” ลลิล” แกร่ง โตฝ่าโควิด 9 เดือน กำไรพันล้าน
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลประกอบการ 9 เดือนแรก ปี 2564 รับรู้รายได้แล้ว 4,828 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.6%
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2564 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,625.5 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12% โดยยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในไตรมาสสามนี้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ทั้งการระบาดระลอก 4 ของ COVID-19 ที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงกว่า 20,000 คนต่อวัน มีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง มีการออกมาตรการล็อคดาวน์ต่างๆ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ หยุดชะงัก และกระทบในวงกว้าง
อย่างไรก็ดี ลลิลฯ ยังคงบริหารธุรกิจได้ดี ผ่านช่วงเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยนัก ด้วยยอดรับรู้รายได้ที่เติบโต 12% และมีกำไรที่ขยายตัว 10.2% เมื่อพิจารณาผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรก มียอดรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 4,828.1 ล้านบาท ขยายตัว 20.3% โดยมีตัวเลขกำไรสุทธิที่ 1,013.1 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากธุรกิจปกติ ขยายตัวได้ 22.6%
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยบริษัทยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัว 20.3% ในขณะที่กำไรสุทธิขยายตัวได้ 22.6% แม้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้ามากมาย เกิดการระบาดระลอกสาม ระลอกสี่ขึ้น โดยเฉพาะการระบาดระลอกที่สี่ของสายพันธุ์เดลต้า ที่นำไปสู่การติดเชื้อมากกว่า 20,000 คนต่อวัน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งประเทศเกือบ 2 ล้านคนในปัจจุบัน
สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกับภาคธุรกิจอื่นๆ กำลังซื้อของผู้บริโภคมีการหดตัวลง จากภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ดังนั้นผู้ประกอบการที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า ก็จะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
สำหรับลลิลฯ มีการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่องให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยเน้นกลุ่ม Real Demand เป็นหลัก มีการปรับรูปแบบ Design และ Function ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา ตลอดจนเน้นการขาย Quality of Living คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของลูกค้าเป็นสำคัญ จึงเชื่อมั่นว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ในใจของผู้บริโภคเมื่อคิดจะซื้อที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้จากกลยุทธ์ที่วางไว้ และการบริหารงานที่รัดกุม ช่วยให้บริษัทยังคงมียอดขายและกำไรที่เติบโต ผลประกอบการสำหรับไตรมาสสามมียอดรับรู้รายได้ที่ 1,626.5 ล้านบาท เติบโตได้ 12% ในขณะที่ยอดรับรู้รายได้ใน 9 เดือนแรกของปี ขยายตัวกว่า 20.3% โดยรับรู้รายได้แล้วที่ 4,828.1 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 80% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเอาไว้ จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำผลงานได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้สำหรับปีนี้
ในส่วนของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี แม้ในภาวะที่ต้นทุนหลายอย่างปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่าน Ratio ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% คงที่จากปีก่อนหน้า ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ดีขึ้นจาก 9.7% มาอยู่ที่ 9.3% อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ดีขึ้นจาก 20.6% มาอยู่ที่ 21.0%
สำหรับการขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทสามารถทำได้ตามแผนที่ตั้งไว้ โดยมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่ารวมราว 6,000 ล้านบาท โดยยังคงมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาสามนี้ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.63 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นไตรมาสสาม จะอยู่ที่ระดับเพียง 0.27 เท่า สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และศักยภาพที่สามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พอร์ตโรงแรมอังกฤษ ดันรายได้ ” สิงห์ เอสเตท ” ฟื้น 20%
