สาระน่ารู้ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564

ปลดล็อก LTV ไร้ผล ยอดปฎิเสธสินเชื่อพุ่ง 70% วอนรัฐยืดลดภาษีโอน

ปลดล็อก LTV ไร้ผล ยอดปฎิเสธสินเชื่อพุ่ง 70%  วอนรัฐยืดลดภาษีโอน

นายกสมาคมอสังหาฯ หวั่นตลาดที่อยู่อาศัยไม่ฟื้น-สต๊อกบวม ซ้ำเติมหน่วยรอขายค้างท่อ 2 แสนล้าน เหตุสถาบันการเงินเข้ม ดันยอดปฎิเสธสินเชื่อยังพุ่ง บางจังหวัดแตะ 70% แม้ ธปท.ผ่อนปรนมาตรการ LTV โร่ทำหนังสือขอรัฐยืดอายุ มาตรการลดภาษีการโอนฯ 0.01% ออกไปก่อน หลังหมดอายุ 31 ธ.ค.

10 พ.ย.2564 – นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวถึง กรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปลดล็อก LTV เพื่อผ่อนคลายมาตรการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็น 100% ในทุกระดับราคา ครอบคลุมสัญญาทุกหลัง โดยให้มีผลจนถึงสิ้นปี 2565 ว่า คาดจะมีผลเชิงบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัยไทย ในแง่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อที่หายไป ให้กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง 

แต่ทั้งนี้ พบผู้บริโภคบางส่วน ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การปลดล็อก LTV นั้น ทำให้การซื้อบ้านไม่ต้องวางเงินดาวน์ แท้จริงอาจมีผลเฉพาะโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ของบางดีเวลลอปเปอร์เท่านั้น แต่บ้านที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง โครงการส่วนใหญ่ กำหนดเงื่อนไข ผู้ซื้อยังมีความจำเป็นต้องมีเงินดาวน์ตามสัดส่วน

ยอดปฎิเสธสินเชื่อบ้าน บางตลาดพุ่ง 70% 


อย่างไรก็ตาม แม้เบื้องต้น ธปท.ได้ผ่อนปรนให้ภาคธนาคาร – สถาบันการเงิน ปล่อยวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้เต็มอัตรา 100% ของมูลค่า แต่เปรียบเป็นเพียง เปิดทางเข้าใหญ่ให้กับปัญหาเท่านั้น เนื่องจากปลายทางยังตัน พบยอดปฎิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์) อยู่ในอัตราสูงมาก เทียบก่อนหน้าโควิด บ้านระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท มียอดปฎิเสธไม่เกิน 3-5% ส่วนภาพรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 30%

แต่ขณะนี้ ตลาดใหญ่ กลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท มียอดปฎิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-60% ขณะบางจังหวัดแตะที่ระดับ 70% แล้ว เปรียบขายออกไป 10 หน่วย รับคืนถึง 7 หน่วย ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อย เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่อง 

“ผู้ประกอบการอยู่ในภาวะยากลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มที่พัฒนาคอนโดฯเป็นพอร์ตหลัก เนื่องจากการพัฒนาโครงการ ผู้ประกอบการอาศัยสินเชื่อ-การกู้เงิน จากธนาคาร ตั้งแต่แรกเริ่ม หาซื้อที่ดินไปจนถึงการจัดอีเว้นท์ขาย ค่าใช้จ่ายพนักงาน และ อื่นๆ แต่เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ลูกค้าไม่สามารถโอนฯได้ ทำให้ขาดรายได้ที่ควรจะได้รับตามกำหนดเวลา และปัญหานี้ เริ่มลุกลามไปยังตลาดบ้านในบางทำเลแล้ว พบมีภาวะโอเวอร์ซัพพลาย เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รีเจ็กต์ขยับสูงขึ้น” 

จับตาผลประกอบการธุรกิจอสังหาฯ 

นายพรนริศ ยังกล่าวว่า จากปัญหาข้างต้น อาจสวนทางกับภาพรวมด้านรายได้ของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจากข้อมูล 36 บริษัท พบทิศทางรายได้ยังเป็นบวก ทั้งในปี 2563 และปี 2564  คาดเป็นผล มาจากการโอนฯหน่วยค้างเก่าที่ขายไปจำนวนมากช่วงปี 2561- 2562 แต่ต้องจับตาช่วงหลังจากนี้

เนื่องจากพบกลุ่มลูกค้าที่เคยผ่านการขออนุมัติสินเชื่อล่วงหน้า (Pre Approve) ช่วงโควิดหลายราย ประวัติการเงินเปลี่ยนไป และส่งผลให้สถาบันการเงินปฎิเสธสินเชื่อภายหลัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้พัฒนาฯ ที่เริ่มไปจับตลาดโครงการที่อยู่อาศัยราคาถูก เช่น คอนโดต่ำล้าน ว่าช่วง 1-2 ปี ข้างหน้า สถาบันการเงินจะจับมือกันช่วยปล่อยสินเชื่อ หรือ ปฎิเสธสินเชื่อให้ผู้ซื้อ 

นอกจากนี้ ปัญหาสถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ ซึ่งสวนทางกับนโยบาย ธปท. นั้น อาจส่งผลต่อปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในอนาคตด้วย เนื่องจากพบขณะนี้ ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาเดินเครื่อง เปิดโครงการใหม่ โดยพบมีอีกกว่า 150 โครงการ รอเปิดขาย ซึ่งแม้ไม่เยอะเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด แต่กังวล จากมูลค่าหน่วยค้างรอขายซึ่งรออยู่ในตลาดอีก 2 แสนล้านบาท หากยังไม่ถูกดูดซับออกไปได้มาก การเติมซัพพลายเข้ามาใหม่ อาจทำให้มีปัญหาได้เนื่องจากเจาะอัตราการขายในช่วง 7 เดือน (ม.ค. – ก.ค.) ภาพรวมยังไม่สูง  

โร่ทำหนังสือขอรัฐยืดมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนฯ 

ทั้งนี้ ล่าสุดสมาคมฯ ได้ทำหนังสือไปยัง ธปท. เพื่อชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้น และเรียกร้องไปยังรัฐบาล เพื่อขอให้กระทรวงมหาดไทย พิจารณาขยาย มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอน และจดทะเบียนจำนอง 0.01% ในกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค. นี้ ออกไปก่อน เนื่องจากสามารถกระตุ้นตลาดได้ดี ในแง่ขายดี – โอนเร็ว แต่ได้เสนอให้รัฐพิจารณา เพดานของที่อยู่อาศัยที่จะได้รับประโยชน์ให้กว้างขึ้น ซึ่งหากไม่สามารถทำให้ได้ครอบคลุมทุกระดับราคา แต่ขอให้เปิดเพดานลดหย่อนสำหรับ 3 ล้านบาทแรกก็ยังดี ส่วนที่เหลือจัดเก็บตามเพดานอย่างเหมาะสม คาดจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯฟื้นตัวเร็วขึ้น และมีผลขับเคลื่อนจีดีพีของไทยอีกด้วย

โดยคาดกระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทยอาจต้องพิจารณาร่วมกัน เนื่องจาก เข้าใจว่างบประมาณส่วนนี้ที่ขาดหายไป จะกระทบต่องบประมาณดูแลระดับท้องถิ่น จำเป็นต้องจัดสรรงบอื่นๆมาชดเชย ทำให้ยังติดขัดในการต่ออายุ 

“ลดค่าธรรมเนียมโอน เปรียบเหมือน ยาพาราเซต ใช้ได้ดีกับทุกวิกฤติ ทำให้ขายดี โอนได้เร็ว แต่เพดาน ซึ่งกำหนดให้แค่กลุ่มต่ำกว่า 3 ล้าน ทำให้การกระตุ้นไม่ดีมากนัก เพราะตลาดส่วนใหญ่ราคา 3-5 ล้านบาท อยากให้รัฐพิจารณาขยายเพดานช่วยให้ตรงจุด”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


7 จุดเด่น ดัน ” เดอะ ปาร์ค” ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

โครงการ เดอะปาร์ค พระราม 4 บุกเบิกมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับโลก หลังคว้า ใบรับรอง LEED เวอร์ชั่น 4 BD+C ส่อง 7 จุดเด่น การก่อสร้างอาคารที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดคล้อง Net-Zero Carbon

11 พ.ย. นายกมลนัย ชัยเฉนียน กรรมการบริหาร บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามีความภาคภูมิใจที่ เดอะ ปาร์ค คือโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกที่ได้รับประกาศนียบัตรการรับรอง LEED เวอร์ชั่น 4 BD+C: Core and Shell ซึ่งเป็นมาตรฐานล่าสุดสำหรับการออกแบบและก่อสร้างอาคารสีเขียวที่ยั่งยืน 

ถือเป็นการตอกย้ำจุดยืนของ เดอะ ปาร์ค ในฐานะอาคารอัจฉริยะที่ผสานพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก เปรียบเสมือนจุดหมายไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจร ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนอย่างแท้จริง โครงการนี้ได้รับการพัฒนาภายใต้วิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนและสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัยและผู้มาใช้บริการในอาคาร 

รวมถึงความอยู่ดีมีสุขของผู้คนมาตั้งแต่แรกเริ่ม โครงสร้างอาคารและกรอบอาคารทุกส่วนได้รับการออกแบบตามมาตรฐาน LEED ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลสำหรับการประเมินอาคารสีเขียว เราเชื่อมั่นว่าการได้รับการรับรองครั้งนี้จะปูทางสู่การพัฒนาอาคารสีเขียวที่ยั่งยืนในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างอาคารไทยในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การประหยัดน้ำ การเลือกสถานที่ตั้ง การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง การใช้ประโยชน์จากแสงสว่างตามธรรมชาติ และการลดปริมาณของเสียจากอาคาร

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

อาคารอัจริยะ โครงการ เดอะ ปาร์ค พระราม 4 

เดอะ ปาร์ค คือโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารงานโดยบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เป็นอาคารเพื่อการพาณิชย์แห่งแรกของไทยที่ใช้เซ็นเซอร์อัจฉริยะและเทคโนโลยี IoT ในระบบแสงสว่างในสำนักงาน มีการติดตั้งหลอดไฟอัลตราไวโอเลตเพื่อฆ่าเชื้อโรค (UVGI) ในระบบปรับอากาศ และวางระบบการจัดการของเสียครบวงจรสำหรับขยะทั้งหมดในอาคาร นอกจากนั้น ยังเป็นโครงการอาคารเชิงพาณิชย์ที่ใช้ระบบทำความเย็นในอาคารที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีจำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มอาคารสำนักงานมากที่สุดในประเทศไทย

ด้วยหลักการออกแบบอย่างยั่งยืนที่ใช้ในพื้นที่ทั่วทั้งอาคารกว่า 130,000 ตร.ม. เดอะ ปาร์ค เป็นโครงการที่ผสมผสานระหว่างสำนักงานอัจฉริยะ พื้นที่ค้าปลีกและไลฟ์สไตล์ และการบริหารจัดการด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยยึดเกณฑ์การประเมินเพื่อการรับรองมาตรฐาน LEED ทั้ง 7 ด้าน เป็นหลักในการบริหารจัดการอาคารและดำเนินงาน


