแควร์
สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ PMCU นำที่ดินบล็อก34 เนื้อที่12ไร่ ย่านถนนบรรทัดทอง สามย่าน ประมูลหาเอกชนร่วมลงทุน พัฒนามิกซ์ยูสและศูนย์การแพทย์ครบวงจรที่ดีที่สุดในประเทศไทย
ที่ดินผืนงามติดปอดขนาดใหญ่ อุทยาน100ปีเนื้อที่กว้าง29ไร่ ที่จุฬาฯเนรมิตให้สอดรับกับคนรักสุขภาพ จึงประเมินว่าเหมาะอย่างมากที่จะเป็นเมืองนวัตกรรมทางการแพทย์ เมืองที่ต้องการความสุขสงบ ขณะอีกฝั่งโซนสยามสแควร์ ย่านช็อปปิ้งที่กำลังถูกพลิกโฉมครั้งสำคัญให้เป็นย่านพลุกพล่านอึกกระทึก จุดศูนย์รวมวัยรุ่นคนวัยทำงานเข้าพื้นที่ ภายหลังโรงหนังสกาลา โรงหนังสแตนอโลนใจกลางเมืองแห่งสุดท้ายของจุฬาฯปิดตำนานลง เปิดทางให้ยักษ์ค้าปลีกอันดับ1ของเมืองไทย ฐานะผู้ชนะประมูลอย่างบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาจำกัด(มหาชน)หรือ CPN เข้ารับสิทธิ์การเช่าระยะยาว30ปี ยกระดับเป็นเมืองช็อปปิ้งโลก
สำหรับการปรับพื้นที่ หมอนหรือบล็อก 34 ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง สภาพปัจจุบันเป็นพื้นที่เปิดโล่ง คงเหลืออาคารพาณิชย65 คูหา ทั้งนี้ พื้นที่มีความพร้อม ดําเนินโครงการ โดยมีการปรับปรุงเป็นลานจัดกิจกรรมและจอดรถชั่วคราว และยังเหลืออาคารพาณิชย์เก่าหมดสัญญา 65คูหาที่ต้องทุบทิ้งให้เตียนโล่ง
แหล่งข่าวจาก PMCU ระบุว่า ภายหลังจาก เปิดรับฟังความคิดเห็น พื้นที่โครงการหมอนหรือบล็อก34 แล้วเสร็จ(20ส.ค.-20ก.ย.64) จะเปิดขายซอง ในไม่ช้านี้ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณ หมอน 34 เขตพาณิชยสวนหลวง-สามย่าน ให้เป็นศูนย์การแพทย์และพื้นที่ เชิงพาณิชย์(Wellness/Health Complex)
ประกอบไปด้วยศูนย์การแพทยที่สามารถให้บริการทางการแพทย์ครบวงจรสามารถให้การดูแลผู้ป่วยในระดับตติยภูมิ และมีการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ขั้นสูง มี ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Excellent Center) และศูนย์การดูแลสุขภาพ โดยใช้แนวทาง Smart Hospital และพื้นที่เชิงพาณิชย์อื่นๆ ที่สอดคล้องและส่งเสริมกับแนวคิด Wellness/Health Complex
แน่นอนว่า ผู้ที่จะร่วมลงทุนกับจุฬาฯต้อง เป็นเอกชนที่มีศักยภาพ ชั้นสูงด้านการแพทย์ นวัตกรรมก้าวล้ำ ซึ่งปัจจุบันมี โรงพยาบานระดับชั้นนำแถวหน้าของเมืองไทยและมีชื่อเสียงระดับโลกให้ความสนใจ ทั้งโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงราษฎร์ ปิยะเวท เป็นต้น
สำหรับเงื่อนไข ระยะเวลา รับสิทธิการเช่า 30 ปี ค่าตอบแทน รายปี ที่เสนอจะต้องไม่ต่ำกว่า จํานวนเงินดังนี้ ปีที่ 1-3 จำนวน 74,000,000 บาท /ปี ปีที่ 4 – 6 จำนวน 81,000,000 บาท/ปี ปีที่ 7 – 9 จํานวน 89,000,000 บาท/ปี ที่10– 12 จํานวน 98,000,000 บาทต่อปี
ปีที่ 13 – 15 จํานวน 108,000,000 บาท/ปี ปีที่ 16 – 18 จํานวน 119,000,000 บาท/ปี ปีที่ 19 – 21 จํานวน 131,000,000 บาท/ปี ปีที่22 – 24 จํานวน 144,000,000 บาทต่อปี ปีที่ 25 – 27 จํานวน 158,000,000 บาท/ปีปีที่ 28 – 30 จํานวน 174,000,000บาท/ปี
ทั้งนี้จุฬาฯเพิ่มเงื่อนไข จูงใจนักลงทุน ขยายเวลาเช่าได้มากกว่า30ปีแต่ไม่เกิน50ปี กรณีข้อเสนอระยะเวลารับสิทธิ์การเช่า มากกว่า30ปี ต้องไม่ต่ำกว่า ปีที่1-30 โดยปีที่31 เป็นต้นไปผู้ยื่นข้อเสนอสามารถเสนอค่าตอบแทนรายปีตามความเหมาะสม
อนาคตที่นี่จะกลายเป็นเมืองทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ทันสมัย ระดับโลกดึงคนไทยและต่างชาติกระเป๋าหนักเข้าพื้นที่ ในอีก3-4ปีข้างหน้า ตามนโยบายรัฐบาล ไทยแลนด์ 4.0
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พลิกที่ดินมักกะสันขุมทรัพย์รถไฟ ฯขึ้นซุปเปอร์ทาวน์เวอร์ สูงสุดในไทย
ซีพีพลิกที่ดินมักกะสัน140ไร่ ขุมทรัพย์ใหญ่ รถไฟฯขึ้นซุปเปอร์ทาวน์เวอร์ เมืองไฮสปีด120ชั้น 550เมตรสูงสุดในไทย แลนด์มาร์คใหม่ ดึงคนทั่วโลกเข้าพื้นที่ ด้วยไฮสปีด3สนามบิน เชื่อมอีอีซี-ย่านธุรกิจใจกลางกทม. แซง โรงแรม100ชั้น 450เมตร เอเชียทีค ริมเจ้าพระยา- วันแบงค็อก
ที่ดินมักกะสัน140ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) กำลังพลิกโฉม กลายเป็นเมืองไฮสปีดเทรน ประตูบานแรกเปิดรับคนทั่วโลกเข้าพื้นที่ โดยใช้เส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) แม่เหล็กสำคัญเชื่อมระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี และพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานครเข้าด้วยกัน
ภายหลัง เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพี ผู้รับสัมปทานคู่สัญญารฟท.รับมอบพื้นที่ทั้ง3ส่วนและเข้าพื้นที่ภายในวันที่24ตุลาคมนี้ประกอบด้วย พื้นที่ ไฮสปีดฯ,แอร์พอร์ลิงค์และที่ดินมักกะสัน ติดสถานีแอร์พอร์ตลิงค์ ขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ของรฟท.ที่จะสร้างมูลค่ามหาศาลให้ทั้งสองฝ่ายและกระจายความเจริญไปยังชุมชนรอบข้าง
รายงานข่าวจากรฟท.ระบุว่า นอกจากบริษัท บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด บริษัท ในเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพี จะ มีภารกิจหลักพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน แล้วยังต้องพัฒนาที่ดินมักกะสัน ตามสัญญาเช่า50ปี มูลค่า50,000 ล้านบาท ที่กลุ่มซีพีจะต้องชำระค่าเช่าทั้งหมดให้รฟท.ทันทีภายหลังจากส่งมอบพื้นที่
แผนพัฒนา กลุ่มซีพี ต้องการ สร้างอัตลักษณ์ บนที่ดินมักกะสันตามที่เคยประกาศไว้ รูปแบบซุปเปอร์ทาวน์เวอร์ ตึกสูงที่สุดในประเทศไทย ที่ความสูง 550เมตร หรือ120ชั้น พื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า1-2ล้านตารางเมตร ขณะเดียวกันยังต้องกันพื้นที่เป็นพื้นที่สีเขียวปอดขนาดใหญ่ ไม่ต่ำกว่า50ไร่ ก่อสร้างทางเชื่อมจากทางสาธารณะเข้าโครงการบริเวณถนนอโศก ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารเชื่อมสถานีไฮสปีด เจาะอุโมงค์เชื่อมต่อ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีเพชรบุรี และสถานีไฮสปีดฯ