บมจ.สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ ไตรมาส 3 ปี 2564 แตะ 2,127 ล้านบาท เติบโต 20% หลังธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักร และปิดการขายโครงการบ้านหรู สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส หนุน ภาพรวม ขณะหวังอัตราเข้าพัก โครงการ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS) คึกคัก ตลอดไฮซีซั่น
15 พ.ย. – บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 มีรายได้รวม 2,127 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจธุรกิจฟื้นตัว สะท้อนผ่านรายได้รวมที่เติบโตต่อเนื่องติดกันเป็นไตรมาสที่ 3ทั้งนี้รายได้รวมดังกล่าวแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย 436 ล้านบาท, ธุรกิจอาคารสำนักงาน 238 ล้านบาท, ธุรกิจโรงแรม 1,422 ล้านบาท, และธุรกิจอื่นๆ 31 ล้านบาท
บริษัทฯ ยังเดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายได้ถึง 44% บวกกับการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น จากการส่งมอบห้องชุดโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท รายงานกำไร EBITDA ในไตรมาส 3 ปี 2563 จำนวน 351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2564 จะมีการตัดผลประกอบการของบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) (“NVD”) ออกจากงบการเงินรวมของสิงห์ เอสเตท ตั้งแต่ต้นปี 2564 หลังจากธุรกรรมการขายเงินลงทุนใน NVD แล้วเสร็จ ทว่า รายได้รวมกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของธุรกิจโรงแรม
โดยในไตรมาสดังกล่าว รายได้จากธุรกิจโรงแรมจำนวน 1,410 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 1000% จากช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยวในสหราชอาณาจักรตอกย้ำความสำเร็จในการตัดสินใจปรับพอร์ทโฟลิโอ และขยายการลงทุนในแหล่งรายได้ใหม่ที่บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพในการฟื้นตัวได้เร็วกว่า ผ่านการเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนเป็น 100% ของกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักร
ส่งผลให้สิงห์ เอสเตท สามารถรับรู้รายได้จากกลุ่มโรงแรมในพอร์ทนี้ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากของกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักร เนื่องจากการฟื้นตัวเต็มที่ของการท่องเที่ยวในประเทศที่ได้อานิสงค์จากการปลดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 และการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนให้เห็นจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของไตรมาส 3 ปี 2564 กลับไปแตะที่ระดับ 95% ของช่วงก่อนโควิดได้ และมีส่วนผลักดันให้ผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักรพลิกกลับเป็นกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการธุรกิจโรงแรมกลับมาดีขึ้น แม้ว่าการดำเนินการโรงแรมในประเทศไทย สาธารณรัฐมอริเชียส และสาธารณรัฐฟิจิ ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติก็ตาม
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า“ผลประกอบการที่น่าพอใจของพอร์ทโรงแรมในสหราชอาณาจักรนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ยืนยันความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน เรายังเชื่อว่าผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี ต่อไปจนถึงต้นปีหน้า หนุนโดยโรงแรมในโครงการ CROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ซึ่งจะเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ เรามีความมั่นใจว่าในช่วงปลายปี RevPAR ของโรงแรมในพอร์ทนี้จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นไปดีกว่าช่วงก่อนโควิดได้ นอกจากนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย และสาธารณรัฐมอริเชียสเช่นเดียวกัน
สำหรับพอร์ตโรงแรมในโครงการ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS) เป็นโครงการแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนครบวงจรแห่งแรกและแห่งเดียวในมัลดีฟส์ ซึ่งมีความหลากหลายในการต้อนรับลูกค้าหลายกลุ่ม เสริมด้วยจุดแข็งด้านที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินนานาชาติหลัก ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีทางเรือสปีดโบ้ท โดยในไตรมาส 4 เราคาดหวังการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่ม High Spending เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศอื่นๆ ในยุโรป