7 จุดเด่นโครงการเดอะปาร์ค เปิดทางอาคารสีเขียวระดับโลก 

  • ทำเลและการเดินทาง

ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ เดอะ ปาร์ค เป็นโครงการที่ตอบสนองรูปแบบการใช้งานอย่างหลากหลายโดยไม่รบกวนพื้นที่ใดใดที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดินสถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สะดวกต่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน ขณะเดียวกันก็ให้ทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายและส่งเสริมการใช้พาหนะส่วนบุคคลในรูปแบบที่ยั่งยืน ด้วยบริการอย่างจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จอดรถจักรยานและห้องอาบน้ำ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่เลือกเดินทางด้วยวิธีที่เป็นมิตรกับโลกด้วย

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก
  • ผังบริเวณที่ยั่งยืน 

ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืน แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ และสภาพแวดล้อมของเมืองในภาพรวม  เดอะ ปาร์ค ประกอบด้วยพื้นที่โล่งแจ้งและพื้นที่สีเขียวอันกว้างขวาง เอื้อต่อการทำกิจกรรมกลางแจ้ง แวดล้อมด้วยต้นไม้มากมายเพื่อให้ร่มเงา และการตกแต่งด้วยน้ำ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมกลางแจ้งที่เย็นสบาย การปูผิวทางและหลังคาด้วยวัสดุสีอ่อนช่วยบรรเทาความร้อนของอุณหภูมิอากาศในเมือง นอกจากนั้นยังมีการลดการเปิดไฟ เพื่อลดมลพิษทางแสงบนท้องฟ้าและบริเวณโดยรอบโครงการด้วย

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก
  • การจัดการน้ำ 

เดอะ ปาร์ค ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดการใช้ทรัพยากรและมลภาวะจากการผลิตและการบำบัดน้ำ ติดตั้งสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำในอาคารที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ถึง 40% ส่วนการใช้น้ำภายนอกอาคารจะใช้ประโยชน์จากน้ำเสียที่บำบัดและนำกลับมาใช้รดน้ำต้นไม้ด้วยระบบน้ำหยดเพื่อลดการใช้น้ำเกินความจำเป็น พร้อมติดตั้งระบบแยกมิเตอร์น้ำเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว และสามารถติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำในอาคารระหว่างช่วงเวลาทำการ

  • การใช้พลังงานและสภาพแวดล้อม 

เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เดอะ ปาร์ค มุ่งส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น กระจกกันความร้อนที่ส่วนหน้าอาคารเพื่อลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ถึง 75% และใช้ผนังอาคารกันความร้อน ระบบทำความเย็นประสิทธิภาพสูงที่ 0.56 kW/RT และพัดลมสมรรถนะสูงชนิด Electronically Commutated ในระบบจ่ายลมเย็น ระบบควบคุมแสงแบบไฮเทคติดตั้งเซ็นเซอร์และ Internet of Thing (IoT) ซึ่งสามารถปรับระดับความสว่างแสงไฟได้อัตโนมัติเมื่อมีแสงธรรมชาติเพียงพอและปิดไฟเมื่อไม่มีคนอยู่ในห้อง โดยทั้งหมดควบคุมผ่านโทรศัพท์มือถือ

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก
  • วัสดุและทรัพยากร

วัสดุก่อสร้างที่ใช้ในเดอะ ปาร์ค ผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ข้อมูลส่วนผสมรีไซเคิล ข้อมูลการปล่อยสารพิษ และผลกระทบต่อระบบนิเวศตลอดวงจรการใช้งาน การจัดการของเสียใช้กระบวนการคัดแยกของเสียที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ใช้นวัตกรรมระบบการหมักเศษอาหารที่สามารถเปลี่ยนขยะอาหารเป็นปุ๋ยหมักภายใน 24 ชั่วโมงด้วยความร้อนและตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพ และมีเครื่องบดอัดขยะที่สามารถลดขนาดของขยะและแยกของเหลวออกเพื่อการจัดการขยะที่ถูกสุขอนามัยและสะดวกต่อการขนส่งของเทศบาลด้วย

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก
  • คุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร 

ภายในโครงการเดอะ ปาร์ค มีคุณภาพอากาศที่ดี ด้วยปริมาณอากาศบริสุทธิ์ที่วัดค่าได้สูงกว่าค่ามาตรฐานสากลถึง 30%  มีการตรวจสอบคุณภาพอากาศโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดระดับการไหลเวียนของอากาศและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระจกหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติให้ส่องเข้ามาในพื้นที่ได้ถึง 40% พร้อมกรองความร้อนจากแสงอาทิตย์ ผังอาคารแบบเปิดโล่งช่วยให้ผู้เช่าสามารถจัดการพื้นที่ใช้สอยในสำนักงานให้เปิดรับวิวภายนอกได้จากทุกมุม

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

การใช้นวัตกรรม 

เดอะ ปาร์คเลือกใช้นวัตกรรมในการออกแบบและปฏิบัติการขั้นสูงที่เหนือกว่าที่มาตรฐาน LEED กำหนดไว้   ระบบติดตามการเดินทางเข้าออกในอาคารสามารถตรวจสอบจำนวนที่จอดรถ นับจำนวนผู้เข้ามาทำงานและผู้ใช้บริการในอาคาร และตรวจสอบรูปแบบการใช้ยานพาหนะในการเดินทางพร้อมความถี่ในการเข้าออกอาคารและรายละเอียดต่าง ๆ หรือแม้แต่ปุ๋ยชีวภาพที่ได้จากเครื่องหมักเศษอาหารในอาคารสามารถใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีในการดูแลต้นไม้ที่ปลูกในโครงการ ซึ่งจะช่วยลดการปนเปื้อนของสารเคมีในดินและน้ำ เพื่อสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้อาคารทุกคน

