สาระน่ารู้ประจำวันที่ 07 ธันวาคม 2564

โควิดฉุด  เศรษฐกิจ –อสังหาฯปี65”ทรงกับทรุด” 

โควิดฉุด  เศรษฐกิจ –อสังหาฯปี65”ทรงกับทรุด” 

มีหลายฝ่ายประเมินกันว่า การเปิดประเทศ ตามนโยบายรัฐบาล จะเป็นสัญญาณบวก นำพาเศรษฐกิจขยายตัวฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปได้ แต่ ยังไม่ทันข้ามปี 2564  โอไมครอนไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ระบาดซ้ำสร้างความสั่นคลอนไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

อีกปัจจัยความเปราะบางของเศรษฐกิจคงหนีไม่พ้นหนี้ครัวเรือนที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์ว่า จะแตะถึง 93% ณ สิ้นปี 2564 อยู่อันดับ 17 ของโลกซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่จะกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจประเทศทางออกคือการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตรงจุดและเน้นการรวบหนี้

เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวส่วนมาตรการเยียวยาโควิดกระตุ้นจับจ่ายด้วยการแจกเงินไม่ได้ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(จีดีพี)ขยับสูง ตรงกันข้ามส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ

 หนี้ครัวเรือน-โควิดฉุดศก.

สอดรับกับนายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทรัตนากรแอสเซทจำกัดและผู้อำนวยการโครงการพัฒนาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี สะท้อนผ่าน”ฐานเศรษฐกิจ”ว่าประชากรของไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่คาดว่าจะสูงถึง92% สิ้นปี2564 ส่วนใหญ่กู้มาใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภคซึ่งต่างกับต่างประเทศที่หนี้ครัวเรือนมักเกิดจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์เมื่อถึงยามวิกฤติ สามารถนำออกมาขายลดภาระหนี้ได้

โควิดฉุด  เศรษฐกิจ –อสังหาฯปี65”ทรงกับทรุด” 

เปิดประเทศไม่ช่วย/ปี65ทรงกับทรุด

โดยฟันธงว่าการเปิดประเทศตามนโยบายรัฐบาลไม่ช่วย กระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่ต้องการให้เกิดการคาดหวังเพราะแต่ละประเทศไวรัสกลับมาระบาดซ้ำ  ภายหลังจากการเปิดทำกิจกรรม   ขณะตัวเลขติดเชื้อภายในประเทศไทยยังสูง ประชาชนยังรับวัคซีนไม่เป็นไปตามเป้า แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า

หากรัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆออกมา เศรษฐกิจจะไม่สามารถขับเคลื่อนได้  ทางด้านจีนกลุ่มลูกค้าหลักของไทยทั้งภาคบริการและอสังหาฯยังคงงดเดินทางออกนอกประเทศ สะท้อนได้ว่าความคึกคักคงไม่มากนักเพราะจีนเองก็ประสบปัญหาการระบาดรอบใหม่ เศรษฐกิจบอบช้ำจากธุรกิจอสังหาฯขนาดใหญ่ขาดสภาพคล่อง

ดังนั้นความไม่แน่นอนของการกลายพันธุ์ไวรัส ที่ทั่วโลกต่างไม่มั่นใจ ทำให้ การเคลื่อนตัวของนักท่องเที่ยวจึงไปไม่เป็นไปตามเป้า ที่รัฐบาลตั้งไว้เชื่อว่าการระบาดรอบใหม่จะกลับมา นี่คือคำตอบที่ว่าเศรษฐกิจและอสังหาฯปีหน้าจะยังไม่ดีหากระบาดซ้ำอาจติบลบกว่าปี2564

“  ปี2565 เศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในภาวะ“ทรงกับทรุด”  ไม่กลับมาดีกว่าปี2562 ปี2566 อสังหาฯขยับตัวดีขึ้น 60-70% เมื่อเทียบปี2562 ปี2567 จะโตเท่ากับปี2562 “

ในเมืองพัทยาหากใครประคองธุรกิจ ทั้งภาคบริการ และอสังหาฯผ่านไปได้ภายใน4ปี  ถือว่า รอดแต่ หากย้อนมอง2ปีที่อยู่กับโควิด แต่ละค่ายแทบเอาตัวไม่รอด เรียกว่าเมืองใหญ่ท่องเที่ยว ทั้งพัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ทรุด ทั้งหมด สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะโรงแรม

โควิดฉุด  เศรษฐกิจ –อสังหาฯปี65”ทรงกับทรุด” 

 New Normal สู่ next normal

นายจักรรัตน์ สะท้อนข้อเท็จจริงว่า หลังเกิดการระบาดโควิด  คนทั่วโลกเข้าสู่ “ความปกติรูปแบบใหม่” (New Normal)    ในทุก ด้าน ทั้งไลฟ์สไตล์ ธุรกิจ  และก้าวสู่การดำเนินชีวิตในโลก”ยุคความผิดปกติถัดไป”(next normal)   มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัยเป็นสำคัญ เทคโนโลยีจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อ ลดการสัมผัส ประตูที่มีเซ็นเซอร์เปิด – ปิดอัตโนมัติในพื้นที่สาธารณะ รูปแบบการจ่ายเงินที่นับจากนี้ไม่มีวันหวลกลับสู่ “ภาวะปกติ”   (Normal)เหมือนที่ผ่านมา

 ดังนั้นนับจากนี้ ทุกชีวิตทุกธุรกิจต้องปรับตัวโดยเฉพาะอสังหาฯซึ่งปัจจุบันยอมรับว่า  ส่วนใหญ่ กำลังปรับตัวและปรับตัวไม่ทัน

“ มีคน 3ประเภท คือ 1.ไม่รู้ว่าต้องปรับตัวและไม่ได้ปรับตัว 2.รู้ว่าต้องปรับแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร 3. กำลังปรับแต่ทำไม่ทันส่งผลให้ ตกอยู่ในภาวะ ซอมบี  จะตายก็ไม่ตายจะโตก็ไม่โต   อยู่ได้เพราะออกซิเจน หากถอดปลั๊ก อาจล้มตายโดยเฉพาะธุรกิจรายกลาง รายเล็ก ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) “

บริษัทมหาชนทั่วไป  ที่อยู่รอดได้เพราะการระดมออกหุ้นกู้ ให้ผลตอบแทนสูง เพื่อนำมาหมุนเวียนใช้ในธุรกิจ ชำระหนี้คืน ขณะที่อยู่อาศัยรอการขายยังมีอยู่มาก สถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อรายย่อยและวนกลับมาขายใหม่ ทำให้ทุกค่ายค่อนข้างเหนื่อย 

ปรับตัว-ปรับวิธีคิดธุรกิจรอด

การตัดสินใจทุบหม้อข้าว ของธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจบริการ หรือการลุกขึ้นสู้ เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ มองว่าเป็นทางออกที่ดี เรียกว่า “สู้จะรอด ถ้าไม่สู้อาจตายทันที “  ดังนั้นต้องปรับตัว  เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งการรักษาสภาพคล่องบริหารความเสี่ยง   ขณะเดียวกัน ต้องหาธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเสริม ไม่โฟกัสตลาดเดียว หาจุดแข็งความต่างของสินค้าที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน  นำนวัตกรรมมาใช้ เปลี่ยนการพัฒนาแนวสูงเป็นแนวราบ

เปลี่ยนจากตลาด มวลชนผลิตสินค้ามาตรฐานเดียวกัน เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น ลักชัวรี   หรือเปลี่ยนจากลักชัวรีมาเจาะบ้านราคาถูก และกระจายความเสี่ยงจับกลุ่มตลาดเช่าตามเทรนด์ผู้บริโภคเป็นต้น  ขณะนักลงทุนต่างชาติในพัทยาโดยเฉพาะจีนปัจจุบันพบว่ามีการปรับตัวสูง ไม่ซื้อที่ดินเพิ่ม  ชะลอการขึ้นโครงการทั้งหมดแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โควิด-19หนุน”Co-Working Space”เชื่อเมกะเทรนด์ที่เลี่ยงไม่ได้

ธุรกิจสำนักงานให้เช่า และ Co-Working Space ที่ช่วง 10 ปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังมาแรงเอามาก ๆ เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ อยู่ในช่วงการขยายตัวตอบรับกับกระแสการลงทุน ทำให้ความต้องการพื้นที่เข้าออฟฟิศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆทั่วโลก อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้กระแส Co-Working Space แม้ว่าจะไม่ร้อนแรงเหมือนกับช่วงก่อนหน้า แต่การขยายเข้ามาของ Co-Working Space ในประเทศไทย ก็ทำให้ตลาดออฟฟิศเช่าในประเทศไทยตื่นตัวกันอย่างมาก

เนื่องจากซับพลายพื้นที่สำนักงานเช่าในประเทศไทย ยังมีปริมาณน้อยกว่าดีมานด์ ทำให้แนวโน้มค่าเช่าของสำนักงานเช่ายังอยู่ในช่วงขาขึ้น แนวโน้มดังกล่าวทำให้บริษัทอสังหาริทรัพย์ และผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ให้ความสำคัญกับการใส่พื้นที่ Co-Working Space ไว้ในโครงการคอนโด และบ้านจัดสรรต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับไลฟสไตล์การใช้ชีวิต และการทำงานของผู้บริโภคนปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเจเนอร์เรชั่น Y และเจเนอร์เรชั่น Z หรือคในยุคมิลเลเนียม ซึ่งการพัฒนาพื้นที่ Co-Working Space ไว้ในโครงการที่อยู่อาศัยนี้ทำให้ ซับพอร์ตดีมานด์ในตลาดไปจำนวนไม่น้อย และมีผลต่อการขยายลงทุนของผู้ประกอบการ Co-Working Space ข้ามชาติ

อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Co-Working Space กลายเป็นกระแสกลับมาอีกครั้งหลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมและนโยบายการทำงานของธุรกิจต่างที่สนับสนุนให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน Work Form Home หรือทำงานนอกสถานที่มากกว่าการทำงานในออฟฟิศ ซึ่งมีผลให้ความต้องการใช้พื้นที่ออฟฟิศเช่าลดลง ซึ่งสอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal หลังต้องรับมือกับสถานการณ์โควิด -19 ซึ่งกลายเป็นตัวเร่งให้ Co-Working Space กลับมาเฟื่องฟูและน่าลงทุนอีกครั้ง

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ จำนวนมากต้องปรับตัวและมองหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลงซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นโอกาสของคนกำลังมองหาช่องทาง หรือมองหาธุรกิจใหม่ๆเพื่อลงทุนซึ่งCo-Working Space เป็นอีกธุรกิจกำลังมาแรงในขณะนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีแฟรนไชส์เบอร์หนึ่งของโลกอย่างIWG ซึ่งเป็นผู้ให้บริการFlexible Workspace รายใหญ่ของโลก ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในธุรกิจCo-Working Space ได้ง่ายขึ้นทั้งนี้ สถิติธุรกิจสำนักงานให้เช่าในตลาดโลก สะท้อนให้เห็นว่าCo-Working Space ยังเป็นธุรกิจทีเติบโตได้อีกไกล

 ปัจจุบันพื้นที่การทำงานแบบCo-working Space มีมากกว่า19,000 แห่ง ทั่วโลกโดยมีสัดส่วนอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากกว่า11,000 แห่งแต่สหรัฐอเมริกายังครองตำแหน่งเป็นผู้นำตลาดในแง่ของอสังหาริมทรัพย์ด้วยสถิติการใช้พื้นที่ไปกับ Co-working Space มากกว่า80 ล้านตารางฟุต โดยCo-workingSpace แต่ละแห่งทั่วโลกมีสมาชิกเฉลี่ย185 คนIWG คือบริษัทFlexible Workspace ที่ถือครองสัดส่วนตลาดด้านโอเปอร์เรเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีส่วนแบ่งตลาด11% ส่วนที่เหลืออีก81% เป็นของบริษัทต่าง ๆ ทั้งนี้ คาดว่ากระแสการทำงานที่ทำจากที่ไหนก็ได้จะกลายเป็นวิถีใหม่ในการทำธุรกิจจะมีสัดส่วนที่64% ของผู้ที่ทำงานในออฟฟิศในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดCOVID-19 เริ่มยอมรับวิถีการทำงานใหม่มากขึ้น30% ของอสังหาฯ และ คาดว่าอีกกว่า39% ของบริษัทหลายแห่งมีแผนที่จะเปลี่ยนพื้นที่ทำงานของตัวเอง

จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ล่าสุดIWG ซึ่งปัจจุบันให้บริการCo-working Space กว่า120 ประเทศ ได้ประกาศขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เป็น เพื่อรองรับความต้องการสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ขยายตัวในปัจจุบัน แลเพื่อขยายธุรกิจให้ครอบคลุมเมืองต่าง ๆ มากขึ้น ตั้งแต่เมืองขนาดเล็กไปถึงเมืองขนาดใหญ่ และหัวเมืองต่าง ๆ โดยล่าสุดได้จับมือกับ “รัตนากร แอสเซท” ให้บริการแฟรนไซส์ เพื่อรองรับความต้องการCo-Working Space ในกลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัป คนทำงานฟรีแลนซ์ และผู้ประกอบการธุรกิจ ได้เข้าถึงบริการสำนักงานให้เช่าที่ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ในประเทศไทย

โดย รัตนากร แอสเซท จะได้รับสิทธิ์หลักในการบริหารแฟรนไชส์ระดับภูมิภาค (Regional Master Franchise rights) ของพื้นที่สำนักงานIWG ในแบรนด์HQ, Regus, Spaces และSignature ในทุกจังหวัดของประเทศไทย ยกเว้นพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลสำหรับ รัตนากร แอสเซท เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มีโครงการมากกว่า17 แห่งในภาคตะวันออก ซึ่งรวมถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเมืองชายทะเลติดอันดับในภาคใต้

จักรรัตน์ เรืองรัตนากร

นายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด กล่าวว่า ตลาดCo-Working Space เป็นตลาดที่มาขนาดใหญ่มาก ดังนั้นบริษัทจึงสนใจและได้ศึกษามาตลอด เพราะมองว่าCo-WorkingSpace เป็นธุรกิจที่มีอนาคตสดใสเนื่องจากปัจจุบันคนทำงานนอกสถานที่ได้หลากหลาย ขณะเดียวกันยังสอดรับกับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนไทยในอนาคตทำให้บริษัทตัดสินใจร่วมมือกับIWG ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่นสูง (Flexible Workspace ) เบอร์หนึ่งของโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักในแบรนด์Regus, Spaces, HQ และ Signature โดยIWG ได้มอบสิทธิ์หลักในการบริหารแฟรนไชส์ระดับภูมิภาคหรือมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้กับบริษัทฯ เป็นผู้ร่วมพัฒนาและขยายธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงแฟรนไชส์ที่รัตนากร แอสเซทฯ สามารถพัฒนาพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบ Flexible Workspace

โดยในปี 65 นี้ บริษัทมีแผนจะนำร่องด้วยการเปิดศูนย์บริการ5 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง โดยจะใช้พื้นที่อพาร์ตโฮเทลในเครือของบริษัทภายใต้แบรนด์CITADINES ในเครือAscottโรงแรม4 ดาว ประกอบด้วย พื้นที่พัทยาเหนือและพัทยากลาง2 แห่ง ในศรีราชา1แห่ง และระยอง1 แห่ง และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะใช้แบรนด์ใดของIWG เข้าไปเปิดให้บริการโครงการต่าง ๆ โดยแบรนด์Regus จะใช้พื้นที่ประมาณ800-1,500 ตารางเมตร(ตร.ม.)แบรนด์Signature ใช้พื้นที่800-1,500 ตร.ม. แบรนด์HQ ใช้พื้นที่500-1,000 ตร.ม. และแบรนด์ Spaces ใช้พื้นที่2,000-3,000 ตร.ม. ทั้งนี้บริษัทเป้าว่า จะเปิดศูนย์บริหารให้ได้40 แห่งภายในระยะเวลา10 ปี โดยขณะนี้มีผู้ประกอบการในหลากหลายธุรกิจในทุกภาคให้ความสนใจที่ซื้อแฟรนไชส์ในธุรกิจแล้วหลายราย

มาร์ค ดิกสัน

ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com


แนวโน้มหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ คาดกลุ่มพลังงานได้แรงหนุนราคาน้ำมันพุ่ง

แนวโน้มหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ คาดกลุ่มพลังงานได้แรงหนุนราคาน้ำมันพุ่ง

แนวโน้มหุ้นไทย 7 ธ.ค.64 คาดดัชนีหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งแรง

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.64 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ แม้จะไทยจะพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรก แต่เท่าที่ติดตามข่าวทั่วโลกมาปรากฏว่าอาการไม่ได้รุนแรง ทำให้ผ่อนคลายความกังวลไปได้บ้าง แม้ว่าสายพันธุ์นี้จะมีการแพร่กระจายได้เร็ว แต่อาการอ่อนกว่าสายพันธุ์เดลตา

นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันก็พุ่งแรงเกือบ 5% ทำให้น่าจะไปหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีได้

อย่างไรก็ดี บรรยากาศอาจเป็นลักษณะชะลอการลงทุน เนื่องจากสัปดาห์นี้คาบเกี่ยวกับวันหยุดต่อเนื่อง

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้รีบาวด์ราว 0.2-0.3% หลังวานนี้ปรับตัวลงไปมาก พร้อมให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจของจีน อย่างตัวเลขการค้า และตัวเลขเงินเฟ้อ เป็นต้น

พร้อมให้แนวรับ 1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600-1,605 จุด

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


รดริโก โคซ่า : ชายผู้ทำลายสถิติการเล่นเซิร์ฟบนคลื่นที่สูงสุดในโลก 24.4 เมตร

โรดริโก โคซ่า : ชายผู้ทำลายสถิติการเล่นเซิร์ฟบนคลื่นที่สูงสุดในโลก 24.4 เมตร

หากใครที่เคยรับชมภาพยนตร์ แอ็กชั่น-อาชญากรรมเรื่อง Point Break (1991) อาจจะพอจำตัวละครหลักสุดเท่อย่าง “โบห์ดี้” ได้บ้างไม่มากก็น้อย ตัวร้ายของเรื่องที่ดูจะโดดเด่นกว่าพระเอกที่นำแสดงโดย “แพทริก สเวซี่” หรือเวอร์ชั่นรีเมกเมื่อปี 2015 ในชื่อเดียวกัน ที่นำแสดงโดย “เอ็ดการ์ รามิเรซ” ด้วยบุคลิกและนิสัยที่ชื่นชอบความตื่นเต้นเร้าใจ ถึงขนาดต้องไปโต้คลื่นแบบสูงเสียดฟ้าเสี่ยงตาย ชนิดที่ว่าดูยังไงก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความจริงได้แน่นอน  

เราเคยคิดว่าเรื่องดังกล่าวก็คงเกิดขึ้นได้แค่ในหนัง แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกนี้อาจจะมีโบห์ดี้อยู่จริงๆ และโบห์ดี้ที่ว่า ก็ไม่ใช่อาชญากรปล้นธนาคาร หากแต่เป็นชายบราซิลเลียนที่สามารถโต้คลื่นความสูง 24.4 เมตร จนทำลายสถิติโลกมาแล้ว 

“โรดริโก โคซ่า” คือชายคนดังกล่าว เขาได้ทำลายสถิติโลกด้วยการโต้คลื่นที่สูงที่สุดในโลกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2017 โคซ่าในตอนนั้นมีอายุ 38 ปี ส่งผลให้เขาเป็นผู้ถือครองสถิติที่ระห่ำที่สุดในโลกไปโดยปริยาย

เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีที่เขาได้พิชิตคลื่นยักษ์ เราขอนำเรื่องราวของนักกีฬาโต้คลื่นชาวบราซิลเลียนสุดระห่ำคนนี้มาถ่ายทอดต่อ เบื้องหลังของนายโคซ่าคนนี้เป็นใครและอะไรที่ขับเคลื่อนเขา

Main Stand ขออาสาเล่าให้ฟัง

DO THE BIG THING 

“โรดริโก ‘โคซ่า’ ออกุสโต้ โด เอสปิริโต้ ซานโต้” (Rodrigo ‘Koxa’ Augusto do Espírito Santo) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “โคซ่า” เป็นนักโต้คลื่นชาวบราซิลเลียนโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ปี 1979 ในเมืองที่ชื่อ จุนได รัฐเซาเปาโล ประเทศบราซิล

Photo : facebook.com/rodrigokoxa

แม้ว่าจะเกิดที่จุนได แต่โคซ่าเติบโตมาในเมืองเล็ก ๆ ที่ กวารูจา เซาเปาโล เขตเมืองติดทะเลในประเทศบราซิล ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่อาศัยอยู่ที่นั่น เพราะกวารูจาเป็นเมืองที่ติดอยู่กับทะเล ที่ถึงแม้จะไม่มีคลื่นลูกใหญ่ แต่ก็พอมีคลื่นลูกเล็ก ๆ ให้เล่นอยู่บ้าง โคซ่าเริ่มต้นเล่นเซิร์ฟมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบและตกหลุมรักมันทันที จากที่ก่อนหน้านี้เคยเล่นฟุตบอลมาก่อน เขาเผยไว้ในพอดแคสต์ “The Big Wave Surfing” ตอนที่ 9 ชื่อ “Rodrigo Koxa@80ft!!”

เด็กชายโคซ่าในตอนนั้นมองว่าเซิร์ฟเป็นกีฬาที่น่าตื่นเต้นกว่า เขาเริ่มลงแข่งในการแข่งขันประเภท “ชอร์ต บอร์ด” (Short Board) หรือบอร์ดขนาดเล็กสำหรับเด็กและได้รางวัลในรายการการแข่งขันท้องถิ่นตั้งแต่อายุ 12 ปี นับตั้งแต่นั้นมาเด็กชายโคซ่าจึงวาดฝันอยากจะเป็นโปรเซิร์ฟเฟอร์มาตลอด 

ชื่อเสียงของโคซ่าในฐานะนักโต้คลื่น ไม่ได้มาจากลีลาการเล่นที่หวือหวา แต่มาจากการพยายามที่จะไต่ขึ้นไปบนคลื่นยักษ์ เขาเริ่มสนใจการเล่นเซิร์ฟบนคลื่นลูกใหญ่มาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากที่ได้อ่านบทความและเห็นภาพจากวงการโต้คลื่นที่มากขึ้น 

โคซ่าถึงขนาดมองว่าบุคคลที่สามารถขึ้นไปโต้คลื่นลูกยักษ์ได้นั้น มีความสามารถทัดเทียมกับซูเปอร์ฮีโร่ยังไงอย่างงั้น เขาบอกกับแม่ว่าอยากเป็นโปรเซิร์ฟเฟอร์ให้ได้บ้างและก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นแม่อย่างเต็มที่ แม่ของโคซ่าบอกว่าถ้าเขาอยากจะไต่คลื่นสูง เขาจะต้องฝึกฝนให้หนักขึ้น หากนี่เป็นสิ่งที่เขารักจริง ๆ 

นับแต่นั้นโคซ่าก็เริ่มสั่งสมประสบการณ์การเซิร์ฟมากขึ้น ในวัย 15 ปีเขาออกเดินทางไปเล่นนอกประเทศ อาทิ เม็กซิโก ในปี 1995 พัฒนาฝีมือไต่ระดับขึ้นไปบนคลื่นที่สูงขึ้นที่ละเล็กละน้อย ตั้งแต่ความสูงขนาด 2 เมตร เป็น 2.8 เมตร ข้ามไป 2.9 เมตร ผนวกกับการหาสปอนเซอร์และผู้สนับสนุนไปด้วยในเวลาเดียวกัน จนในปี 2000 เขาก็ได้พาตัวเองและเซิร์ฟบอร์ดคู่ใจไปถึงจุดรวมตัวของนักเซิร์ฟทั่วโลกอย่างฮาวายได้สำเร็จ 

ที่นั่นเองที่เขาได้พบกับนักเซิร์ฟมากฝีมือ ที่พร้อมจะซัดกับคลื่นลูกยักษ์มากมาย ซึ่งสองคนในนั้นคือ “ทอม แคร์โรล” (Tom Carroll) นักโต้คลื่นมืออาชีพรุ่นใหญ่มากฝีมือจากออสเตรเลีย และ “การ์เรต แม็คนามาร่า” (Garrett McNamara)  นักโต้คลื่นชาวอเมริกัน ผู้เคยถือครองสถิติโต้คลื่นที่สูงที่สุดในโลก โคซ่ามองทั้งสองคนนี้เป็นฮีโร่ของเขา นั่นยิ่งทำให้เขามีแรงบันดาลใจที่จะไปให้สูงขึ้นกว่าที่เคยทำมามากยิ่งขึ้น 

โดยเฉพาะกับ การ์เรต แม็คนามาร่า ที่ได้กลายมาเป็นผู้ฝึกในอนาคตของเขาอีกด้วย เมื่ออายุ 17 ปีเขาได้ย้ายไปอยู่ฮาวายอย่างถาวรเพื่อฝึกซ้อมกับการ์เรตอย่างจริงจังยิ่งขึ้น 

ทั้งโคซ่าในวัย 14 และแม่ของเขาก็คงไม่คิดว่า เมื่อเวลาหลายสิบปีผ่านไป โคซ่าจะได้โต้คลื่นลูกยักษ์จริง ๆ และมันก็เป็นคลื่นลูกที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย อีกทั้งยังได้รับการฝึกอย่างใกล้ชิดจากไอดอลของเขา ซึ่งคือผู้สร้างสถิติคนเดิมอย่าง การ์เรต แม็คนามาร่า นั่นเอง

A POINT THAT DOESN’T BREAK  

โคซ่าเริ่มมีชื่อเสียงมาจากความตั้งใจของเขาที่วางไว้ตั้งแต่แรกจริง ๆ ชื่อของเขาในวงการเซิร์ฟมักจะถูกจารึกไว้คู่กับคลื่นลูกใหญ่ทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น ในปี 2010 ที่ประเทศชิลี โคซ่าก็เคยขึ้นไปอยู่บนคลื่นที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้มาแล้ว ด้วยความสูง 18.29 เมตร และเคยได้รับการเสนอชื่อในรางวัล “Billabong XXL Awards” ในปี 2011 มาแล้วในฐานะนักโต้คลื่นลูกยักษ์ แต่นั่นก็ยังไม่มากพอสำหรับเขา  

เพื่อไปสู่จุดสูงสุด เขายังคงพยายามที่จะเซิร์ฟให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา โคซ่าก็ได้ขึ้นไปอยู่บนคลื่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำลายสถิติเดิมที่ การ์เรต แม็คนามาร่า ไอดอลของเขาเคยทำไว้เมื่อปี 2011 ที่เขตเมืองนาซาเร่ ประเทศโปรตุเกส

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 ตอนที่แม็คนามาร่าได้เดินทางไปที่แห่งนี้ เนื่องจากเขาได้ตอบรับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมในงาน “Zon North Canyon Show” การไปเยือนโปรตุเกสของเขาในคราวนั้น ทำให้เขาได้พิชิตคลื่นความสูงขนาด 24 เมตรได้สำเร็จ กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการโต้คลื่นไปอย่างยิ่งใหญ่ 

แต่สถิติดังกล่าวก็ต้องถูกทำลายลง เมื่อเรื่องราวของโคซ่าเริ่มต้นขึ้นในปี 2017 เขาเดินทางไปถึงนาซาเร่ โปรตุเกส สถานที่เดียวกันกับรุ่นพี่ เพื่อที่จะพิชิตคลื่นยักษ์เช่นกันในสัปดาห์คลื่นนาซาเร่ งานที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – 18 พฤศจิกายน โคซ่าได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน โดยการทำลายสถิติเดิมที่รุ่นพี่ของเขาทำไว้เมื่อปี 2011 ด้วยการพิชิตคลื่นความสูง 24.4 เมตร ขนาดเทียบเท่าตึก 8 ชั้น สูงกว่ารุ่นพี่ของตนเอง 0.04 มิลลิเมตรเท่านั้น

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ในปี 2017 ก่อนที่โคซ่าจะไปลุยคลื่นขนาด 24.4 เมตร เขาได้ไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับ การ์เรต แม็คนามาร่า ไอดอลที่กลายมาเป็นครูฝึกให้แก่เขาที่ฮาวาย และได้เรียนรู้หลาย ๆ เทคนิคมาจากเขา จนถึงทุกวันนี้แม้โคซ่าจะเป็นคนทำลายสถิติของอาจารย์ตัวเอง แต่เขาก็ยังคงมองการ์เรตเป็นไอดอลอยู่เหมือนเดิม  

โคซ่าให้สัมภาษณ์กับ The Inertia ในปี 2018 ไว้ว่า

“ผมย้ายไปอยู่ฮาวายเมื่อตอนอายุ 17 ปี และไปอยู่ที่บ้านการ์เรต ซึ่งมันสร้างแรงบันดาลใจให้ผมอย่างมาก เขาแตกต่าง บ้าบิ่น และมองอะไรต่างออกไปจากคนอื่นเสมอ เขาคือผู้นำที่แท้จริง”

ชื่อของโคซ่ากลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นในปี 2018 ในงานประกาศรางวัลชื่อ “World Surf League Big Wave Awards” โคซ่าได้รับรางวัล “Quiksilver XXL Biggest Wave Prize” กลับบ้านไปครอง เป็นเครื่องการันตีที่พิสูจน์ว่าเขาคือมนุษย์ผู้ที่สามารถโต้คลื่นได้สูงที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ

“ผมสามารถโต้คลื่นลูกนี้ได้ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย” 

ภาพที่ทุกคนเห็นอาจเป็นภาพของนักโต้คลื่นชาวบราซิลเลียนที่ลุยดะทุกคลื่นอย่างบ้าบิ่น แต่ความจริงแล้วกว่าที่โคซ่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาก็เคยต้องฝ่าความกลัวมาก่อน ซึ่งความกลัวที่ว่านี้ก็ดันมาจากสิ่งที่เขารักอย่างการโต้คลื่นยักษ์นั่นเอง

A PRESENT FROM GOD 

อาจจะฟังดูเหมือนง่ายที่เมื่อเวลาผ่านไปได้ 5 ปี โคซ่าก็มาทำลายสถิติของนักโต้คลื่นคนก่อนหน้า แต่ความจริงแล้วก่อนที่โคซ่าจะพิชิตคลื่นลูกนี้ได้ เขาต้องผ่านอุปสรรคครั้งใหญ่มาและสาเหตุหลักก็มาจากตัวสถานที่แห่งนี้เอง ด้วยความที่นาซาเร่เป็นสถานที่สุดอันตรายที่สร้างความหวาดผวาให้นักเซิร์ฟหลาย ๆ คนมาแล้ว 

นาซาเร่ เป็นเขตเมืองที่ติดอยู่กับทะเลในประเทศโปรตุเกส และได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่นักโต้คลื่นสายฮาร์ดคอร์มักจะไปรวมตัวกัน เพราะคลื่นที่นี่จะแรงเป็นพิเศษ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ลักษณะทางภูมิภาคที่เฉพาะของหาดนาซาเร่มีลักษณะเป็นเหมือนเหวใต้น้ำ และเมื่อเกิดคลื่นใต้น้ำมันจะส่งผลให้เกิดการหักเห อันจะนำไปสู่การเกิดของคลื่นที่สูงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านสภาพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย 

โคซ่าเคยประสบอุบัติเหตุครั้งหนึ่งเมื่อปี 2014 จากการมาเยือนนาซาเร่ครั้งแรก แม้จะไม่ได้มีการเผยรายละเอียดจากอุบัติเหตุครั้งนั้นว่าโคซ่าได้รับบาดเจ็บมากน้อยขนาดไหน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เขาผวาการโต้คลื่นไประยะใหญ่ ถึงขนาดต้องหยุดเล่นไปมากกว่าหนึ่งปี อีกทั้งยังตกอยู่ในภาวะเครียดและฝันร้ายอยู่เป็นระยะ แทบจะไม่เหลือเค้าของชายหนุ่มผู้ที่เคยฝันว่าจะพิชิตคลื่นยักษ์ในอดีตอยู่เลย 

วันที่เขารับรางวัลผู้ทำลายสถิติโลกกับลีกเซิร์ฟโลก เขากล่าวว่า 

“ผมพยายามที่จะโต้คลื่นลูกใหญ่มาทั้งชีวิตและผมได้รับประสบการณ์ครั้งใหญ่เมื่อปี 2014 ผมเกือบตายมาแล้วที่นาซาเร่ ผมฝันร้ายเยอะมากและผมก็เลิกมีความกล้าไปเลยเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี ผมกลัว แล้วผมก็เลิกโต้คลื่นลูกใหญ่ไปเลย” 

โคซ่าได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงและการเยียวยาจิตใจจากภรรยา ที่เปรียบเสมือนจิตแพทย์ส่วนตัวของเขา

“เพื่อนของผมช่วยผมไว้เยอะมาก ผมเคยบอกพวกเขาว่าผมมักจะรู้สึกผวาทุกครั้งเวลาเห็นคลื่นลูกใหญ่ ผมเสียสปอนเซอร์ของผมไป ผมเสียแทบทุกอย่าง ผมใช้เวลาสองปีในการเรียกความมั่นใจเหล่านั้นกลับมา ภรรยาของผมคือจิตแพทย์ของผม ผมมีครูฝึกส่วนตัว”

“ภายหลัง 2 ปีนั้น ผมก็ได้ของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า” 

ปี 2017 โคซ่าได้กลับไปเยือนนาซาเร่อีกครั้งหนึ่งและสามารถเอาชนะความกลัวต่อคลื่นลูกยักษ์ได้สำเร็จ เขายังเล่าเรื่องความฝันสุดแปลกให้ฟังว่า ในคืนก่อนที่เขาจะกลับไปโต้คลื่นยักษ์นี้ เขาฝันว่ามีเสียงบอกให้เขามุ่งลงไปข้างล่างอย่างเดียว เป็นเสียงที่เขาก็ไม่ทราบว่ามาจากไหนหรือเป็นเสียงใคร เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องลงไปด้านล่างให้ได้ 

“ผมฝันว่ามีเสียงหนึ่งในฝันผมบอกผมว่า ‘มุ่งลงไปด้านล่าง มุ่งลงไปด้านล่าง มุ่งลงไปด้านล่าง’ มันเป็นบางอย่างที่กำลังพูดกับผม ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ผมแค่ได้ยินคำพูดพวกนั้น มันเป็นคืนก่อนที่ผมจะออกไปโต้คลื่น มันทำให้ผมหยุดคิดไม่ได้เลย 

“พอมาถึงวันจริง เมื่อผมปล่อยเชือก คลื่นเริ่มเปลี่ยนรูปเป็นสามเหลี่ยม ผมหันหน้าลง ตอนนั้นผมคิดว่าพลังจะหมดแล้ว ผมนึกถึงคำพวกนั้นได้ แล้วผมก็พุ่งไปด้านล่าง ผมไปเร็วมากจนเกือบตกจากบอร์ด ผมเห็นคลื่น มันสวยงามมาก ตอนนั้นแหละที่ผมเข้าใจแล้วว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร

“ผมคิดว่าเป็นนางฟ้าที่มาพูดกับผมแหละ ‘นายจะเป็นแชมป์นะ ไปคว้ามันมาซะ’” 

แม้ว่าเรื่องเสียงในหัวของโคซ่าอาจจะต้องอาศัยวิจารณญาณประมาณหนึ่งในการทำความเข้าใจ แต่ภาพของโคซ่าในขณะที่กำลังทำลายสถิติโลกที่ออกมานั้น ก็เป็นภาพที่สวยงามอย่างแท้จริง

จนถึงตอนนี้ เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วตั้งแต่เขาคว้ารางวัลนั้นมา และเป็นเวลากว่า 33 ปีที่เขาเล่นเซิร์ฟ โรดริโก โคซ่า ในวัย 42 ปี ยังคงโต้คลื่นไม่หยุด ประสบการณ์และอุบัติเหตุเมื่อปี 2014 ได้ขับเคลื่อนและหล่อหลอมเขาให้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม 

ใครจะไปรู้ว่าในอนาคตอันใกล้ ก็อาจจะมีนักเซิร์ฟหน้าใหม่มาล้มสถิติดังกล่าวลงไปอีก หรือบางทีก็อาจจะเป็นตัวโคซ่าเองที่ทำลายสถิติของตัวเองอีกครั้งก็เป็นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ภาวะ Social Jet Lag เมื่อชีวิตไม่แมตช์กับเวลาทำงาน

ภาวะ Social Jet Lag เมื่อชีวิตไม่แมตช์กับเวลาทำงาน

อาการ Jet Lag มักเกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งเดินทางข้ามประเทศที่ไทม์โซนแตกต่างกัน และนาฬิการ่างกายเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ทำให้เขาหลับเราตื่น เขาตื่นเราหลับ กิจวัตรต่างจากชาวบ้านทั่วไป ดูเป็นอาการที่หรูหราหมาเห่าเพราะน้อยคนนักจะได้เดินทางไปต่างทวีป แต่รู้หรือเปล่าว่าอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปและเป็นกันมากในหมู่คนทำงานโดยไม่ต้องเสียตังค์ข้ามน่านฟ้าเลยสักแดงกับ Social Jet Lag

Social Jet Lag คืออะไร?

Social Jet Lag คือภาวะหรืออาการที่นาฬิกาชีวิต (Biological clock) เมาเวลาจนทำงานผิดปกติส่งผลให้รู้สึกง่วงในช่วงเช้า แต่สดชื่นในตอนใกล้มืดสวนทางกับวิถีชีวิตสังคม (Social) ที่เริ่มงาน 8 โมง ตอกบัตรกลับ 5 โมงเย็นนั่นเอง

อาการเมาเวลานี่มักเกิดจากการเหน็ดเหนื่อยหลังจากทำงานอย่างหนักหน่วงตลอด 5 วัน วินาทีของวันศุกร์เย็นเราจะรู้สึกมีความสุขมากและพร้อมกับการปาร์ตี้เพื่อสลัดทุกความเมื่อยล้าและเสียงไลน์ของเพื่อนร่วมทีม โดยหวังว่าคืนนี้จะจัดให้หนักเพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ ที่เรานอนดึกตื่นสายได้

แม้การแก้แค้นการทำงานด้วยวิธีแบบนี้อาจช่วยให้เราผ่อนคลายได้ แต่ย่อมแลกมาด้วยลักษณะการตื่น-นอน ที่ได้รวนเป็นที่เรียบร้อย เพราะก่อนหน้านี้เราตื่นเช้าอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ทำให้สภาพเช้าวันจันทร์คล้ายกับอาการ Jet Lag ที่เป็นเหมือนหน้าหนึ่งของหนังสยองขวัญที่ต้องตื่นด้วยเสียงโหยหวนจากนาฬิกาปลุกเพื่อลุกมาทำงาน

ซึ่งภาวะ Social Jet Lag นี้ไม่ได้ทำให้เช้าทำงานเป็นวันที่ไม่กระปรี้กระเปร่าแล้วยังเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมามากมาย เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน และปัญหาทางสุขภาพจิตที่รู้สึกหงุดหงิดง่ายตลอดเวลา

วิธีหนี Social Jet Lag

สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาอาการดังกล่าวคือการกลับมาควบคุมภาวะการนอนเหมือนเราเมื่อสมัยอนุบาล โดยในช่วงเวลากลางวันเพื่อป้องกันความรู้สึกสะลึมสะลือให้ใช้แสงจากหลอดไฟหรือดวงอาทิตย์ช่วยด้วยการนั่งทำงานในที่ๆ มีแสงส่องถึง และในตอนนอนก็ต้องมั่นใจว่าไม่มีแสงใดๆ (รวมถึงแสงหน้าจอ) เข้ามากระทบดวงตา เพราะนี่คือการแมสเสจบอกสมองให้นอน-ตื่นด้วยการใช้ความสว่างนั่นเอง

หรือแม้แต่หลายบริษัทรุ่นใหม่จะมีนโยบายเริ่มทำงานที่สายขึ้นเพื่อตอบสนองชีวิตผู้ใหญ่สมัยนี้ที่มีวิถีชีวิตเริ่มคล้ายนกฮูกเข้าไปทุกที โดยเริ่มทำงานตอน 10 โมงเช้าและสแกนนิ้วออกออฟฟิศสวยๆ ตอน 1 ทุ่มก็มีให้เห็นบ้างเช่นกัน อาจดูเหมือนขี้เกียจแต่ไม่น่าเชื่อว่าด้วยลักษณะการจัดตารางงานให้เหมาะสมกับลักษณะการนอน (Sleep Pattern) กลับช่วยให้พนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงๆ

สรุปแล้วโรค Social Jet lag เป็นอาการเมาเวลาที่สวนทางกับสังคมปกติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไร้กำลังสู้งานที่มีต้นเหตุมาจากการจัดเวลาไม่ถูกต้องทั้งตั้งใจหรือธรรมชาติกลั่นแกล้ง (รถติด งานเยอะ OT) เพื่อให้เส้นทางมนุษย์เงินเดือนมีประสิทธิภาพมากขึ้นควรที่จะควบคุมการนอนให้สอดคล้องกับเวลาเข้างานดีกว่าและอย่าแก้เผ็ดงานหนักด้วยการนอนดึกวันเสาร์ล่ะเดี๋ยวจะพังเอา 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มา Recap 3 Tense ภาษาอังกฤษที่อยากให้สะกดจิตตัวเองไว้

ต้องบอกก่อนเลยว่าสาเหตุที่มา Recap เพราะว่าการเรียนภาษาอังกฤษนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ซ้ำและเห็นบ่อย ดังนั้นจึงอยากจะมารวบรวมข้อมูลให้เพื่อนได้เข้าใจ และกระตุ้นสมองตัวเองได้ต่อยอดและนำไปใช้กัน

เริ่มต้นด้วย Tense ที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่าง Present Simple Tense โดย Tense นี้จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือความสามารถเฉพาะตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ประโยคอุทาน เรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นจริงขณะพูด การกระทำซ้ำจนเป็นนิสัย และใช้กับคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ที่แสดงเวลาหรือเหตุการณ์ในอนาคต หรือกำหนดเวลาที่แน่นอนแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถมีคำวิเศษณ์เหล่านี้อยู่ด้วย เช่น sometimes, often, never, always เป็นต้น

Present Simple Tense

โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)

หากคำนาม (noun) หรือประธาน (subject) เป็นเอกพจน์ กริยาช่อง1 (verb1) จะต้องเติม s หรือ es เช่น She eats rice in the morning.

หากคำนาม (noun) หรือประธาน (subject) เป็นพหูพจน์โดยรวมถึง I และ You ด้วย กริยาช่อง 1 (verb1) จะไม่ต้องเติม s หรือ es เช่น They/ I / You go to school.

ประโยคคำถาม

ใช้ verb to do/does นำหน้าประโยค
ถ้าต้องการทำเป็นคำถามที่ตอบ “Yes”, “No” ให้นำ Verb to be (is, am, are) ขึ้นต้นนำหน้าประโยค เช่น  Are you hungry? Yes, I’m so hungry.

Past Simple Tense

เป็น Tense ที่จะใช้สำหรับพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบลงไปแล้วซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้ทำแล้ว รวมถึงยังใช้กับเหตุการณ์ที่ทำจนเป็นนิสัยในอดีตซึ่งมักจะมีคำว่า often, always อยู่ในประโยค และมีคำบ่งบอกเวลา เช่น yesterday, at the time, last night, last week, in 2018 เป็นต้น

โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + V.2 (Verb ช่อง2) + O (Object)

เช่น They danced last night. หรือ He bought a bicycle last Saturday.

ประโยคคำถาม (ในรูปแบบบอกเล่า)

ใช้ Verb to do (did) ขึ้นต้นประโยค และเป็นกริยาแท้ในประโยคให้เป็นช่องที่ 1
เช่น Did you go to Siam Paragon yesterday? Yes, I did / No, I didn’t.
หรือ Did two kittens born last month? Yes, they did / No, they didn’t.

Future Simple Tense

เป็น Tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต ยังไม่ได้กระทำหรือเกิดขึ้นในขณะที่พูด แต่เป็นการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมักจะมีคำวิเศษณ์บอกเล่าอยู่ด้วย เช่น tomorrow, next year, next week เป็นต้น

โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + will, shall + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)

เช่น We will go to Japan next year.

หรือการใช้ be going to จะใช้กับเหตุการณ์ที่ตั้งใจจะทำและกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

S (Subject) + be going to + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)

เช่น I am going to Japan next week.

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


นักวิจัยเกาหลีใต้พัฒนา ‘หนังกิ้งก่าเทียม’ เปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม

นักวิจัยเกาหลีใต้พัฒนา 'หนังกิ้งก่าเทียม' เปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม

นักวิจัยชาวเกาหลีใต้กล่าวว่า พวกเขาได้พัฒนาวัสดุที่คล้ายกับผิวหนังซึ่งมีลักษณะเหมือนผิวหนังของกิ้งก่า สามารถเปลี่ยนสีให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้

ทีมวิจัยนี้นำโดย โก เซือง-ฮวาน (Ko Seung-hwan) ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัย Seoul National University ซึ่งได้สร้างผิวหนังด้วยของเหลวชนิดพิเศษที่จะเปลี่ยนสีในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ควบคุมโดยตัวทำความร้อนแบบยืดหยุ่นที่ทำจากสายไฟขนาดเล็กมาก

ศาสตราจารย์โก กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การสวมเสื้อผ้าลายพรางอยู่ในทะเลทรายจะทำให้ถูกมองเห็นได้ง่าย ดังนั้นการเปลี่ยนสีและลวดลายให้เข้ากับสิ่งที่อยู่รอบตัวตลอดเวลาคือหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้

เทคโนโลยีนี้ใช้สิ่งที่เรียกว่า “ผลึกเหลวเทอร์โมโครมิก” และเครื่องทำความร้อนด้วยลวดนาโนสีเงิน เทอร์โมโครมิก หมายถึง การเปลี่ยนเฉดสีไปมาด้วยความร้อน ส่วนเส้นลวดนาโนนั้นก็เหมือนกับเส้นลวดทั่วไป แต่มีขนาดเล็กมาก ๆ

ศาสตราจารย์โกและทีมงาน สาธิตเทคโนโลยีนี้โดยใช้หุ่นยนต์รูปกิ้งก่าที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับสี โดยผิวหนังของมันพยายามเลียนแบบสีใด ๆ ก็ตามที่เซ็นเซอร์เห็นอยู่รอบๆ ตัว

ในวิดีโอประกอบการสาธิต หุ่นยนต์กิ้งก่าเดินอยู่บนพื้นสีแดง น้ำเงิน และเขียว และมันเปลี่ยนสีให้ดูเหมือนสภาพแวดล้อมเหล่านั้นในทันที

ศาสตราจารย์โก อธิบายให้รอยเตอร์ฟังถึงวิธีการทำงานของวัสดุดังกล่าว โดยบอกว่าเมื่อเซ็นเซอร์พบข้อมูลสี ก็จะย้ายข้อมูลนั้นไปยังโปรเซสเซอร์ขนาดเล็กมาก จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปที่เครื่องทำความร้อนเส้นลวดนาโนสีเงิน เมื่อเครื่องทำความร้อนถึงอุณหภูมิที่กำหนด ผลึกเหลวเทอร์โมโครมิกก็จะเปลี่ยนสี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผิวหนังจะมีหลายชั้น แต่ก็มีความหนารวมกันไม่ถึง 100 ไมโครเมตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือบางกว่าเส้นผมของมนุษย์ การเพิ่มชั้นลวดนาโนสีเงินในรูปทรงที่เรียบง่าย เช่น เส้นหรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผิวหนังจะสามารถสร้างการออกแบบที่ซับซ้อนได้

ศาสตราจารย์โก กล่าวอีกว่า ผิวหนังที่มีความยืดหยุ่นสามารถพัฒนาเป็นอุปกรณ์สวมใส่และใช้สำหรับแฟชั่นได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้ในเสื้อผ้าทหารและในการออกแบบที่ด้านนอกของตัวรถยนต์และตัวอาคารอีกด้วย

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Nature Communications ฉบับเดือนสิงหาคม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มะตูม ประโยชน์ และสรรพคุณมะตูม

มะตูม เป็นผลไม้ป่าที่ค่อนข้างหายากในปัจจุบัน เนื่องจาก ลำต้นมีขนาดใหญ่ ออกผลช้านานหลายปี จึงไม่นิยมปลูก แต่ยังพบได้ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะตามหัวไร่ปลายนา และตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ทั้งในภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก และภาคอื่นๆ

ผลิตภัณฑ์ของมะตูมที่เห็นตามท้องตลาด ส่วนมากมาจากต้นมะตูมตามป่าหรือหัวไร่ปลายนา ซึ่งพบเห็นมากจะเป็นมะตูมตากแห้งที่ใช้สำหรับต้มน้ำดื่ม ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ได้แก่ มะตูมเชื่อม และน้ำมะตูม เป็นต้น

• วงศ์ : Rutaceae
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos Correa.
• ชื่อสามัญ :
– Bael
– Bengal Quince
• ชื่อท้องถิ่น :
– มะตูม
– มะปิน
– ตุ่มเต้ง
– มะปีส่า
– หมากตูม
– กะทันตาเถร
– ตุ่มตัง
• ถิ่นกำเนิด : ทวีปเอเชีย อาทิ อินเดีย จีนตอนใต้ บังคลาเทศ ไทย พม่า ลาว และอินโดนีเชีย
• โครโมโซม : 14 คู่ (2n=14)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
มะตูมเป็นยืนไม้ต้น เนื้อแข็ง และผลัดใบ สูงประมาณ 15-25 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 25-50 เซนติเมตร มีหนามแหลมตามกิ่งย่อย อาจเป็นหนามคู่หรือหนามเดี่ยว เปลือกต้นค่อนข้างหนา และมีสีเทา เปลือกแตกเป็นร่องตามความยาวของลำต้น มีหนามขึ้นตามกิ่งทั่วลำต้น หนามมีลักษณะแข็ง ยาวประมาณ 2-3.5 ซม.

ใบ
ใบมะตูมเป็นใบประกอบ มีก้านใบยาว 3-5 ซม.ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปไข่ ใบย่อยตรงกลางมีขนาดใหญ่สุด ใบกว้างประมาณ 3.0 – 6.0 ซม. และยาวประมาณ 4.0 – 12.0 ซม. ซึ่งใหญ่กว่าใบด้านข้างทั้งสองใบ ที่กว้างประมาณ 2.5 – 5.0 ซม. ยาวประมาณ 3.0 – 10.0 ซม. ใบมีรูปทรงรูปไข่หรือรูปหอก ขอบใบหยัก ปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบ แผ่นใบด้านบนมีสีเขียว ค่อนข้างเป็นมัน แผ่นใบด้านล่างมีสีจางกว่า หากนำใบส่องใต้แดดจะมองเห็นมีต่อมน้ำมันเป็นจุดๆ

ดอก
ดอกมะตูมเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งดอกเพศเมีย และดอกเพศผู้ในดอกเดียวกัน แทงออกเป็นช่อ ดอกจะมีขนาดเล็ก กลีบดอกมีสีเขียวอมขาว ขนาดประมาณ 0.6-1.0 ซม.มีลักษณะเป็นแฉกคล้ายปลาดาว 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ถัดมาเป็นเกสรตัวผู้จำนวนมาก และรังไข่ มีอับละอองเรณูสีขาว 35-45 อัน ดอกแทงออกเป็นช่อตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ออกดอกเพียงครั้งเดียวใน 1 ปี คือ เริ่มแทงดอกในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งในช่วงก่อนแทงดอก ต้นมะตูมจะผลิใบร่วงจนหมด หลังจากนั้นค่อยแทงใบอ่อน และช่อดอกออกมา

ผล
ผลมะตูมมีลักษณะเป็นผลกลมรี มีเปลือกมีลักษณะเรียบ เป็นมัน เปลือกหนา และแข็งมาก ผลขณะอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลสุกจะมีสีเขียวอมเหลือง และสุกเต็มที่จะมีสีเหลือง ส่งกลิ่นหอม เนื้อในมีสีเหลืองหรือส้มอมเหลือง มีเมล็ดจำนวนมากเรียงเป็นวงกลมรอบแกนผล โดยผลที่สามารถนำมาแปรรูปเป็นมะตูมเชื่อมได้ควรมีอายุผลตั้งแต่ 4-7 เดือน และต้องต้องเป็นผลดิบ หากผลมีอายุมากจะทำให้เนื้อเหลว ไม่สามารถเชื่อมเป็นแผ่นในรูปเดิมได้

มะตูม

พันธุ์มะตูม
พันธุ์มะตูมที่พบในไทย และถูกเรียกชื่อเป็นภาษาท้องถิ่น ได้แก่
– มะตูมไข่ มีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดเล็ก ผลมีรูปทรงไข่

– มะตูมนิ่ม มีลักษณะเด่น คือ ผลสุกจะมีเปลือกอ่อนนิ่ม เมื่อใช้นิ้วบีบ เปลือกผลจะยุบตัวบุ๋มได้ง่าย

– มะตูมท้องถิ่น หรือ มะตูมธรรมดา เป็นพันธุ์มะตูมที่พบมากที่สุด มีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกผลแข็งมาก ผลสุกเนื้อสีเหลืองหรือสีเหลืองอมส้ม และส่งกลิ่นหอม

สารสำคัญที่พบ
เนื้อผล และเมือกเมล็ดมะตูม
– mucilage
– pectin
– Tannin ให้รสฟาด
– Arginine
– Coumarin
– Volatile oil ทำให้มีกลิ่นหอม

ใบมะตูม
– algelinine
– coumarin

สารที่ให้กลิ่นหอม (Volatile oil)
– Z-linalooloxide มากกว่า 33%
– น้ำมันหอมระเหยชนิดอื่นๆ

น้ำตาลที่ประกอบด้วยน้ำตาล 3 ชนิด ในอัตราส่วน 2:3:14
– arabinose
– galactose
– glucose

นอกจากนั้น ยังพบกรดอมิโนมากกว่า 17 ชนิด โดยกรดที่พบมาก คือ กรดแอสพาติก พบมากถึง32%

เพิ่มเติมจาก สุนทรี (2525)(1)

ประโยชน์มะตูม
1. ผลดิบอ่อน (รสชาติฝาด ขื่นเล็กน้อย)
– นำมาฝานเป็นแผ่นบางๆ ตามขวาง แล้วตากแห้ง ใช้ต้มน้ำดื่ม และผสมน้ำตาลเล็กน้อย เรียก น้ำมะตูม
– ปอกเปลือก และฝานเป็นแผ่นตามขวางขนาดหนาประมาณ 1 ซม. แล้วนำมาเชื่อม เรียก มะตูมเชื่อม
2. ผลสุก
– เนื้อด้านในมีสีเหลือง ส่งกลิ่นหอม และมีรสหวาน ใช้รับประทานเป็นผลไม้พื้นบ้าน
– ยางที่หุ้มเมล็ดในผลดิบหรือผลสุกใช้ทำเป็นกาว
3. เปลือกผล
– เปลือกผลดิบ และผลสุกใช้สำหรับต้มย้อมผ้า
4. ยอดอ่อน (รสเผ็ด ฝาดเล็กน้อย)
– ใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือกินกับอาหารประเภทลาบ น้ำตก หรือซุปหน่อไม้
5. เนื้อไม้
– แปรรูปเป็นไม้โครงสร้างก่อสร้างบ้านเรือน
– แปรรูปเป็นเครื่องเรือน และเฟอร์นิเจอร์
– แปรรูปเป็นไม้แผ่นสำหรับเป็นไม้ตกแต่งต่างๆ

มะตูมแห้ง

คุณค่าทางโภชนาการ (ผลสุก 100 กรัม)
– น้ำ 61.4 กรัม
– เถ้า 1.7 กรัม
– คาร์โบไฮเดรต 34.7 กรัม
– โปรตีน 1.8 กรัม
– ใยอาหาร 2.9 กรัม
– วิตามินเอ 92 มิลลิกรัม
– วิตามินบีหนึ่ง 1.3 มิลลิกรัม
– วิตามินบีสอง 1.19 มิลลิกรัม
– ไนอะซีน 1.1 มิลลิกรัม
– แคลเซียม 85 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม
– เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม

ที่มา : กองโภชนาการ (2535)(2)

สรรพคุณมะตูม
ผลดิบ
– ช่วยควบควบคุมระดับน้ำตาล ป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน
– รักษาโรคลำไส้อักเสบ
– แก้ท้องเดิน ท้องอืด
– ช่วยขับลม
– แก้กระหายน้ำ ช่วยให้ชุ่มคอ
– แก้ไข้หวัด
– ช่วยขับปัสสาวะ
– ลดอาการหอบหืด แก้หลอดลมอักเสบ
– ช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ
– รักษาน้ำดี กระตุ้นการหลั่งน้ำดี
– แก้ไข้ทรพิษ
– แก้พิษฝี ลดอาการปวดฝี
– แก้หลอดลมอักเสบ
– แก้เยื่อตาอักเสบ
– ช่วยลดความดันโลหิตสูง
– แก้ปัสสาวะขัด
– แก้อาหารไม่ย่อย ช่วยให้เจริญอาหาร
– ช่วยรักษาอาการอักเสบของแผล ต้านแผลติดเชื้อ
– ใช้ฆ่าพยาธิ
– ต้านเชื้อแบคทีเรีย
– ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย
– ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

ผลสุก
– ช่วยในการทำงานของลำไส้
– ลดอาการหดเกร็งของลำไส้
– รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
– ช่วยระบบขับถ่าย ใช้เป็นยาระบาย
– แก้จุกเสียดแน่นท้อง
– เพิ่มระดับอินซูลิน(insulin)
– ลดระดับไขมันในเส้นเลือด
– ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการท้องร่วงท้องเสีย
– ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ
– ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวสดใส
– ป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ และกระเพาะอาหาร
– ป้องกันโรคความจำเสื่อม หรือ อัลไซเมอร์
– ป้องกันอันตรายของเซลล์ตับจากสารพิษต่างๆ
– ช่วยขับพยาธิ
ใบอ่อน
– ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
– ช่วยฆ่าเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร และลดอาการท้อเสีย
– บรรเทาหลอดลมอักเสบ
– แก้อาการไข้หวัด
– ใบอ่อนนำมาบดผสมน้ำ ใช้พอกรักษาตาอักเสบ บรรเทาอาการตาบวม
เปลือกมะตูม
– นำมาต้มน้ำดื่ม แก้อาการท้องเสีย
– ช่วยรักษาลำไส้อักเสบ
รากมะตูม
– ช่วยบรรเทาอาการเลือดตกของสตรีหลังคลอด
– แก้หลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการไอเป็นเลือด
– แก้ปัสสาวะเป็นเลือด
– แก้อาการอักเสบหรือเป็นแผลในระบบทางเดินอาหาร

เพิ่มเติมจาก : รุ่งรัตน์ (2540)(3), นิจศิริ (2524)(4)

การปลูก และขยายพันธุ์
ต้นมะตูมจัดเป็นไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นสูง 15-25 เมตร ลำต้นแตกกิ่งในช่วงสูง และแตกกิ่งมาก จนแลดูเป็นทรงพุ่มขนาดใหญ่ ปัจจุบัน ไม่ค่อยพบตามบ้านเรือน ส่วนใหญ่จะยังเหลือตามหัวไร่ปลายนา และตามป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง เมื่อปลูกด้วยเมล็ดแล้วจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปี

กล้ามะตูม

ขอบคุณภาพจาก nanagarden.com

มะตูมเป็นไม้ที่เติบโตได้ดีในดินทุกชนิด แต่เติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายหรือดินเหนียวปนทราย ไม่ชอบดินแน่นชื้น และมีน้ำท่วมขัง พบมากในแถบภาคเหนือ และอีสาน

มะตูมตามธรรมชาติจะขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และการขยายพันธุ์ในปัจจุบันก็ยังนิยมวิธีเพาะเมล็ดเช่นกันแต่อาจใช้วิธีอื่นได้ เช่น การเสียบยอด และการตอน

ขั้นตอนการเพาะ
– การเพาะเมล็ดเริ่มด้วยการเลือกผลมะตูมที่สุกเต็มที่ โดยควรเลือกผลที่มีสีเหลืองเข้มที่ร่วงจากต้น
– นำมากะเทาะผล และคัดแยกเอาเมล็ดออก
– นำเมล็ดมาล้างน้ำให้สะอาด และตากแห้ง
– ก่อนปลูก นำเมล็ดมาแช่น้ำนาน 1 วัน หรือแช่ในน้ำอุ่น 10-15 นาที เนื่องจากเมล็ดมีเปลือกหนา
– นำเมล็ดหยอดลงหลุมที่เตรียมไว้ในพื้นที่ที่ต้องการ หรือ หยอดเมล็ดเพาะในถุงดำ และดูแลจนกว่าต้นกล้าสูงประมาณ 20-30 นาที ก่อนนำลงปลูก
– ฤดูการปลูกควรเป็นช่วงต้นฤดูฝน เพราะต้นกล้าจะเติบโตได้ดี และไม่ต้องดูแลเรื่องการให้น้ำมาก
– การปลูกด้วยการหยอดหลุมหรือจากต้นกล้าที่โตแล้ว หากปลูกหลายต้น ควรมีระยะปลูกประมาณ 10-15 เมตร/ต้น

ระยะการสุกของผล
• เดือนที่ 1 (มิถุนายน) ผลรูปทรงไข่ ผิวเปลือกเขียวเข้ม และอ่อน สามารถฝานได้ง่าย เนื้อไม่มีเมล็ด และมีรสฝาด เมื่อปอกเปลือกทิ้งไว้ เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีนํ้าตาล
• เดือนที่ 2 (กรกฎาคม) ผลรูปทรงไข่ ผิวเปลือกเริ่มเขียวเข้มมากขึ้น เปลือกอ่อน ปอกเปลือก และฝานง่าย เนื้อผลมีสีเหลืองอ่อน และมีเมล็ดขนาดเล็กที่มีเมือกบางๆหุ้มรอบ หากฝานทิ้งไว้จะเปลี่ยนเป็นสีนํ้าตาล
• เดือนที่ 3 (สิงหาคม) ผลมีรูปทรงกลมขึ้น ผิวเปลือกสีเขียวเข้ม เปลือกจะเริ่มแข็ง แต่ยังปอกได้ ส่วนเนื้อผลมีสีเหลืองอ่อน เมล็ดมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีเมือกหุ้มเมล็ด
• เดือนที่ 4 (กันยายน) ผลมีรูปทรงกลม สีเขียวเข้ม เปลือกแข็งขึ้น แต่ยังใช้มีดปอกได้ ส่วนเนื้อผลออกสีเหลืองอ่อน ติดกันแน่น เมล็ดใหญ่ และเริ่มแข็ง
• เดือนที่ 5 (ตุลาคม) ผลทรงกลม สีเขียว เปลือกแข็ง ปอกยาก เนื้อผลสีเหลืองอ่อน เมล็ดแข็ง เนื้อมีเมือกมาก
• เดือนที่ 6 (พฤศจิกายน) ผลทรงกลม สีเริ่มจางลง เปลือกมีลักษณะแข็งมาก เนื้อด้านในมีสีเหลือง ติดกันแน่น และมีเมือกมาก เมล็ดมีลักษณะแข็งมาก เมล็ดมีขนรอบ
• เดือนที่ 7 (ธันวาคม) ผลกลม เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง และแข็งมาก เนื้อสีเหลือง และยังแน่นติดกัน เมล็ดมีขน และแข็งมากมากขึ้น
• เดือนที่ 8-9 (มกราคม-กุมภาพันธ์) คล้ายเดือนธันวาคม
• เดือนที่ 10 (มีนาคม) เป็นระยะสุก ผลมีเหลืองมากขึ้น เปลือกแข็ง และสากมือเล็กน้อย เนื้อผลสีเหลือง เนื้อเริ่มอ่อนนุ่มมากขึ้น และส่งกลิ่นหอม
• เดือนที่ 11 (เมษายน) เป็นระยะสุกเต็มที่ เปลือกสีเหลืองมาก เนื้อเป็นเม็ดทราย เนื้อนุ่มเหลว ส่งกลิ่นหอมแรง

มะตูมสุก

ผลิตภัณฑ์มะตูม
การทำมะตูมแห้ง หากใช้มีดฝานด้วยมือจะทำได้ยากมาก โดยเฉพาะมะตูมที่มีอายุมาก แต่จะใช้มีดหั่นได้หากมะตูมยังมีอายุน้อย ปัจจุบัน จึงใช้วิธีหั่นมะตูมด้วยเครื่องหั่นมะตูมโดยเฉพาะ ซึ่งจะหั่นได้เร็ว และได้แผ่นมะตูมที่สม่ำเสมอกว่าการหั่นมือด้วยมีด

หลังจากหั่นมะตูมได้แล้วจึงค่อยนำแผ่นมะตูมไปตากแดดบนกระด้ง ตะแกรงไม้ หรือ ตะแกรงลวดให้แห้ง ก่อนเก็บบรรจุในถุงพลาสติกไว้

การทำน้ำมะตูม
– นำมะตูมแห้งประมาณ 5 แผ่น มาย่างไฟอ่อนๆ จนแผ่นมะตูมมีสีน้ำตาลอมเหลือง และส่งกลิ่นหอม แต่พึงระวังอย่าย่างให้สุกเกินหรือไหม้ได้
– นำแผ่นมะตูมที่ย่างไฟได้ที่แล้วลงต้มในหม้อที่ใส่น้ำประมาณ 1-2 ลิตร ต้มให้เดือดนาน 5 นาที ก่อนยกลงตั้งทิ้งไว้ให้เย็นลงสักพัก
– หากต้องการหวานมากขึ้น ให้เติมน้ำตาลตามความต้องการ

เอกสารอ้างอิง
1. สุนทรีย์ สิงหบุตรา. 2525. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชีวิต.
2. กองโภชนาการม 2535. ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.
3. รุ่งรัตน์ เหลืองนทีเทพ, 2540. พืชเครื่องเทศและสมุนไพร.
4. นิจศิริ เรืองรังษี. 2524. พืชสมุนไพร.

ขอบคุณข้อมูลจาก puechkaset.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/12/2564

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a28,450.0028,550.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,843.0027,939.8829,050.00
ทองรูปพรรณ 90%1,658.7025,145.89n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,474.4022,351.90n/a
ทองรูปพรรณ 50%829.0012,567.64n/a
ทองรูปพรรณ 40%645.009,778.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,910.0028,955.60n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/12/2564

วันที่ – เวลาlogologologologologologologologologo
07-12-2564 05:0033.4627.8427.8427.8437.3629.9529.6828.4422.99
06-12-2564 05:0033.8628.2428.2428.2437.8630.4530.1828.9423.29

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า