ทำให้เราคาดการณ์ REVPAR เฉลี่ยต่อคืนในไตรมาส 4 ปี 2564 ว่าจะสามารถปรับเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือดีกว่าระดับPre-COVID19 ได้ นอกจากนี้เราคาดหวังว่าการดำเนินงานโรงแรมประเทศอื่นๆ ที่ได้รับความชัดเจนด้านนโยบายการเปิดประเทศจากรัฐบาลแล้ว จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างดีเช่นเดียวกับพอร์ต CROSSROADS โดยเราเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากโรงแรม Outrigger Mauritius Beach Resort ซึ่งได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 พร้อมกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยอัตราการเข้าพักในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแรกที่กลับมาเปิดให้บริการถึง 40% พร้อมโมเมนตัมที่แข็งแกร่งต่อเนื่องตลอดฤดูกาลท่องเที่ยว
ธุรกิจอาคารสำนักงานของ สิงห์ เอสเตท ยังสามารถรักษาอัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยโดยรวมได้ที่ระดับ 87% ในงวด 9 เดือนปี 2564 ผ่านการต่อสัญญากับผู้เช่าเดิมได้อย่างต่อเนื่องและปล่อยเช่าพื้นที่เพิ่มเติม สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของทีมงานในการเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมได้ถูกเป้าหมาย กลุ่มลูกค้าของเรามีธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังต้องการพื้นที่สำนักงานเพิ่มเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะอาคารสำนักงาน สิงห์ คอมเพล็กซ์ที่มีอัตราการปล่อยเช่าสูงถึง 95%
สำหรับธุรกิจที่พักอาศัยจากความสำเร็จในการขาย “โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ทั้งหมดจำนวน 25 ยูนิตตอกย้ำและแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของลูกค้าในแบรนด์ของสิงห์ เอสเตท ที่ใส่ใจและมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิต ที่ดีให้กับลูกบ้าน ผ่าน 3 แนวคิด Smart Living, Healthy Living และ Sustainable Living เพื่อพัฒนาและส่งมอบคุณภาพโครงการใน ระดับ Best in Class ให้กับลูกบ้านทุกคน โดยเรายังคงมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อก้าวสู่แท่นผู้นำในตลาดบ้านลักชัวรี เพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จจากผลตอบรับที่ดีของกลุ่มลูกค้าต่อแบรนด์บ้านเดี่ยวของสิงห์ เอสเตท โดยเราคาดว่าจะสามารถเปิดตัวโครงการแรกที่พัฒนาการ 32 ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2565
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทยพาณิชย์ อนุมัติเอสซีบี เอกซ์ (SCBx) เข้าถือหุ้นก่อนเข้าตลาดหุ้น
ผู้ถือหุ้นโหวตฉลุยปรับโครงสร้างไทยพาณิชย์ ให้ยานแม่เอสซีบี เอกซ์ (SCBx) เข้าถือหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนธนาคารไทยพาณิชย์
ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทางการเงินไทยพาณิชย์ โดยให้ดำเนินการแลกหุ้นจากธนาคารไทยพาณิชย์ “SCB” เป็น “SCBx” และนำหุ้น “SCBx” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทนหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ โดย SCBx จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารในอัตรา 1 หุ้นสามัญ SCB ต่อ 1 หุ้นสามัญ SCBx และ 1 หุ้นบุริมสิทธิ SCB ต่อ 1 หุ้นสามัญ SCBx
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังได้อนุมัติการโอนย้ายบริษัทย่อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น ให้แก่ SCBx หรือบริษัทย่อยของ SCBx และการมอบอำนาจที่เกี่ยวข้อง และอนุมัติการโอนธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันให้แก่บริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด (Card X) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ของ SCBx โดยที่ SCBx จะถือหุ้นใน Card X ร้อยละ 99.99 และการมอบอำนาจที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารไทยพาณิชย์จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นกรณีพิเศษ จำนวน 7 หมื่นล้านบาท ให้แก่ SCBX เพื่อสำหรับการรับโอนบริษัทย่อยและธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น การจัดตั้งบริษัทใหม่ และการลงทุนใหม่เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและการเติบโตในอนาคต ตามที่คณะกรรมการธนาคารเสนอ
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในแนวทางการสร้างไทยพาณิชย์ให้เป็นธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินด้วยเป้าหมายสู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด และเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) ทุกฝ่ายอย่างมั่นคงและแข็งแรงต่อไป โดยเห็นว่าแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวในการเติบโตของธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ในหลายด้าน รวมทั้งเพิ่มความชัดเจนในการทำธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ ให้สามารถขยายและพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนทำให้กลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ มีการแบ่งแยกการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์โดยรวม
