สาระน่ารู้ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2565

เฟรเซอร์ส พร๊อพเพอร์ตี้ โชว์วิสัยทัศน์พัฒนาเมืองน่าอยู่ สอดรับนโยบายกทม.

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์แนวคิดการพัฒนาโครงการ พร้อมพัฒนาเมืองน่าอยู่ ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ การใช้ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ชู “วัน แบงค็อก” ตอบโจทย์วิถีชีวิตใจกลางเมือง

จากเวทีเสวนาพิเศษ ที่เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จัดขึ้นในงาน Sustainability Expo 2022 หัวข้อ “ปรับอนาคตเมือง เปลี่ยนอนาคตเรา” และ “A Place for All – One Bangkok’s Sustainable Public Realm” นายวรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารโครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของกรุงเทพมหานคร ในการพัฒนาเมืองน่าอยู่ โครงการหนึ่งๆ มีอายุใช้งานอย่างน้อย 30 ปี เพราะฉะนั้นการวางแผนและออกแบบการใช้ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ต้องพิจารณาให้รอบด้าน มองถึงอนาคตของการพัฒนาเมืองและการใช้ชีวิตของผู้คนจริง ๆ 

ปัญหาสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ชุมชนเมืองในกรุงเทพฯ คือ พื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียวที่มีเพียง 3.5 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 9 ตารางเมตรต่อคน ขณะที่ทางสาธารณะ (Rights-of- way) มีจำกัดเพียง 7% ของพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพฯ เมื่อเทียบกับระดับมาตรฐานที่ 20 – 25% ในขณะที่มหานครนิวยอร์คและโตเกียว ซึ่งมีประชากรหนาแน่นมากแต่ยังมีทางสาธารณะถึง 28 % และ 20% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสภาพแวดล้อมของพื้นที่สาธารณะในเมืองปัจจุบันที่ไม่เอื้อต่อการเดินเท้ามากนัก ซึ่งหากพื้นที่ในชุมชนเมืองเหล่านี้ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้เอื้อต่อการเดินเท้าอย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี จะสามารถดึงดูดให้ผู้คนหันมาสัญจรด้วยการเดินเท้ามากขึ้น นอกจากจะส่งเสริมสุขภาพแล้ว ยังเป็นการลดจำนวนยานพาหนะ และมลภาวะในเมืองได้อีกด้วย

โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส ที่บริหารจัดการโดยเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  ไม่ว่าจะเป็น ปาร์คเวนเจอร์ อีโคเพล็กซ์, สามย่านมิตรทาวน์, เอฟวายไอ เซ็นเตอร์, เดอะ ปาร์ค และ วัน แบงค็อก เน้นสร้าง “พื้นที่สาธารณะที่มีคุณค่า” ประกอบด้วยการเพิ่มพื้นที่เปิดโล่ง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การปรับปรุงทัศนียภาพของทางสาธารณะ และการเพิ่มทางเดินเท้า ซึ่งส่งเสริมการเติบโตทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่เปิดโล่งสีเขียวเพื่อสาธารณะที่มีคุณภาพใจกลางเมืองท่ามกลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง สวนลุมพินี และสวนเบญจกิตติ

ยกตัวอย่าง วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดใจกลางเมืองกรุงเทพฯ  ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นตาม 3 วิสัยทัศน์หลัก ได้แก่

  • การให้ความสำคัญกับผู้คน (People Centric) โดยการออกแบบให้มีพื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียวมากถึง 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมด104 ไร่ จัดสรรเป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ที่ผู้คนเข้าถึงได้ รวมถึงพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ เป็นลานตรงกลางโครงการฯ ที่ร่มรื่นและมีภูมิทัศน์สวยงาม อีกทั้งยังมีโครงข่ายทางเดินเท้าที่ปกคลุมด้วยร่มไม้ พร้อมทั้งมีงานศิลปะสาธารณะที่สอดแทรกอยู่ในเส้นทางเดินตลอดโครงการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตนอกอาคาร มีกิจกรรมทางสังคมกับผู้อื่น ได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพกายใจที่ดี
  • การยกระดับความยั่งยืน (Green Sustainability) โดยแบ่งเป็น 3 แกนหลัก ประกอบด้วย ความยั่งยืนด้านสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยมีการออกแบบโครงการ การใช้พื้นที่เปิดโล่ง และโครงข่ายทางเดินเท้า ตามมาตรฐานรับรองด้านการพัฒนาชุมชนแวดล้อมอย่าง LEED for Neighborhood Development  ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อาศัย รวมถึงผู้ใช้บริการ

การใช้ชีวิตอย่างสมาร์ท (Smart City) โดยการใช้เทคโนโลยีจัดการ และรวมศูนย์งานระบบต่าง ๆ เช่น ระบบทำน้ำเย็นของระบบปรับอากาศ ไว้ที่อาคารสาธารณูปโภค (Central Utility Plant) ที่ล้ำสมัย ซึ่งเปิดโอกาสให้โครงการสามารถสร้างพื้นที่เปิดโล่งเพิ่มได้บนหลังคาอาคาร อีกทั้งภายในยังมีระบบแบบรวมศูนย์เพื่อบริหารและจัดการงานระบบของทุกพื้นที่ในโครงการได้ รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของพื้นที่สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง

โครงการ วัน แบงค็อก มีโครงข่ายทางเดินเท้าที่เชื่อมต่อกับระบบคมนาคมสาธารณะ และเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน อีกทั้งมีทางเข้าออกหลายจุดจากทั้งถนนวิทยุ และถนนพระรามสี่ เพื่อเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะได้ นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนหน้าของโครงการ ตลอดแนวถนนพระรามสี่ และถนนวิทยุ มีความลึกจากด้านหน้าถนนเข้ามา  35-45 เมตร เพื่อสร้างเป็นสวนสาธารณะสีเขียวขนาดใหญ่ (Linear Park) อีกทั้งยังมีต้นไม้ร่มรื่นที่ช่วยกรองฝุ่น ให้ร่มเงา ลดอุณหภูมิ และสร้างทัศนียภาพที่สวยงาม ที่สำคัญ ยังเป็นพื้นที่ชลอน้ำ ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมภายในโครงการและชุมชนโดยรอบในช่วงฤดูฝนอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับงานศิลปะและวัฒนธรรมอย่างมาก โดยมีการวางแผนและออกแบบให้มีงานศิลปะสาธารณะ และโปรแกรมทางศิลปะต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะทั่วโครงการ ด้วยความมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเปิดโอกาสในการใช้งานศิลปะสาธารณะเป็นกระบอกเสียงเพื่อสื่อสารแนวคิดสำคัญที่ศิลปินมีต่อสังคม ด้านวัฒนธรรม การสะท้อนอัตลักษณ์และเรื่องราวของพื้นที่ และด้านเศรษฐกิจ การมีส่วนในการพัฒนาศิลปิน ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และการเป็นจุดดึงดูดการท่องเที่ยว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เผยวิสัยทัศน์การพัฒนาพื้นที่สาธารณะใจกลางเมือง ชู “วัน แบงค็อก” โครงการตัวอย่างระดับโลก ในงาน Sustainability Expo 2022

ผ่านพ้นไปแล้วอย่างน่าประทับใจ สำหรับงานนิทรรศการและเสวนาพิเศษซึ่งจัดโดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในงาน Sustainability Expo 2022 มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมีผู้ให้ความสนใจเยี่ยมชมบูธนิทรรศการอย่างคับคั่ง และร่วมฟังเสวนา “ปรับอนาคตเมือง เปลี่ยนอนาคตเรา” และ “A Place for All – One Bangkok’s Sustainable Public Realm” เวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์การทำงานด้านการพัฒนาพื้นที่เปิดโล่งสีเขียวเพื่อสาธารณะของเมืองอย่างยั่งยืน โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วยตัวแทนจากกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ ที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผังเมืองและพื้นที่สาธารณะ

นายวรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารโครงการ วัน แบงค็อก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชน กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของกรุงเทพมหานครในการพัฒนาเมืองน่าอยู่ โครงการหนึ่ง ๆ มีอายุใช้งานอย่างน้อย 30 ปี เพราะฉะนั้นการวางแผนและออกแบบการใช้ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ต้องพิจารณาให้รอบด้าน มองถึงอนาคตของการพัฒนาเมืองและการใช้ชีวิตของผู้คนจริง ๆ ปัญหาสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ชุมชนเมืองในกรุงเทพฯ คือพื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียวที่มีเพียง 3.5 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 9 ตารางเมตรต่อคน ขณะที่ทางสาธารณะ (Rights-of- way) มีจำกัดเพียง 7% ของพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพฯ เมื่อเทียบกับระดับมาตรฐานที่ 20 – 25% ในขณะที่มหานครนิวยอร์คและโตเกียว ซึ่งมีประชากรหนาแน่นมากแต่ยังมีทางสาธารณะถึง 28 % และ 20% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสภาพแวดล้อมของพื้นที่สาธารณะในเมืองปัจจุบันที่ไม่เอื้อต่อการเดินเท้ามากนัก ซึ่งหากพื้นที่ในชุมชนเมืองเหล่านี้ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้เอื้อต่อการเดินเท้าอย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี จะสามารถดึงดูดให้ผู้คนหันมาสัญจรด้วยการเดินเท้ามากขึ้น นอกจากจะส่งเสริมสุขภาพแล้ว ยังเป็นการลดจำนวนยานพาหนะ และมลภาวะในเมืองได้อีกด้วย”