แหล่งข่าวจากกทม. ระบุว่า ทราบว่า กลุ่มซีพีจะพัฒนาซุปเปอร์ทาวเวอร์ตึกสูงที่สุดในไทย แลนด์มาร์คใหม่ ที่จะ ดึงคนเข้าตัวอาคารด้วย ไฮสปีดฯ ซึ่งจะมีการยื่นขออนุญาติสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ ก่อนขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร เมืองมักกะสันจะมีทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน ค้าปลีก เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ มีความทันสมัยด้านเทคโนโลยี ไม่ต่างจากโครงการวัน แบงค็อก บนถนนพระราม4ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี
ย้อนไปช่วงเซ็นสัญญา ไฮสปีดกับรฟท.(24ต.ค.62) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มซีพียืนยันว่าจะเนรมิตพื้นที่นี้ให้มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 2 ล้านตารางเมตร มากกว่าที่รฟท.กำหนด ถึง 2 เท่าตัว มูลค่าลงทุน1.4แสนล้านบาท
โดยเน้นเป็นศูนย์กลางช็อปปิ้งโลก สถานพยาบาลที่มีความเป็นเลิศ ทั้งด้านการบริการและเทคโนโลยีชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมของความบันเทิง ศูนย์การประชุมระดับนานาชาติ เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ แน่นอนว่าต้องลงทุนสูงเพื่อออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อเป็นแม่เหล็กสะกดคนทั้งโลก
คนในแวดวงอสังหาริทรัพย์ ระบุว่าที่ดินแปลงมักกะสัน เป็นลีสโฮลด์เช่าระยะยาว ตั้งอยู่กลางใจเมืองล้อมรอบด้วยรถไฟฟ้ามี คอนโดมิเนียม แหล่งงาน เกิดขึ้นหนาแน่น จึงต้องพัฒนาเป็นเมืองช็อปปิ้ง ศูนย์การประชุม โรงแรม รองรับนักท่องเที่ยว ที่สามารถเดินทางถึงสนามบินได้อย่างสะดวกรวดเร็วโดยรถไฟความเร็วสูงอีกทั้งคนทำงานและนักธุรกิจที่เดินทางไปกลับยังเมืองอีอีซี
ขณะราคาที่ดินทะลุ1ล้านบาทต่อตารางวา เพราะมีเมืองขนาดใหญ่ มีไฮสปีดฯ รถไฟฟ้า และการพัฒนาพื้นที่โดยรอบอย่างต่อเนื่องได้แก่อโศก -เพชรบุรีตัดใหม่ รัชดาฯ -พระราม9เป็นต้น
“ฐานเศรษฐกิจ”สำรวจ ตึกที่สูงในประเทศไทยซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่มักใช้เป็นกลยุทธ์สร้างจุดหมายปลายทางเข้าพื้นที่ ปัจจุบันพบว่าตึกสูงที่สุดในไทย ได้แก่ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนเซส แอท ไอคอนสยาม ถนนเจริญนครเขตคลองสาน ที่ความสูง 317.95 ม.70 ชั้น แซงหน้า ตึกมหานคร(คิงเพาเวอร์มหานคร) ย่านบางรัก ที่314เมตร
ตึกที่ประกาศตามมาว่าจะเป็นตึกที่สูงที่สุดอยู่ระหว่างก่อสร้าง คือ โครงการแอสเซ็ทเวิลด์ทาวน์เวอร์แอทเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ถนนเจริญกรุง โรงแรมสูง450ม.100ชั้น เริ่มสร้างปี2565 และเดอะซิกเนเจอร์ทาวเวอร์แอทวันแบงค็อก พระราม4 ที่ความสูง 437.03 ม. 92ชั้น เปิดปี2566 ซึ่งทั้ง2โครงการเป็นของเจ้าสัวเจริญ
สุดท้ายมักกะสันคอมเพล็กซ์ที่ดินรถไฟฯของกลุ่มซีพี ก็ล้มแชม์จนได้ที่ความสูง 550เมตร 120ชั้นแต่หาก โครงการซุปเปอร์ ทาวเวอร์แอทเดอะแกรนด์ พระราม9ของ บริษัท จี แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่กลุ่ม เช็นทรัลถือหุ้นใหญ่ ไม่พับแผนเสียก่อน
ตึกนี้จะสูงที่สุดในไทยที่ 615 เมตร 125ชั้น ทันที ขณะบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)ที่ประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่าจะสร้างตึกคิงบริดจ์ ทาวเวอร์ บนถนนพระราม 3 สูงที่สุดในไทยอีกราย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ความสูงอยู่ที่เพียง 236.8 เมตรเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แนวโน้มหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ จับตาผลประชุมศบค.ชุดใหญ่
แนวโน้มหุ้นไทย 27 ก.ย. 64 คาดดัชนีเคลื่อนไหวไซด์เวย์ตามตลาดต่างประเทศ จับตาปัจจัยภายในประเทศ การประชุมศบค.ชุดใหญ่
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 64 นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วนจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่ได้ปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แต่คงได้รับแรงกดดันจาก บริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ทั้งความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและเครดิตของโลก ทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวไซด์เวย์ อีกทั้งไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาด้วย
สำหรับปัจจัยภายในประเทศวันนี้ต้องติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่จะมีการพิจารณาข้อเสนอขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 2 เดือน และกำหนดระยะเวลาการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งอาจมีการเลื่อนระยะเวลาออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ต.ค.นี้
และอีกปัจจัยคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 ก.ย.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,603-1,611 จุด และแนวต้าน 1,634 จุด
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ไทยเปิดสวย พลิกแซงดับอินเดีย 4-1 แบดฯ สุธีรมาน คัพ นัดแรก
ทีมตบลูกขนไก่ไทยประเดิมสนาม ต้อนเอาชนะอินเดียไปได้ 4-1 คู่ ในศึกแบดมินตันประเภททีมผสม ชิงแชมป์โลก “สุธีรมาน คัพ 2021” ที่ประเทศฟินแลนด์