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

และด้วยมาตรการด้านสุขภาพและสุขอนามัยเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 โครงการเดอะปาร์คได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีไร้สัมผัสต่าง ๆ มาใช้ เช่นระบบชำระเงินด้วยรหัส QR เครื่องแลกเปลี่ยนบัตรเข้าออกอาคารอัตโนมัติ รวมทั้งมาตรการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานภายในอาคารสำหรับทั้งผู้เช่าและผู้เข้ามาใช้บริการ

ในขณะที่การระบาดของโควิด-19 ยังคงเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนอย่างต่อเนื่อง สภาพแวดล้อมในอาคารที่ดีต่อสุขภาพจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อผู้คนกำลังเตรียมตัวกลับเข้าสู่สถานที่ทำงานและใช้ชีวิตในพื้นที่ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ เราคาดการณ์ว่าในอนาคต จะมีความต้องการสถานที่ทำงานและพื้นที่เชิงพาณิชย์ซึ่งส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและความอยู่ดีมีสุขของผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ เดอะ ปาร์ค ในฐานะอาคารมิกซ์ยูสแบบครบวงจรที่สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงผู้คนเป็นศูนย์กลางและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะต้อนรับการกลับมาของวิถีการใช้ชีวิตคนทำงานในเมืองและชุมชน

7 จุดเด่น ดัน " เดอะ ปาร์ค"  ขึ้นแท่น มิกซ์ยูส สีเขียวมาตรฐานระดับโลก

ดร.อรรจน์ เศรษฐบุตร กรรมการผู้จัดการบริษัท แอฟริคัส จำกัด ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอาคารสีเขียวของโครงการ เดอะ ปาร์ค กล่าวถึงเทรนด์โลกด้านการพัฒนาอาคารที่ยั่งยืนว่า “ด้วยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การก่อสร้างอาคารในปัจจุบันจำเป็นต้องคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน การกำหนดมาตรฐานการออกแบบพัฒนาอาคารต่าง ๆ เช่น LEED และ WELL จึงเป็นปัจจัยสำคัญในยุคที่โลกกำลังแสวงหาความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พื้นฐานของอาคารเขียวในอนาคตคือคุณภาพการใช้งานและอยู่อาศัยที่สูงขึ้น แต่ต้องสร้างภาระการปล่อยของเสียให้น้อยลง ทั้งนี้ จากผลการวิจัยของโจนส์ แลง ลาซาลล์ ได้ชี้ถึงแนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น การลดการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์กำลังกลายเป็นกระแสหลักของโลก ผู้ครอบครองอสังหาฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความต้องการอาคารที่ได้รับการมาตรฐานด้านความยั่งยืน และผู้ครอบครองอสังหาฯ และเจ้าของอสังหาฯ ต่างเริ่มตระหนักถึงการร่วมมือกันมากยิ่งขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ 

จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเทศไทยได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ซึ่งเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ก็มีเจตนารมย์และจุดยืนที่สอดคล้องกับรัฐบาลไทย ด้วยการประกาศความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon) ให้สำเร็จภายในปี 2050 เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บาทเปิด32.84 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า

บาทเปิด32.84 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า

เงินบาทเปิดตลาด 32.84 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสวนทางตลาด ให้กรอบวันนี้ 32.70-32.90 บาทต่อดอลลาร์ จับตาทิศทาง Flow

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 64 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.84 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจาก ปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.90 บาท/ดอลลาร์ หลังมีแรงขายดอลลาร์จากผู้ส่งออกทองคำ สวนทางกับตลาดโลกที่ดอลลาร์ยังคงปรับตัว แข็งค่าต่อเนื่อง เพราะมีความกังวลเรื่องตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐสูงขึ้นจนเกรงกันว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนดเดิม

“บาทปรับตัวแข็งค่าจากเย็นวานนี้หลังมีแรงขายดอลลาร์จากผู้ค้าทองคำ สวนทางกับตลาดโลกที่ดอลลาร์แข็งค่า” นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.70 – 32.90 บาท/ดอลลาร์ โดยต้องติดตามทิศทางของเงินทุนต่างประเทศจากผู้ค้าทองคำ หลังราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 15 ดอลลาร์/ออนซ์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


โลกต้องจารึก! ล่าสุดของ “ประติก” นักเพาะกายตัวเล็กที่สุดในโลก

โลกต้องจารึก! ล่าสุดของ "ประติก" นักเพาะกายตัวเล็กที่สุดในโลก (ภาพ)

ประติก โมฮิติ ชายชาวอินเดีย วัย 27 ปี ได้รับการบันทึกสถิติให้เป็น นักเพาะกายที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ด้วยส่วนสูง 3 ฟุต 4 นิ้ว หรือ 101.6 เซนติเมตร จาก Guinness World Records ไปเมื่อปี 2019

สิ่งที่ทำให้เขาถูกพูดถึงตามหน้าสื่อออนไลน์อีกครั้ง เพราะเขายังแข็งแรงดี และผ่านการแข่งขันเพาะกายในระดับอำเภอ, จังหวัด และประเทศ มาแล้ว 40 รายการ ทั้งที่หมอในอินเดีย ลงความเห็นว่า รูปร่าง ทั้งมือ ขา และ นิ้วเท้าที่เล็กผิดปกติตั้งแต่เกิดของเขา อาจทำให้ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหว หรือ อาจทำให้เขาไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงเหมือนคนปกติได้

ประติก เล่าให้สื่อท้องถิ่นฟังว่า เขายังจำวันที่เข้ายิมวันแรก แล้วถูกคนอื่นๆหัวเราะเยาะเรื่องรูปร่างได้ แต่ที่ผ่านมาได้ เพราะเขามีลุงที่ออกกำลังกายปั้นหุ่นทุกวันเป็นแรงบันดาลใจ และเพื่อนสนิทแถวบ้าน รวมถึงครอบครัวก็เชื่อมั่นในตัวเขาด้วย

ประติก บอกอีกว่า ทุกครั้งที่เขาก้าวขึ้นเวทีแข่งขัน บรรดากรรมการจะมีท่าทีตกใจกันเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกท้าทายและมีแรงผลักดัน ที่ได้ทำให้คนเหล่านั้นเห็นว่า เขาสามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำได้

สำหรับตารางการออกกำลังกายของ ประติก จะเริ่มต้นด้วย การตื่นเช้า วิ่งออกกำลังกาย วันละ 30 นาที จากนั้นช่วงสาย จะเข้ายิม วันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งการออกกำลังกายในยิมแต่ละวัน ก็จะไม่เหมือนกัน วันจันทร์อาจจะเน้นออกที่ส่วนแขน แล้ววันต่อไป ค่อยเน้นที่ส่วนหลัง เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วัยเด็ก วัยทำงาน อาจเสี่ยง “เบาหวานขึ้นจอตา” โดยไม่รู้ตัว

วัยเด็ก วัยทำงาน อาจเสี่ยง "เบาหวานขึ้นจอตา" โดยไม่รู้ตัว

เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์ หรือการ Work From Home นั่งหน้าจอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์อยู่บ้านนาน ๆ รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป แล้วขาดการออกกำลังกาย อาจเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้โดยไม่รู้ตัวและอาจมีโรคแอบแฝงที่เป็นอันตรายได้ทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงดวงตา ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสตาบอดมากกว่าคนทั่วไปถึง 25 เท่าถ้าเบาหวานขึ้นจอตา การรู้เท่าทันเพื่อเตรียมรับมือและป้องกันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย

พญ.วีรยา พิมลรัฐ จักษุแพทย์ ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ซึ่งพบได้มากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเบาหวาน ในปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคเบาหวานในเด็กเพิ่มมากขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นในเด็ก โดยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ส่วนเบาหวานชนิดที่ 1 มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี แต่ในวัยรุ่นก็พบได้เช่นกัน ซึ่งมีสาเหตุจากการรับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ขาดการออกกำลังกาย เพราะเด็กมักจะมีพฤติกรรมนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ แทนการวิ่งเล่นหรือเล่นกีฬามากขึ้น หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดซึ่งส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายรวมถึงดวงตา ได้แก่ กล้ามเนื้อตา เลนส์ตา ขั้วประสาทตา เส้นประสาทตา และจอตา ซึ่งสามารถได้รับผลกระทบจากเบาหวานทั้งสิ้น ซึ่งภาวะเบาหวานขึ้นตาเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น

โรคเบาหวานขึ้นตา คืออะไร

โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดเลือดที่จอตา (Retina) ได้รับความเสียหาย โดยมี 2 ภาวะหลักที่ทำให้การมองเห็นแย่ลง คือ

  • จุดภาพชัดบวมน้ำ (macular edema) เกิดขึ้นเมื่อมีการรั่วของสารน้ำและโปรตีนจากหลอดเลือดบริเวณจุดภาพชัดซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการมองเห็นส่วนกลาง ทำให้จุดภาพชัดหนาตัวและบวมขึ้นรบกวนการมองเห็นส่วนกลางและอาจเห็นภาพบิดเบี้ยว
  • เบาหวานขึ้นตาระยะที่มีหลอดเลือดเกิดใหม่ (Proliferative Diabetic Retinopathy: PDR) เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดที่จอตาถูกทำลายจากเบาหวานจนเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ ทำให้จอตาขาดเลือดและออกซิเจนกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งหลอดเลือดที่สร้างขึ้นใหม่เหล่านี้อาจไม่ได้พัฒนาอย่างเหมาะสม มีผนังไม่แข็งแรง เปราะแตกฉีกขาดได้ง่าย มีเลือดออกในวุ้นตา เกิดพังผืดดึงรั้งจอตา ซึ่งเป็นสาเหตุให้จอตาลอก (Retinal detachment) ตามมา และอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

หลอดเลือดงอกใหม่ที่ม่านตา (Neovascularization of the iris) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาที่จอตามีการขาดเลือดและออกซิเจนอย่างรุนแรง หลอดเลือดงอกใหม่บริเวณม่านตาสามารถอุดกั้นการระบายน้ำออกจากตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน เรียกภาวะนี้ว่า ต้อหินชนิดมีเส้นเลือดงอกใหม่ (Neovascular glaucoma) ซึ่งเป็นต้อหินชนิดรุนแรงทำให้เกิดการปวดตามากจากความดันตาที่ขึ้นสูงและรักษายาก มักไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวเหมือนกับต้อหินชนิดอื่นๆ จำเป็นต้องรักษาเบาหวานขึ้นตาร่วมด้วย

นอกจากนี้ ต้อกระจก (Cataract) ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการมองเห็นที่ลดลง พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานโดยระยะเวลาในการเป็นเบาหวานและการควบคุมระดับน้ำตาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเป็นต้อกระจกเร็วขึ้นกว่าคนปกติ ในระยะเริ่มต้นอาจแก้ไขสายตาด้วยการใส่แว่น การผ่าตัดรักษาต้อกระจกจะทำเมื่อการมองเห็นแย่ลงหรือต้อกระจกบดบังการตรวจจอตาและรักษาเบาหวานขึ้นตา

ความผิดปกติของกระจกตาจากเบาหวาน (Diabetic Keratopathy) ผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดการถลอกหรือแผลที่กระจกตาได้ง่ายจากการสูญเสียการรับความรู้สึกบริเวณกระจกตา ในกรณีที่เบาหวานที่ระดับน้ำตาลสูงเป็นระยะเวลานาน ผิวกระจกที่ถลอกหรือหลุดลอกจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือจากการใส่คอนแทคเลนส์ อาจจะหายยากกว่าปกติและมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลติดเชื้อที่กระจกตาได้มากขึ้น

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Paresis of extraocular muscle) อาจทำให้เกิดอาการเห็นภาพซ้อน (double vision) อย่างฉับพลัน เนื่องจากเบาหวานทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กที่มาเลี้ยงเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3, 4, หรือ 6 ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อในการกลอกตาแต่ละมัด โดยส่วนใหญ่ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงจากเบาหวาน อาการจะดีขึ้นหลังตรวจพบประมาณ 3 เดือน และสามารถหายเป็นปกติได้ ถ้าเกิดภาพซ้อนจะรักษาด้วยแว่นปริซึม หากนานเกิน 6-12 เดือนยังไม่ดีขึ้น อาจพิจารณาผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ต่อดวงตาจากเบาหวาน ผู้ป่วยต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และ งดดื่มแอลกอฮอล์ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นและควรพบจักษุแพทย์หากพบว่ามีการมองเห็นเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เช่น ตามัว มองไม่ชัด มองเห็นเป็นจุดดำ เห็นภาพบิดเบี้ยว หรือเห็นภาพซ้อน เป็นต้น

ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจตาโดยละเอียดและขยายม่านตาตรวจจอตาแม้ไม่มีอาการผิดปกติทางการมองเห็นเพื่อคัดกรองเบาหวานขึ้นตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หลังการขยายม่านตาตรวจจอตาผู้ป่วยอาจมีอาการตามัวเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเอง ควรมีญาติไปด้วยเพื่อความปลอดภัย หากไม่พบความผิดปกติ ควรตรวจตาและขยายม่านตาปีละ 1 ครั้ง หากพบเบาหวานขึ้นตา อาจจะต้องได้รับการรักษาหรือการตรวจบ่อยขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของเบาหวานขึ้นตาและความรุนแรงของโรคด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Short form ฉบับเข้าใจง่ายรวบรัด

ในภาษาอังกฤษนั้นเราจะมีรูป form ที่เรียกว่า short from ตัวอย่างเช่น he’s,  I’d, don’t ซึ่งนั่นก็คือการรูปนั้นเอง ในการพูดภาษาอังกฤษเรามักจะออกเสียง I am เป็นคำเดียว ซึ่งรูป short from ของมันก็คือ I’m จึงเป็นลักษณะหนึ่งของการเขียนคําอย่างเช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้ 

  • I am → I’m = I’m feeling tired this morning. 
  • It is → It’s = Do you like this jacket? Yes, it’s very nice.
  • They have → They’ve = Where are your friends? They’ve gone home.

เวลาที่เราเขียน Short form เราใช้  ’ หรือ an apostrophe ตัวอย่างเช่น 

I am ก็จะเป็น I’m

He is ก็จะเป็น He’s

You have ก็จะเป็น You’ve

She will ก็จะเป็น She’ll


และสิ่งที่กำลังจะพูดต่อจากนี้นั่นก็คือหลักการใช้ Short form กลับ Personal pronouns ต่างๆ

  • am / ’m / I’m
  • is / ’s / he’s / she’s /it’s
  • are / ’re / we’re / you’re / they’re
  • have / ’ve / I’ve / we’ve / you’ve / they’ve
  • has / ’s / he’s / she’s / it’s
  • had / ’d / I’d / he’d / she’d / we’d / you’d / they’d
  • will / ’ll / I’ll / he’ll / she’ll / we’ll / you’ll / they’ll
  • would / ’d / I’d / he’d / she’d / we’d / you’d / they’d

  ตัวอย่างก็อย่างเช่น 

  • I’ve got some new shoes. ฉันมีรองเท้าใหม่
  • We’ll probably go out this evening. เราคงจะออกไปข้างนอกเย็นนี้
  • It’s 10 o’clock. you’re late again. ตอนนี้ 10:00 น คุณมาสายอีกแล้ว 

และเนื่องจากมีบางรูปที่เขียนย่อเหมือนกัน แต่ตัวรูปเต็มนั้นไม่ได้เหมือนกัน อาจจะสามารถสร้างความสับสนได้ อย่างไรก็ตามควรดูที่บริบทของประโยคนั้นๆว่าควรเป็น Tense ไหนเป็นหลัก แบบนี้จะช่วยได้เยอะ ตัวอย่างเช่น 

’s = is หรือ has เช่น

  • She’s going out this evening. เธอจะออกไปข้างนอกเย็นนี้ 
    (ดูได้จากรูปที่เป็นของ Present Continuous เราจึงสามารถรู้ได้เลยว่า ‘s คือ is)
  • She’s gone out. เธอออกไปแล้ว 
    (ดูได้จากรูปที่เป็นรูปของ Present Perfect เราจึงสามารถรู้ได้เลยว่า ‘s คือ has สามารถสังเกตได้จาก gone)