นายวรวรรต กล่าวเสริมว่า “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชุมชนในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง ดังนั้นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส ที่บริหารจัดการโดยเรา ไม่ว่าจะเป็น ปาร์คเวนเจอร์ อีโคเพล็กซ์, สามย่านมิตรทาวน์, เอฟวายไอ เซ็นเตอร์, เดอะ ปาร์ค, และ วัน แบงค็อก ต่างก็มุ่งเน้นสร้าง “พื้นที่สาธารณะที่มีคุณค่า” ประกอบด้วยการเพิ่มพื้นที่เปิดโล่ง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การปรับปรุงทัศนียภาพของทางสาธารณะ และการเพิ่มทางเดินเท้า ซึ่งส่งเสริมการเติบโตทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่เปิดโล่งสีเขียวเพื่อสาธารณะที่มีคุณภาพใจกลางเมืองท่ามกลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง สวนลุมพินี และสวนเบญจกิตติ”

นายวรวรรตยังได้ยกตัวอย่าง วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นตาม 3 วิสัยทัศน์หลัก ดังต่อไปนี้

  • การให้ความสำคัญกับผู้คน (People Centric) โดยการออกแบบให้มีพื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียวมากถึง 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมด104 ไร่ จัดสรรเป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ที่ผู้คนเข้าถึงได้ รวมถึงพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ เป็นลานตรงกลางโครงการฯ ที่ร่มรื่นและมีภูมิทัศน์สวยงาม อีกทั้งยังมีโครงข่ายทางเดินเท้าที่ปกคลุมด้วยร่มไม้ พร้อมทั้งมีงานศิลปะสาธารณะที่สอดแทรกอยู่ในเส้นทางเดินตลอดโครงการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตนอกอาคาร มีกิจกรรมทางสังคมกับผู้อื่น ได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพกายใจที่ดี
  • การยกระดับความยั่งยืน (Green Sustainability) โดยแบ่งเป็น 3 แกนหลัก ประกอบด้วย ความยั่งยืนด้านสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยมีการออกแบบโครงการ การใช้พื้นที่เปิดโล่ง และโครงข่ายทางเดินเท้า ตามมาตรฐานรับรองด้านการพัฒนาชุมชนแวดล้อมอย่าง LEED for Neighborhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อาศัย รวมถึงผู้ใช้บริการ
  • การใช้ชีวิตอย่างสมาร์ท (Smart City) โดยการใช้เทคโนโลยีจัดการ และรวมศูนย์งานระบบต่าง ๆ เช่น ระบบทำน้ำเย็นของระบบปรับอากาศ ไว้ที่อาคารสาธารณูปโภค (Central Utility Plant) ที่ล้ำสมัย ซึ่งเปิดโอกาสให้โครงการสามารถสร้างพื้นที่เปิดโล่งเพิ่มได้บนหลังคาอาคาร อีกทั้งภายในยังมีระบบแบบรวมศูนย์เพื่อบริหารและจัดการงานระบบของทุกพื้นที่ในโครงการได้ รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของพื้นที่สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง

โครงการ วัน แบงค็อก มีโครงข่ายทางเดินเท้าที่เชื่อมต่อกับระบบคมนาคมสาธารณะ และเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน อีกทั้งมีทางเข้าออกหลายจุดจากทั้งถนนวิทยุ และถนนพระรามสี่ เพื่อเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะได้ นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนหน้าของโครงการ ตลอดแนวถนนพระรามสี่ และถนนวิทยุ มีความลึกจากด้านหน้าถนนเข้ามา 35-45 เมตร เพื่อสร้างเป็นสวนสาธารณะสีเขียวขนาดใหญ่ (Linear Park) อีกทั้งยังมีต้นไม้ร่มรื่นที่ช่วยกรองฝุ่น ให้ร่มเงา ลดอุณหภูมิ และสร้างทัศนียภาพที่สวยงาม ที่สำคัญ ยังเป็นพื้นที่ชลอน้ำ ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมภายในโครงการและชุมชนโดยรอบในช่วงฤดูฝนอีกด้วย

โครงการวัน แบงค็อก ยังให้ความสำคัญกับงานศิลปะและวัฒนธรรมอย่างมาก โดยมีการวางแผนและออกแบบให้มีงานศิลปะสาธารณะ และโปรแกรมทางศิลปะต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะทั่วโครงการ ด้วยความมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเปิดโอกาสในการใช้งานศิลปะสาธารณะเป็นกระบอกเสียงเพื่อสื่อสารแนวคิดสำคัญที่ศิลปินมีต่อสังคม ด้านวัฒนธรรม การสะท้อนอัตลักษณ์และเรื่องราวของพื้นที่ และด้านเศรษฐกิจ การมีส่วนในการพัฒนาศิลปิน ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และการเป็นจุดดึงดูดการท่องเที่ยว

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวเพิ่มเติมกับแนวคิดเพื่อความยั่งยืนของโครงการ วัน แบงค็อกได้ที่ www.onebangkok.com และ FB: One Bangkok

ขอบคุณข้อมูลจาก ryt9.com


เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.40 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทในวันนี้มีแนวโน้ม “อ่อนค่าลง” ได้บ้าง จับตาทั้งทิศทางราคาทองคำจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องหรือยังคงแกว่งตัว Sideways

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.36 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งอาจยังคงหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง (หรืออย่างน้อยแกว่งตัว sideways หลังจากปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง) กดดันให้ เงินบาทในวันนี้มีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้บ้าง ซึ่งต้องจับตาทั้งทิศทางของราคาทองคำว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องหรือยังคงแกว่งตัว Sideways โดยหากราคาทองคำปรับตัวลดลงใกล้โซนแนวรับ ก็อาจมีโฟลว์เข้าซื้อในจังหวะย่อตัว กดดันเงินบาทอ่อนค่าได้ ขณะเดียวกันทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา เพราะหากแรงขายสินทรัพย์ไทยยังมีต่อเนื่อง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ แต่เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย หลังราคาปรับตัวลงมาจนน่าสนใจ อีกทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวมผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยดูโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม

อนึ่งเรามองว่า ควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดอาจยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงได้ หากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดไปมาก สะท้อนว่าเฟดอาจสามารถเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยตาม Dot Plot ได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าว เราอาจเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ทั้งนี้ แนวต้านสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในโซน 37.60-37.80 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่ แนวรับของเงินบาทได้ลดลงมาสู่ระดับ 37.10-37.20 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.25-37.55 บาท/ดอลลาร์

ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้งและลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลง กดดันให้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง -1.02% หลังจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างเน้นย้ำความจำเป็นในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดก็ยังคงสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ย อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ระดับ 219,000 ราย ซึ่งภาพดังกล่าวส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.80% อีกครั้ง กดดันให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ และ หุ้นสไตล์ Growth ออกมากบ้าง (Tesla -1.1%, Microsoft -0.9%, Amazon -0.5%) ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง (Exxon Mobil +3%, Chevron +1.8%) ตามราคาน้ำมันดิบ ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่าตลาดน้ำมันจะยังคงเผชิญภาวะอุปทานตึงตัวจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -0.64% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปก็ชะลอตัวลงมากขึ้น โดยล่าสุด ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนสิงหาคม หดตัวต่อเนื่องราว -0.3% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้คนที่ลดลงต่อเนื่อง จากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อสูง การเร่งขึ้นดอกเบี้ยและการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโดยรวม

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นราว +0.9% สู่ระดับ 112.2 จุด หนุนโดยท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ท่าทีระมัดระวังของผู้เล่นในตลาดยังคงหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เพื่อหลบความผันผวนในระยะนี้ ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า ราคาทองคำอาจแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอประเมินภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯและทิศทางนโยบายการเงินเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในวันนี้ก่อน

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลสำคัญของตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดประเมินว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน อาจสูงกว่า 2.6 แสนราย ทำให้อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 3.7% ส่วนการเติบโตของรายได้ (Average Hourly Earnings) อาจสูงราว 5.1%y/y สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งและจะหนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุดของเฟด ซึ่งแปลว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1.25% ในปีนี้ และขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกราว 0.25% ในปีหน้า
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ต้านไม่ไหว! ไทย พ่าย อิหร่าน 0-5 ร่วงตัดเชือกศึกฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2022

การแข่งขัน “AFC FUTSAL ASIAN CUP 2022” รอบรองชนะเลิศ ที่ซาอัด อัล อับดุลลาห์ ฮอลล์ คูเวต ซิตี้ วันที่ 6 ตุลาคม 2565 เวลา 23:59 น. ตามเวลาประเทศไทย เกมระหว่างทีมชาติไทย พบ ทีมชาติอิหร่าน

เกมนี้มี “บิ๊กป๋อม” อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ อุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ฝ่ายฟุตซอลและฟุตบอลชายหาด พร้อมด้วย “บิ๊กสุ” สุทิน บัวตูม ผู้จัดการทีมฟุตซอลไทย ส่งแรงเชียร์ติดขอบสนาม ท่ามกลางแฟนๆชาวไทยในคูเวตที่เดินทางมาเสียงแรงเชียร์กว่า 70 คน

เกมนี้ คาร์ลอส เซซาร์ หมดสิทธิ์ใช้งาน รณชัย จูงวงษ์สุข และ วรุฒ หวังสะมาแอล ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่น 5 คนแรกประกอบด้วย คทาวุธ หาญคำภา (ผู้รักษาประตู) ผู้เล่นมี กฤษณ์ อรัญสัญญาลักษณ์, เจษฎา ชูเดช, สราวุท ผลาพฤกษ์, ณรงค์ศักดิ์ วิงวอน

เริ่มเกมมาไม่ถึงนาที ซาอิด โมเมนี ขว้างบอลยาวมาให้ ฮอสเซน ตาเยบี กลับตัวยิงด้วยขวาเข้าไปให้ อิหร่าน นำก่อน 1-0 และเป็นประตูเดียวในครึ่งแรก

ครึ่งหลังนาที 22 อิหร่าน มาได้ประตูนำห่าง จากจังหวะที่ ซาร่า อกาพัวร์ กดด้วยซ้ายให้ โมฮัมหมัด ฮอสเซน เดรัคชานี โหม่งเข้าไปให้สกอร์ขยับเป็น 2-0

นาที 24 อิหร่าน มาได้ประตูเพิ่มอีกจากจังหวะที่ ไทย เสียบอลกลางทางและมาเข้าทางปืนของ มอสเลม โอลัดโกบัด ที่กดด้วยขวาเข้าไปให้สกอร์เป็น 3-0

และนาที 27 มอสเลม โอลัดโกบัด ทำชิ่งกับ อาลีเรซา พัวร์ ก่อนกดด้วยขวาเข้าไปอีก ทำให้ อิหร่าน นำห่าง ไทย เป็น 4-0

เท่านั้นไม่พอ นาที 28 ซาลาร์ อกาปัวร์ กึ่งยิงกึ่งผ่านมาให้ โมฮัมหมัด ฮอสเซน เดรัคชานี แปเปลี่ยนทางเข้าไปให้สกอร์ขยับเป็น 5-0

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม ไทย แพ้ อิหร่านไป 0-5 ขณะที่ผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศอีกคู่ ญี่ปุ่น แซงชนะ อุซเบกิสถาน 2-1

โปรแกรมวันที่ 8 ตุลาคม 2565 ถ่ายทอดสด ทาง AIS Play และ Eleven Sports

คู่ชิงอันดับ 3 เวลา 21:00 น. ตามเวลาไทย
ไทย พบ อุซเบกิสถาน

คู่ชิงชนะเลิศ เวลา 23:59 น. ตามเวลาไทย
อิหร่าน พบ ญี่ปุ่น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


4 สัญญาณอันตราย เสี่ยง “หูตึง”

4 สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าเราอาจกำลังเสี่ยงภาวะ “หูตึง

อ.พญ.นวลวรรณ ลีลาภัทรพันธุ์ แพทย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า อาการหูตึง คือ ภาวะที่มีความสามารถในการรับเสียง หรือการได้ยินเสียงลดลง

4 สัญญาณอันตราย เสี่ยง “หูตึง”

  1. ได้ยินคนรอบข้างพูดงึมงำ
  2. เข้าใจบทสนทนาลำบากเมื่ออยู่ในที่ที่มีเสียงงอแง
  3. หูอื้อ หูดับเฉียบพลัน
  4. คนรอบข้างต้องพูดเสียงดังขึ้นจึงจะได้ยิน

การป้องกันและดูแลไม่ให้หูตึง

  1. หลีกเลี่ยงพื้นที่เสียงดัง เสียงที่ดังกว่า 85 เดซิเบล อาจเป็นอันตรายต่อระบบการได้ยิน
  2. เปิดเพลงระดับที่พอได้ยินเสียง ขณะใช้หูฟัง ไม่ควรเปิดเพลงที่ดัง และนานเกินไป
  3. หลีกเลี่ยงการแคะหู อาจเสี่ยงต่อการเกิดแก้วหูทะลุ
  4. หากมีปัญหาการได้ยินลดลง ควรมาพบแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อธิบายรสชาติอาหารให้ตรงใจ ต้องพูดคำไหนถึงจะดี?

หากจะให้อธิบายเรื่องรสชาติของอาหาร คำศัพท์หลักๆ ที่เราน่าจะรู้จักกันอยู่แล้วเช่น Delicious = อร่อย, Sweet = หวาน, Salty = เค็ม หรือ Spicy = เผ็ดจัดจ้าน เป็นต้น แต่เอ๊ะ! ถ้าเราอยากจะอธิบายรสชาติแบบถึงพริกถึงขิงถึงเครื่องเทศมากกว่านี้ บอกถึงรสชาติที่หวานนุ่มละมุนมากกว่านี้ล่ะจะพูดยังไงดี อย่ารอช้าตามมาดูคำศัพท์คูลๆ เกี่ยวกับการบรรยาย “รสชาติอาหาร” ไปพร้อมกับเราเลย

Tangy

อาหารที่มีรสเข้มข้นโดดเด่นจัดจ้านชัดเจน เช่น ต้มยำที่มีรสเปรี้ยวเค็มนำอย่างโดดเด่น

Peppery

อาหารที่เผ็ดๆ แบบรสพริกไทย

Hot

อาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อน หรือมีพริกเป็นส่วนประกอบ

Piquant

รสชาติเผ็ด จัดจ้าน อารมณ์ประมาณอาหารประเภทยำต่างๆ

Brackish

อาหารที่มีรสเค็ม

Savoury

รสออกเค็มๆ เผ็ดๆ ไม่มีรสหวาน แต่ออกมาแล้วอร่อย

Acidic

เปรี้ยวมากๆ เปรี้ยวคล้ายๆ กรดอ่อนๆ

Tart

รสเปรี้ยวนิดๆ

Acerbic

รสชาติเปรี้ยวๆ ฝาดๆ

Rich

อาหารที่รสชาติเข้มข้นที่เต็มไปด้วย รสของเนย นม ครีม และไข่ เช่น ขนมปัง แยมโรล เป็นต้น

Creamy

รสแบบครีมๆ หอมมัน

Cheesy

รสเนย หรือจะใช้เรียกแทนรสเลี่ยนก็ได้

Nutty

อาหารที่ให้รสชาติ หรือมีส่วนประกอบคล้ายถั่ว

Sharp

รสขมที่ขมมากๆ

Bitter

รสขม

Bitter-Sweet

ขมๆ หวานๆ อารมณ์ประมาณดาร์กช็อคโกแลต

Mellow

รสหวานฉ่ำ แบบผลไม้หวานๆ

Luscious

รสชาติหอมหวาน หวานฉ่ำ ใช้อธิบายรสชาติของขนมหวาน หรือขนมเค้ก

Insipid

อาหารรสจืดชืด ไม่มีรสชาติอะไรเลย

Tasteless

อาหารที่ไม่มีรสชาติ

Watery

รสจืดๆ จางๆ เหมือนใส่น้ำเยอะเกินไป

Bland

จืดๆ ไม่มีรสชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


SCG ชูนวัตกรรม “SCG Bi-ion” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เน้นอากาศสะอาด ปลอดภัย สามารถสร้างได้

กรุงเทพฯ – SCG Bi-ion โดย SCG มุ่งมั่นนำเสนอโซลูชันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตภายในอาคาร โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งในด้านเชื้อโรคและมลภาวะในอากาศ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกองค์กรต้องเร่งดำเนินการเพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยต่อไปในอนาคต

คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Service Solution Business เอสซีจี กล่าวว่า “เพราะ “คน” คือหัวใจของการดำเนินธุรกิจ การดูแลคนให้พร้อมที่จะทำงานภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีและอากาศที่สะอาดปลอดภัย เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยทาง SCG มีเทคโนโลยี SCG Bi-ion ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสตระกูลโคโรนา เชื้อรา รวมถึงฝุ่นละอองในอากาศ โดยที่ผ่านมาได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำต่างๆ หลากหลายองค์กร ร่วมติดตั้งระบบ SCG Bi-ion เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงานและลูกค้า ผ่านคุณภาพอากาศที่บริสุทธิ์ปลอดภัย ซึ่งถือว่า SCG Bi-ion  ระบบกำจัดเชื้อโรคในอากาศ สามารถช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ด้านสุขภาวะของการใช้ชีวิตภายในอาคาร และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตจากการสร้างคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นได้”

เพื่ออนาคตของชาติ เรียนรู้อย่างตั้งใจ ทำกิจกรรมไร้กังวล

“โรงเรียนเพลินพัฒนา” เป็นอีกโรงเรียนต้นแบบที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของคุณภาพอากาศของเด็กนักเรียน รวมถึงบุคลากรภายใน จึงได้เสริมเกราะป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงในการรับอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อโรคให้กับทุกคน โดยหลังจากที่ติดตั้ง SCG Bi-ion หรือระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือผู้ปกครองเกิดความมั่นใจและอุ่นใจเรื่องคุณภาพอากาศที่สะอาดปลอดภัยทั้งในพื้นที่การเรียนรู้ต่างๆ ของโรงเรียนและห้องเรียนมากยิ่งขึ้น เพราะการสร้างมาตรฐานอากาศให้ปลอดภัย ถือเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ปกครองให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในยุคที่เกิดการแพร่ระบาดเชื้อโรคทางอากาศ โดยทางโรงเรียนได้ติดตั้งระบบ SCG Bi-ion ในพื้นที่ห้องเรียน ห้องเรียนรวม และห้องพักครูของอาคารเตรียมอนุบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีเด็กเล็กและครูผู้ดูแลรวมมากกว่า 100 คน ซึ่งเหตุผลที่ทางโรงเรียนเลือกติดตั้งระบบ SCG Bi-ion ในพื้นที่กลุ่มเด็กเล็กก่อน สืบเนื่องจากเด็กเล็กชั้นอนุบาลเป็นกลุ่มที่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่ อาจเกิดความเสี่ยงในระหว่างทำกิจกรรมร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังติดตั้งเพิ่มเติมในพื้นที่ส่วนกลางที่ทุกคนใช้งานร่วมกันและมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย อย่างห้องสมุดมัธยม ห้องสมุดกลาง และห้องพยาบาลกลาง ดังนั้น ผู้ปกครองทุกคนสามารถมั่นใจได้ว่าลูกหลานของท่านจะได้รับการดูแลทั้งด้านการเรียนและสุขอนามัยที่ปลอดภัย โดยเฉพาะความปลอดภัยทางด้านอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

สุขอนามัยของผู้เช่า คือหัวใจสำคัญของการบริการ

“เมื่อความอุ่นใจของผู้เช่ามากขึ้น ความพึงพอใจที่มีต่อบริการและมาตรการต่างๆ ที่เรามอบให้ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น เพราะเรามุ่งมั่นใจการพัฒนาบริการเพื่อผู้เช่าพื้นที่สูงสุด” คุณพัชราวดี ขุนทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิศวกรรมและบริหารสินทรัพย์ บริษัท จีพีเอฟ พร็อพเพอร์ตี้ เมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า เนื่องด้วยหัวใจของเราคือผู้เช่า ดังนั้น เราต้องดูแลและปรับปรุงอาคารสำนักงานตลอดเวลา เพื่อให้ผู้เช่ามั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดี โดยเฉพาะเรื่อง “อากาศภายในอาคาร” ที่ทุกคนต้องใช้ร่วมกัน เราจึงติดตั้งระบบ SCG Bi-ion เพื่อเพิ่มความมั่นใจเรื่องอากาศ และลดเชื้อโรคต่างๆ มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ขยายผลเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีการติดตั้งเพียง อาคารอับดุลราฮิม เพลส สู่ อาคารบางกอกซิตี้ และอาคารจีพีเอฟ วิทยุ โดยปัจจุบัน เราติดครอบคลุมมากกว่า 2,200 ตารางเมตร ในพื้นที่ล็อบบี้ก่อนเพราะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่มีผู้สัญจรต่อวันเป็นจำนวนมาก พร้อมวางแผนขยายพื้นที่ติดตั้งสู่ชั้นอื่นๆ ของอาคาร และอาคารอื่นที่อยู่ในการดูแลและบริหาร เพราะเราเชื่อมั่นว่าคุณภาพชีวิตของผู้เช่าเป็นเรื่องที่สำคัญ”

เสริมเกราะให้แนวหน้าปลอดภัย เพิ่มความมั่นใจทั้งคนไข้และคนทางบ้าน

“อาชีพหมอและพยาบาล นับว่าเป็นอาชีพแนวหน้าที่ต้องผจญและสู้รบกับเชื้อโรคทุกทิศทางตลอดเวลา” หนึ่งในเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสระบุรีกล่าวถึงความปลอดภัยที่ทางโรงพยาบาลมอบให้เจ้าหน้าที่และคนไข้ทุกคนว่า “โรงพยาบาลสระบุรีนับเป็นโรงพยาบาลชั้นนำด้านบริการสุขภาพและศูนย์โรคเฉพาะทาง ที่ให้การรักษาประชาชนบริเวณพื้นที่จังหวัดสระบุรีและใกล้เคียง โดยแต่ละวันต้องรับรักษาและดูแลผู้เจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่ทางโรงพยาบาลเล็งเห็น คือ เมื่อมีคนจำนวนมากๆ เข้ามาใช้บริการ อาจเกิดการสัมผัสพื้นที่หรือพื้นผิวในบริเวณเดิมได้แบบซ้ำๆ ดังนั้น เรื่องความสะอาดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะความสะอาดของอากาศที่เราต้องหายใจร่วมกันในสถานที่ปิด จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการติดตั้งระบบ SCG Bi-ion ในบริเวณจุดสำคัญต่างๆ อาทิ ห้องฉุกเฉิน โรงอาหาร แผนกอายุรกรรม เป็นต้น เพื่อเพิ่มสุขภาวะที่ดีทางอากาศให้กับผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายในพื้นที่ ทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยว่าจะได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ที่แข็งแรงและปลอดภัยอย่างเต็มที่ ตลอดจนให้ครอบครัวของเจ้าหน้าที่มั่นใจด้วยว่าทางโรงพยาบาลมีมาตรการในการดูแลและสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่สูงสุดเช่นกัน”

#SCG #SCGBiion #ClearAirMatters #อากาศสะอาด #Airquality

สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรม SCG Bi-ion ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scgbuildingmaterials.com/th/b2b/smart-building-solution/productinfo-hygiene

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


25 ประโยชน์ของ มะไฟ !!

ลักษณะเฉพาะของ “มะไฟ”

มะไฟ เป็นไม้ยืนต้น ออกดอกและผล ลักษณะทั่วไปจะเป็นต้นไม้ที่สูงประมาณ 10 เมตร ดอกสีเหลืองอ่อนปนชมพู มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ใช้ทำเป็นยารักษาโรคผิวหนังได้ ส่วนผลของมะไฟนั้นจะมีรูปร่างกลม สีเหลืองนวล มีเปลือกนอกที่หนา ห้อยลงมาเป็นเป็นพุ่ม ด้านในมีเนื้อผลเนียนสีขาวขุ่นคลายลองกอง ภายในมีเมล็ดอยู่ 1-2 เมล็ด เนื้อของมะไฟจะออกรสชาติเปรี้ยวนำ

25 ประโยชน์ของมะไฟ

1. มะไฟช่วยให้ชุ่มคอ แก้ไอ ขับเสมหะ

2. มะไฟช่วยดับพิษร้อน

3. มะไฟมีวิตามินซีสูงช่วยแก้ไข้หวัด

4. มะไฟช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิว ทำให้ผิวตึงกระชับ ลดริ้วรอย

5. มะไฟเป็นส่วนผสมของยาแผนโบราณช่วยบำรุงธาตุ

6. มะไฟช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดท้อง

7. มะไฟช่วยแก้อาการท้องอืด  ช่วยขับลม

8. มะไฟช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

9. มะไฟช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยลดรอยแผลเป็น

10. มะไฟช่วยรักษากลาก เกลื้อน

11. มะไฟช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย

12. มะไฟช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ผิว

13. มะไฟช่วยให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น

14. มะไฟช่วยลดการอักเสบ

15. มะไฟช่วยรักษาอาการแน่นท้องจากอาหารที่ไม่ย่อย

16. มะไฟช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก

17. มะไฟช่วยส้รางภูมิต้านทาน ลดอาการภูมิแพ้

18. มะไฟสามารถลดความเสี่ยงการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

19. มะไฟช่วยขับพิษ และขับปัสสาวะ

20. มะไฟช่วยรักษาโรคเริมและโรคทางผิวหนัง

21. มะไฟช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม

22. มะไฟช่วยให้เจริญอาหาร

23. มะไฟนำมาต้มน้ำอาบสำหรับรักษาโรคผิวหนังและนำมาหมักผมช่วยขจัดรังแคได้

24. มะไฟเป็นยาระบายตามธรรมชาติ

25. มะไฟช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง

ขอบคุณข้อมูลจาก winnews.tv


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/10/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a30,200.0030,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,956.0029,652.9630,800.00
ทองรูปพรรณ 90%1,760.4026,687.66n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,564.8023,722.37n/a
ทองรูปพรรณ 50%880.0013,340.80n/a
ทองรูปพรรณ 40%685.0010,384.60n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,027.0030,729.32n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/10/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6534.7534.6534.6534.6534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.3834.3834.4834.3834.3834.3834.3834.3834.3834.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5433.6433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8531.9431.9431.94
เบนซิน 9542.0642.5142.5642.5642.06
ดีเซล B734.9434.9437.6436.2436.2434.9434.9434.9436.2434.94
ดีเซล34.9434.9437.6436.2436.2434.9434.9434.9436.2434.94
ดีเซล B2034.9434.9437.6436.2434.9434.9433.5434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6646.3646.1645.8634.94
แก๊ส NGV43.6643.6643.66

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า