การแข่งขันแบดมินตันประเภททีมผสมชิงแชมป์โลก “สุธีรมาน คัพ 2021” ที่เมืองวันตา ประเทศฟินแลนด์ โดยครั้งนี้มีทั้งหมด 16 ทีมร่วมการชิงชัย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม พบกันหมดในกลุ่ม แล้วจะนำทีมแชมป์ และรองแชมป์ของแต่ละกลุ่ม ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย เพื่อหาผู้ชนะต่อไป ในกลุ่มเอ มี จีน แชมป์เก่า, ไทย, อินเดีย และเจ้าภาพฟินแลนด์, กลุ่มบี ไต้หวัน, เกาหลีใต้, ตาฮิติ และเยอรมนี, กลุ่มซี อินโดนีเซีย, เดนมาร์ก, คณะกรรมการโอลิมปิกรัสเซีย และแคนาดา และกลุ่มดี ญี่ปุ่น รองแชมป์เก่า, มาเลเซีย, อังกฤษ และอียิปต์
ส่วนทีมตบลูกขนไก่ไทยประเดิมสนามกลุ่มเอ พบ อินเดีย ซึ่งแม้จะเป็นนัดแรก แต่ก็เหมือนนัดชี้ชะตา ทีมใดชนะ จะได้ผ่านเข้ารอบทันที เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า ไทย และ อินเดีย น่าจะผ่านฟินแลนด์เจ้าภาพไปได้ ส่วนเต็ง 1 ที่จะเป็นแชมป์กลุ่มถูกมองว่าน่าจะเป็นทีมจีน แชมป์เก่ารายการนี้
ผลปรากฏว่า ทีมนักแบดฯ ไทยโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะ อินเดีย ไป 4-1 คู่ โดยประเภทชายคู่ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือ 154 ของโลก แพ้ อารุน กับ ดารูฟ คาพิลา คู่มือ 47 ของโลก 0-2 เกม 18-21, 17-21 ทำให้ไทยตามก่อน 0-1 คู่
แต่หลังจากนั้นไทยเอาชนะคู่ได้ 4 คู่รวด จากหญิงเดี่ยว “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือ 10 ของโลก ชนะ มัลวิกา บันสด มือ 110 ของโลก 2-0 เกม 21-11, 21-14 ชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 25 ของโลก ชนะ คิดัมบี สีคานธ์ มือ 14 ของโลก 2-0 เกม 21-9, 21-19 หญิงคู่ “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ “วิว” รวิดา ประจงใจ คู่มือ 8 ของโลก ชนะ อัสวินี พอนนาพา กับ เรดดี สิกกิ คู่มือ 28 ของโลก 2-0 เกม 23-21, 21-8 คะแนน และคู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือ 3 ของโลก ชนะ ไซ ปรานีธ กับ ทานิชา คาสโต 2-0 เกม 21-13, 21-11
ทำให้นักแบดมินตันไทยเปิดหัวได้อย่างสวยงาม ด้วยการเอาชนะอินเดียไปขาดลอย 4-1 คู่ โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้ายค่อนข้างสดใส
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
Eye Floater เห็น “จุดดำ” ลอยไปมา อันตรายไหม?
เคยเป็นไหมเวลาที่อากาศร้อนๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วเจอเส้นดำๆ หรือฝุ่นขยุกขยุยลอยไปลอยมาในตาของเรา ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั่นไม่ใช่ฝุ่นปริศนา หรือพยาธิอะไรหรอกไว้ใจแซลมอนมื้อก่อนที่คุณกินได้เลย แต่นี่คืออาการมองเห็นเงาดำที่เกิดจากน้ำวุ้นในตา หรือที่เรียกว่า Eye Floaters
สาเหตุของ Eye Floaters
Eye Floaters หรือ วุ้นในตาเสื่อม เป็นอาการที่เราจะเห็นเงาดำๆ หรือจุดเล็กๆ เส้นวงๆ ลอยไปมาบริเวณลูกตาทั้ง 2 ข้าง เมื่อมองในพื้นที่สว่างๆ อย่างการมองท้องฟ้าในตอนกลางวัน มองแผ่นกระดาษหรืออะไรที่เป็นสีขาวๆ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ
โดยสิ่งที่เราเห็นตอนมีอาการวุ้นในตาเสื่อมนั้นก็คือ เศษเนื้อตาย (Debris) ของน้ำวุ้นในตาที่เสื่อมลงจนจับตัวเป็นก้อนหรือสานกันเป็นเส้นหลุดลอกออกจากวุ้นตา โดยเมื่ออณูเศษเนื้อตายเหล่านี้กระทบเข้ากับแสงก็จะเกิดเป็นเงาทอดไปยังจอตา กลายเป็นรูปเงาดำๆ อย่างที่เราเห็นกัน นอกจากจะเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในกลุ่มผู้สูงอายุแล้ว ในปัจจุบันก็พบคนวัยทำงานมีอาการบ่อยมากขึ้นเช่นกันจากการใช้สายตาที่มากเกินจำเป็น ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของ วุ้นในตาเสื่อม ในคนวัยทำงานเกิดจาก
- การเพ่งตัวอักษรบนหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ มือถือ นานเกินไปทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก
- การมองสลับไปมาระหว่างหน้าจอและแป้นพิมพ์ รวมไปถึงการไถหน้าจอบนโทรศัพท์ทำให้สายตาปรับโฟกัสบ่อยเกินไป
Eye Floaters อันตรายหรือไม่?
โดยปกติแล้ว Eye floaters ยังไม่มีการค้นพบถึงอันตรายจากอาการดังกล่าวนอกจากจะสร้างความรำคาญตอนเงยหน้าดูก้อนเมฆหรือขับรถเท่านั้น เพียงแค่รอสักพักร่างกายก็จะค่อยๆ ปรับตัวให้มองเห็นได้น้อยลงนั่นเอง จึงยังไม่มีการรักษาใดๆ แม้ชื่ออาการจะดูน่าวิตกก็ตาม แต่ถ้าเป็นบ่อยขึ้นและเห็นเป็นแสงวูบวาบเพิ่มเข้ามาด้วยควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ เพราะอาจเป็นการเตือนถึงอาการจอประสาทตาฉีกขาด จะได้รักษาทันอย่างท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
12 คำที่ตลกที่สุดในภาษาอังกฤษ
การพยายามระบุคำที่ตลกที่สุดในภาษาอังกฤษจากคลังศัพท์กว่า 750,000 คำเป็นคำท้าที่ออกจะบ๊องๆ เล็กน้อย แต่เนื่องจากเราได้พูดถึงคำที่งดงามที่สุดและคำที่ประหลาดที่สุดไปแล้ว เราคิดว่าเราก็ต้องรับมือกับหัวข้อนี้เช่นกัน
ทีมนักเขียนมากพรสวรรค์ของเราได้แบ่งปันคำที่พวกเขาชื่นชอบที่สุด และเราก็ได้รวบรวมลิสต์ของคำที่ตลกและฮาที่สุดออกมา เอาละ เรามาดูคำภาษาอังกฤษที่ตลกที่สุด 12 คำกันเลย
- Shenanigans
ความหมาย: ความลับหรือกิจกรรมที่ไม่ซื่อ หรืออุบาย การก่อกวน
ตลกเพราะ: ทุกส่วนของคำนี้ฟังดูฉลาด เบาสมอง และน่าขำพอๆ กับการแกล้งแบบไม่มีพิษภัยซึ่งอธิบายได้ด้วยคำนี้
- Bamboozle
ความหมาย: หลอกลวงด้วยวิธีใช้เล่ห์เหลี่ยม
ตลกเพราะ: เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงใครก็ตามที่พูดคำนี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังถูกหลอก
- Bodacious
ความหมาย: ยอดเยี่ยม โดดเด่น ดึงดูด
ตลกเพราะ: จำ Jeff Spicoli จากภาพยนตร์เรื่อง Fast Times of Ridgemont High ได้ไหม? ใช่แล้ว เขานั่นแหละ “bodacious”
- Brouhaha
ความหมาย: ปฏิกิริยาหรือการตอบสนองต่อบางสิ่งอย่างกระโตกกระตากและตื่นเต้นเกินเหตุ
ตลกเพราะ: คำนี้มี “haha” รวมอยู่แล้ว ให้ลองพูดคำนี้ออกมาดังๆ โดยไม่เผลอยิ้มออกมา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!
- Canoodle
ความหมาย: จุมพิตและกกกอดกันอย่างรักใคร่
ตลกเพราะ: ถ้าคุณมีคุณย่าคุณยายที่เป็นคนโบราณมาก นี่เป็นคำที่ท่านใช้อธิบายถึงความรักแบบโรแมนติก คำนี้ทำให้ผู้คนหัวเราะคิกคักในสมัยก่อน และก็ยังคงฟังดูตลกจนถึงปัจจุบันนี้
- Gnarly
ความหมาย: ยาก ร้าย เจ๋ง หรือดี
ตลกเพราะ: นี่เป็นคำที่ได้รับความนิยมในชุมชนกีฬาผาดโผน โดยใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งที่สุดโต่งสุดๆ ที่พวกเขาทำ (ออกแนวเหน็บแนม)
- Goggle
ความหมาย: แว่นตาที่ใส่แนบพอดีและปิดด้านข้าง หรือกริยาการมองด้วยตาเบิ่งกว้าง โดยมักเกิดจากความประหลาดใจ
ตลกเพราะ: เมื่อใครบางคน goggle บางอย่าง ตาของเขาจะขยายใหญ่มากและจะดูตลกนิดๆ และจะยิ่งดูน่าขำยิ่งขึ้นถ้าเขา goggle พร้อมอ้าปากค้างไปด้วย 555
- Gubbins
ความหมาย: ของเบ็ดเตล็ด อุปกรณ์เล็กๆ
ตลกเพราะ: การพูดคำว่า “gubbins” จำเป็นต้องออกเสียงในลำคอที่แปลกมากๆ และเป็นคำเก่าที่ประหลาดมาก โดยมีอายุถึง 400 ปีเลยทีเดียว
- Malarkey
ความหมาย: เรื่องเหลวไหลไร้สาระ
ตลกเพราะ: เป็นคำไร้สาระที่น่าขำ ซึ่งใช้อธิบายถึงสิ่งเหลวไหลไม่เป็นเรื่อง
- Nincompoop
ขอบคุณข้อมูลจาก ef.co.th
เสพสื่อให้หลากหลาย รู้ให้มากกว่าเฉพาะเรื่องที่ถูกใจ
ช่วงประมาณสองสัปดาห์ก่อน มีประเด็นหนึ่งที่เป็นข่าวลงในช่องทางออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สำนักพิมพ์ดังตั้งแต่ช่วงเวลากลางวัน ตกค่ำประเด็นนี้ก็ถูกนำไปพูดถึงในสื่อกระแสหลักทางโทรทัศน์ การนำเสนอข่าวของประเด็นนั้นเป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงทั่วไป ที่สำคัญ ข่าวกระแสหลักช่องนั้น มีการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้ด้วยว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร
ผู้ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่ออธิบายถึงปรากฏการณ์นั้น พร้อมทั้งเตือนไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก และกล่าวว่าเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็กำลังจับตาดูสถานการณ์ที่ว่าอยู่ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ให้สัมภาษณ์จบข่าวก็จบไป
ประเด็นที่เป็นข่าวในวันนั้น นับว่าเป็นประเด็นที่ค่อนข้างสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนคนไทยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นว่าหนังสือพิมพ์สำนักดังรายงานข่าวแล้ว และมีข่าวออกในสื่อกระแสหลักในช่วงข่าวค่ำ ทุกอย่างก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แม้จะไม่แน่ใจว่ามีสื่อดัง สื่อหลัก สื่อใดบ้างที่นำประเด็นนี้ไปทำข่าว แต่ถ้าใครได้อ่าน ถ้าใครได้ดู ก็จะรู้ว่าสื่อสำนักนั้น ๆ รายงานอะไรไปบ้าง จะรู้ว่าเขานำเสนอข้อเท็จจริงตามหน้าที่สื่อไปแล้ว และจะรู้ด้วยว่าในฐานะประชาชนคนหนึ่งควรปฏิบัติตัวอย่างไร
ทว่าเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น หนังจากนั้นประมาณสามวัน ประเด็นที่ว่ากลายเป็นแฮชแท็กติดเทรนด์อันดับต้น ๆ ในโลกทวิตเตอร์ หากเป็นการติดแท็กเพื่อย้ำเตือนสถานการณ์อีกครั้งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่…ถ้าคิดแบบนั้น อาจจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่ว่าน่ารู้จักโลกทวิตเตอร์ไม่ดีพอ เพราะถ้าในทวิตเตอร์ไม่มีเรื่องดราม่า ก็เหมือนกับโลกไม่มีอากาศ
หากกดเข้าไปอ่านแฮชแท็กนั้น จะพบว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการดันแท็กจนติดเทรนด์อยู่สองถึงสามวัน ไม่ใช่เพราะต้องการจะย้ำเตือนถึงสถานการณ์ หากแต่เป็นการ “ด่า” ว่าสื่อหลักหรือสื่อดัง ๆ ไม่ทำหน้าที่นำเสนอข่าวนี้ ส่วนมากพูดไปในทำนองเดียวกันว่าไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากสื่อหลักเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องที่ว่าร้ายแรงมากมีแจ้งเตือนมาตั้งแต่สามถึงสี่วันก่อน แต่สื่อหลัก สื่อดัง พากัน “กริบ” แล้วเริ่มมีการโยงไปยังการทำข่าวอื่น ๆ ของสื่อไทยด้วย ถึงจะตามอ่านไม่หมดว่าคนพูดถึงแท็กนั้นว่าอะไรอีก ก็รู้ว่ามันมีทิศทางเดียวกันคือการด่า ผสมโรงกันด่า และใครแย้งก็จะโดนด่า
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้อ่านข่าวนั้นแล้วจากช่องทางออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สำนักดัง แถมยังได้ดูข่าวค่ำและการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องทางโทรทัศน์ด้วย (ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว) คุณจะรู้สึกอย่างไร?
สื่อหลักเงียบกริบจริง ๆ หรือเพราะคุณไม่ได้สนใจจะสนใจ?
นี่คือความรู้สึกแรกหลังจากสุ่มอ่านทวีตที่มียอดรีทวีตสูง ๆ มียอดอ้างถึงสูง ๆ มีการกดหัวใจสูง ๆ ทุกทวีตพูดไปในทิศทางเดียวกันว่าข่าวใหญ่แบบนี้แต่สื่อหลักไม่ทำข่าว ไม่นำเสนอข่าว ต้องให้ประชาชนมาเตือนกันเอง ดูแลชีวิตกันเอง ในขณะที่ความรู้สึกแย้งในใจบอกว่า “ข่าวทีวีก็ออกนะ ช่องทางออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สำนักดังก็รายงานด้วย รายงานตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ทำไมจึงมีคนไม่รู้มากขนาดนี้ ไม่รู้ไม่พอ ด่าการทำงานของสื่อด้วย”
คำถามคือ วันหนึ่ง ๆ แต่ละคนเสพข่าวสารจากไหนบ้าง ถึงไม่รู้ว่ามีสื่อใหญ่นำข่าวนี้ไปเล่นแล้ว การที่สื่อใหญ่นำข่าวนี้ไปเล่น แต่ไม่เปรี้ยงพอที่จะทำให้ประชาชนผู้รักการดราม่ามากระพือต่อ (ทั้งที่สื่อมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเลย) เป็นเพราะประชาชนไม่ได้ดูไม่ได้อ่าน ก็เลยไม่มีการนำมาพูดต่อแชร์ต่อหรือเปล่า ย้อนกลับไปที่ต้นทาง ถ้าประชาชนไม่ตามข่าวจากสื่อหลัก แล้วนำมาเล่นในโซเชียลมีเดียหลักจากที่มีสื่อหลักเล่นไปแล้วถึงสามวัน มันเป็นเพราะคุณไม่สนใจจะตามข่าวจากสื่อหลักเองหรือเปล่า
นี่อาจเป็นกับดักที่ตลกร้ายที่สุด หากคุณไม่ดูสื่อหลักในโทรทัศน์เอง หรือไม่อ่านการนำเสนอข่าวออนไลน์ของสำนักหนังสือพิมพ์เอง โดยในแต่ละวันอาศัยเสพข่าวจากการส่องดราม่าในโซเชียลมีเดีย คุณกล้าพูดได้อย่างไรว่าสื่อหลักเงียบกริบ หรือไม่มีสื่อไหนนำข่าวนี้มาเสนอ?
การที่คุณเสพข่าวอยู่แต่โลกโซเชียลมีเดีย มันจะมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณหลงเข้าไปโดยไม่รู้ตัวและหาทางออกได้ยาก สิ่งนั้นคือ “ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” คุณอาจจะคิดว่าโซเชียลมีเดียทำให้คุณหูตากว้างไกลขึ้น โลกทัศน์กว้างขึ้น เพราะคุณสามารถรับรู้สารพัดสิ่งได้จากทั่วทุกมุมโลก ลองย้อนกลับไปอ่านปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดู คุณจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเท่าไรนัก เพราะความจริงคือ คุณถูกป้อนข้อมูลจากการทำงานของเอไอและอัลกอริทึม ที่จะป้อนเฉพาะสิ่งที่คุณชอบ เมื่อคุณฟังเฉพาะสิ่งที่คุณชอบ คุณก็จะไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของสิ่งที่คุณไม่ชอบ
แน่นอน มันทำให้คุณพลาดการได้ยินได้ฟังเรื่องราวอีกแง่มุมหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งมันอาจจะเป็น “ความจริงอีกด้าน” (ที่คุณจะไม่มีวันรู้) ก็เป็นได้ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังคอยตอกย้ำเสียงที่คุณชอบให้กลายเป็นความคิดที่ฝังใจ เกิดอคติ เกิดการแบ่งแยกพวกฉันพวกเธอ รวมไปถึงแนวโน้มที่คุณจะตัดสินใจอะไรง่าย ๆ โดยอาศัยเฉพาะข้อมูลที่คุณมีและตราตรึงใจคุณมากเท่านั้น เพราะคุณไม่มีความคิดตรงข้ามมาถ่วงให้คุณรู้สึกเอ๊ะ! แล้วลังเลชั่งใจอะไรเลย
โซเชียลมีเดีย ห้องเสียงสะท้อนที่กู่ไม่กลับขนานแท้
เป็นความจริงที่ว่าพอเราโตขึ้น เราจำเป็นต้องเข้ามาอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ มีผู้คนร้อยพ่อพันแม่ หลากความเชื่อ หลายความคิด เราก็จะถูกบังคับให้เจอกับความคิดเห็นที่หลากหลายขึ้น ถึงเราจะไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้รับรู้เรื่องราวที่แตกต่างจากเดิมที่เคยรู้ ได้ถกเถียงกับใครสักคนเพื่อหาตรงกลางของความคิดความเชื่อนั้น ๆ จนทำให้เราออกจากห้องเสียงสะท้อนได้ในที่สุด
แต่…การมาของโซเชียลมีเดีย ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างลดลง ถึงจะยังติดต่อกันในโซเชียลมีเดียได้อยู่ ทว่าหากใครพูดจาไม่เข้าหู มีความคิดความเชื่อที่ไม่เหมือนกับเรา บวกกับเทคโนโลยีและอัลกอริทึมที่คัดกรองมาเฉพาะเนื้อหาที่เราสนใจและชื่นชอบ เราก็เริ่มกลับเข้ามาในห้องเสียงสะท้อนกันอีกครั้ง และเพราะโซเชียลมีเดียนั้นเล่นสนุก การได้รับการยอมรับทำให้เราไม่รู้สึกแปลกแยก รู้สึกมีพวก นี่จึงเป็นห้องเสียงสะท้อนที่อาจกู่ไม่กลับเลยก็เป็นได้
We Are Social และ Hootsuite แพลตฟอร์มบริหารจัดการสื่อสังคมออนไลน์ ได้ออกมาเปิดเผยถึงสถิติตัวเลขล่าสุดของผู้ใช้โซเชียล ได้เผยรายงานสถิติการใช้งาน “โซเชียลมีเดีย” ของคนทั่วโลก Global Digital Report 2021 พบข้อมูลที่น่าสนใจว่าในเวลานี้มีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย 4.48 พันล้านคน โดยเพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านคนในเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น
ส่วนข้อมูลการใช้โซเชียลมีเดียของคนไทยยิ่งน่าสนใจ ตรงที่คนไทยใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุดในโลก! ครองอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 78 เปอร์เซ็นต์ และคนไทยกว่า 91 เปอร์เซ็นต์ อ่านข่าวออนไลน์มากเป็นอันดับสองของโลก แสดงให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางรับรู้ข่าวสารของคนไทยที่ทรงอิทธิพลมากในช่วงปีที่ผ่านมา
เมื่อคนหันมาติดหนึบโซเชียลมีเดียกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ตรงที่เราได้ติดต่อกับคนใหม่ ๆ กับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานก็มาเจอกันในโซเชียลมีเดีย ดึงดูดคนที่มีความสนใจตรงกัน อัปเดตข่าวสารในยุคดิจิทัลได้สะดวกและรวดเร็วมาก คุยกับคนได้ทั่วทุกมุมโลก ผู้คนจึงเลือกที่จะใช้โซเชียลมีเดียเป็นสื่อหลักในการรับข้อมูลข่าวสาร แล้วก็หลงมัวเมาอยู่ในโลกเสมือนนั้นจนไม่สนความเป็นไปของโลกจริง ๆ รับข้อมูลด้านเดียวซ้ำ ๆ ข้อมูลที่ไม่มีการโต้แย้ง ไม่มีข้อเสนอแนะอื่น เมื่อคุณอยู่ในห้องของเสียงสะท้อนของตนเอง เสียงนั้นก็จะดังขึ้นเรื่อย ๆ ถี่ขึ้นกว่าเดิม
ทำไมถึงไม่มีใครโต้แย้ง ก็เพราะถ้าเราไม่ชอบใคร เราก็ลบเพื่อน เลิกติดตาม บล็อกเขาทิ้ง ต่างจากโลกจริงที่เรายังเผชิญหน้าโต้แย้งกันได้ แน่นอนว่ามันทำให้เรามีความสุขขึ้น ตรงที่ไม่ต้องเห็นอะไรที่มันรกหูรกตา รกความคิดความเชื่อของตัวเอง แต่กลับทำให้เราถูกอคติครอบงำไปเรื่อย ๆ การคิดแบบมีเหตุมีผลของเราจะค่อย ๆ หายไป ความคิดเราจะจำกัดมากขึ้นเพราะอคติ คล้อยตามกลุ่มคนจำนวนมากได้ง่าย ไปจนถึงรับไม่ได้เมื่อมีคนคิดเห็นต่างจากเรา นี่แหละ ที่ทำให้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่แห่งการปลุกปั่นสร้างความเกลียดชัง ขนานแท้
อคติมีอยู่ในใจทุกคนอยู่แล้ว ต่อให้เลือกข้างแล้ว ก็ไม่เห็นต้องปิดหูปิดตา
หากคุณพูดกับตัวเองเสมอว่าตัวเองเป็นกลางไม่ว่าจะกับเรื่องใดก็ตาม คุณก็เลือกข้างแล้วนี่ว่าจะอยู่ตรงกลาง แต่ตรงกลางของคุณกลางจริงไหม ไม่ค่อนไปทางไหนจริงไหม ลองสังเกตจากเรื่องที่คุณชอบฟังชอบดู มันมาจากฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา แล้วคุณเคยด่าเรื่องที่ไม่ใช่เรืองที่คุณชอบบ้างหรือไม่ ถ้าเคย ดูเหมือนว่าคุณจะกลางไม่จริง!
จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าคุณจะคิดเห็นอย่างไร เชื่อหรือไม่เชื่อ ชอบหรือไม่ชอบ หรือจะอยู่ฝั่งไหนก็ได้ นั่นเป็นสิทธิ์ในการเลือกของคุณ ขอแค่อย่าปิดหูปิดตาตัวเอง เพื่อรับรู้เฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากจะรู้! ไม่รับรู้เรื่องอีกด้านเพียงเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจ ไม่ต้องจริตของตัวเองจนทำใจรับรู้ไม่ได้ การจะหลุดออกจากห้องแห่งเสียงสะท้อน คุณควรรับรู้ทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ไม่ว่าคุณต้องนั่งกัดฟันหรือกำมือแน่นแค่ไหน หลังจากรับรู้แล้วก็เก็บมาคิดอย่างมีตรรกะและใช้วิจารณญาณ สุดท้ายคุณจะชอบหรือไม่ชอบอะไรมันก็เรื่องของคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในกะลาครอบ
ไม่ว่าคุณจะฝักใฝ่ฝ่ายไหน ก็ยังอยากให้คุณเปิดใจรับข้อมูลข่าวสารที่ต่างจากเดิมดูบ้างอยู่ดี การเสพข่าวจากสื่อหลักทางโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือพิมพ์ (จะอ่านแบบออนไลน์ก็ได้) มันยังทำให้คุณเห็นข่าวอื่น ๆ ผ่านตา แม้ว่าคุณจะไม่ได้สนใจมัน ในขณะที่ข่าวจากโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ มันถูกเทคโนโลยีกรองมาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ถูกจริตคุณเท่านั้น ย้ำว่าสิ่งที่คุณคิดคุณเชื่อคือความถูกต้อง ต่อให้มันจะไม่สมเหตุสมผล แต่คุณเชื่อแบบนั้น และยังได้รับการยอมรับจากคนที่คิดที่เชื่อไปในทางเดียวกัน ไม่รู้สึกแปลกแยกกับพวกเดียวกัน แต่เกลียดคนที่เห็นต่างได้ง่าย ๆ
อีกนัยหนึ่งก็คือ อยากให้มนุษย์เราออกมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงให้มากขึ้น เริ่มจากการเสพข่าวสารที่ไม่จำกัดค่ายจำกัดฝ่าย พาตัวเองเข้าไปรับรู้วิธีคิดของสังคมใหม่ อาจช่วยให้เราเริ่มคิดเป็นเหตุเป็นผล และตัดสินใจโดยปราศจากอคติได้ มันอาจจะรู้สึกฝืนในช่วงแรก แต่ก็น่าจะดีกว่าการติดอยู่ในกับดักข้อมูลด้านเดียว ที่อาจทำให้โลกทั้งใบคับแคบ จนถูกฝังกลบในหล่มความคิดที่เต็มไปด้วยอคติตลอดกาล
สงครามหน้าจอหลังคีย์บอร์ด สงครามที่ไม่รู้ว่าสู้กับใคร แล้วสู้ไปทำไม
เหตุผลจริง ๆ ที่คุณลงไปทำสงครามกับคนที่มีความคิดไม่ตรงกับคุณในโซเชียลมีเดียคืออะไร อยากแนะนำ อยากชี้แนะ อยากให้ความรู้ หรืออยากเอาชนะ!
