‘บ้านหรู’ กำลังซื้อ ไม่แผ่ว เพอร์เฟค ทำยอดขายโต 200%
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เผย ยอดขายกลุ่มบ้านหรู ระดับบน โตแรง 9 เดือนทำได้แล้ว 5,500 ล้านบาท เติบโตถึง 200% คาดทั้งปีแตะ 7,000 ล้านบาท
26 ก.ย.2565 – นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดขายจากกลุ่มโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปได้แล้ว 5,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 200% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นยอดขายจากโครงการของบริษัท 2,500 ล้านบาท และจากโครงการร่วมทุน 3,000 ล้านบาท
คาดว่าปีนี้ยอดขายจากโครงการระดับบนทั้งปีจะอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท ด้วยความต้องการของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงที่เติบโตขึ้นในช่วง 2-3 ปีผ่านมา และยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ภาพรวมตลาดบ้านในเซกเมนต์ระดับบนยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี
“ยอดขายบ้านระดับบนที่เติบโตขึ้นจากสัดส่วน 26% ของยอดขายรวมในปีก่อน มาเป็นเกือบ 50% ในช่วง 9 เดือนของปีนี้ แสดงถึงความมั่นใจของลูกค้าที่มีต่อกลุ่มโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ของบริษัท ซึ่งเป็นสินค้าที่เรามีความเชี่ยวชาญและไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนารูปแบบเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ขณะที่การจับมือกับพันธมิตรจากต่างประเทศ ร่วมกันพัฒนาโครงการที่มีรูปแบบและแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ ยังเพิ่มความเชื่อมั่น ทำให้สามารถขยายฐานไปสู่กลุ่มซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่มากขึ้นด้วย”
ปัจจุบันกลุ่มโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนของบริษัทมี 3 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” เป็นบ้านหรูแบรนด์เรือธงที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งรูปแบบโครงการและแบบบ้านที่มีดีไซน์โดดเด่น รวมถึงทำเลที่มีศักยภาพสำหรับอยู่อาศัย ซึ่งมีอยู่ใน 5 ทำเล ได้แก่ รามคำแหง สุขุมวิท 77 กรุงเทพกรีฑา รัตนาธิเบศร์ และ แจ้งวัฒนะ ระดับราคา 25–80 ล้านบาท
“เลค เลเจ้นด์” โครงการภายใต้การร่วมทุนกับ “ฮ่องกง แลนด์” ในรูปแบบคฤหาสน์สุดหรูติดทะเลสาบ ที่เข้าถึงความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศสายน้ำ ใน 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ บางนา-สุวรรณภูมิ ระดับราคา 26–115 ล้านบาท โดยโครงการในทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ซึ่งเปิดตัวเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดี ทำยอดขายได้กว่า 1,700 ล้านบาทภายในเวลา 3 เดือน
“เดอะ ซิกเนเจอร์@เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” โครงการร่วมทุนกับ เซกิซุย เคมิคอล คฤหาสน์หรูพร้อมนวัตกรรมอากาศบริสุทธิ์ ปลอดฝุ่น ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ ทั้ง 5 ทำเล ราคา 24–60 ล้านบาท สามารถตอบโจทย์กลุ่มที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพและสนใจนวัตกรรมจากญี่ปุ่น คาดว่าปีนี้จะทำยอดขายเติบโตขึ้นถึง 80% เมื่อเทียบกับปีก่อน
บริษัทยังเน้นการสร้าง Value Proposition เพิ่มคุณค่าให้กับบ้านหรูในแบรนด์หลักอย่าง “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” โดยล่าสุดร่วมมือกับ “สวนนงนุช” ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก ในการเข้ามาเป็นผู้ออกแบบและจัดสวนในบ้าน ซึ่งคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุช เป็นผู้ควบคุมการออกแบบและตกแต่งสวนของบ้านแต่ละหลังด้วยตัวเอง นำแนวคิดในการออกแบบสวนสวยระดับโลกมาใช้ ทั้งการตกแต่งให้เป็นสวนพักผ่อนสไตล์ไทย การเลือกพรรณไม้เมืองร้อนที่ดูแลง่ายให้ร่มเงา ผ่านกระบวนการเพาะ ปลูกแบบชีวภาพที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ รวมถึงเลือกใช้พรรณไม้ที่ทรงคุณค่าและพรรณไม้หายาก พร้อมติดตั้งระบบรดนํ้าอัตโนมัติ ตามชนิดของต้นไม้ ที่มีความต้องการนํ้าในช่วงเวลาและปริมาณที่ต่างกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ปัจจัยลบฉุด ‘ตลาดที่อยู่อาศัย’ ระวัง ‘ทาวน์เฮ้าส์ , บ้าน 3-5 ล้าน ‘ค้างสต็อก
กำลังซื้อ ‘ตลาดที่อยู่อาศัย’ เปราะบาง EIC เผย เงินเฟ้อ – หนี้ครัวเรือน และ ดอกเบี้ย ฉุดความสามารถผู้บริโภค หวั่น ทาวน์เฮ้าส์ ,บ้าน 3-5 ล้านบาท สต็อกค้างเพิ่ม หลังเร่งเปิดตัวสูง อีกด้าน บ้านมือสอง แข่งลดราคา แย่งดีมานด์ ด้าน เสนาฯ เผย คอนโดฯ 1-2 ล้านขายดี แต่ไม่ได้ทำให้ตลาดฟื้น
26 ก.ย.2565 – แนวโน้มการปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายหลังจุดเปลี่ยน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่จบง่ายๆ แม้ประเมินว่า ‘กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ’ คือ ทางออก ตามเทรนด์ดีมานด์ความต้องการด้านพื้นที่ เพื่อรองรับวิถีใหม่ แต่เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2565 เติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ ภายใต้หนี้ครัวเรือนไทยสูง และ อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้น จึงส่งผลผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น และ ลูกค้ามีกำลังซื้อลดลง
‘กำลังซื้อ’เข้าไม่ถึงราคาแนวราบ
สอดคล้อง มุมมองตลาดที่อยู่อาศัยไทยปีนี้ ของ นายเชฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า ภาพตลาดอสังหาฯ ใน 2565 และปี 2566 มีปัจจัยที่ต้องติดตามหลักๆ คือ ภาวะเศรษฐกิจ ขณะจุดที่ต้องพิจารณา คือ คอนโดมิเนียม กลุ่มตลาดราคาต่ำ 1-2 ล้านบาท ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งเมื่อสอบถามไปยังความต้องการของผู้บริโภค พบว่า แม้ปัจจุบัน ผู้บริโภคต้องการบ้านแนวราบมีสัดส่วนสูงถึง 40% แต่ระดับราคา จะสนใจอยู่ที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท สะท้อนว่า เทรนด์ผู้ซื้อชอบแนวราบจริง แต่กำลังซื้อไม่ถึง ทำให้ตัดสินใจเลือกคอนโดฯ ก่อนอาจมีการขยับขยายในภายหลัง
โดยปัจจัยลบ ที่กดดัน คือ อัตราเงินเฟ้อ ที่ยังคงสูง และหนี้ครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน และต้นทุนการก่อสร้าง สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ การมีสต๊อกที่ยังสูงกว่าดีมานด์ และในปีหน้าจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นจะเป็นการเพิ่มจำนวนสะสมสต๊อกในตลาด โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาท
“สถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสมกลุ่มทาวน์เฮาส์ระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่กลุ่มคอนโดยังสามารถระบายหน่วยเหลือขายได้ดีในช่วงที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มต้องจับตามากขึ้นในระยะต่อไป”
ระวัง’บ้านมือสอง’แย่งดีมานด์
เจาะข้อมูลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย กทม.-ปริมณฑล ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) พบจุดห่วงใยตรงกัน โดย ณ ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีจำนวนที่อยู่อาศัย เปิดขายใหม่ 28,334 หน่วย มูลค่า 136,577 ล้านบาท ซึ่งมีกลุ่มของ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝดเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นมาก รวม 12,180 หน่วย มูลค่า 91,990 ล้านบาท แต่แนวโน้มยอดขาย และ การดูดซับต่อเดือนลดลง จาก 3% ในไตรมาสก่อนหน้า ลดลงมาอยู่ที่ 2.7% โดยแนะให้ผู้พัฒนาฯ เฝ้าระวังสต็อกค้างเก่าในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ในบางทำเล และ ดีมานด์มาแรงในกลุ่มบ้านมือสอง
‘ฐานเศรษฐกิจ’ เปิดข้อมูล เทียบภาพรวม ณ สิ้น ปี 2564 ในตลาดทดแทน ‘บ้านมือสอง’ พบบ้านเดี่ยว มีการประกาศขายเพิ่มขึ้น 15% รองลงมา คือ ทาวน์เฮ้าส์ 12.5% คอนโดฯ 11% และ บ้านแฝด 5.1% โดยกลุ่มทาวน์เฮ้าส์นั้น ในแง่มูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นสูงสุด รองลงมา คือ บ้านเดี่ยว รวมมูลค่าทั้งตลาด (ทุกสินค้า) 990,224 ล้านบาทต่อเดือน เป็นกลุ่มราคา 1-1.5 ล้านบาท จำนวน 15,311 หน่วย ,กลุ่มราคา 1.5-2 ล้านบาท จำนวน 15,749 หน่วย ,กลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 22,925 หน่วย และ กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 25,219 หน่วย (มากที่สุด) ครอบคลุมทั้ง 10 จังหวัดหลักๆ กทม. ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และ สมุทรสาคร
โปรดักส์ราคาต่ำ หนุนตลาดโตช้า
ขณะที่ นางสาว เกษรา ธัญลักษณ์ภาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า อสังหาฯปีนี้ ดีมานด์หลายตลาด ยังต่ำกว่าปริมาณซัพพลาย จึงยังเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายในบางพื้นที่ แต่ตลาดที่ขายสินค้าได้ คือ คอนโดฯกลุ่มที่มีระดับราคา 1-2 ล้านบาท เนื่องเป็นสินค้าใกล้เคียง รองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึง ทาวน์เฮ้าส์ ส่วน มูลค่าการโอนที่อยู่อาศัยมือหนึ่งยังคงหดตัว สวนทาง มูลค่าการโอนมือสองทุกประเภทขยายตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2565 สถาบันการเงินทุกแห่งรวมกันได้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปแล้วประมาณ 311,500 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.6% โดย ธอส. มีสัดส่วนสินเชื่อปล่อยใหม่ประมาณ 43% พร้อมคาดว่าทั้งปี 2565 ธอส. จะปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ถึง 280,000 ล้านบาท สูงที่สุดกว่าทุกปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า โปรดักส์ระดับราคาต่ำถึงปานกลาง ยังเป็นที่ต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน ปัจจัยบวกคือการขยายกรอบระดับราคาโครงการบ้านล้านหลัง เฟสที่ 2 จากเดิมไม่เกินราคา 1.2 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 1.5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 1.99% ต่อปี เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสคนซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น
” แต่ต้องยอมรับว่าความต้องการของผู้บริโภคไม่สอดคล้องกับสินค้าที่นักพัฒนาสามารถผลิตเข้าสู่ตลาด เนื่องมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งราคาที่ดิน และราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ความสามารถในการซื้อของประชาชน ยังเป็นกลุ่มราคาต่ำ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดไม่เติบโต”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทวันนี้เปิดตลาด “อ่อนค่า”ที่ระดับ 37.89บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสผันผวนฝั่ง “อ่อนค่า”และอาจทดสอบโซนแนวต้าน 38.00 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงนี้แนะผู้ประกอบการใช้ Options ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.89 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.84 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลนักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า หากตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง เงินดอลลาร์ก็จะยังคงได้แรงหนุนต่อเนื่อง ทำให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่าและอาจทดสอบโซนแนวต้าน 38.00 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงนี้ได้
นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งราคาน้ำมันดิบ และราคาทองคำ ก็อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรม Buy on Dip น้ำมันดิบและทองคำ เข้ามากดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าได้ ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในระยะสั้นนี้ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน อาทิ ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้ และเริ่มเห็นฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.75-38.00 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง รวมถึงการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลกำไรของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
ทำให้ ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ยังคงปรับตัวลดลงราว -1.03% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Chevron -2.6%, Exxon Mobil -2.1%) หลังราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า -2.2% จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนัก
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.42% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) เดือนกันยายน ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 84.3 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 87 จุด สะท้อนมุมมองของภาคธุรกิจเยอรมนีที่มีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3.91% ท่ามกลางแนวโน้มการเร่งขึ้นของบรรดาธนาคารกลางเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงเพื่อคุมลดแรงกดดันการอ่อนค่าของสกุลเงิน อย่างในฝั่งของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยและติดตามแนวโน้มค่าเงินปอนด์อย่างใกล้ชิด
หลังจากที่ล่าสุด เงินปอนด์ได้อ่อนค่ารุนแรง ภายหลังรัฐบาลได้เปิดเผยแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุด ซึ่งภาพดังกล่าวยังได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งยุโรปต่างปรับตัวสูงมากและส่งผลกระทบมายังบอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งสหรัฐฯ เช่นกัน เราคงมุมมองเดิมว่า
การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวจะยิ่งทำให้การกลับเข้ามาถือพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในอนาคตอาจชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ จากผลกระทบของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 114 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในจังหวะที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง และการอ่อนค่าลงรุนแรงของเงินปอนด์ (GBP)
ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับ 1,630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวในโซนแนวรับ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนกันยายน ที่อาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 104.3 จุด หนุนโดยการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว และ
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดโดยเฉพาะประธานเฟด Powell (รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Bullard, Evans และ Mester) เพื่อประเมินมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย หลังเฟดได้ส่งสัญญาณเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ในสัปดาห์ก่อนหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไทย VS โปแลนด์ : วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022, เทียบสถิติ, ถ่ายทอดสด
การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ โปแลนด์ จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 15 ตุลาคม 2565
โดยเกมที่สองในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี “ทัพนักตบสาวทีมชาติไทย” ได้เดินทางย้ายมายังเมืองกดัญสก์ ประเทศโปแลนด์ เพื่อลงสนามพบกับ “เจ้าถิ่น” โปแลนด์ ทีมอันดับ 14 ของโลก
ซึ่งผลงานในเกมแรกของทั้งคู่นั้น “สาวไทย” โชว์ฟอร์มสวยเอาชนะ ตุรกี 3-2 เซต ขณะที่ โปแลนด์ ทีมแกร่งจากยุโรปก็เก็บชัยเหนือ โครเอเชีย มาได้ 3-1 ทำให้เกมนี้ทั้งสองทีมจะลงเล่นด้วยความมั่นใจ
สำหรับสถิติการพบกันของทั้งสองทีมเจอกันมาทั้งหมด 12 ครั้ง เป็นทางฝั่งโปแลนด์ที่ทำได้ดีกว่าเอาชนะไปได้ 9 ครั้ง ขณะที่ ทีมชาติไทย เอาชนะได้เพียงแค่ 3 ครั้ง แถมช่วงหลังที่เจอกันต้องบอกว่าเราเป็นรองอยู่มากทีเดียว
เฮดทูเฮด 5 ครั้งหลังสุด : ไทย ชนะ 0, โปแลนด์ ชนะ 5
16 มิถุนายน 2565 : โปแลนด์ ชนะ ไทย 3-2 เซต (เนชั่นส์ลีก)
14 มิถุนายน 2564 : โปแลนด์ ชนะ ไทย 3-0 เซต (เนชั่นส์ลีก)
3 สิงหาคม 2562 : โปแลนด์ แพ้ ไทย 2-3 เซต (คัดโอลิมปิก)
23 พฤษภาคม 2562 : ไทย แพ้ โปแลนด์ 0-3 เซต (เนชั่นส์ลีก)
17 พฤษภาคม 2562 : โปแลนด์ ชนะ ไทย 3-0 เซต (มองเทรอซ์ฯ)
สำหรับ ทีมชาติไทย มีโปรแกรมจะลงสนามเกมที่สองพบกับ โปแลนด์ ในวันพุธที่ 28 กันยายน 2565 (คืนวันอังคารที่ 27 กันยายน) เวลา 01.30 น. แฟนๆ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง Workpoint ช่อง 23
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 วิธีแก้เครียดเวลารถติด ป้องกันสุขภาพจิตพัง
รถติด หนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับคนกรุงเทพฯ จากที่เคยมีการสำรวจ กรุงเทพของเราก็เคยติดอันดับต้นๆ ของโลกในเรื่องรถติด โดยผู้คนในประเทศไทยเคยเสียเวลาเฉลี่ยประมาณ 61 ชั่วโมงต่อปีไปกับรถติดบนท้องถนน แต่รถติดไม่ใช่แค่เสียเวลาชีวิตอย่างเดียวมันตามมาด้วยปัญหาทางสุขภาพจิต แล้วเราจะรับมือกับมันได้อย่างไร ลองทำตาม 4 วิธีนี้ดู
รถติดเสียสุขภาพจิต สุขภาพกาย
รถติดนั้นส่งผลเสียต่อเราอย่างมาก อันดับแรกเลยที่คนรู้สึกได้คือความเครียด การที่อยู่กับที่เป็นเวลานานๆ รถติดไม่ขยับไปไหน ทำให้เกิดภาวะกดดัน จนเป็นหนึ่งในสาเหตุของความเครียดได้ บางคนอาจมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิดจากการที่รถติด ส่งผลทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดหัวได้ นอกจากนี้เวลารถติดนั้นอาจทำให้เราเกิดอาการเมื่อย ปวดตา ปวดคอ ตามมาอีกด้วย
4 วิธีแก้เครียดเวลารถติด
- หายใจเข้า หายใจออกลึกๆ
วิธีง่ายๆ แต่ได้ผลจริงๆ คือการหายใจเข้าออกลึกๆ มันช่วยให้เราผ่อนคลายจากความเครียดได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น อย่าดูถูกพลังของสิ่งง่ายๆ แบบนี้ การหายใจเข้าออกลึกๆ ช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ มันทำให้เราสดชื่นขึ้นและผ่อนคลายขึ้นมามากเลยทีเดียว
- ระวังความโกรธ
อารมณ์นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ แน่นอนว่าบางครั้งเราคงเอาความรู้สึกโกรธออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่ให้ระวังความโกรธของตัวเอง ที่จะทำให้ตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป ทางที่ดีที่สุดคือยอมรับความรู้สึก หายใจเข้าออกช้าๆ ปล่อยบางเรื่องผ่านไป
- เปิดเพลง
จากงานวิจัยพบว่าเมื่อรถติด เรามักจะมีความกังวลอื่นๆ ตามเข้ามา เช่น กังวลว่าจะไปถึงที่หมายทันหรือเปล่า บางครั้งเราก็แค่กังวลกับอะไรไม่รู้ รู้สึกเครียดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ สิ่งนี้ส่งผลทำให้อัตราการเต้นหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น การฟังเพลงจะช่วยให้ใจเย็นลง อย่าลืมหา playlist โปรดไว้สำหรับช่วงรถติด
- แกล้งยิ้ม
การแกล้งยิ้ม งานวิจัยชี้ว่าแม้จะแกล้ง แต่ก็ช่วยลดความเครียดของร่างกายได้ น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับเวลารถติดอยู่บนรถแม้สถานการณ์มันจะไม่น่ายิ้มก็ตาม
รถติด คงหลีกเลี่ยงไม่ได้และคงแก้ได้ยาก วิธีอื่นๆ ที่พูดๆ กันก็เช่น เลี่ยงหลีกช่วงเวลาเร่งด่วนไปเลย หาที่จอดพัก ใครมีวิธีไหนก็แนะนำกันเข้ามาได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ
เป็นบทสนทนาสุดเบสิคเลยจริงๆ สำหรับประโยคการถามไถ่ถึงเวลาต่างๆ หายคนอาจจะเคยผ่านตามาบ้างในชั้นเรียน แต่รู้หรือเปล่าว่าการบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ แท้จริงแล้วมีอะไรซ่อนมากกว่านั้นอยู่นะ! ว่าแต่มันคืออะไร ตาม วอลล์สตรีทอิงลิช มาดูเลยดีกว่า!
โดยทั่วไปแล้ว วิธีหลักๆ ในการบอกเวลาจะแบ่งเป็น 2 แบบ ดังต่อไปนี้
แบบ British English
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ แบบนี้ไม่มากก็น้อย เพราะแบบ British English จะใช้ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง โดยจะใช้เลข 1 -12 ตามด้วย a.m. และ p.m. ที่หลายๆ คนต่างคุ้นเคยกันนั่นเอง
a.m. = ante meridiem = หลังเที่ยงคืน – ก่อนเที่ยงวัน (00.01 a.m. – 11.59 a.m.)
p.m. = post meridiem = หลังเที่ยงวัน – ก่อนเที่ยงคืน (12.00 p.m. – 11.59 p.m.)
หากคุณต้องการบอกเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “o’clock” ท้ายเวลา หรือพูด a.m. และ p.m. ตามด้วยเวลาต่างๆ ก็ได้ เช่น
10.00 a.m. = ten o’clock in the morning
04.00 p.m = four o’clock in the afternoon
แต่ถ้า คุณอยากจะบอกเวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกิน 30 นาที ให้บอกนาทีนำหน้า แล้วตามด้วย “past” และชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น
09.25 a.m. = twenty-five past nine
05.12 p.m. = twelve past five
เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว ให้บอกนาทีที่เหลือก่อนจะถึงชั่วโมงถัดไป ตามด้วย “to” และชั่วโมงถัดไป เช่น
07.50 a.m. = ten to eight
08.40 p.m. = twenty to nine
สำหรับ การบอกเวลาแบบ British English หากนาฬิกาเป็นเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น
06.15 a.m. = a quarter past six
06.30 a.m. = half past six
แบบ American English
อีกรูปแบบการบอกเวลา ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ไม่ได้นิยมใช้แพร่หลายมากเท่า British English เพราะแบบ American English จะใช้ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง ใช้ตั้งแต่เลข 0 ไปจนถึง 24 และแน่นอนว่า จะไม่มี a.m. และ p.m. เด็ดขาด
สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการบอกเวลาแบบนี้ วิธีพูดคือ ให้บอกเลขชั่วโมงก่อนตามด้วยเลขนาที โดยทั่วมักจะใช้ในทางทหาร หรืองานที่เป็นทางการ เช่น
เวลา 20.15 น. = twenty fifteen
เวลา 08.05* น. = eight O five *ใช้เสียง O (โอ) แทนเลข 0
เวลา 17.50 น. = seventeen fifty
เทคนิคเล็กน้อย สำหรับการบอกเวลาด้วย American English คุณจะสามารถเติมคำประมาณอย่าง about, around หรือ nearly ลงไปได้ เช่น
เวลา 08.02 น. =It’s about eight o’clock
เวลา 09.27 น. = It’s nearly half past nine
ส่งท้าย ทริคเล็กน้อย
- ในเวลาเที่ยงคืนหรือเที่ยงวัน สามารถใช้คำว่า “midnight” หรือ “midday / noon” แทนเลข 12 ได้ เช่น เวลา 00:00 น. แทนช่วงเวลานี้ ว่า midnight หรือ เวลา 12:00 น. แทนช่วงเวลานี้ว่า midday or noon
- ส่วนในการพูดอย่างเป็นทางการ สามารถใช้ “a.m.” หรือ “p.m.” ประกอบได้อยู่เหมือนเดิม เช่น เวลา เวลา 03:15 น. บอกได้ว่า three fifteen a.m
- หากจำเป็น ก็สามารถใช้ “in the morning, in the afternoon, in the evening, at night” ประกอบได้ เช่น เวลา 03:15 น. เป็น A quarter past three in the morning. หรือ A quarter past three at night. ก็ได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
6 ฟีเจอร์สุด WOW! บริการเรียกรถของ “แกร็บ” ที่คนอาจไม่เคยรู้
เปิด 6 ฟีเจอร์ไม่ลับ! บริการเรียกรถของ “แกร็บ” ที่ผู้ใช้ลองแล้วต้องร้อง WOW! ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์ทั้งความสะดวกสบาย และสร้างความอุ่นใจในทุกเที่ยวการเดินทาง
บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันอย่าง “แกร็บ” ได้กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้การเดินทางในปัจจุบันมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสัญจรในชีวิตประจำวัน เมื่อต้องเดินทางกลางดึก หรือแม้จะอยู่ลึกในซอยเปลี่ยว เพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถไปถึงจุดหมายได้อย่างสะดวกสบาย
จึงไม่แปลกใจที่บริการนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในเมืองและต่างจังหวัดจนกลายเป็นคำเรียกติดปาก แถมล่าสุดผู้ใช้บริการยังมั่นใจไร้กังวล เพราะแกร็บได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการแล้วจากกรมการขนส่งทางบก
แต่รู้หรือไม่? ว่าบริการเรียกรถของแกร็บมีฟีเจอร์เสริมต่างๆ ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์พิเศษ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ในด้านความสะดวกสบาย แต่ยังสร้างความอุ่นใจในทุกเที่ยวการเดินทางด้วย และนี่คือ 6 ฟีเจอร์ไม่ลับ! ที่ลองแล้วต้องร้องว้าว
1) “Silent Mode” เข้าโหมดส่วนตัวขอพี่คนขับไม่ชวนคุย
เชื่อว่าหลายคนอาจเคยเจอประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ รู้สึกอึดอัดเวลานั่งแท็กซี่หรือรถรับจ้างสาธารณะ แล้วพี่คนขับชวนคุยไม่หยุดกันแน่ๆ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะแกร็บได้ออกแบบฟีเจอร์ที่เรียกว่า ‘โหมดงดการสนทนา’ หรือ Silent Mode เพื่อยกระดับประสบการณ์ในการเดินทางให้มีความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้เวลาระหว่างเดินทางผ่อนคลายไปกับความเงียบสงบ หรือ ฟังเพลงสบายๆ ได้ตามที่ต้องการ
2) ปลอดภัยหายห่วงไปกับฟีเจอร์ “Safety Centre”
เพิ่มความมั่นใจในการเดินทางให้กับผู้โดยสารด้วยฟีเจอร์ ‘Safety Centre’ ที่ผู้โดยสารสามารถเลือกกด ‘Share My Ride’ เพื่อแชร์ข้อมูลการเดินทาง อาทิ ตำแหน่งของรถแบบเรียลไทม์ รายละเอียดของพาร์ทเนอร์คนขับทั้งชื่อ เลขทะเบียน และรุ่นรถ ตลอดจนรายละเอียดการเดินทางอย่างเวลาที่เรียกรถ จุดเริ่มต้น และจุดปลายทาง นอกจากนี้หากเกิดเหตุขัดข้องหรือภัยอันตราย เพียงแค่ผู้โดยสารกดปุ่ม ‘Emergency Button’ หมายเลขฉุกเฉิน 191 ก็จะปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์ และพร้อมต่อสายหาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ในทันที
3) “Carbon Offset” ฟีเจอร์ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพื่อโลกที่ยั่งยืน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมนับเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกคนต้องร่วมช่วยกันแก้ไข เพื่อเชิญชวนให้ผู้ใช้บริการตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความยั่งยืน แกร็บจึงได้พัฒนาฟีเจอร์ ‘Carbon Offset’ ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคร่วมชดเชยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง โดยผู้ใช้บริการสามารถกดเลือกบริจาคเงินจำนวน 2 บาทเมื่อเดินทางด้วยรถยนต์ และ 1 บาทเมื่อเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ให้กับโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ในประเทศไทย
4) ฟีเจอร์ “Ride Cover” เพื่อคุ้มครองผู้โดยสาร ที่มอบความคุ้มค่าให้ถึงสองต่อ!
ความปลอดภัยในการเดินทาง คือ สิ่งที่แกร็บให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง นอกเหนือจากประกันอุบัติเหตุที่มีวงเงินสูงสุดถึง 200,000 บาท ที่แกร็บให้ความคุ้มครองกับผู้โดยสารทุกคนในทุกเที่ยวการเดินทางโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว ผู้ใช้บริการสามารถรับสิทธิประโยชน์ถึงสองต่อ เพียงแค่กดเปิดฟีเจอร์ ‘คุ้มครองผู้โดยสาร’ หรือ Ride Cover ในราคาเพียง 5 บาทต่อการเดินทาง ต่อแรกรับคะแนนแกร็บรีวอร์ด 500 แต้ม เพื่อใช้เป็นส่วนลดกับทุกบริการ หากพาร์ทเนอร์คนขับมาช้าเกินกว่า 10 นาที ต่อสองกับการเพิ่มวงเงินประกันคุ้มครองอุบัติเหตุฟรีสูงสุดถึง 800,000 บาท
5) “Multi-Stop Rides” ฟีเจอร์เพิ่มจุดรับ-ส่ง
เพิ่มความสะดวกให้กับการเดินทางด้วยฟีเจอร์ ‘Multi-Stop Rides’ ที่ผู้ใช้บริการสามารถเพิ่มจุดรับหรือส่งระหว่างทางได้ เช่น การแวะรับ-ส่งเพื่อน หรือแม้แต่การเดินทางไปส่งคนที่คุณรักก่อนกลับบ้าน โดยพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บจะทราบข้อมูลการเดินทางทั้งหมดก่อนรับงาน ในขณะที่ผู้ใช้บริการก็จะทราบค่าโดยสารที่แน่นอนก่อนเรียกรถเช่นกัน
6) “Sayanora” ฟีเจอร์สร้างความสบายใจให้กับการเดินทาง
อาจมีบางครั้งที่ระหว่างการเดินทางผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์คนขับเกิดไม่ประทับใจต่อพฤติกรรมของอีกฝ่าย เพื่อสร้างความสบายใจให้กับการเดินทางในครั้งต่อไป แกร็บจึงมีฟีเจอร์ลับที่เรียกว่าซาโยนาระ ที่ระบบจะป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์คนขับได้โคจรกลับมาพบกันอีก ทำให้ทุกคนไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจ และมั่นใจว่าจะได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุด
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่แกร็บพัฒนาขึ้นจากความเข้าใจ และความใส่ใจต่อเสียงของผู้ใช้บริการ รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับทุกคน หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ใช้บริการแกร็บคาร์เป็นประจำ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิธีกิน “กระเทียม” ที่ชาวญี่ปุ่นแนะนำ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
คนญี่ปุ่นใช้กระเทียมเป็นเครื่องปรุงรสเพื่อเสริมรสชาติของอาหารและเพื่อช่วยย่อยอาหารในเมนูราเม็งและเนื้อย่าง มารู้ประโยชน์ของกระเทียมจากนักจัดอาหารญี่ปุ่นและวิธีการรับประทานเพื่อให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสูงสุดกัน
กระเทียม และคุณค่าสารอาหารต่อร่างกาย
- วิตามินบี 1 ช่วยเสริมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล
วิตามินบี 1 เป็นวิตามินสำคัญในระบบการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล หากขาดวิตามินชนิดนี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลไปเป็นพลังงานลดลง ส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้า ขาดความอยากอาหาร และทำให้อ้วนง่าย หากชอบรับประทานอาหารประเภทแป้งหรือดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานกระเทียมเข้าไปด้วยจะช่วยเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตให้ดีขึ้น
- สารอัลลิซินซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
สารอัลลิอิน (Alliin) ที่มีอยู่ในกระเทียมจะเปลี่ยนเป็นสารอัลลิซิน (Allicin) เมื่อหั่น ทุบ หรือขูดกระเทียม ให้สัมผัสกับอากาศ สารอัลลิซินซึ่งทำให้เกิดกลิ่นกระเทียมมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เช่น เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) อีกทั้งสารชนิดนี้จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
- วิตามินบี 6 ช่วยในระบบเผาผลาญโปรตีน
วิตามินบี 6 จะช่วยเสริมระบบการเผาผลาญโปรตีนและช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด ป้องกันนิ่วในไต ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
วิธีรับประทานกระเทียมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย
- รับประทานกระเทียมดิบ
สารอัลลิซินที่มีมากในกระเทียมซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าแบคทีเรียจะถูกทำลายโดยความร้อน ดังนั้นการรับประทานกระเทียมดิบโดยการสับ ทุบ หรือขูดแล้วปรุงรสอาหารจะทำให้ร่างกายรับสารอัลลิซินได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากไม่ชอบกระเทียมดิบก็ใช้วิธีการปรุงอาหารโดยการให้ความร้อนอย่างรวดเร็วเพื่อลดการสูญเสียสารอัลลิซิน
- รับประทานพร้อมกับเนื้อหมู
สารอัลลิซินในกระเทียมจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบผลาญคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลได้ดี หากนำกระเทียมมารับประทานกับหมูซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 ไม่ว่าจะด้วยวิธีการรับประทานแบบดิบ ผัดหรือย่าง สารอัลลิซินในกระเทียมจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบี 1 จากหมูเข้าสู่ร่างกายได้ดี
- รับประทานวันละ 1-2 กลีบ
แม้ว่ากระเทียมจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ไม่ควรรับประทานมากเกินไปเพราะกระเทียมจะไปทำให้เกิดระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ปริมาณที่รับประทานเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพคือ วันละ 1-2 กลีบ
- รับประทานกระเทียมดำ
กระเทียมดำเป็นกระเทียมที่ผ่านกระบวนการหมักที่อุณหภูมิควบคุมประมาณ 60-90 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาประมาณ 40-90 วัน จนทำให้กระเทียมมีสีดำ กระเทียมดำมีรสหวานคล้ายกับผลไม้แห้ง และอุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอล (สารต้านอนุมูลอิสระ) และสาร S-allyl cysteine (สารประกอบซัลเฟอร์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย) การรับประทานกระเทียมดำเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดความดันโลหิตสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี LDL และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานกระเทียมกับเมนูเนื้อย่างและกระเทียมบดกับราเม็งเพื่อเสริมรสชาติของทั้งเนื้อย่างและราเม็งให้อร่อยขึ้น บ้านเรามีวิธีรับประทานกระเทียมดิบง่ายๆ จากการใส่ในน้ำพริก ส้มตำ หรือยำต่างๆ แม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนปวดท้องกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,250.00 | 29,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,895.00 | 28,728.20 | 29,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,705.50 | 25,855.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,516.00 | 22,982.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 853.00 | 12,931.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 663.00 | 10,051.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,964.00 | 29,774.24 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 | 34.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 | 34.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.24 | 33.24 | 33.24 | 33.24 | 33.24 | – | 33.24 | 33.24 | 33.24 | 33.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 31.84 | 31.84 | – | – | – | – | – | – | – | 31.84 |
เบนซิน 95 | 41.76 | – | – | – | 42.21 | – | 42.26 | 42.26 | – | 41.76 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 44.66 | 44.66 | 45.16 | – | – | – | – | 43.66 |
แก๊ส NGV | 43.66 | 43.66 | – | – | – | – | – | – | – | 43.66 |