’d = would หรือ had เช่น

  • A: What would you like to eat? คุณอยากทานอะไร
    B: I’d like a salad please. ฉันต้องการสลัด
    (ดูได้จากรูปที่เป็นของ would เนื่องจากประโยคคำถามนั้นใช้ would เหมือนกัน ดังนั้น ‘d ก็คือ would )
  • I told the police that I’d lost my passport. ฉันบอกตำรวจว่าฉันทำพาสปอร์ตหาย
    (แน่นอนว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในอดีต จึงต้องใช้ Present Perfectสังเกตได้จากคำว่า lost ดังนั้น ‘d จึงเป็น had)

นอกเหนือจากนี้เราสามารถใช้ Short form คำอื่นได้ด้วยนอกเหนือจาก Personal pronouns ตัวอย่างเช่น 

  • Who’s your favourite singer?
    นักร้องคนโปรดของคุณคือใคร? (มาจาก who is) 
  • What’s the time? (= what is)
    ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว (มาจาก what is)
  • There’s a big tree in the garden. (= there is)
    มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ในสวน (มาจาก there is)
  • My sister’s working in London. (= my sister is)
    พี่สาวของฉันทำงานอยู่ที่ลอนดอน (มาจาก my sister is)
  • Peter’s gone out. (= Peter has)
    ปีเตอร์ออกไปแล้ว (มาจาก Peter has)
  • What colour’s your car? (= What colour is )
    รถของคุณสีอะไรหรอ (มาจากWhat colour is )

เอาล่ะเราได้พูดถึงการใช้คำที่ลดรูปในรูปแบบของการบอกเล่า ทีนี้มาดูกันว่าถ้าเป็นรูปย่อปฏิเสธหรือ  negative short form จะมีอะไรบ้าง 

  • isn’t (is not) / don’t (do not) / can’t (cannot)
  • aren’t (are not) / doesn’t (does not) / couldn’t (could not)
  • wasn’t (was not) / didn’t (did not) / won’t (will not)
  • weren’t (were not) / wouldn’t (would not)
  • hasn’t (has not) / shouldn’t (should not)
  • haven’t (have not) / mustn’t (must not)
  • hadn’t (had not) / needn’t (need not)

ตัวอย่างเช่น 

  • We went to her house but she wasn’t at home.
  • Where’s David? I don’t know, I haven’t seen him.
  • You work all the time. You shouldn’t work so hard.
  • I won’t be here tomorrow.

ขอบคุณข้อมุลจาก engnow.in.th


นักวิจัยชาวฟินแลนด์คิดค้นวิธีปลูกกาแฟในห้องทดลอง

นักวิจัยชาวฟินแลนด์คิดค้นวิธีปลูกกาแฟในห้องทดลอง

นักวิจัยชาวฟินแลนด์เปิดเผยว่า พวกเขาได้ผลิตกาแฟในห้องทดลองที่มีกลิ่นและรสชาติคล้ายกับของจริงมาก และยังรายงานด้วยว่ากาแฟที่ปลูกในห้องทดลองนี้อาจมีความสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นภัยคุกคามต่อการทำไร่กาแฟแบบดั้งเดิม

นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยทางเทคนิค VTT Technical Research Center ของฟินแลนด์ ได้สร้างระบบการเพาะเลี้ยงเซลล์จากใบของต้นกาแฟ กระบวนการนี้คือการแขวนลอยเซลล์เพาะเลี้ยงในเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับการผลิตผลิตภัณฑ์จากสัตว์และพืชชนิดอื่น ๆ ในห้องทดลอง

istock-537703613

Heikki Aisala นักวิจัย VTT ซึ่งเป็นผู้ดูแลกระบวนการนี้ บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่ากาแฟเซลลูลาร์อาจจะไม่ผ่านการทดสอบรสชาติเมื่อเทียบกับกาแฟแบบดั้งเดิม เนื่องจากรสชาติจะไม่เหมือนกาแฟดั้งเดิม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่รสชาติจะเหมือนการผสมผสานของกาแฟชนิดต่าง ๆ รวมกัน

นักวิจัยกล่าวเสริมว่า แม้ว่ากาแฟเซลลูลาร์จะยังไม่พร้อมสำหรับออกสู่ตลาดในตอนนี้ แต่รสชาติของกาแฟเซลลูลาร์นั้นก็มีความคล้ายกับกาแฟจริง ๆ

Aisala กล่าวต่อไปอีกว่า เป็นไปได้ว่าในวันหนึ่งกาแฟที่ปลูกในห้องทดลองนี้อาจสามารถพัฒนาไปเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ได้

Heiko Rischer หัวหน้าทีมวิจัย VTT กล่าวว่า การเพาะเลี้ยงเซลล์เป็นวิธีที่ยั่งยืนกว่าในการผลิตกาแฟ เนื่องจากอัตราความต้องการกาแฟที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ เปิดพื้นที่ปลูกเมล็ดกาแฟมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

Rischer กล่าวว่า ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของกาแฟที่ปลูกในห้องทดลอง ได้แก่ การลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ย และความจำเป็นในการขนส่งเมล็ดกาแฟในระยะทางไกลไปสู่ตลาดต่าง ๆ ก็น้อยลงด้วย

ในยุโรป กาแฟที่ปลูกในห้องทดลองจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนจึงจะออกวางตลาดได้แต่ยังมีคำถามสำคัญที่ว่า บรรดาคนรักกาแฟจะดื่มเครื่องดื่มที่ปลูกในห้องทดลองได้จริงหรือไม่?

ผู้สื่อข่าว Reuters ถามคำถามนี้กับ Satu พนักงานเสิร์ฟในร้านกาแฟในเฮลซิงกิ และเธอให้คำตอบว่า เธอคิดว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนก็จะต้องดื่มกาแฟที่ปลูกในห้องทดลอง เพราะแหล่งกาแฟธรรมชาติกำลังจะหายไป

ดังนั้น เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และถ้ากาแฟดังกล่าวมีรสชาติดีและมีกลิ่นหอมของกาแฟเป็นพื้นฐาน เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นไปได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Thailandbamboo ชวนเปิดมุมมองสัมผัสแห่งธรรมชาติไปกับนวัตกรรมพื้นไม้ไผ่ภายนอก ในงานสถาปนิก’65

Thailandbamboo กับนวัตกรรมพื้นไม้ไผ่ภายนอก ที่เป็นมากกว่าพื้นไม้ไผ่ธรรมดาทั่วไป ด้วยดีไซน์สมัยใหม่ที่ชวนสัมผัสธรรมชาติตอบโจทย์ทุกการใช้งาน พร้อมพื้นผิวสัมผัสที่แตกต่าง จากพื้นไม้ไผ่ภายนอกทั่วไป ที่คุณเคยรู้จัก

พื้นไม้ไผ่สำหรับภายนอก / Bamboo Supreme Deck

ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผ่านกระบวนการอัดน้ำยารายแรกของอาเซียน ผสมผสานกับระบบสุญญากาศ หรือ Vacuum ซึ่งมีหลักการทำงานคือใส่ไม้ไผ่เข้าไปในถังขนาดใหญ่ แล้วทำการดูดอากาศออกจากเนื้อไม้ แล้วจึงอัดน้ำยาด้วยปั๊มแรงดันสูง หรือเทคโนโลยี High pressur pump ทำให้ตัวเนื้อไม้ไผ่ปราศจากมอดและแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากผลการวิจัยพบว่ากระบวนการอัดน้ำยาเข้าไปในเนื้อไม้ไผ่ ใช้น้ำยาในเปอร์เซ็นต์ที่น้อย ทำให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในงานออกแบบสถาปัตยกรรม

7 เหตุผล….ที่คุณควรเลือกพื้นไม้ไผ่ภายนอกจาก Thailandbamboo
• ใช้งานได้ทนทาน ไม่ยืด ไม่บิด ไม่หดตัว รับน้ำหนักได้สูงกว่าไม้ชนิดอื่น ๆ
• ทำสีสำเร็จ ไม่ต้องขัดหรือทำสีเองให้เสียเวลา
• แม้จะติดตั้งนานหลายปี ก็ไม่ยืดไม่หด หรือถ้ามีก็น้อยมาก ๆ
• สามารถทำสีซ้ำได้ ไม่ว่าเวลาผ่านไปนาน
• สามารถกลับอีกด้านขึ้นมาติดตั้งใหม่ได้ เพื่อประหยัดงบประมาณระยะยาว
• ใช้งานได้ทั้งสองด้าน ไม่ต้องระวังว่าจะติดตั้งผิด
• สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ

Thailandbamboo  กับคุณสมบัติ ที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกสภาวะ

ปัจจุบัน Thailandbamboo ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงการใช้งานได้ทุกสภาวะพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ริมทะเล หรือแม้กระทั่งบนชายหาด ก็สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ พร้อมมีอายุการใช้งานนานนับ 10 ปี และมั่นใจได้ว่าตัวไม้ไผ่ยังคงสภาพเดิมเหมือนการติดตั้งในครั้งแรก ๆ ไร้ซึ่งการบิด โก่ง หรือส่วนปลายหักโค้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ที่ต้องการให้พื้นไม้ไผ่ภายนอก มีดีไซน์ไปในทิศทางเดียวกันกับสถาปัตยกรรม รวมทั้งในเรื่องของความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้รับ

มาสัมผัสธรรมชาติจาก Thailandbamboo  กับนวัตกรรม “พื้นไม้ไผ่ภายนอก” ได้ด้วยตนเอง ที่งานสถาปนิก’65

แล้วมาอัปเดตเทรนด์นวัตกรรมพื้นไม้ไผ่สำหรับงานภายนอก และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จาก Thailandbamboo  ได้ด้วยตนเองที่บูธหมายเลข F716 ในงานสถาปนิก’65 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ระหว่างวันที่ 26 เม.ย. – 1 พ.ค. 65 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/11/2564

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a28,750.0028,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,862.0028,227.9229,350.00
ทองรูปพรรณ 90%1,675.8025,405.13n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,489.6022,582.34n/a
ทองรูปพรรณ 50%838.0012,704.08n/a
ทองรูปพรรณ 40%652.009,884.32n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,930.0029,258.80n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/11/2564


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5532.9532.7533.2032.5532.7532.5532.7532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.2832.2832.6832.4832.9332.2832.4832.2832.4832.28
แก๊สโซฮอล์ E2031.0431.0431.4431.2431.6931.2431.0431.2431.04
แก๊สโซฮอล์ E8524.4424.4424.44
เบนซิน 9539.9641.0640.6640.4639.96
ดีเซล B729.9429.9430.1929.9430.1429.9430.0929.9429.9429.94
ดีเซล29.7929.7930.0429.7929.9929.7929.9429.7929.7929.79
ดีเซล B2029.6929.6929.9429.6929.8429.6929.69
ดีเซลพรีเมี่ยม35.1635.5636.6436.5635.16
แก๊ส NGV15.5915.5915.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า