การต้องทนเสพข่าวสารในมุมที่ไม่ถูกจริต รู้ดีว่ามันน่าหงุดหงิด ในหัวจะระดมความเห็นที่ตรงกันข้ามมาเถียงอยู่ตลอดเวลา บางคนแค่เถียงในหัวตัวเองแล้วจบ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนลงไปทำสงครามจนเป็นดราม่าใหญ่โต โต้เถียงแบบมีตรรกะบ้าง ข้าง ๆ คู ๆ บ้าง สาดคำหยาบ คำรุนแรง ไล่กันไปตายก็มี ซึ่งถ้ามาคิด ๆ ดู แล้ว เราได้อะไรที่เป็นประโยชน์กับชีวิตบ้าง มีแต่เสียเวลาด่ากัน เสียอารมณ์เพราะโดนด่า สมองได้ระดมคิดหาคำด่า หรือแค่ความสะใจ
บางที การข้ามในสิ่งที่ไม่ถูกใจไปบ้าง ไม่ต้องไปอยากมีส่วนร่วม ไม่น่าจะเกินความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้ข้ามไปอย่างไม่แยแส แต่หมายความว่าให้ข้ามไปแบบไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องเอามาเป็นอารมณ์ แค่รับรู้ เก็บมาคิดแล้วผ่านไป ไม่ต้องอยากจะเถียงกับทุกคน ดราม่าใหญ่โตกับทุกเรื่องก็ได้ ดราม่าบางเรื่อง ไปไกลจนหาต้นตอเก่าไม่เจอด้วยซ้ำ ดราม่าเก่งมากจริง ๆ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจะพากันไปเชื่อข่าวสารข้อมูลที่มาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดนี้ เพราะนอกจากจะสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองไปกับเนื้อหาได้ด้วย ยิ่งเสพก็ยิ่งอิน ยิ่งอินก็ยิ่งดราม่า ยิ่งมีคนเห็นต่าง ยิ่งบันเทิงกันไปใหญ่ บางเรื่องไม่ควรจะนำมาเป็นเรื่อง ก็กลายเป็นเรื่องไปแบบงง ๆ ถูกนำมายำต่อแบบไม่แคร์เลยว่าจริงเท็จแค่ไหน และจะเกิดผลกระทบใด ๆ ต่อต้นเรื่องบ้าง
รวมถึงเราอาจต้องยอมรับว่าอะไรก็ตามที่เราโพสต์สู่สาธารณะย่อมมีคนเห็นต่าง หากเขามาเตือนดี ๆ ถูกผิดก็รับฟังไว้บ้าง ส่วนคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น เมื่อเห็นอะไรไม่ถูก ไม่เหมาะสม หรืออยากแสดงความคิดเห็นในอีกมุม ก็เตือนกันดี ๆ คุยกันด้วยเหตุผล ไม่จำเป็นต้องขวางโลก ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตข้ามได้ก็ข้าม ปล่อยวางไปบ้าง ช่างเขาบ้างก็ได้ ตราบใดที่เขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
ข้อมูล คืออาวุธในสงครามสมัยใหม่ ที่ทำให้คนเกลียดกันเอาเป็นเอาตาย
“เฟกนิวส์” และ “ข้อมูลปลุกปั่น” คืออาวุธสำคัญที่วัดความได้เปรียบของคู่สงครามในสมัยนี้ มันใช้สร้างพลรบหน้าจอหลังคีย์บอร์ดได้ชนิดที่หลายคนก็คาดไม่ถึง รวมถึงยังมี “ความหยาบคาย” หรือ “คำพูดแสดงความเกลียดชัง” ที่พ่นใส่กันไม่เว้นวัน โซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มกลายเป็นสมรภูมิรบที่มีแต่คนเกลียดกัน หดหู่ เครียด ผิดไปจากวัตถุประสงค์การใช้งานเดิมอย่างสิ้นเชิง
เฟกนิวส์จะใช้จุดอ่อนทางจิตวิทยาที่มีในตัวทุกคน คือ การรับรู้อย่างมีอคติ มาเป็นตัวนำความคิด ตัวอย่างง่าย ๆ คือ เรามักจะให้น้ำหนักกับสิ่งที่คนในครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เราชื่นชม ชื่นชอบ มากกว่าคนอื่น หากพวกเขาเชื่ออะไร เราก็มีโอกาสที่จะเชื่อตามพวกเขา เพราะเราจะมีความคิดว่าสิ่งที่คนใกล้ตัวเราเชื่อน่าจะเป็นเรื่องจริง เชื่อถือได้ เมื่อคนเหล่านี้แชร์โพสต์หรือเราเห็นเรื่องราวแบบที่คนเหล่านี้เชื่อ เราจึงมีแนวโน้มที่จะเชื่อตาม เพราะมันดูน่าจะเป็นเรื่องจริง
ไม่เพียงเท่านั้น เฟกนิวส์ ยังเก่งเล่นกับอารมณ์ของคนด้วย ข่าวปลอมมักจะกระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรง ทำให้รู้สึกหัวร้อน อารมณ์ขึ้น ประหลาดใจ กลัว เกลียดชัง หรือง่าย ๆ ก็คือมันช่วงเร่งปฏิกิริยาตอบสนองของคนเรา จึงชวนให้เชื่อได้ง่ายขึ้นไปอีก พอเราเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง คนเราก็เลยตอบสนองด้วยการส่งต่อข้อมูลเหล่านั้นให้ผู้อื่นต่อไป คิดว่ามันเป็นการเตือนหรือบอกให้คนใกล้ตัวได้รู้ไว้ แชร์กันไปเรื่อยไม่หยุด จนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบรู้สิ้น
ทุกวันนี้ เราตกเป็นเหยื่อเฟกนิวส์กันได้ง่ายมาก ๆ และยิ่งเชื่อกันมาก ๆ เชื่อกันเป็นกลุ่มก้อน ชุดข้อมูลที่ตรงข้ามกับเฟกนิวส์ที่รู้มาจะกลายเป็นข้อมูลปลอมสำหรับคนกลุ่มนี้ทันที คิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้เป็นเรื่องถูกต้อง ใครแย้งไม่ได้ คิดว่าตัวเองฉลาดที่ได้ข้อมูลแบบนี้มา หลายครั้งที่มีเฟกนิวส์ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ก็ยังจะเชื่อผิด ๆ ต่อไปอีกไม่เลิกอีกต่างหาก เพราะมันฝังหัวไปแล้ว แถมยังมีคนพวกเดียวกันคอยสนับสนุนความคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียของคนไทย จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีรายงานสถิติย้อนหลังในช่วงเกือบ 1 ปี (1 ตุลาคม 2563-30 มิถุนายน 2564) พบว่า มีผู้โพสต์ข่าวปลอมจำนวน 587,039 คน มีผู้แชร์ข่าวปลอมจำนวน 20,294,635 คน โดยกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนที่อยู่ในช่วงอายุ 18-34 ปี ข้อมูลนี้รวบรวมจากการรับแจ้งเบาะแส และติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม และมีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 145,515,605 ข้อความ
ข้อมูลข้างต้น มีทิศทางเดียวกันกับการศึกษาขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) โดยเป็นข้อมูลที่เผยความสามารถในการรับมือกับเฟกนิวส์และข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ ของเด็กอายุ 15 ปี จาก 77 ประเทศทั่วโลก พบว่าเด็กไทยมีศักยภาพในการกรองข่าวปลอมต่ำมาก รั้งท้ายอยู่ในลำดับที่ 76 จาก 77 ประเทศ
ข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวล ตรงที่เด็กและเยาวชนไทยอาจกำลังตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอมโดยสมบูรณ์ และจะกลายเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดีหลอกใช้ได้โดยง่าย ใครรับมือได้ดีก็รอด แต่ถ้าใครมักจะเชื่อง่าย โดยไม่ไตร่ตรอง เชื่ออย่างไม่มีเหตุผล เชื่อเพราะมีคนเชื่อเยอะ และไม่พยายามตรวจสอบข้อมูลอะไรเลย ขาดวิจารณญาณในการแยกแยะ ขาดความสามารถในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล ขาดทักษะในการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง ก็จะอยู่ลำบากในโลกที่มีแต่ข่าวปลอมเต็มไปหมด ที่ปลอมจนแยกแทบไม่ออกก็มี
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการที่รู้ตัวเองอยู่ลึก ๆ ว่าข้อมูลนี้อาจจะไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ยังปกป้องตัวเอง หลอกตัวเองและยอมตามน้ำไป รวมถึงต่อต้านคนที่โต้แย้ง เพราะถ้าจะยอมรับความจริงว่าตัวเองเชื่อข่าวปลอมก็จะเสียหน้า นี่เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดของเฟกนิวส์
สื่อหลัก (บางสื่อ) อาจจะเป็นที่ที่พอจะหนีจากห้องเสียงสะท้อนได้
ในยุคที่คนเราติดหน้าจอโทรศัพท์มือถือกันแทบจะสิงหน้าจอ โทรศัพท์แทบจะละลายติดมือ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนคงแทบจะไม่ได้สัมผัสสื่อหลักหรือสื่อดั้งเดิมเท่าใดนัก บ้านของหลาย ๆ คนไม่ได้เปิดโทรทัศน์มานานมากแล้ว บ้างบ้านไม่มีเพราะไม่จำเป็น วิทยุก็ไม่เคยเปิด กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นอย่างไรไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว เป็นต้น เพราะการเสพสื่อผ่านทางโซเชียลมีเดียมันตอบโจทย์ชีวิตการรับรู้ข่าวสารอย่างครบครัน แต่…มันครบครันเกินไป
เราไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ข่าวคราวอะไรก่อนชาวบ้านเสมอไปก็ได้ ไม่เช่นนั้น อาจได้ป่วยเป็น “โรคกลัวตกระแส” แน่ ๆ ด้วยหวาดระแวงว่าตัวเองจะพลาดอะไรไป กลัวไม่ทันกระแสเหมือนคนอื่น ชอบอัปเดตทุกความเคลื่อนไหว โดยใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเชื่อมต่อเพื่อรับรู้ความเป็นไปทางสังคม ไม่จำเป็นเลยที่ต้องมาแข่งอะไรแบบนี้กับคนอื่น รู้ช้ากว่าคนอื่นก็ได้ พลาดบ้างก็ได้ รับรู้โดยไม่ต้องแสดงความคิดเห็นบ้างก็ได้ ใจเย็น ๆ ลองหันไปรอดูข่าวทางโทรทัศน์บ้างก็ดี
แม้ว่าในยุคนี้ จะมีบรรดาคนที่หลงใหลในการสถาปนาตัวเองเป็นสื่อ จนดูเหมือนเรากำลังอยู่บนโลกที่ใคร ๆ ก็ตั้งตัวเป็นสื่อได้ จนหลายสิ่งหลายอย่างมันมั่วซั่วเละเทะไปหมด ฉะนั้น ในฐานะผู้รับสารอย่างเรา เราสามารถก็เลือกรับสารจากสื่อได้เช่นกัน จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เน้นข้อเท็จจริง ส่วนความคิดเห็นค่อยมาบูรณาการเอง อีกทั้งควรเลือกรับข้อมูลให้ครบทุกด้าน พร้อมทั้งตรวจสอบกระบวนการนำเสนอตั้งแต่ต้นจนจบด้วย อย่ากลายเป็นเหยื่อของเฟกนิวส์
ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงว่าการดูข่าวจากสื่อหลักหรือสำนักข่าวใหญ่ ๆ ทุกวันนี้ ก็ต้องมีสติและวิจารณญาณให้มากพอสมควร เพราะมีจำนวนไม่น้อยที่คนเล่าข่าวพูดแต่ความคิดเห็นของตัวเอง จนหาข้อเท็จจริงได้น้อยมาก โลกเปลี่ยนไปแล้ว มีชีวิตอยู่อย่างทันโลก ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มะเดื่อฝรั่ง ผลไม้แปลก โภชนาการสูงอันดับ 1 ใน 10 ของโลก
มะเดื่อฝรั่ง (Common fig) มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก และประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรป และแอฟริกาเหนือ แต่ในปัจจุบันมะเดื่อฝรั่งมีการปลูกกันอย่างกว้างขวาง
มะเดื่อเป็นผลไม้ต่างถิ่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก โดยมะเดื่อฝรั่งแบบตากแห้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 249 กิโลแคลอรี อีกทั้งยังอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน มีไขมันต่ำ มีเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้แล้วยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายหลากหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม สังกะสี เหล็ก และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ นอกจากจะใช้รับประทานเป็นผลไม้สดแล้วยังสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นแยม ผลไม้อบแห้ง ผลไม้กวน ฯลฯ ได้อีกด้วย
ประโยชน์ของ “มะเดื่อฝรั่ง”
1.ต้านอนุมูลอิสระ
ในมะเดื่อฝรั่งอุดมไปด้วยสารพอลีฟีนอล (Polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่ล้วนเป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ โดยสารเหล่านี้จะทำลายโมเลกุลหรือเซลล์ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่งผลดีต่อสุขภาพ และอาจช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ โรคอัลไซเมอร์ จอประสาทตาเสื่อม หรือโรคข้ออักเสบได้อีกด้วย
2.ช่วยย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
เพราะเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายและกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย จากการศึกษาพบว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ส่งผลให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น และบรรเทาอาการแน่นท้อง จึงเป็นข้อมูลที่สนับสนุนว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการท้องผูก
3.เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก
เพราะมีเส้นใยสูงถึง 9.8 กรัม ซึ่งเส้นใยอาหารจะช่วยให้อิ่มท้องนานขึ้นและดีต่อสุขภาพหลายอย่าง
4.เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
มะเดื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวาน และใบมะเดื่อฝรั่งประกอบไปด้วยสารเคมีที่อาจช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการศึกษาในด้านดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่าการดื่มชาจากใบมะเดื่อฝรั่งอาจช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลิน และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ได้
อย่างไรก็ตาม การศึกษาข้างต้นให้ผู้ที่เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและยังคงได้รับอินซูลินเป็นประจำทุกวัน ดังนั้น ประสิทธิภาพการลดระดับน้ำตาลในเลือดของใบมะเดื่อฝรั่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป
การบริโภค มะเดื่อฝรั่ง มีข้อควรระวัง ดังนี้
1.ควรรับประทานแต่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้
2.ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเฝ้าระวังและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เนื่องจากการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้
3.ผู้ที่แพ้ผลไม้ในวงศ์ขนุน (Moraceae) เช่น ขนุน หรือน้อยหน่า อาจแพ้มะเดื่อฝรั่งด้วยเช่นกัน
หมายเหตุในประเทศไทยได้มีการนำเข้ามะเดื่อแห้งจากต่างประเทศ และมีการทดลองปลูกครั้งแรกที่ดอยอ่างขางเมื่อ พ.ศ. 2524 โดยมูลนิธิโครงการหลวง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และในประเทศไทยมักจะนิยมปลูกมะเดื่อฝรั่งสายพันธุ์ญี่ปุ่น เพราะเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรานั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/09/2564
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,750.00 | 27,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,798.00 | 27,257.68 | 28,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,618.20 | 24,531.91 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,438.40 | 21,806.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 809.00 | 12,264.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 629.00 | 9,535.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,863.00 | 28,243.08 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/09/2564
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.35 | 30.35 | 30.75 | 30.35 | 30.35 | 30.35 | 30.35 | 30.35 | 30.35 | 30.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.08 | 30.08 | 30.48 | 30.08 | 30.08 | 30.08 | 30.08 | 30.08 | 30.08 | 30.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 28.84 | 28.84 | 29.24 | 28.84 | 28.84 | – | 28.84 | 28.84 | 28.84 | 28.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 23.04 | 23.04 | – | – | – | – | – | – | – | 23.04 |
เบนซิน 95 | 37.76 | – | – | – | 38.21 | – | 38.26 | 37.76 | – | 37.76 |
ดีเซล B7 | 30.29 | 30.29 | 30.69 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 |
ดีเซล | 27.29 | 27.29 | 27.69 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 |
ดีเซล B20 | 27.04 | 27.04 | 27.64 | – | 27.04 | – | 27.04 | 27.04 | – | 27.04 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.06 | 35.06 | 37.14 | 36.46 | – | – | – | – | – | 35.06 |
แก๊ส NGV | 15.48 | 15.48 | – | – | – | – | – | – | – | 15.48 |