สำหรับขั้นตอนจากนี้นั้น ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม 2565 ผู้ถือหุ้นจะพิจารณาทำคำตอบรับการเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) จากบริษัท SCBx โดยผู้ถือหุ้นต้องตอบรับคำเสนอซื้ออย่างน้อย 90% ต่อมาในเดือนมีนาคม 2565 หุ้น “SCBx” จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเพิกถอนหุ้น “SCB” ในวันเดียวกัน โดยจะยังใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SCB” และผู้ถือหุ้น SCB จะเปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้น SCBx แทน
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ยังติดต่อไม่ได้! “เผิง ฉ่วย” นักหวดสาวจีนหลังแฉโดน “อดีตรองนายกฯ” ขืนใจ
กลายเป็นที่จับตาของทั่วโลกทันทีสำหรับการที่ เผิง ฉ่วย นักเทนนิสหญิงชาวจีน อดีตมือวางอันดับ 1 ของโลกประเภทหญิงคู่ และเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 2 สมัย ออกมาเปิดเผยว่าเธอนั้นถูก จาง เกาลี่ อดีตรองนายกรัฐมนตรีจีนช่วงระหว่างปี 2013-2018 คุกคาม และบีบบังคับให้เธอมีเพศสัมพันธ์มาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี
โดยหลังจากที่ นักหวดสาววัย 35 ปี โพสต์ข้อความลงใน เว่ยป๋อ (Weibo) สังคมออนไลน์ของจีน ไม่นานข้อความดังกล่าวก็ถูกลบออกไปจากระบบ รวมถึงการเสิร์ชชื่อของเธอในโลกออนไลน์ที่มีถึง 7 ล้านการค้นหา ก็ถูกล้างระบบไปทั้งหมด ก่อนจะมีรายงานว่าเธอหายตัวไป และไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้อีกเลย
ทำให้ทาง สตีฟ ไซม่อน ประธานของสหพันธ์เทนนิสหญิงอาชีพ (WTA) ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักเทนนิสหญิงรายนี้ พร้อมทั้งขอให้ทางรัฐบาลจีนสอบสวนเรื่องนี้อย่างโปร่งใส เมื่อวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จนมีแฮชแทก #WhereIsPengShuai ผุดขึ้น
“เราหวังว่าปัญหานี้จะได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวต้องได้รับการตรวจสอบว่าเต็มที่ เป็นธรรม และโปร่งใส สมาคมเทนนิสแห่งประเทศจีน ควรออกมาปกป้องเธอ ความเข้าใจของผมตอนนี้คือเธอยังอยู่ในปักกิ่ง แต่ผมไม่สามารถยืนยันได้เพราะไม่สามารถติดต่อกับเธอได้โดยตรง”
ด้าน คริส เอเวิร์ต ตำนานแชมป์ แกรนด์ สแลม หญิงเดี่ยว 18 สมัย ก็เป็นอีกคนที่ออกมาส่งเสียงช่วยเหลือ เผิง ฉ่วย อย่างเต็มที่ “ฉันรู้จักกับ เผิง ฉ่วย ตั้งแต่อายุ 14 ปี เราควรกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ นี่คือเรื่องใหญ่ ตอนนี้เธออยู่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า เราต้องการข้อมูลเหล่านี้เพื่อตรวจสอบ”
สำหรับเรื่องราวความสัมพันธ์แบบลับๆ ของ นักเทนนิสหญิงชาวจีน กับ จาง เกาลี่ อดีตรองนายกรัฐมนตรีจีนวัย 75 ปี กลายเป็นที่สนใจของคนในประเทศหลังสื่อแดนมังกรเผยว่าทั้งคู่นั้นรู้จักกันครั้งแรกตอนที่ จาง เกาลี่ เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคสาขาเมืองเทียนจิน เมื่อปี 2007-2012 ก่อนที่เข้าจะก้าวขึ้นไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีจีนก่อนเกษียณในปี 2018
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ยาแก้อักเสบ” ไม่ใช่ “ยาฆ่าเชื้อ” อย่าสับสน อาจเสี่ยง “ดื้อยา” ในระยะยาว
ทำความเข้าใจระหว่างยาแก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อใหม่ ยาแก้อักเสบช่วยลดอาการปวดบวมอักเสบไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใด แต่ยาฆ่าเชื้อไว้ใช้เมื่อต้องการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หากกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั้งๆ ที่อาการเจ็บคอจากหวัดมาจากเชื้อไวรัส จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงดื้อยาได้
ซื้อยากินเอง เสี่ยงได้ยาไม่ตรงกับอาการ-โรค
ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การซื้อยากินเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ หรือเภสัชกรที่เพียงพอ อาจนำไปสู่การซื้อยารักษาผิดอาการ ผิดโรค และเพิ่มความเสี่ยงดื้อยา ที่ส่งผลอันตรายต่อชีวิตในเวลาต่อมาได้
ยาแคปซูลสีต่างๆ สีดำแดง เขียวฟ้า ขาวชมพู ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ จริงๆ แล้วส่วนใหญ่ยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาแก้อักเสบ แต่เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือยาต้านจุลชีพ หรือยาปฏิชีวนะ หน้าที่ของยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่คือจัดการกับเชื้อโรค จำพวกเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา เป็นต้น
ยาแก้อักเสบ ไม่ใช่ ยาฆ่าเชื้อ
ยาแก้อักเสบ ช่วยลดอาการอักเสบคืออาการปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีของร่างกายที่ตอบสนองต่อการบาดเจ็บ เช่น หกล้ม ข้อเท้าแพลง เหงือกอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียก็อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ เราใช้ยาแก้อักเสบ เพื่อยับยั้งการเกิดอาการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด ไม่ว่าความเจ็บปวดจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ดังนั้นยาที่ใช้ เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) หรือยากลุ่มเอ็นเซด (NSAIDs) เช่น ไอบรูโพเฟน ไดโคลฟีแนค มีเฟนามิกแอซิด เป็นต้น
ยาฆ่าเชื้อ ใช้เพื่อฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ยาส่วนใหญ่ใช้กับเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้น การที่คนจำนวนมากเข้าใจว่ายาแก้อักเสบก็คือยาปฏิชีวนะ ทำให้ใช้ยาผิด และเป็นอันตรายต่อสุขภาพและต่อชีวิตในที่สุด ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะถูกออกแบบมาเพื่อจัดการเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เรามียาที่ใช้เพื่อทำลายอวัยวะสำคัญของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ผนังเซลล์ที่เป็นเกราะป้องกันของมัน ถ้ายาทำลายกระบวนการสร้างเกราะของมันได้ ก็ทำให้เชื้อแบคทีเรียตาย หรือยาบางชนิดใช้เพื่อยับยั้งกระบวนสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย ซึ่งโปรตีนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเชื้อ จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตไม่ดี หรือหยุดเจริญเติบโต
เลือกยาฆ่าเฉพาะเชื้ออย่างถูกต้อง ลดเสี่ยงดื้อยา
ปัจจุบันมียาหลากหลายใช้เพื่อกำจัดเชื้อโรค ต่างๆ เช่น ยาฆ่าเชื้อรา เพื่อจัดการกับเชื้อรา ยาฆ่าเชื้อไวรัส ใช้จัดการกับไวรัส สำหรับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ก็มีหลากหลายจึงต้องใช้ให้จำเพาะกับชนิดของแบคทีเรีย และ อวัยวะที่เกิดการติดเชื้อ ดังนั้น ถ้าเรานำยาที่ออกแบบมาเพื่อทำลายอวัยวะแบคทีเรียไปรักษาการติดเชื้อไวรัส ทั้งๆ ที่ไวรัสไม่มีอวัยวะดังกล่าว ก็ไม่เกิดประโยชน์ และไม่ทำให้อาการป่วยหายไป ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันมีสูตรการใช้ยาอะม็อกซีซิลินเพื่อการฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งๆ ที่ยาอะม็อกซีซิลินเป็นยาที่ใช้ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งไวรัสไม่มีอวัยวะดังกล่าว จึงตอบได้ว่า การใช้ยาผิดไม่สามารถจัดการกับเชื้อไวรัส โควิด-19 ได้
เจ็บคอจากหวัด อย่ากินยาฆ่าเชื้อ
ผู้เป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ในกรณีของเชื้อไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ เราอาจมียาที่ใช้จัดการกับมันได้ แต่สำหรับหวัดเจ็บคอทั่วไปที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆ นั้น เรายังไม่มียารักษา แต่ร่างกายของเราจะรักษาตัวเอง และการให้ยารักษาตามอาการ ซึ่งอาการป่วยจะหายไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียกับอาการหวัดเจ็บคอที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่มีแบคทีเรียให้ฆ่า ส่วนไวรัสที่มีอยู่นั้น ยาที่ใช้ก็ฆ่าไม่ได้
ร่างกายดื้อยา เสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา
ในทางกลับกัน ยาที่กินกลับทำให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรามีโอกาสเรียนรู้และกลายเป็นต้นเหตุการดื้อยา แล้วยังสามารถถ่ายทอดความสามารถการดื้อยาให้เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ อีก ซึ่งอาจเป็นแบคทีเรียก่อโรคที่เข้ามาในร่างกาย ทำให้แบคทีเรียชนิดนั้นดื้อยาได้ เป็นสาเหตุทำให้เราไม่สามารถใช้ยาฆ่าเชื้อตัวเดิมได้ผลอีกต่อไป ต้องเปลี่ยนยา หรือเลวร้ายที่สุดคือ อาจไม่มียารักษาได้ ซึ่งพบได้บ่อยๆ ว่าผู้ป่วย ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไร หรือป่วยจากอุบัติเหตุ มะเร็ง โรคหัวใจ แต่กลับพบว่าหลายครั้งผู้ป่วยเหล่านั้นไม่ได้เสียชีวิตจากโรค ดังกล่าว แต่กลับเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งไม่มียาตัวใดรักษาได้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีอาการเจ็บป่วย แล้วสงสัยว่าติดเชื้อ ต้องมีการตรวจวินิจฉัยโรค โดยแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าติดเชื้อหรือไม่ และเป็นเชื้อโรค ประเภทใด จะได้ใช้ยากำจัดเชื้อโรคได้ถูกต้องแม่นยำ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เธอๆ คำว่า “In trend” ไม่ได้แปลว่า ทันสมัยนะ
หลายคนมักจะเข้าใจผิดเวลาใช้ คำว่า In trend ว่ามาจากภาษาอังกฤษ แต่เอ๊ะ ! พอเราไปพูดกับฝรั่งทำไมไม่เข้าใจคำนี้ล่ะ ที่ถูกต้องจะเป็นอะไรกันนะ มาดูกันเลย!
In trend แปลว่า ทันสมัย จริงหรือ?
จริงๆ แล้ว เวลาที่เราจะบอกว่าใครทันสมัย หรือมีการแต่งตัวที่ทันสมัยนั้น ต่างชาติเขาจะใช้คำว่า Trendy หรือว่า Fashionista นะคะ ซึ่งหมายถึงความทันสมัย ในด้านของแฟชั่นนั่นเอง
She is real fashionista, her dresses are always trendy.
เธอเป็นเจ้าแม่แฟชั่นตัวจริง ชุดของเธอทันสมัยตลอดเวลา
Fashionista แปลว่าเจ้าแม่แฟชั่นนั่นเองค่ะ ใช้สำหรับบอกว่าใครมีลักษณะการแต่งตัวอย่างไรนั่นเองจ้า Trendy ก็เหมือนกันนะ ^^ อย่าลืมทบทวนภาษาอังกฤษบ่อยๆนะคะ ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวเพียงแค่เราตั้งใจเรียนรู้นะคะ อย่าลืมติดตามว่าแอดมินจะเอาสาระดีๆ อะไรมาฝากในครั้งต่อไป 🙂
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
จับตา 5 เทคโนโลยีแก้ปัญหาโลกร้อน
ในเวทีประชุม COP26 ของสหประชาชาติ ที่เมืองกลาสโกว์ ของสกอตแลนด์ ที่ผู้นำโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศผิดธรรมชาติ และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ร่วมกันหารือเพื่อกำหนดมาตรการใหม่ๆ ในการต่อสู้รับมือกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และคาดว่าเทคโนโลยีจะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทั่วโลกบรรลุเป้าหมายเรื่องโลกร้อนได้ในอนาคต ซึ่งรวมถึง 5 เทคโนโลยีที่น่าสนใจนี้ด้วย
เทคโนโลยีการหลอมรวมตัวของอะตอม หรือ ฟิวชั่น
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ฟิวชั่น หรือ การหลอมรวมตัวของอะตอมเพื่อสร้างพลังงาน อาจเป็นเทคโนโลยีผลิตพลังงานเพื่อใช้ในบ้านเรือนได้ในอนาคต แต่ปัญหาหนึ่ง คือ กระบวนการดังกล่าวต้องอาศัยพลังงานจำนวนมหาศาล ซึ่งผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ยังไม่สามารถผลิตพลังงานจากการฟิวชั่นมากกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการผลิตได้ อีกทั้งการสร้างโรงไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีนี้ต้องมีแหล่งกักเก็บความร้อนที่เหมาะสม
แต่ถึงกระนั้น นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Oxford University ของอังกฤษ และสถาบันเทคโนโลยีรัฐแมสซาชูเสตต์ (MIT) ของสหรัฐฯ ต่างระบุว่าพวกเขามีความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ไปมาก และรัฐบาลอังกฤษเชื่อว่าการผลิตพลังงานด้วยเทคโนโลยีฟิวชั่นจะเกิดขึ้นได้ภายในปี ค.ศ. 2040
เทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูง
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลังชั้นสูง จะมีขนาดเล็กกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยุคปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าโรงไฟฟ้ารูปแบบดังกล่าวจะสามารถจัดตั้งได้ในเขตชนบทและทุรกันดาร และสามารถช่วยเสริมโรงไฟฟ้าพลังลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้
อย่างไรก็ตาม เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลังชั้นสูง มีต้นทุนสูงและมีความซับซ้อนในการสร้าง ฝ่ายที่คัดค้านมองว่าเทคโนโลยีนี้สร้างกากกัมมันตรังสีในปริมาณมาก ขณะที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลังชั้นสูงจะพึ่งพาแร่ยูเรเนียม ที่ได้รับการเสริมคุณภาพมากกว่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในปัจจุบัน และนั่นอาจทำให้เครื่องปฏิกรณ์แบบนี้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้เพื่อผลิตอาวุธโดยกองกำลังต่างๆ ได้
ในสหรัฐฯ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ระบุว่า เขามีเป้าหมายจะสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใช้เทคโนโลยีกำลังชั้นสูงซึ่งมีค่าใช้จ่ายเครื่องละราว 1 พันล้านดอลลาร์ และเรียกร้องให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าชนิดนี้ภายในปี ค.ศ. 2030 ขณะที่จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น ก็กำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่เช่นกัน
เทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ได้เปิดตัวโรงงานกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรงและดึงก๊าซคาร์บอนจากอากาศมากักเก็บใต้ดิน
ตอนนี้ทั่วโลกมีโรงงานกักเก็บคาร์บอนจากอากาศราว 15 โรงงานที่เริ่มปฏิบัติการอยู่ และทางสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประเมินว่า โรงงานเหล่านี้จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 9,000 เมตริกตันต่อปี ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นปริมาณที่มาก แต่นั่นเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนที่รถยนต์ 2,000 คันผลิตได้ในช่วงเวลา 1 ปีเท่านั้น
ปัจจุบัน เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอนยังมีต้นทุนสูงในระดับ 600 ดอลลาร์ต่อปริมาณคาร์บอน 1 เมตริกตันที่กักเก็บได้ แต่ผู้สนับสนุนเทคโนโลยีนี้มองว่าต้นทุนจะปรับลดลงหากมีการพัฒนามากขึ้นในอนาคต และสหรัฐฯ รวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลก ควรมีมาตรการสนับสนุนด้านภาษีให้กับธุรกิจที่ลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าว ส่วนฝ่ายที่คัดค้านการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งรวมถึงกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม Sierra Club มองว่า การให้เครดิตภาษีจะยิ่งทำให้โรงงานต่างๆ พากันใช้พลังงานฟอสซิลกันมากขึ้นไปอีก
ไฮโดรเจน
ไฮโดรเจนสามารถใช้ผสมเข้ากับก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตเชื้อเพลิงพลังงานสะอาดมากขึ้นและเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้กับรถยนต์ได้ โดยเทคโนโลยีที่เรียกว่า clean hydrogen นี้สามารถผลิตได้โดยใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่จะมีต้นทุนสูงกว่าการผลิต grey hydrogen ที่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลแบบดั้งเดิม
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะผลิตสิ่งที่เรียกว่า blue hydrogen จากโรงงานก๊าซธรรมชาติที่กักเก็บคาร์บอนไว้ได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ มองว่า กระบวนการดังกล่าวจะยิ่งไปปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้ไม่ได้สะอาดไปกว่าการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียว
ตอนนี้ ซาอุดิอาระเบีย ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก มีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิต clean hydrogen ด้วยงบประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์แล้ว
พลังงานความร้อนใต้พิภพ
โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal power plant) อาศัยความร้อนที่สูงถึง 370 องศาเซลเซียสใต้พื้นผิวโลก และความร้อนนี้จะสร้างไอน้ำที่สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้อีกทอดหนึ่ง
สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเคนยา เป็นประเทศชั้นนำของโลกในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพ แต่เทคโนโลยีดังกล่าวต้องมีเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกมากกว่าจะมาใช้ทดแทนพลังงานฟอสซิลได้
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า สหรัฐฯ จะสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ได้ราว 10% ของความต้องการพลังงานในประเทศ แต่ต้นทุนการสร้างโรงงานชนิดนี้ถือว่าสูงมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศที่มีพลังงานฟอสซิลอยู่น้อย รวมถึงญี่ปุ่น และสิงคโปร์ กำลังมองหาทางเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีชนิดนี้อยู่เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เจาะลึก VG iR-uPVC Roof Sheet & Rain Gutter เหนือระดับกว่าไวนิลทั่วไป เอกสิทธิ์เฉพาะของ VG ในงานสถาปนิก’65
“ VG iR-uPVC Roof Sheet & Rain Gutter เหนือกว่าไวนิลทั่วไปด้วยนวัตกรรมการผลิต iR-uPVC เฉพาะของ VG”
VG iR-uPVC Rain Gutter
รางน้ำฝนไวนิล VG iR-uPVC ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เคลือบ 2 ชั้น Double Layers เพิ่มการป้องกัน UV 3 เท่า ลดความร้อน ดีไซน์ปราณีต เนียนไปกับตัวบ้าน ไม่เป็นส่วนเกินลงตัวกับบ้านทุกสไตล์ น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย สีและเคมีภัณฑ์ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน สวยทนนานไม่ลอกร่อน ผิวมันเงา ลดการเกิดคราบเกาะติด เช็ดล้างออกง่าย หมดกังวลเรื่องสนิม แข็งแรง ทนทาน อายุการใช้งานเกิน 15 ปี
VG iR-uPVC Rain Gutter: Product Series
VG iR-uPVC Roof Sheet
หลังคาไวนิล VG iR-uPVC ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เคลือบ 3 ชั้น Triple Layer เพิ่มการป้องกัน UV 3 เท่า เป็นฝ้าและฉนวนกันความร้อนในตัว ทำความลาดเอียงได้ต่ำสุด 1 องศา เข้ากับอาคารได้ดี ติดตั้งง่ายหมดปัญหารั่วซึมด้วยระบบน็อคดาวน์แบบซ่อนสกรู ซับเสียงเยี่ยม ลดอุณหภูมิสะสมใต้หลังคา ผิวมันเงาลดคราบเกาะติด ทำความสะอาดง่าย ไม่ลามไฟ ยืดหยุ่นไม่กรอบแตก ไม่เป็นสนิมแข็งแรง ทนทาน อายุการใช้งานเกิน 15 ปี
VG iR-uPVC Roof Sheet: Product Series
VG iR-uPVC Roof Sheet: Product Usage Variation
สามารถใช้ได้ทั้ง Indoor และ Outdoor เช่น หลังคาหลัก | หลังคาต่อเติม | ระแนง | ตกแต่งภายใน | Partition | รั้ว | Façade
แล้วพบกับนวัตกรรม VG iR-uPVC Roof Sheet & Rain Gutter ในงานสถาปนิก’65 พร้อมเซอร์ไพรส์เด็ดจาก CNP Plastic
นอกจากนวัตกรรม VG iR-uPVC ที่ บริษัท ซีเอ็นพี พลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด จะนำมาโชว์ในงานแล้ว ยังมีเซอร์ไพรส์สุดพิเศษที่เรียกได้ว่า เป็นครั้งแรกของการเนรมิตบูธแสดงสินค้าออกมาในรูปแบบใหม่ ที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน ให้คุณได้สัมผัสนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์จาก ซีเอ็นพี อย่างใกล้ชิดที่บูธหมายเลข TP01 ในงานสถาปนิก’65 ปีหน้า งานจัดแสดงสินค้านวัตกรรมทางด้านสถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ระหว่างวันที่ 26 เม.ย. – 1 พ.ค. 65 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/11/2564
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,800.00 | 28,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,866.00 | 28,288.56 | 29,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,679.40 | 25,459.70 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,492.80 | 22,630.85 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 840.00 | 12,734.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 653.00 | 9,899.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,934.00 | 29,319.44 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/11/2564
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.35 | 32.35 | 32.60 | 32.35 | 32.70 | 32.35 | 32.35 | 32.35 | 32.35 | 32.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.08 | 32.08 | 32.33 | 32.08 | 32.43 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.84 | 30.84 | 31.09 | 30.84 | 31.19 | – | 30.84 | 30.84 | 30.84 | 30.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 24.44 | 24.44 | – | – | – | – | – | – | – | 24.44 |
เบนซิน 95 | 39.76 | – | – | – | 40.56 | – | 40.26 | 40.26 | – | 39.76 |
ดีเซล B7 | 29.74 | 29.74 | 29.99 | 29.74 | 29.94 | 29.74 | 29.74 | 29.74 | 29.74 | 29.74 |
ดีเซล | 29.59 | 29.59 | 29.84 | 29.59 | 29.79 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 |
ดีเซล B20 | 29.49 | 29.49 | 29.74 | – | 29.49 | – | 29.49 | 29.49 | – | 29.49 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 34.96 | 35.36 | 36.44 | 36.36 | – | – | – | – | – | 34.96 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |