บิ๊กเนม ปูพรม ‘บ้านเดี่ยว’ แบรนด์ ชน แบรนด์ แข่งสนั่น Q1
บิ๊กเนมอสังหาฯ ปูพรม เปิดใหม่โครงการบ้านเดี่ยว รับความต้องการสูง ไตรมาสเดียว เอพี เปิดรวด 4 โครงการ ขณะ แสนสิริ หวนแบรนด์ดัง ‘นาราสิริ’ ในรอบ 8 ปี ชูลูกค้าระดับบน รีเจ็กต์ต่ำ ด้านศุภาลัย ออกสตาร์ท ผุด ‘ เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121’ เจาะช่องว่างตลาด เผยขายดีเกินคาด
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายที่พักอาศัยโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาด บ้านเดี่ยว ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่สามารถเดินทางสะดวก ยังเป็นที่ต้องการของผู้ซื้ออย่างมาก ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งแม้ว่าราคาที่ดินจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าของคุณภาพการอยู่อาศัยและการเดินทางที่สะดวกสบาย ตลาดกลุ่มนี้ก็ยังคงมีดีมานด์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง
สะท้อนบริษัทสามารถปิดการขายโครงการบ้านเดี่ยว ด้วยราคาเฉลี่ยหลังละ 56 ล้านบาท และสูงสุดที่ 267 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของดีมานด์และกำลังซื้อของตลาดบ้านเดี่ยวใจกลางเมืองที่น่าสนใจอย่างมาก
เอพีบุกหนักเปิด CENTRO กินรอบเมือง
‘ฐานเศรษฐกิจ’ สำรวจแนวรบของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งประกาศแผนธุรกิจปีนี้ ผ่านโครงการแนวราบเป็นจำนวนมาก หลังประเมินทิศทางตลาดยังเติบโตสูง พบเพียงแค่ไตรมาสแรก ปี 2565 มีความเคลื่อนไหวที่คึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาแพง ระดับลักชัวรี ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด
โดยนายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หลังจากช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทขึ้นแท่น ผู้นำตลาด บ้านเดี่ยวด้วยส่วนแบ่งตลาด มากสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนยูนิตที่ขายได้มากสุดในตลาด กทม.และปริมณฑล
ล่าสุด ในไตรมาสแรก ปีนี้ บริษัทพร้อมจะเปิดขายโครงการแนวราบใหม่พร้อมกันถึง 11 โครงการ มูลค่า 9 ,590 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยวถึง 4 โครงการ ได้แก่ 1. CENTRO ปิ่นเกล้า (ราคา 9.5-15 ล้านบาท ) 2. CENTRO ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ (ราคา 7.99-12 ล้านบาท ) 3.CENTRO บางนา-ศรีนครินทร์ (ราคา 7.79-15 ล้านบาท ) และ 4. CENTRO รามอินทรา จตุโชติ 2 ราคา 6.99 -12 ล้านบาท
” แบรนด์ CENTRO เป็นหนึ่งในท็อปแบรนด์ไฮไลต์ในพอร์ตสินค้าบ้านเดี่ยวเอพี ที่ตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ ขายพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นที่ใหญ่ขึ้น มีพื้นที่สีเขียวรอบบ้าน โดยทั้ง 4 โครงการ จะเปิดขายพร้อมกันช่วงปลายเดือนนี้ “
แสนสิริหวนเปิดท็อปเซ็กเม้นท์ ‘นาราสิริ’
ขณะ นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บมจ.แสนสิริ เผยว่า ปีที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมาก ในสินค้ากลุ่มแนวราบโดยจบปี สร้างยอดขายรวม 22,400 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 18,300 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนมากกว่า 70% มาจากบ้านเดี่ยว ซึ่งบทสะท้อนความสำเร็จ ยังมาจากการสามารถปิดการขาย โครงการระดับบนถึง 4 โครงการ ได้แก่ เศรษฐสิริ พัฒนาการ, บุราสิริ พัฒนาการ, บุราสิริ รังสิต , บุราสิริ วงแหวน – อ่อนนุช และ บูก้าน เอ็กซ์คลูซีฟ โมเดิร์น เรสสิเดนท์ ซึ่งมีราคาขายสูงสุดถึง 80 ล้านบาท
โดยในปีนี้ บริษัทยังมีแผนเปิด บ้านเดี่ยว 11 โครงการ ภายใต้สัดส่วนแนวราบ 75% ซึ่งจะเป็นการรุกแบรนด์ สราญสิริ กระจาย 6 โครงการใหม่ และรักษาตำแหน่งบ้านเดี่ยวระดับบน ผ่านแบรนด์ เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ต่อเนื่อง รวมถึงการกลับมาเปิดแบรนด์ระดับไฮเอนด์ ‘นาราสิริ’ 2 โครงการ รวม 8,300 ล้านบาท หลังจากไม่ได้มีการเปิดตัวมานาน 7-8 ปี ซึ่งโครงการแรกจะเปิดเร็วๆนี้ เจาะราคา 25-60 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากประเมินว่า ดีมานด์บ้านเดี่ยวระดับบนยังมีอยู่ต่อเนื่อง และแนวโน้มจะเติบโตสูง จากความแข็งแกร่งของลูกค้า
“แสนสิริไม่ได้มีการเปิดตัวแบรนด์ นาราสิริ ใหม่ ออกสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมา แต่ล่าสุด ได้ที่ดินที่เหมาะสม และเตรียมการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว พร้อมกับเห็นโอกาสทางการตลาด จึงหวนอีกครั้ง โดยตลาดกลุ่มนี้ ลูกค้าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่มาก ยอดรีเจ็กต์น้อย และมีกำลังซื้อพร้อม การตัดสินใจอยู่ที่ความพิถีพิถัน ดีไซน์ และ ฟังก์ชั่น เท่านั้น ”
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดบ้านเดี่ยว ระดับลักซ์ชัวรี่ ใจกลางเมือง แบรนด์ใหม่ ‘เดมี่ สาธุประดิษฐ์ 49 ‘ อีกหนึ่งโครงการในเดือนมีนาคมนี้ ราคาราว 8-20ล้านบาท
ศุภาลัยผุดบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขายดีเกินคาด
ด้านบมจ.ศุภาลัย เผยแผนธุรกิจ เปิดตัวแบรนด์บ้านใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ซึ่งออกสตาร์ทกับโครงการแรกของปี 2565 กับแบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121” โดยหวังเป็นทางเลือกแรกของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนในทำเลดังกล่าว ซึ่งเป็น 1 ในแผนปี 2565 ที่จะเจาะโครงการบ้าน 13 โครงการ ในกทม.และปริมณฑล เน้น ขนาดโครงการใหญ่ขึ้น มากกว่า 100 ไร่ ความสมบูรณ์ในเรื่องส่วนกลาง เพื่อแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด
ทั้งนี้ นางสาวธัญวรัตน์ ปัญญารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและการขาย บมจ.ศุภาลัย ระบุ ตลาดบ้านเดี่ยวรวม ปี 2564 เปิดตัวโครงการน้อยสุดในรอบ 10 ปี ประมาณ 6,000 ยูนิต แต่การขายคึกคัก แตะ 10,000 ยูนิต ขณะสต็อกที่อยู่ระหว่างก่อสร้างราว 30,000 ยูนิต ไม่ได้น่ากังวล โดยเฉพาะในตลาดระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป การเปิดตัวต่ำ แต่สัดส่วนของมูลค่าสูงถึง 15% ของตลาด
สำหรับทำเล ถ.บรมราชชนนี จากจุดเด่นเรื่องผังเมือง บ้านเดี่ยวต้อง 100 ตร.ว.ขึ้นไป ซึ่งบริษัทเห็นช่องว่างของตลาด ปรับไปสู่บ้านเดี่ยว 3 ชั้น บนพื้นที่ 34 ไร่ ราคาขาย 20-30 ล้านบาท รวม 86 ยูนิต หลังเปิดตัว ได้รับผลตอบรับดีเกินคาด จากลูกค้านักธุรกิจ – ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ปลุก รัชดา – พระราม 9 ผุดคอนโดฯใหม่ มูลค่า พุ่ง 2หมื่นล.
ตลาดคอนโดฯอุ่นเครื่อง รอ ต่างชาติ – ชาวจีน ทะลักเข้าไทย ปลุกทำเลทอง รัชดา – พระราม 9 ฟื้น คอลลิเออร์ส เผย ปีนี้เปิดใหม่พุ่ง 2 หมื่นล. โนเบิล – ไซมิส – ริชี่ ปักธงรบ ผุดโครงการใหญ่ หวัง 2 ปี เปิดประเทศเต็มตัว รับแรงซื้อ ขณะ SC ปิดดีลใหญ่ เทียมร่วมมิตร คาดผงาดโครงการแพง
ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด -19 โปรดักส์สำคัญของทำเล กทม. อย่าง คอนโดมิเนียม กลายเป็นตัวรอง ที่ถูกลดบทบาทลงอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่ง ก็เพราะการชะลอ หายไปของลูกค้ากลุ่มใหญ่ชาวต่างชาติ เกิดภาพอสังหาฯ Zet zero การเปิดตัวคอนโดฯใหม่ หายไปนับ 60 -70% ตลอดปี 2563-2564
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายใหญ่ของประเทศไทยหลังโควิด คือ การกลับมาผงาด ในแง่ ‘เดสติเนชั่นระดับโลก’ เมืองเป้าหมายของการท่องเที่ยวและอยู่อาศัยระยะยาว รัฐบาลเปิดช่องเดินหน้า นโยบายกระตุ้นการเข้ามาอยู่อาศัย ของชาวต่างชาติ 4 กลุ่มมั่งคั่ง ซึ่งล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันเสียงแข็ง จะเดินหน้าต่อแน่นอน
ความเคลื่อนไหวข้างต้น ฟื้นความเชื่อมั่นเหล่าดีเวลลอปเปอร์ได้อย่างดี ประเมินร่วม แม้ปี 2565 ตลาดคอนโดฯอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ 2-3 ปีข้างหน้า คือ โอกาสทองของตลาดต่างชาติ ขณะทำเลเนื้อหอมอย่าง ‘พระราม 9 – รัชดาภิเษก’ ส่งสัญญาณกลับคึกคักร้อนแรงอีกครั้ง
ย้อนรอยโควิด ชาวจีนหนีกระเจิง
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ที่ปรึกษาด้านอสังหาฯ เผย “ฐานเศรษฐกิจ ” ว่า อดีต คอนโดฯ ย่านพระราม 9 – รัชดา เป็นย่านที่กลุ่มนักลงทุนชาวจีน และประเทศในกลุ่มเอเชีย ให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากใกล้กับสถานทูตจีน มีกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มลูกค้าเช่า จากจีนและชาติอื่นๆ ลงทุนและอาศัยกันเป็นจำนวนมาก ทั้งระยะสั้นและยาว ผ่านการรวมตัวกันซื้อเป็นบิ๊กล็อต เพื่อจะได้ราคาที่ถูกลง และบ้างก็ซื้อผ่านเอเจนซี่คนจีน ที่มาดีลกับโครงการ พบหลายโครงการขายดี มีโควตาต่างชาติเต็ม 49% และเคยร้อนแรงสุด ปี 2561 ที่มีการเปิดตัวคอนโดฯใหม่ มากกว่า 4,710 ยูนิต มูลค่าการลงทุนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ช่วงโควิด19 กำลังซื้อเหล่านี้แทบหายไป เกิดการทิ้งดาวน์ยูนิตที่เคยซื้อไว้ ทำให้ผู้พัฒนา ต้องนำยูนิตเหล่านั้น กลับมาขายใหม่ ทั้งทีเคยประกาศปิดการขาย 100% ไปแล้ว ส่วนนักลงทุนซื้อปล่อยเช่า ต้องพบกับการแข่งขัน ด้านราคาค่าเช่าที่ลดลงกว่า 40% บางรายเผชิญ ผู้เช่ายกเลิกสัญญาก่อนกำหนด อยากขายยูนิตออกไปแต่ไม่สามารถขายออกได้
ฟื้นทำเลทอง เปิดใหม่ 2 หมื่นล.
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 พบว่า ทำเลย่านพระราม 9 – รัชดาภิเษก กลายเป็นทำเลที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง คาดจะมีเม็ดเงินการลงทุน เปิดโครงการใหม่เข้ามาในพื้นที่ ราว 2.1 หมื่นล้านบาท จากผู้พัฒนาฯรายใหญ่ และแต่ละโครงการเป็นบิ๊กโปรเจ็กต์
เช่น บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 (Nue Noble District R9) มูลค่าโครงการประมาณ 6.2 พันล้านบาท จำนวน 1,441 ยูนิต และบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ กับโครงการ Landmark @MRTA เป็นมิกซ์ยูสที่พัฒนาขึ้นบนทำเลศักยภาพ ถนนพระราม 9 ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และที่พักอาศัย โดยภายในโครงการนี้ ประกอบด้วย 3 อาคาร ได้แก่ อาคาร A สูง 18 ชั้น อาคาร B สูง 38 ชั้น, อาคาร C สูง 29 ชั้น รวมชั้นดาดฟ้า ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 27 -205 ตร.ม.
” ณ สิ้นปี 2564 ราคาขายเฉลี่ยคอนโดฯในทำเลนี้ อยู่ที่ 1.55 แสนบาท ต่อ ตร.ม. ปรับ เพิ่ม ปีละ 7% และมีบางโครงการที่ราคาขายเฉลี่ยสูงกว่า 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ”
ริชี่เพลซ จ่อเปิดโครงการใหม่ใกล้เซ็นทรัล
ศักยภาพของทำเลที่ไม่เป็น 2 รองใคร ขณะการเดินทางผ่านรถไฟฟ้าสะดวก เพียง 2 สถานีเชื่อมต่อ MRT กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว จุด อินเตอร์เชนจ์ สำคัญบริเวณอโศก และถัดจากพระราม 9 อินเตอร์เชนจ์ เชื่อม รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ประกอบกับทำเล แวดล้อมด้วยห้างฯดัง เซ็นทรัลพระราม 9, ฟอร์จูน ทาวน์ พระราม 9, เอสพลานาด ,สถานฑูตจีน และ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ชั้นนำ G tower, อาคาร ยูนิลิเวอร์ และ AIA ทำให้การพัฒนาตึกสูง 2-3 ปี แล้วเสร็จ ยื้อเวลาใกล้เคียงกับคาดการณ์ว่าชาวต่างชาติ อย่างชาวจีนน่าจะกลับเข้ามาในไทยได้เต็มที่แล้ว กลายเป็นฝันครั้งใหม่ของอสังหาฯไทย
โอกาสดังกล่าว ยังทำให้ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) ประกาศ เตรียมเปิดตัวคอนโดใหม่ บนทำเลย่านนี้เช่นกัน ด้วยมูลค่าการพัฒนา ราว 2-3 พันล้านบาท ซึ่ง นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่เพลซ 2002 ซึ่งสวมหมวกนายกสมาคมอาคารชุดไทย เผย บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ บนทำเลนี้ พิกัด ใกล้เซ็นทรัลพระราม 9 ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบ ซึ่งเป็นที่ดินเก่า (ปั้มแก๊ส ปตท.) ซื้อมาตั้งแต่ช่วง 3 ปีก่อนหน้า แต่ชะลอการลงทุนไปช่วงโควิด อุปสรรคหลัก คือพาร์ทเนอร์ทุนจีนไม่สามารถเข้ามาเจรจาได้ ทั้งนี้ ประเมินว่า ในปีนี้ ช่วงครึ่งหลังของปี โควิดจะคลี่คลายและเปิดทางให้ต่างชาติกลับเข้ามาได้
“ทำเลพระราม9 มีศักยภาพสูง ฮอตมาก ที่ผ่านมาบิ๊กอสังหาฯ เข้ามาผุดโครงการมากมาย เพราะจุดนี้ถือเป็นฮับที่อยู่อาศัยฯ มีดีมานด์คนทำงาน ชาวจีนชื่นชอบ และมีองค์ประกอบรองรับเกิน 100% ใครมาก่อนได้ก่อน คาดการเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทจะไม่เป็นรองใคร ”
จับตา เอสซีผุดโครงการหรู เทียมร่วมมิตร
ขณะข่าวคึกโครมในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้า ต่อ การปิดดีลซื้อที่ดิน บริเวณถนนเทียมร่วมมิตร พระราม 9 ราว 725 ล้านบาท เนื้อที่ 2 แปลง รวม 5 ไร่ 3 งาน ของ บมจ.เอสซี แอสเสท ซึ่งแม้เป็นการซื้อภายในของตระกูลชินวัตร แต่ได้ตอกย้ำ ว่า ทำเลนี้จะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง แน่นอนจากแผนพัฒนาโครงการใหม่ๆ และคุณภาพสูง
ตามแผน เอสซี ระบุว่า จะนำไปพัฒนาโครงการอาคารชุดอยู่อาศัย โดยบริษัทเล็งเห็นว่าพื้นที่บริเวณถนนเทียมร่วมมิตรนั้น ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และมีโอกาสทางธุรกิจที่ดี เพราะมีความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าชาวต่างชาติและเป็นแหล่งพื้นที่ของคนทำงาน
จึงมีแนวโน้มที่ดี ทั้งในด้านความต้องการของตลาด และราคาที่แข่งขันได้ อันเป็นโอกาสทางธุรกิจทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีจากโครงการสร้างอาคารชุดแห่งใหม่บนที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้ คาด เป็นอีกบิ๊กโปรเจ็กต์ ที่ผลักดันเป้าหมายรายได้ 1 แสนล้านบาท ในปี 2568
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจาก 100 เป็น 150 เหรียญต่อบาร์เรล
หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจาก 100 เป็น 150 เหรียญต่อบาร์เรล จะกระทบ GDP ประเทศต่างๆ เปลี่ยนแปลงจากกรณีฐาน
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากการคว่ำบาตรระหว่างชาติตะวันตกกับรัสเซียเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 และอาจจะลุกลามไปสู่การคว่ำบาตรเรื่องพลังงาน ทั้งแก๊สธรรมชาติและน้ำมัน ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การผลิตน้ำมันไม่เพียงพ่อต่อความต้องการน้ำมันได้ อีกทั้งมีการชะลอการผลิตลงจากหลากหลายส่วน ทำให้ทิศทางราคาพลังงานมีแนวโน้มขยับขึ้น ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล มีโอกาสจะขยับไปถึง 120 เหรียญต่อบาร์เรล และมีความเป็นไปได้ที่จะสูงขึ้นไปได้อีก
ทางสำนักวิจัยได้ใช้แบบจำลองจาก Oxford Economics (ภาพประกอบ) เปรียบเทียบผลกระทบทางเศรษฐกิจ (GDP) ในแต่ละประเทศ บนสมมติฐาน กรณีราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยทั้งปี ขยับขึ้น 50 เหรียญต่อบาร์เรล จากสมมติฐาน 100 เหรียญต่อบาร์เรล ไปที่ 150 เหรียญต่อบาร์เรล จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง GDP อย่างไรเมื่อเทียบกับกรณีฐานประเทศที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันสูงขึ้น คือ รัสเซีย และประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน ขณะที่ประเทศที่ใช้น้ำมันมากๆ อาทิ ไทย อินเดีย ประเทศในอาเซียน สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ จะมีเศรษฐกิจที่ชะลอกว่าคาด นั่นคือ ชะลอกว่ากรณีฐานที่ราคาน้ำมัน 100 เหรียญต่อบาร์เรล แปลว่า ถ้าราคาน้ำมัน 150 เหรียญต่อบาร์เรล เศรษฐกิจจะขยายตัวอยู่ เพียงแต่จะขยายตัวช้าลงกว่ากรณีฐาน เช่น ไทย อาจจะชะลอได้ 0.3% จากกรณีฐาน
ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า รัสเซีย และประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูง จะไม่เร่งรีบเจรจา หรือเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน จนทำให้ราคาน้ำมันย่อลงในทันที ส่วนประเทศที่ได้รับผลกระทบ คงต้องติดตามกันต่อไป ว่าราคาน้ำมันที่คาดกันว่าจะอยู่ระดับที่สูงเกิน 120 เหรียญต่อบาร์เรล จะทะยานขึ้นไปแตะระดับ 150 เหรียญต่อบาร์เรล หรือไม่ โดยคาดว่าจุดพีคจะอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 2
“สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจที่ชะลอลง มาจากราคาน้ำมันที่สูง ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูง รวมทั้งเงินเฟ้อของไทยก็มีความเสี่ยงจะสูงขึ้น โดยเงินเฟ้อเฉลี่ยปีนี้มีโอกาสที่ขึ้นไประดับ 4-5% และมีโอกาสที่เงินเฟ้อของไทยจะทะลุ 5% ได้ จากราคาพลังงาน และราคาอาหารสด ในช่วงไตรมาสที่สอง อย่างไรก็ดี กรณีราคาน้ำมันพุ่งสูงเกิน 150 เหรียญต่อบาร์เรล คงเป็นสถานการณ์ชั่วคราวในไตรมาส 2 หลังจากนั้น ราคาน้ำมันน่าจะย่อลง จากการที่คนเริ่มหาพลังงานทางเลือกมากขึ้น แม้ GDP ของไทย ยังขยายตัวในระดับสูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา แต่มีโอกาสเห็นเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้” ดร. อมรเทพ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สมราคามือ 1 โลก! “บาส-ปอป้อ” สุดยอด ผงาดคว้าแชมป์ เยอรมัน โอเพ่น
“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์-“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่ผสมมือ 1 โลก เปิดฉากทัวร์แรกของปีด้วยการคว้าแชมป์การแข่งขันแบดมินตันเวิลด์ทัวร์ซูเปอร์ 300 “โยเน็กซ์ เยอรมัน โอเพ่น 2022” ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 13 มีนาคม
รอบชิงชนะเลิศ บาส-ปอป้อ พบกับ อู๋ ซวน ยี่-หวง หย่า เฉียง ซึ่งเป็นคู่ใหม่จากจีน ปรากฏว่า บาส-ปอป้อยังเล่นด้วยฟอร์มที่สุดยอด เอาชนะไปสองเกมรวด 21-11, 21-9 ประเดิมทัวร์แรกของปี 2022 ด้วยการคว้าแชมป์ไปครอง นับเป็นแชมป์รายการที่ 6 ติดต่อกันต่อเนื่องมาจากเมื่อปลายปี 2021 รวมถึงเป็นแชมป์แบดมินตันระดับโลกรายการที่ 13 ของทั้งคู่ที่จับคู่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อปลายปีค.ศ. 2015
สำหรับรายการต่อไป บาสและปอป้อร่วมกับนักแบดฯไทยอีกจำนวนหนึ่งจะเข้าร่วมการแข่งขันศึกใหญ่ระดับเวิลด์ทัวร์ซูเปอร์ 1000 รายการ “โยเน็กซ์ ออลอิงแลนด์ โอเพ่น 2022” ระหว่างวันที่ 16-20 มีนาคม ที่ประเทศอังกฤษ
สรุป 13 แชมป์ของ “บาส-ปอป้อ”
ปี 2017 – สวิส โอเพ่น
ปี 2019 – มาเก๊า โอเพ่น, โคเรีย โอเพ่น, สิงคโปร์ โอเพ่น
ปี 2021 – โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น, โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น, เวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์ 2020, ฮายโล โอเพ่น, อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส, อินโดนีเซีย โอเพ่น, เวิลด์ทัวร์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2021 , เวิลด์แชมเปี้ยนชิพส์ 2021
ปี 2022 – เยอรมัน โอเพ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 วิธีรับมือกับอารมณ์โกรธ ก่อนหลุดเหวี่ยงวีนจนเสียงาน
ความเครียดในสังคมทุกวันนี้เกิดขึ้นได้ง่ายเหมือนกับดราม่า หลายคนหมกหมุ่น หลายคนตีกรอบความคิดตัวเอง หลายคนต้องการให้คนอื่นคิดเหมือนตัวเอง หลายคนแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาโดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะเดือดร้อนหรือไม่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราต้องเจอตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วจะมีวิธีรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้อย่างไรเพื่อไม่ให้ตนเองสติแตก 6 วิธีต่อจากนี้คือการรับมือความรู้สึกทางอารมณ์ตามวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ ลองทำกันดู คุณจะได้คุมอารมณ์ตัวเองให้อยู่หมัด
6 วิธีรับมือกับอารมณ์โกรธ ก่อนหลุดเหวี่ยงวีนจนเสียงาน
- ตัดความรู้สึกในด้านลบที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจคุณ
เมื่อคุณต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้าย เรามักจะคิดวนเวียนอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น มักจะคิดไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมเหตุการณ์นี้ถึงได้เกิดขึ้น เป็นการคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิธีการง่ายที่สุดในการเอาตัวออกจากอารมณ์แบบนี้คือหยุดคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หันเหความสนใจไปที่เรื่องอื่น อาทิ เดินไปหากาแฟดื่มสักแก้ว หรือออกไปเดินเล่นในสวนสักพัก เหล่านี้ทำให้สมองได้หยุดพักจากทุกความกังวลจากปัญหาและจะทำให้ให้คุณได้หาทางออกได้ดีกว่ามานั่งจมอยู่กับปัญหาแล้วคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร
- หายใจลึกๆ
หลายคนบอกว่าเวลาที่มีเรื่องเลวร้ายกับเราหรือได้รับข่าวร้ายมา ให้หายใจลึกๆ ซึ่งวิธีการหายใจลึกๆ ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ แต่นี่คือวิทยาศาสตร์ เพราะการหายใจลึกๆ ส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ดังนั้น นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว หรือเครียดจากสภาวการณ์รอบด้าน
- สร้างอารมณ์ที่ดีด้วยตัวคุณเอง
นี่คือวิธีการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่คุณสามารถควบคุมอารมณ์ให้กลับมานิ่งและสามารถหาหนทางแก้ปัญหาได้แล้ว ลำดับต่อมาคือสร้างความรู้สึกที่ดีและอารมณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง เพื่อขจัดความรู้สึกเป็นลบที่อาจแฝงอยู่ในใจคุณ
- ฝึกทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่มีทุกเรื่องบนโลกใบนี้ที่จะถูกใจเราไปทั้งหมด บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่เราคิดว่าไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็ดันเกิดขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ชีวิตนี้ต้องเครียดจนเกินไป คือทำใจยอมรับ เพราะมันมีเหตุและปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้หลายอย่าง จะเก็บมาเครียดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์
- อย่าใช้กาแฟหรือน้ำอัดลมเป็นที่ระบายความเครียด
คาเฟอีน เป็นสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดพลังงาน แต่คาเฟอีน ก็ทำให้เราตื่นตัวจนเกินไปถ้าคุณอยู่ในสภาวะที่รู้สึกว่า ตึงเครียด จงอย่าได้ดื่มกาแฟหรือน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพราะจะทำให้คุณนั้นตื่นตัวมากกว่าปกติ
- ระบายความเครียดด้วยการเล่นกีฬา
ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเองเพื่อเดินออกมาจากความเครียดได้ จงเดินหน้าเข้ายิม หรือออกไปวิ่ง ออกไปปั่นจักรยาน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้คุณได้ปรับสภาพอารมณ์ตัวเองใหม่ทั้งหมด และทำให้คุณไม่ตกอยู่ในวังวนของอารมณ์มากจนเกินไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อย่าสับสน To กับ Into มันไม่เหมือนกันนะ
To กับ into อาจจะดูคล้ายกัน แต่จริงๆแล้วนั้น ทั้งความหมายทั้งวิธีการใช้งานกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากใครกำลังสับสนอยู่ เรามาไขข้อข้องใจกันเถอะ
To: ถึง, แก่, ต่อ, สู่ (แปลได้หลากหลายตามแต่ละบริบท)
As a preposition – ใช้เป็นบุพบท ได้ดังต่อไปนี้
1. Destination or Direction
ใช้เมื่อมีการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง หรือบอกทิศทาง แปลได้ว่า ที่
ซึ่งมักวางไว้หลังกริยา (v.) หน้าคำนามที่เป็นปลายทาง
ตัวอย่างเช่น
We’re going to Melbourne next month. – พวกเรากำลังจะไปที่ Melbourne เดือนหน้า
Does he want to come to the park with us? – เขาต้องการที่จะมาที่สวนสาธารณะกับเราไหม?
The dog ran to us as soon as we arrived. – หมาตัวนั้นวิ่งมาที่พวกเราทันทีที่พวกเรามาถึง
2. Receiver of an action (Object)
ใช้บอกถึงกรรมของกริยาว่าทำอะไรให้ใคร แปลได้ว่า แก่, ถึง
มักใช้กับกริยาเช่น give, hand, send, write etc.
ตัวอย่างเช่น
I gave a book to Sandra. – ฉันให้หนังสือแก่แซนดร้า
He sometimes sends a message to his mom. – เขาส่งข้อความถึงแม่ของเขาบ้างบางครั้ง
3. Time
ใช้เมื่อบอกเวลาและใช้บอกกำหนดเวลาของเหตุการณ์ แปลได้ว่า ถึง, จะถึง
กรณีบอกเวลาสำหรับช่วงนาทีที่ 31 – 59 จะใช้คำว่า to แล้วตามด้วยชั่วโมงถัดไป (เป็นการบอกว่าอีกกี่นาทีจะถึงชั่วโมงถัดไป)
ตัวอย่างเช่น
9.54 – It’s six to ten. – อีก 6 นาทีจะถึง 10 โมง
It’s just three days to New Year’s Day. – มันอีกแค่ 3 วันจนกว่าจะถึงวันปีใหม่ (คล้าย until)
They’re only open from Monday to Friday. They’re closed at the weekend. – พวกเขาเปิดร้านเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และพวกเขาปิดร้านในวันหยุดสุดสัปดาห์
4. Approximate numbers
ใช้สำหรับประมาณตัวเลขคร่าวๆ หรือเป็นช่วงๆ แปลได้ว่า ถึง
มักใช้วางไว้ระหว่างจำนวนตัวเลข
ตัวอย่างเช่น
There are thirteen to fifteen people in the room. – มีจำนวนผู้คนประมาณ 13 ถึง 15 คนในห้องนี้
It’ll probably cost you thirty to thirty-five pounds. – มันมีราคาอยู่ที่ประมาณ 30 ถึง 35 ปอนด์
5. After Nouns
เพื่อบอกทิศทางหรือตำแหน่งของสิ่งเหล่านี้ เช่น ประตู (door), ทางเข้า (entrance), ถนน (road), ระยะทาง (route), เส้นทาง (way) แปลได้ว่า ที่, สู่
มักวางตามหลังคำนาม
ตัวอย่างเช่น
The door to the main office was opened. – ประตูที่ไปสู่ห้องทำงานหลักถูกเปิดไว้
Is this the way to the park? – นี่ใช่ทางไปที่สวนไหมคะ?
The ferry to China takes 12 hours. – เรือที่เดินทางไปสู่ประเทศจีนใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมง
Is this the bus to the main street? – นี่ใช่รถประจำทางที่ไปสู่ถนนหลักไหมครับ?
มักวางหลังคำนาม เพื่อแสดงการตอบโต้ การตอบกลับ
ตัวอย่างเช่น
His reaction to her comments was very aggressive. – ปฏิกิริยาของเขาต่อคอมเม้นท์ของเธอนั้นทำให้เขาโกรธอย่างมาก
6. After verb
ใช้ตามหลังคำกริยาเพื่อบอกว่ากระทำสิ่งใดกับใครหรืออะไร
มักใช้ตามหลังคำเหล่านี้ เช่น be used, get used, listen, look forward, object, reply, respond.
ตัวอย่างเช่น
We listened to that CD you lent us. It’s great. – พวกเราได้ฟัง CD ที่คุณให้พวกเรายืมแล้วนะ
The bank hasn’t replied to my letter yet. – ธนาคารยังไม่ได้ตอบกลับที่จดหมายของฉันเลย
7. After adjective
ใช้เชื่อมประโยคกับพฤติกรรม และความรู้สึกของผู้คน อาจตามคำเหล่านี้ เช่น cruel, faithful, generous, kind, loyal, nasty
ตัวอย่างเช่น
I cannot bear people being cruel to animals. – ฉันไม่สามารถอดทนกับคนที่ใช้ความรุนแรงกับสัตว์ได้
Be kind to her. You’re so nasty to her! – ช่วยใจดีกับเธอหน่อยก็ได้ เธอทำตัวน่าสะอิดสะเอียดต่อเธอมากเลยนะ
Into: มุ่งไปยัง, ไปใน
1. ใช้บอกการแสดงตำแหน่งและหน้าที่เช่นกันแต่บอกทิศทางด้วยว่ากำลังจะไปที่ไหน
ตัวอย่างเช่น
They walk into the hall. – พวกเขาเดินเข้าไปในห้องโถง
This car is moving into town. – รถคันนี้กำลังเคลื่อนที่เข้ามาในเมือง
She walked into the house. – เธอเดินเข้าไปในบ้าน
2. ใช้ into เพื่อพูดถึงสิ่งที่เราสนใจ
ตัวอย่างเช่น
I’m into playing the guitar. – ฉันชอบเล่นกีต้าร์
I’m so into you. – ผมชอบคุณมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
เปิด 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2565”
เปิด 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2565 ชี้ “ซอฟต์แวร์” เป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตด้านผลกำไรให้กับผู้ผลิตรถยนต์ ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครื่องยนต์ โดยให้ผู้อื่นเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แทน ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างในรถยนต์ และซอฟต์แวร์จะกลายปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลักของกำไรให้กับผู้ผลิต โดยผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จะแปลงสภาพเป็นบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ในที่สุด
การ์ทเนอร์ เปิด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญในปี 2565 ที่ผู้บริหารด้านไอทีควรพิจารณาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์
5 แนวโน้มเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ประจำปี 2565
แนวโน้มที่ 1: ผู้ผลิตรถยนต์จะทบทวนแนวทางการจัดหาชิ้นส่วน (Hardware)
ผู้ผลิตรถยนต์กำลังพิจารณากลยุทธ์จัดเก็บสินค้าคงคลังระยะยาวที่ยึดตามหลักการจัดการสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดีหรือ Just-In-Time (JIT) ซึ่งส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน (OEM) รวมถึงซัพพลายเออร์ระดับ Tier 1 ไม่มีสินค้าสำรองในช่วงภาวะการขาดแคลนชิปต่าง ๆ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องทบทวนว่าจะจัดการกับผู้ผลิตชิปอย่างไร รวมถึงการพิจารณาพัฒนาชิปของตนเอง
การ์ทเนอร์คาดว่าในปี พ.ศ. 2568 ครึ่งนึง (50%) ของ 10 บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ชั้นนำ จะผลิตชิปของตนเอง และสร้างกลยุทธ์รวมถึงความสัมพันธ์ระยะยาวร่วมกับผู้ผลิตชิปต่าง ๆ โดยตรง พร้อมยกเลิกระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (JIT)
แนวโน้มที่ 2: บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศยานยนต์
ในปี พ.ศ.2565 นี้จะเห็นบริษัทดิจิทัลยักษ์ใหญ่ อาทิ Amazon Web Services (AWS), Google, Alibaba หรือ Tencent ขยายธุรกิจในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์อย่างต่อเนื่อง บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังนำรถยนต์เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเองมากขึ้น ซึ่งในที่สุดก็จะเปิดเป็นบริการเชื่อมต่อเทคโนโลยีเข้ากับรถยนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ
การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี พ.ศ.2571 70% ของยานพาหนะที่ขายออกไปจะใช้ระบบปฏิบัติการ Android ในรถยนต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่วันนี้มีไม่ถึง 1%
เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ด้วยตนเองเป็นเรื่องยาก บริษัทรถยนต์จึงร่วมมือกับบริษัทดิจิทัลรายใหญ่เพื่อเปลี่ยนซอฟต์แวร์ให้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้หลัก หรือสร้างทรัพยากรภายในองค์กรจำนวนมากให้บรรลุเป้าหมายองค์กรได้ด้วยตนเอง
แนวโน้มที่ 3: โมเดลข้อมูลและความร่วมมือแบบเปิด (Open Data and Open-Source Collaboration) สร้างความสำเร็จต่อเนื่อง
เมื่อปีก่อนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งได้สร้างระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์สและแพลตฟอร์มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แบบเปิด ซึ่งแนวทางนี้ได้กระตุ้นให้เกิดรูปแบบความร่วมมือใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มมากขึ้นในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทด้านยานยนต์ยังหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลในลักษณะเดียวกันกับที่โลกเทคโนโลยีมองมากยิ่งขึ้น “เป้าหมายของบริษัทไม่ใช่เพื่อขายข้อมูล แต่เพื่อนำข้อมูลมาสร้างหรือบูรณาการระบบนิเวศที่จะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลหลากหลายยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาฟีเจอร์หรือบริการดิจิทัลที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
แนวโน้มที่ 4: ผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มระบบอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-The-Air (OTA) เป็นช่องทางสร้างรายได้หลักบนดิจิทัล
ปีที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์แบบ Over-The-Air (OTA) เมื่อผู้ผลิตหลายรายเริ่มเสนอการอัปเดตซอฟต์แวร์ในรูปแบบดังกล่าว
ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ได้อัปเดตฮาร์ดแวร์ของรถยนต์เพื่อเปิดรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ ปัจจุบันพวกเขากำลังเริ่มเปลี่ยนไปใช้รูปแบบรายได้ที่อ้างอิงจากบริการมากกว่าการยอดขายสินค้า
นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2566 ครึ่งหนึ่ง (50%) ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ 10 อันดับแรกจะนำเสนอความสามารถในการปลดล็อคและอัปเกรดผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถซื้อได้หลังการจำหน่ายรถยนต์
แนวโน้มที่ 5: ยานยนต์ไร้คนขับ กับกฎระเบียบเพิ่มเติมและอุปสรรคเชิงพาณิชย์ที่ยังไม่หายไปไหน
แม้ว่าเทคโนโลยีการตรวจจับ (Sensing Technology) จะพัฒนาดีขึ้น แต่อัลกอริธึมของการรับรู้ก็มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นตลอดจนกฎระเบียบและมาตรฐานการพัฒนาด้านต่าง ๆ ก็คืบหน้าไปเช่นกัน โดยที่ผู้พัฒนายานยนต์ไร้คนขับยังคงเผชิญความท้าทายในการขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเมืองหรือพื้นที่ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
ผู้ผลิตรถยนต์ได้เริ่มเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 3 และกำลังดำเนินการติดตั้งใช้งานรถบรรทุกไร้คนขับในระดับ 4 รวมถึง ระบบการให้บริการรถรับส่งแบบ Taxi (หรือ Robotaxis) สำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ตามการทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีอัตโนมัตินั้นยังคงต้องใช้เวลาและรูปแบบการจำลองการขับให้มีความครอบคลุมรวมถึงการทดสอบในท้องถนนจริง ๆ นั่นทำให้การผลิตเชิงพานิชย์เป็นไปได้ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นต่าง ๆ อาทิ การรับผิดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อพิจารณาทางสังคม เช่น วิธีการสื่อสารโต้ตอบระหว่างรถที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์และรถที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังเพิ่มความท้าทายให้สูงขึ้น
ต้นทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูงมากในระบบ Robotaxis หรือระบบอัตโนมัติระดับ 4 ในรถบรรทุกขนาดใหญ่ นอกจากเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเร็วของการนำระบบอัตโนมัติมาปรับใช้ให้มีความแพร่หลายแล้ว ยังรวมถึงการส่งมอบผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อีกด้วย ซึ่งมันดูย้อนแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากข้อดีหลักอย่างหนึ่งของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติก็คือการลดต้นทุนด้านการดำเนินงานของภาคการขนส่ง
นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2573 ทั่วโลกจะมีจำนวนรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเชิงพาณิชย์ (Robotaxis) ระดับ 4 เปิดให้บริการสูงกว่ารถแท็กซี่ในปัจจุบันถึง 4 เท่า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไม่มองขึ้นไปก็ไม่เห็น แล้วทำไมเราต้องทาสีตรงพื้นที่ใต้บันไดกันด้วย?
สีทาบ้านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการสร้างอารมณ์และบรรยากาศโดยรวมของผู้ใช้งานหรืออยู่อาศัยในสถาปัตยกรรม นอกเหนือไปจากพื้นที่ผนังในห้องต่าง ๆ ที่สร้างประสบการณ์โดยตรงด้วยความโดดเด่นเห็นชัดง่าย ยังมีพื้นที่อื่น ๆ ที่หลายคนมองข้ามไปไม่ว่าจะด้วยการหลงลืม มองข้ามความสำคัญ หรือมุ่งเน้นเพียงฟังก์ชันการใช้งาน อย่างพื้นที่ใต้บันได แต่ไม่ใช่สำหรับ Berthold Lubetkin สถาปนิกผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมแนวโมเดิร์นผู้ออกแบบให้พื้นที่ใต้บันไดอาคารที่พักอาศัยสาธารณะมีสีแดงสดเช่นนี้
“Bevin Court” คืออาคารที่พักอาศัยที่ออกแบบขึ้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บันไดเป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแห่งนี้ ด้วยการนำรูปทรงเรขาคณิตมาออกแบบสไตล์ Constructivist สอดคล้องกับประวัติของอาคารที่เคยเป็นที่พักอาศัยของเลนิน นักปฏิวัติคนสำคัญของโลก ซึ่งนำมาสู่อีกชื่อของสถาปัตยกรรมนี้คือ “Lenin Court”
ด้วยเหตุนี้ สีแดงของบันไดรูปทรงตัว Y จึงมีฟังก์ชันมากกว่าแค่เชื่อมชั้นหนึ่งเข้ากับอีกชั้นที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ระลึกถึงประวัติศาสตร์ตามความตั้งใจเดิมของสถาปนิกผู้วางแผนจะฝังอนุสรณ์ถึงนักปฏิวัติท่านนั้นไว้ที่ฐานใต้บันไดอีกด้วย รวมทั้งเปิดมุมมองที่งดงามเมื่อมองจากที่พื้นขึ้นไปยังจุดสูงสุดที่ชั้นหกโดยไม่ถูกปิดกั้นด้วยสิ่งใดก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/03/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,100.00 | 31,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,015.00 | 30,547.40 | 31,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,813.50 | 27,492.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,612.00 | 24,437.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 907.00 | 13,750.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 705.00 | 10,687.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,088.00 | 31,654.08 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/03/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 | 40.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 | 39.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 39.04 | 39.04 | 39.04 | 39.04 | 39.04 | – | 39.04 | 39.04 | 39.04 | 39.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.34 | 32.34 | – | – | – | – | – | – | – | 32.34 |
เบนซิน 95 | 47.56 | – | – | – | 48.01 | – | 48.06 | 48.06 | – | 47.56 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.96 | 35.96 | 36.39 | 36.36 | 36.39 | – | – | – | – | 35.96 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |